จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: เจ้าหญิงจอมเปิ่น

ตอนที่ 5

แพขนตากระพริบปริบๆ ปรับตากับแดดยามเช้าที่เล็ดลอดผ่านม่านสีขาวเข้ามา ร่างบอบบางกระเด้งขึ้นมาเมื่อระลึกอะไรบางอย่างได้

เธอควรจะอยู่ที่ตึกสูง 80 ชั้นนั่นไม่ใช่หรอ

แต่ไม่...ทุกอย่างปกติ เตียงสีฟ้าของเธอ ผ้าม่านสีเข้ากัน โทรทัศน์ที่เปิดละครค้างไว้ โน๊ตบุ๊คที่ยังเสียบปลั๊ก รูปถ่ายบนโต๊ะและผนังห้อง ทุกอย่างล้วนเป็นของเธอ

บุษราคัมยิ้มในหน้า สงสัยจะกินมากเกินไปเลยเก็บไปฝัน

เจ้าหญิง เจ้าชาย มีที่ไหนกันเล่า

คิดอย่างนั้นก็แทบจะกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง มือไม้ลูบคลำทุกอย่างไปทั่วห้องนอนเพื่อยืนยันว่ามันมีตัวตนจริงๆ แม้กระทั่งถังขยะก็ยังถูกหยิบขึ้นมากอด

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดอารมณ์ดีของหญิงสาว แต่เจ้าตัวไม่คิดจะสนใจ ไม่มีอะไรจะทำให้อารมณ์ที่ดีสุดๆ ของเธอดิ่งต่ำได้อีกแล้วในวันนี้

บุษราคัมวิ่งไปเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน แต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นใบหน้าของแขก

ร่างสูงใหญ่สมชายชาตรีอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่เอื้อม นัยน์ตาสีรัตติกาลเป็นประกายวาววับจับจ้องเธออย่างไม่วางตา ให้ความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก

โครม!

แค่เอื้อมจริงๆ แต่เอื้อมไปผลัก ไม่ใช่เอื้อมไปคว้า

ประตูไม้ปิดลงเสียงดังปังพร้อมกับร่างบอบบางที่ปากสั่นเหงื่อแตกซกไปด้วยความกลัวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ หญิงสาวจัดแจงกดล็อคลูกบิดแล้วอัดกลอนตามอีกครั้ง เตรียมหันหลังไปหาอะไรมาดันประตูไว้

แต่ทว่า...

ผลั่ก! ใบหน้าอ่อนเยาว์ชนโครมกับกำแพงแข็งข้างหลัง เชือกสองเส้นพุ่งออกมารัดเข้าที่เอวเล็ก พลันที่เงยหน้าขึ้นไปมองกลับต้องตาค้าง

สิ่งมีชีวิตสีขาวเผือก ดวงตาเรียวดำดูมุ่งร้าย ลิ้นสองแฉกแลบแผล่บๆ ส่งเสียงขู่ เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยสร้างความหวาดกลัวให้เธอในฝัน

ก่อนที่สติจะดับวูบไป เสียงของเจ้างูยักษ์ที่รัดแน่นยังก้องในหู

“กลับไปกับฉัน...เจ้าหญิงแห่งอุรัศยา”





“ไม่!!!”

บุษราคัมกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงนุ่มติดสปริง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ห้อง ไร้แสงอรุณสาดส่อง เห็นเพียงราตรีสีดำ ไม่มีแล้ว เตียง ผ้าม่าน โทรทัศน์ โน๊ตบุ๊ค รูปถ่าย เห็นเพียงเตียงนอนสีชมพูอ่อนหวานสี่เสาติดม่านระบายรอบเตียง ทิ้งชายยาวข้างหัวเตียง ตรงหัวเตียงไล่ระดับโค้งมนได้อย่างลงตัว ม้านั่งปลายเตียงลายดอกกุหลาบ เข้ากับผ้าม่านพิมพ์ลายเดียวกับม่านระบายรอบเตียง พื้นปูด้วยพรมสีเข้ากับผ้าปูเตียง โต๊ะหนังสือตั้งตรงข้ามกับเตียงนอน อีกมุมหนึ่งเป็นห้องน้ำที่รายล้อมไปด้วยตู้เสื้อผ้าแบบยึดติดกับผนังห้องสีครีม

อย่างกับเจ้าหญิงในนิยาย

หญิงสาวค่อยๆ ปิดเปลือกตาหนีจากแสงส้มนวลตาของโคมไฟกุหลาบ ประหนึ่งจะหนีจากความจริง

เพียงแค่เธอลืมตา...ห้องนอนของเธอคงจะกลับคืนมา

ฝันร้ายควรจบลงเสียที

ดวงตากลมค่อยๆ เผยอขึ้นทีละข้าง ก่อนที่ความจริงจะกระแทกเข้าที่กลางใจ ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนเดิมที่ไม่ใช่ห้องของเธอ!

‘เจ้าหญิงพลัดถิ่น’ หากนั่นคือคำเรียกขานที่เธอจำกัดความให้ตัวเองในตอนนี้

ห้องนอนกว้างใหญ่สวยหรูไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจดวงน้อยเหมือนอย่างเคย ในเมื่อมันไม่ใช่ห้องของเธอที่ถึงแม้จะคับแคบกว่านี้แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจและหลับฝันดีทุกคืน

ความอ้างว้าง สับสน หวาดกลัวประเดประดังกันเข้ามาเกินจะข่มไหว ท่าทางอวดเก่งที่เคยมียามอยู่ต่อหน้าใครบางคนมลายหายไป มือเล็กกำแน่นข้างลำตัว หยาดน้ำใสๆ หล่อเลี้ยงลูกตาวาววับ ทั้งที่ปกติเธอไม่ใช่คนขี้แง แต่สุดท้ายเจ้าตัวกลับกลั้นใจกลืนมันลงไป เพราะน้ำตาไม่ช่วยอะไร จิตใจที่เข้มแข็งคือสิ่งที่เธอต้องมีเพื่อสู้กับผู้ชายคนนั้น

เศรษฐ...อะไรสักอย่าง?

ใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางค์เงยขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าดึกมากแล้ว นี่เธอเหนื่อยจนถึงขั้นหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือนี่ เพราะผู้ชายร้ายกาจคนนั้นแท้ๆ

หลังจากที่การเจรจาประหลาดนั่นจบลง เขาเพียงแค่บอกให้เธอรอเวลาเพื่อกลับอุรัศยา ประเทศพิลึกที่ไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน ชายหนุ่มอนุญาตให้เธอไปเรียนหนังสือตามปกติได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของภีม

สิ้นเรื่องที่ต้องคุย เขาก็หันหลังกลับ ทิ้งให้เธอยืนเขว้งในโถงค์กว้างคนเดียว แต่ไม่นานนักเสียงกระแอมจากข้างหลังก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบจนเธอสะดุ้งเฮือก

‘ถวายบังคมเจ้าหญิง’ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางผิวขาวในชุดเชิ้ตสีเข้มเอ่ยขึ้นก่อนจะค้อมตัวลงทำความเคารพ ‘หม่อมฉันพันกร เป็น...’

‘กรุณาอย่าเรียกฉันว่าเจ้าหญิงเลยค่ะคุณพันกร’ บุษราคัมเอ่ยขัดอย่างไม่ทันรักษามารยาท อารมณ์ที่บุรุษเมื่อครู่ทิ้งไว้ให้ยังคุกรุ่น ตอนนี้เธอเกลียดคำว่าเจ้าหญิงที่สุดในโลก

‘ขอประทานอภัยกระหม่อม’

‘ราชาศัพท์ก็ไม่ต้องใช้ค่ะ’

ราชองครักษ์หนุ่มยิ้มบางๆ กับท่าทีฉุนเฉียวของเจ้าหญิงขี้หงุดหงิดตรงหน้า แต่ไม่โทษว่าเป็นความผิดของเธอ เพราะเขารู้นิสัยช่างยั่วของผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนอย่างเศรษฐายุดี และเจ้าหญิงตรงหน้าก็ดูจะเป็นพวกยั่วขึ้นเสียด้วย

‘คุณพันกรเรียกพลอยเถอะค่ะ’ เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง รู้สึกผิดที่เผลอใส่อารมณ์กับผู้มาใหม่ทั้งที่คนต้นเหตุหายไปแล้ว

พันกรนึกแปลกใจขึ้นมาครามครัน ตอนที่เศรษฐายุโทรลงไปบอกเขาว่าการเจรจาจบลงแล้วให้ขึ้นมาทำหน้าที่ต่อ เขายังคิดอยู่ว่าคนที่ปุบปับก็ได้เป็นเจ้าหญิงจะ ‘มาก’ ขนาดไหน

เพราะอำนาจไม่เข้าใครออกใคร...เขาคิดอย่างนั้น

แต่ก็น่าแปลกใจเพราะดูเหมือนเจ้าหญิงองค์ใหม่จะไม่ทรงปลื้มกับฐานะนี้สักเท่าไหร่นัก

‘แล้วพลอยจะต้องทำอย่างไรต่อคะคุณพันกร’

‘อย่าเรียกคุณเลยครับ’

บุษราคัมยิ้ม อย่างน้อยมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิตรที่อาจช่วยหนุนหลังเป็นกำลังเสริมเวลาเธอรบกับผู้ชายคนนั้น ริมฝีปากอิ่มที่คลี่ยิ้มหวานทำให้คนมองตาพร่า จนกระทั่งเสียงใสเอ่ยเจื้อยแจ้ว ‘งั้นพลอยเรียกพี่พันกรได้ไหมคะ รู้สึกว่าเรียกชื่ออย่างเดียวมันฟังดูห้วนชอบกล’

‘เอ่อ...’

‘ตามนี้นะคะ พี่พันกร’

และแล้วคนที่กำลังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็พยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะอาสาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากเจ้านายอีกที จนลืมบางอย่างที่สำคัญไป

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผายมือให้หญิงสาวเดินนำ ก่อนจะพาไปแนะนำห้องต่างๆ ที่เธอควรจะรู้เบื้องต้น เช่นว่าห้องไหนควรเข้า ห้องไหนห้ามยุ่ง โดยมีหญิงสาวพยักหน้าส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงว่าเข้าใจระคนตื่นตาตื่นใจ

ลับหลังพี่น้องคู่ใหม่ เรือนร่างสูงใหญ่ที่อยู่หลังกำแพงสูงจึงออกมาจากมุมมืด เศรษฐายุส่ายศีรษะกับเพื่อนสนิท สายตาที่คมดุเป็นนิจบัดนี้กำลังใช้ทอดมองหญิงสาวร่างเล็กที่เปลี่ยนอารมณ์เร็วจนเขาแทบตามไม่ทัน เพราะบัดนี้หญิงสาวกำลังเดินเขย่งปลายเท้าคล้ายเต้นบัลเล่ต์ ปากก็ส่งเสียงหงุงหงิงผูกมิตรใหม่ เป็นภาพที่เขาต้องโคลงศีรษะ ไม่ว่าองครักษ์ของเขาจะตามเธอทันหรือไม่ แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรในใจ ลูกไม้ตื้นๆ อย่างนี้ถ้าไม่ตาบอดคงพอเดาได้

จะเอาคนของเขาเป็นพวก...คิดหรือว่าจะทำอะไรเขาได้

เหอะ...เด็กไม่รู้จักโต

ทั้งที่ในใจนึกเวทนามุขเด็กๆ ของเด็กกะโปโล แต่ก็อดเปิดรอยยิ้มที่มุมปาก จุดประกายให้ใบหน้าคนเข้มฉายแววอ่อนโยนขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ





หญิงสาวบนเตียงถอนหายใจ ก่อนจะฉวยกระเป๋าขึ้นมาควานหาโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เริ่มร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่ามันหายไป

หรือจะโดนล้วง?

กระเป๋าเงินสีขาวยังอยู่ในมือ งั้นคงไม่ใช่ขโมย

แสดงว่า...

พลอตนิยายละครหลังข่าวที่คุณยายชอบดูแวบขึ้นมา ไม่ว่านางเอกจะถูกจับตัวมาเพื่อทรมานหรืออะไรก็ตาม แต่สุดท้ายพระเอกหน้าโหดก็จัดการริบเครื่องมือสื่อสารของหล่อนเพื่อตัดขาดจากโลกภายนอก เหลือเพียงเราสอง

หนอยแน่...ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย คิดอยากจะเอาของคนอื่นก็ได้งั้นสิ

มันจะลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลกันมากเกินไปแล้ว

ร่างเล็กกระโดดลงจากเตียง ไม่ลืมฉวยกระเป๋าถือออกไปด้วย เมื่อออกมาจากห้องก็ทวนความจำว่าห้องของเศรษฐอยู่ทางไหน

นั่นห้องรับแขก นู่นห้องสมุด โน่นห้องทำงาน

โอ๊ย! มันจะเยอะไปไหนเนี่ย

ถึงจะบ่นอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังซอยเท้ามาจนถึงหน้าห้องนอนของเศรษฐที่อยู่ติดกับห้องทำงานจนได้ แม้เวลาจะเกือบล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้ว แต่ถ้าเศรษฐกล้าเอาโทรศัพท์ของเธอไป ก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษามารยาทกันอีกต่อไป

กำปั้นทุบปังๆ ลงบนประตูบานใหญ่ที่สลักลวดลายเป็นไม้เลื้อยอ่อนช้อยให้ความรู้สึกนุ่มนวล แต่ทว่าไม่ได้ทำให้อารมณ์ผู้เคาะซาบซึ้งไปกับความงดงามของมันได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมา

ตาสบตา บุษราคัมแทบลืมบทบาทนักสิทธิมนุษยชนแล้วเผ่นกลับห้อง เพราะดวงตาสีนิลนั้นช่างน่ากลัวระคนติเตียนไปพร้อมๆ กัน

แต่เพราะถือว่าเธอไม่ใช่คนผิด หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่คนแรกที่ผิด เสียงใสจึงแหวออกไปอย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม

“คุณมีสิทธิอะไรมายุ่งกับของๆ ฉัน”

เศรษฐมองคนตรงหน้าที่ยืนโวยวายอยู่ในชุดเดิม ขณะที่เขากำลังจะเข้านอน ดวงตาบอกชัดว่าไม่พอใจ จนหญิงสาวตีความไปอีกอย่าง

“อ๋อ...นี่คุณคิดว่าตัวเองทำถูกใช่มั้ย”

“รบกวนคนอื่นยามวิกาล” เขาต่อว่าเสียงเรียบ “...คงเรียกว่าถูกงั้นสิ”

“คุณ!” นิ้วเล็กชี้หน้าเขา ก่อนจะถูกปัดออก ดวงตารัตติกาลวาวโรจน์ขึ้น ร่างเล็กชะงักไปแต่ยังเชิดหน้าไม่ยอมแพ้ “ก็แล้วใครใช้ให้คุณเอามือถือฉันไปก่อน...ไม่รู้ล่ะเอาคืนมาเดี๋ยวนี้”

“ไม่!” เสียงดุตอบดังฟังชัดจนน่ากลัว “ฉันขอสั่งให้เธอกลับห้องเดี๋ยวนี้”

“เดี๋ยว!”

ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ประตูใหญ่ก็ปิดดังโครมแทบกระแทกหน้า เรียกความโกรธที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ร่างเล็กถลาไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ตัวเอง ก่อนจะวิ่งกลับไปที่หน้าห้องชายหนุ่มอีกครั้ง

ให้มันรู้ไปว่าจะทนเสียงโทรศัพท์เธอได้

คอยดูนะ...จะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย!

เสียงรอสายดังอยู่นานจนเกือบตัดไป แต่ทว่าประตูห้องกั้นเสียงได้ดีจนเธอไม่ได้ยินริงโทนตัวเองดังออกมาเลย หญิงสาวกดโทรออกซ้ำ คราวนี้มีคนรับ บุษราคัมยิ้มกริ่ม

“ทนไม่ไหวแล้วสินะ เอามือถือฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นายเผด็จการ!”

“...” เสียงงัวเงียดังมาจากอีกฝั่ง แต่ไม่ได้ช่วยลดเสียงแว้ดๆ จากคนของขึ้นได้เลย

“แกล้งหลับ...คิดหรอว่าฉันจะถอย คอยดูนะถ้าคืนนี้ฉันไม่ได้ของๆ ฉันคืนนายก็อย่าหวังจะได้นอนเลย ฮัลโหลๆ”

“ฮัลโหล” ปลายสายเริ่มตอบกลับ คิ้วโก่งขมวดมุ่น...ทำไมเสียงไม่คุ้น ไม่ดุ ไม่แข็ง ไม่เหมือน “หืม...ยัยตัวเล็ก ภีมเอง”

“ค...ใครนะ” เสียงใสที่แหวอยู่เมื่อครู่เบาลงทันควัน เริ่มรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มมีรอยแตกร้าวชนิดที่เรียกได้ว่าใกล้...แตก

แล้วก็แตกชนิดต่อไม่ติด เมื่อประตูบานเดิมเปิดออกมาพร้อมกับคนหน้าดุที่บัดนี้ดีกรีความดุพุ่งพรวด ข่มคนตัวเล็กที่ยืนกำโทรศัพท์แน่นไม่กล้าสบตา ทั้งอายทั้งรู้สึกผิดพอๆ กัน

“อย่าทดสอบความอดทนของฉันให้มากนักบุษราคัม” เสียงเขาแทบเป็นคำราม “ไปนอนซะ!”

ตากลมหลับปี๋ ปากเบ้ มือที่กำโทรศัพท์แทบร่วง ได้แต่ก้มหน้าเร่งฝีเท้ายิกๆ ไปที่ห้องตัวเอง แล้วสัญญากับตัวเองว่าทีหลังก่อนจะทำอะไรคงต้องนั่งคิดนอนคิดก่อนสักร้อยรอบพันรอบ!



ง่วง...

ความรู้สึกแรกบอกเธอเมื่อหญิงสาวปรือตาขึ้นรับแสงแดดที่ลอดผ่านม่านสูงลายกุหลาบเข้ามาแยงตา บุษราคัมเหยียดแขนบิดขี้เกียจสุดมือ ทั้งที่ยังง่วงแสนง่วงแต่นาฬิกาในตัวสั่งให้ตื่นตรงเวลาเดิมเป๊ะ

07:00

โอเคเลย...หญิงสาวสรุปกับตัวเองในใจ ความจริงแน่นอนไม่มีฝันปลอมปน ตอกย้ำด้วยเศษหน้าที่แตกกระจายจากเหตุการณ์เมื่อคืน แล้วอย่างนี้เธอจะมีหน้าไปเจอเจ้าของห้องไหมเนี่ย

เอาเถอะ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดีเสียอีก หากเขาทนเธอไม่ได้จะได้ไล่ตะเพิดไปไม่ให้อยู่ขวางลูกตา

คิดแง่บวกเรียกกำลังใจตัวเองได้มากโขแล้วร่างบอบบางจึงลุกขึ้นทำทีจะเดินเข้าห้องน้ำ สภาพตอนนี้สกปรกอย่าบอกใคร แม้เมื่อคืนจะอาบน้ำแล้วแต่ก็ยังใส่ชุดเดิม เพราะไม่มั่นใจว่าชุดในตู้ใหญ่ที่ถอดแบบจากบาร์บี้มานั้นใช่ของเธอจริงหรือเปล่า...ก็มันหวานแหววขนาดนั้น

ที่สำคัญ...ของบางอย่างก็ไม่มี

ใบหน้าเนียนใสแดงระเรื่อขึ้นเมื่อนึกถึง ‘ของ’ ที่ไม่มี ศีรษะทุยสะบัดไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมอง แล้วลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน

ดีนะที่แปรงสีฟันใหม่แกะกล่อง...คิดขำๆ

เจ้าของผมหยักศกค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากประตูห้องของตัวเอง จนแน่ใจว่าไม่มีใครจึงก้าวเขย่งออกมาห้อง รอบข้างยังเงียบสงัด ไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัยอีกคนให้ต้องกระดากใจ แม้จะรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น แต่เจอช้าก็ยังดีกว่าเจอเร็วล่ะนะ

หญิงสาวก้มมองตัวเองในชุดแซกผ้าฝ้ายสีชมพูหวานมีลายกุหลาบเล็กๆ ดูกระจุ๋มกระจิ๋มจนน่าขนลุก แต่ก็ดีกว่าชุดอื่นที่พองนู่น รัดนี่จนหายใจลำบาก คิดแล้วก็ต้องโทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามทำชุดเปียกน้ำไปมากกว่าครึ่งตัว จนต้องจำใจเปิดตู้เสื้อผ้ายักษ์ แล้วรื้ออยู่นานแสนนานกว่าจะเจอชุดเรียบๆ แบบนี้

กลิ่นหอมฉุยของเบคอนลอยมายั่วน้ำลาย บุษราคัมหลับตาพริ้มแทบเดินตามกลิ่นยั่วยวนนั่นไป แต่ชะงักฝีเท้าที่หน้าห้องครัว เบื้องหน้าคือแผ่นหลังของบุรุษรูปร่างบางที่มีผ้ากันเปื้อนสีกรมท้าเข้มพาดที่เอว ท่าทางชำนิชำนาญกับเรื่องการครัวพอสมควร จนเธอต้องแอบชื่นชมในใจ อย่างว่าสมัยนี้จะหาผู้หญิงทำครัวเป็นยังยาก นับประสาอะไรกับผู้ชายอย่างคนตรงหน้า

คงเพราะรับรู้ถึงสายตาที่มองมาทำให้ชายหนุ่มหันขวับกลับมาระบายยิ้มอ่อนๆ ให้ บุษราคัมยิ้มกว้างขวางตอบก่อนทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่พันกร ทำอะไรคะหอมเชียว...พลอยเดาว่าเบคอนล่ะอย่างหนึ่งแน่ๆ”

“ถูกครับ” พันกรหันมาตอบยิ้มๆ ขณะที่มือยังง่วนกับการควงตะหลิวพลิกเบคอนในกระทะ “มีไส้กรอกด้วย คุณพลอยจะรับเลยไหมครับ ผมจะได้ทอดไข่ดาวเลย ร้อนๆ อร่อยดี”

“งั้นก็ฝากท้องด้วยเลยนะคะ” หญิงสาวยิ้มแป้น ตาวาว แลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างที่คนมองหลุดขำอย่างอดไม่อยู่แล้วลงความเห็นกับตัวเองในใจว่าเจ้าหญิงน้อยช่างจริงใจตรงไปตรงมา ปราศจากเล่ห์กลให้ต้องระแวดระวังเสียจริง

"แหม...พลอยไม่ค่อยได้กินข้าวเช้านี่คะ วันนี้ลาภปากจริงๆ เลย”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนจะเชิญให้เธอไปรอที่โต๊ะอาหารอย่างสุภาพ โดยอ้างว่าในครัวมันเล็ก ก่อนที่เขาจะละมือจากเบคอนแล้วเปิดตู้เย็นหยิบไข่ในตู้มาตอกเบาๆ แล้วตั้งไฟไปพร้อมๆ กันทั้งสองเตาอย่างชำนาญ

หญิงสาวนั่งเท้าคางมองคนทำครัวอย่างติดใจในอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปล่อยไปเมื่ออาหารเช้าอันประกอบด้วยไข่ดาว ไส้กรอกและเบคอนถูกลำเลียงออกจากครัวแล้วเสิร์ฟส่งกลิ่นหอมฉุย

“แล้วพี่พันกรไม่ทานด้วยกันล่ะคะ หรือว่าพลอยตื่นสายพี่พันกรเลยทานแล้ว”

“ผมไม่นิยมอาหารเช้าครับคุณพลอย”

บุษราคัมทำปากยู่ มือที่ถือมีดกับส้อมวางลง จนพันกรต้องเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าผมทำไม่ถูกใจคุณพลอย”

“ค่ะ ไม่ถูกใจ” เจ้าหล่อนว่า “พี่พันกรอายุเท่าไหร่คะ”

“ครับ? เอ่อ...ปีนี้ก็สามสิบครับ”

“หูย...” ต้องยอมรับว่าค่อนข้างตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้รับทีเดียว เพราะใบหน้าของพันกรไม่ต่างจากคนอายุ 25 สักนิด

“อย่างนั้นยิ่งต้องเรียกพี่เลยค่ะ แล้วพี่พันกรก็ต้องเรียกพลอยว่าพลอยด้วยนะคะ ไม่ใช่คุณ”

“แต่ว่าคุณพลอยเป็นเจ้าหญิง”

“แล้วพี่พันกรต้องเรียกเจ้าหญิงเจ้าชายทุกพระองค์ว่าคุณรึเปล่าล่ะคะ”

“เปล่าครับ ปกติที่อุรัศยาผมจะเรียกพระยศเต็ม”

“นั่นไงคะ” มือเล็กตบป้าบที่หันเข่า เรียกยิ้มแหยๆ ของอีกคน “นี่มันปกติซะที่ไหนกัน ที่นี่ประเทศไทยชัดๆ อีกอย่างตอนนี้พลอยมันก็แค่เจ้าหญิงปุบปับ ไม่แน่น้า วันนึงพี่พันกรอาจจะเดินเข้ามาบอกพลอยว่า...นี่มันตัวปลอมนี่หน่า!!!”

เขาหัวเราะกับท่าทางชี้หน้าตาโตของเจ้าหญิงบุษราคัม พาลให้ใจนึกไปถึงอีกคนอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือเล็กเอื้อมมาเขย่าแขนเขาเหมือนเด็กๆ “เพราะฉะนั้นรับพลอยเป็นน้องเถอะนะคะ นะๆๆ”

“ครับๆๆ พลอยก็พลอย” ตอบลิ้นรัว ตาเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อ “แต่ปล่อยก่อนเถอะกระหม่อม เอ๊ย! พลอย”
คนถูกตามใจยิ้มยิงฟันขาวอย่างชอบใจ ก่อนจะลงมือทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่ามันจะชืดเสียหมด
พันกรลอบถอนหายใจ แต่ก็ต้องรีบเก็กหน้ารับเจ้าหญิงที่เงยหน้าขึ้นจากไข่ดาวแสนอร่อยพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจสักนิด

“อร๊อยอร่อยค่ะพี่พันกร”

“ดีใจที่น้องพลอยชอบครับ” เขารับคำอย่างตะกุกตะกักเพราะยังไม่ชินกับฐานะใหม่สักเท่าไหร่นัก

“พลอยก็ดีใจที่พี่พันกรรับเป็นน้อง” หญิงสาวยังคงยิ้มกริ่ม นัยน์ตาโตหรี่ลงเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย นึกสงสัยท่าทางไม่กล้าเข้าใกล้ของเขาจากหลายๆ เหตุการณ์แล้วเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “แล้วจะจำไว้ว่าพี่พันกรไม่ชอบให้พลอยแตะเนื้อต้องตัวนะคะ”

ชายหนุ่มร่างบางแทบล้มตึง ขอถอนคำพูดเป็นการด่วนที่ว่าเจ้าหญิงน้อยช่างจริงใจตรงไปตรงมา ปราศจากเล่ห์กล เพราะไอ้ประโยคที่ฟังเผินๆ ก็ผ่านๆ ไปอย่างเมื่อครู่ หากตรองให้ดีคงไม่พ้นคำขู่ของเจ้าหญิงที่ฉลาดเฉลียวนัก ท่าทางของเขาคงทำให้อีกฝ่ายเดาได้ไม่ยากเย็นนักถึงข้อห้ามที่สำคัญอันยิ่งยวดในพระราชวัง

กฎในวังของอุรัศยาตราไว้ว่าองครักษ์ไม่มีสิทธิแตะต้องราชนิกุลซึ่งเป็นสตรีแม้แต่ปลายพระเกศา ยกเว้นแต่เผชิญอันตรายถึงชีวิต มิฉะนั้นมีโทษตัดมือและปลดออกจากการเป็นองครักษ์ทันที

“ล้อเล่นหรอกค่ะ ดูสิหน้าซีดเชียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “พลอยพอจะรู้หรอกค่ะว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

“สงสารผม เอ่อ พี่เถอะกระหม่...เอ้อ น้องพลอย” เขาขัดใจตัวเองไม่น้อยแต่คิดว่าไม่นานคงชิน

บุษราคัมชะงักเสียงหัวเราะ ดวงตาเป็นประกายสนุกสนาน แต่คำพูดนั้นไม่ได้ชวนหัวเราะด้วยเลย “พี่พันกรควรจะฝึกให้ชินค่ะ เพราะพลอยเองก็จะได้ไม่ลืมตัว...บ่อยๆ”

“โถ่...เจ้าหญิง”

ราชองครักษ์หนุ่มคราง เจ้าหญิงนะเจ้าหญิงจะทำเขาหัวหลุดจากบ่า หาเงาหัวไม่เจอ!



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:28:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:28:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1598





<< เจ้าชาย เจ้าหญิง และนิทานหลอกเด็ก   แค่องครักษ์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account