พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒

‘ฉันต้องการจะตกลงเรื่องการแต่งงานกับเธอ’

ประโยคนั้นทำให้พรนภัสขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย ...เรื่องตกลงที่ว่านั้นจะเป็นไปในแนวไหน หญิงสาวคิดไม่ออกและเดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ร่างบางหมุนตัวกลับมาแล้วสาวเท้าเข้ามาจนใกล้

...ใกล้ที่ว่านั้นก็ยังห่างเป็นวาเลยทีเดียว

เธอรักษาระยะห่างเช่นนี้เพราะดูเหมือนตรีทศจะไม่ชอบให้ใครเข้ามายืนใกล้ชิดมากนัก ยกเว้นก็แต่สาวๆที่เขาพึงใจ...อย่างแพรวา ลูกสาวเศรษฐีใหญ่ เจ้าของบริษัทอัญมณีและห้างสรรพสินค้าชื่อดังร่ำรวยล้นฟ้า ทรงเสน่ห์ และงดงามปานนางฟ้านางสวรรค์ ผู้ชายหลายคนหมายปองเธอรวมถึงตรีทศด้วยเช่นกัน

หากเขาโชคดีกว่าคนอื่นนักที่แพรวาให้ความสนใจเขามากที่สุด และดูจะโปรดปรานมากเสียจนยอมควงแขนกันไปไหนต่อไหน คราแรกนั้นความสัมพันธ์ยังเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ พอนานวันเข้าแพรวาก็เลื่อนฐานะเขาเป็นคนที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่ และตอนนี้ทั้งสองก็กลายมาเป็นคนรักกันอย่างเต็มตัวแล้วประมาณหนึ่งเดือน

ความรักของตรีทศนั้นร้อนแรงเสียจนเธอเคยเห็นเขากำลังนัวเนียดมดอมความหอมจากกายสาวของแพรวาในห้องรับแขกอย่างไม่อายสายตาใคร ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนมองจะตีความภาพนั้นไปไกลขนาดไหน

ตอนที่ลงบันไดมาและเห็นภาพนั้นเข้า เธอเองถึงกับยืนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะทีเดียว

...ก็ภาพแบบนั้น...เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ท่าทางกอดรัดฟัดเหวี่ยง จูบกันดื่มด่ำปานจะกลืนกิน แม้แต่ในละครโทรทัศน์เธอก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นภาพสดๆเต็มตาแบบนี้ด้วยซ้ำไป

พรนภัสจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเห็นตรีทศแสดงความรักต่ออีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน มันทำให้เธอรู้สึกอับอายแทน แก้มของเธอร้อนผ่าวราวถูกไฟลน และก่อนที่สมองจะสั่งการ แววตาคมดุก็ตวัดมาเห็นเสียก่อน ทว่า...แทนที่เขาจะหยุดการกระทำของตัวเอง ชายหนุ่มกลับขยับริมฝีปากแนบชิดริมฝีปากของอีกฝ่ายมากขึ้น กดย้ำลึกล้ำจนคนมองทนไม่ไหวต้องปิดเปลือกตาลงเร็วรี่ ใจจริงอยากจะเบือนหน้าหนีแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แต่เพราะแข้งขาอ่อนแรงทำให้เธอก้าวไปไหนไม่ได้แม้สักก้าว สุดท้ายจึงต้องใช้วิธีปิดกั้นภาพที่เห็นทั้งหมดให้เหลือแต่ความมืดดำเท่านั้น

ถึงกระนั้น...ความตื่นตระหนกในใจเธอก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย เมื่อแว่วเสียงครวญครางอย่างพึงพอใจจากผู้หญิงคนนั้น มันทำให้สติของเธอกระเจิดกระเจิง รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงการกระทำของคนทั้งคู่ในคราวเดียว

นานเท่าไหร่ก็สุดรู้ที่เธอยืนตัวสั่นอยู่เช่นนั้น มาสะดุ้งสุดตัวก็ตอนแว่วเสียงห้าวดังแผ่วเบาอยู่ไม่ห่าง ไออุ่นจากกายเขาโชยมาสัมผัสผิวกายเธอ จนเธอต้องกลั้นใจเลยทีเดียว...ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเธอกลั้นใจทำไม แต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบอัตโนมัติที่ยากจะทำความเข้าใจได้เท่านั้นเอง

‘อะไรกัน ทำอย่างกับไม่เคยเห็น อย่าบอกนะว่าเธอยังบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยแตะต้องมือชายมาก่อนน่ะ’

ถ้อยคำนั้นเหมือนดูถูกกันอย่างไรไม่ทราบได้ พรนภัสกำมือที่สั่นระริกเข้าหากัน ก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมอง ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าขาวๆที่ค่อนข้างกระด้าง มุมปากยกขึ้นเหยียดหยามหยัน

‘เสแสร้ง!’

ข้อกล่าวหาที่เอาแต่คิดเองเออเองทำให้คนถูกว่าแทบสะอึก พรนภัสไม่เข้าใจว่า เหตุใดตรีทศจึงไม่เคยใช้ ‘ใจ’ มองเธอเลยแม้สักครั้ง ทุกครั้งเขามักจะยึดเอา ‘อคติ’ ครอบครองหัวใจไว้จนหมด จนไม่เห็นความเป็นจริงว่าแท้จริงแล้ว ตัวตนจริงๆของเธอนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

‘ฉันเห็นนะ วันนั้นเธอกอดกับเจ้าเพื่อน...เอ หรือเรียกว่าคู่นอนดีล่ะ นั่นล่ะ กอดกันซะแนบแน่นเชียว’

ยังไม่ทันที่เธอจะโต้แย้งถ้อยคำร้อนแรงจากปากเขา แพรวาก็เดินนวยนาดเข้ามาเกาะแขนแข็งแกร่งไว้ ตอนนี้เสื้อผ้าของเธอติดกระดุมและดูเรียบร้อยกว่าเมื่อครู่นี้มากนัก

‘ตรีคะ ไปเถอะค่ะ แพรหิวแล้ว’ มือบางลูบไล้ไปตามแผงอกกำยำ ก่อนสอดแทรกผ่านรอยแยกของเสื้อเชิ้ตทางด้านหน้าเข้าไปสัมผัสผิวเนื้ออุ่นจัดนั้น ‘กินเสร็จแล้วเราไปต่อกันนะคะ’

‘ได้ซิจ๊ะ...วันนี้ผมจะตามใจแพรทุกอย่าง’ เขาตอบเสียงหวาน หันไปจุมพิตหน้าผากคนข้างกายแล้วหันกลับมามองเธอด้วยแววตาดุดัน พร้อมกับเอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่ต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ

‘วันนี้ฉันไม่นอนบ้านนะ’ จากนั้นก็พากันเดินดุ่มจากไปทิ้งให้พรนภัสได้แต่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กำแพงและอคติในใจของตรีทศจะจางหายไปเสียที

“การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานหลอกๆเท่านั้น เข้าใจไหม”

เสียงห้าวดึงให้เธอตื่นจากภวังค์ หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทรุดนั่งข้างเขาบนปลายเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวก็ตอนนี้...ตอนที่เขาเอนกายไปด้านหลังโดยใช้สองแขนรับน้ำหนักของตัวเองไว้ แล้วหันหน้ามามองเธออย่างเต็มตา

“คะ?” ด้วยความที่ยังจับใจความไม่ได้ เธอจึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้นและมันทำให้เขาขยับกาย กลับมานั่งหลังตรง ท้าวมือข้างหนึ่งบนเตียงแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้เธอ บังคับให้เธอต้องเบนกายออกห่าง หัวใจของพรนภัสเต้นแรง...ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่สนใจจะค้นหาคำตอบแม้แต่น้อย

“ฉันบอกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นงานแต่งงานหลอกๆ เราจะแต่งกันเพียงในนามเมื่อครบหนึ่งปี เราจะหย่าขาดจากกันทันที ได้ยินชัดไหม พรนภัส” ประโยคท้ายเขาเอ่ยด้วยเสียงเน้นหนักจนมันดังก้องในหัวใจของเธอทีเดียว

“ค่ะ” ใบหน้าของเขาห่างจากเธอไม่ถึงคืบ ขณะที่สองตาคู่คมกวาดมองไปทุกส่วน

“ฉันมีสิทธิ์คบกับใครก็ได้ มีสัมพันธ์กับใครก็ได้ เธอไม่มีสิทธิ์ห้าม”

คนตัวเล็กขมวดคิ้วเข้าหากัน นิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยออกไปว่า

“งั้นฉันก็มีสิทธิ์คบกับใครก็ได้ด้วยใช่ไหมคะ”

“ไม่ได้!...เธอเป็นเมียฉันนะ” คนตัวโตตวาดก้อง โทสะในใจเขาเดือดปุด เธอมองเห็นชัดเจนจากดวงตาคู่นั้น

“ก็แค่ในนามไม่ใช่หรือคะ” พรนภัสยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในเมื่อคุณยังมีสิทธิ์คบใครอื่น ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์”

“เพราะเธอเป็นผู้หญิง และเป็นเมียฉัน...เมียของนายตรีทศ ปัจจภาคย์” ยามเขาเอ่ยชื่อและนามสกุลของตนเองนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เย่อหยิ่งและถือดียิ่งนัก “เธอไม่มีสิทธิ์มีชู้ เข้าใจไหม”

“ไม่ยุติธรรมค่ะ” ไม่ว่าเขาจะตะเบ็งเสียงดังมากเพียงใด แต่พรนภัสยังรักษาระดับเสียงของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าเขามองจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อมากเพียงใด หญิงสาวก็ไม่แสดงถึงความหวาดหวั่นออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย หากในใจนั้นสั่นไหวจนเกินทนเสียแล้ว...ก็เขาทำท่าทางเหมือนจะจับเธอไปฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไรอย่างนั้น

คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นยืนด้วยไม่อาจทนอยู่ในสภาพอันกดดันเช่นนี้ได้อีกต่อไป

“ฉันไม่ว่าหรอกนะคะถ้าคุณจะมีผู้หญิงคนอื่นๆ แต่คุณไม่สิทธิ์ห้ามฉัน” เขาลุกพรวดพราดขึ้นมายืนจังก้าตรงหน้าเธอ จนทำให้ร่างเล็กต้องก้าวถอยหลังห่างออกไปอีกนิด “แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันมีใครอื่น คุณก็ไม่ควรจะมีใครเช่นกัน”

“พรนภัส! นี่เธอกล้าต่อรองกับฉันเรอะ”

พรนภัสไม่สนใจกับเสียงเกรี้ยวกราดนั้น เธอพึมพำขอตัวแล้วเดินดุ่มออกจากห้องนั้นในทันที ไม่นำพากับเสียงตะโกนเรียกของเจ้าของห้องแม้แต่น้อย

“กลับมาเดี๋ยวนี้นะ พรนภัส! ฉันบอกให้กลับมาไง!” คนตัวโตก้าวตามจนถึงหน้าห้อง ก่อนจะใช้กำปั้นทุบประตูอย่างแรง “คอยดูนะ ถ้าเธอคิดคบชู้ล่ะก็ ฉันเอาเธอตายแน่! อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วกัน!”

เขาข่มขู่อย่างน่ากลัว พรนภัสกลัวเหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะอำมหิตจนถึงขนาดพลาดพลั้งทำร้ายเธอจนถึงตาย แม้ตรีทศจะเป็นคนร้ายกาจเพียงใด แต่เขาไม่ใช่ฆาตกร และไม่มีความรุนแรงแบบฆาตกรอยู่ในจิตใจเลยแม้แต่น้อย พื้นฐานของเขานั้น เป็นคนรักสัตว์ เธอจำได้ว่าช่วงแรกที่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้นั้น เธอมักจะเห็นเขากอดรัดเจ้าถุงทอง...สุนัขตัวโปรดอยู่เสมอ จนกระทั่งมันถูกรถชนตาย ประจวบเหมาะกับมารดาเสียชีวิต ความอ่อนโยนในใจเขาจึงถูกกลบฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ และไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นอีกเลย

ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้...พรนภัสยังหวังว่าจะได้เห็นความอ่อนโยนแบบนั้นอีกสักครั้ง แม้ความหวังที่ว่านั้นจะริบหรี่สักเพียงใดก็ตาม



คืนนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จ พรนภัสดึงกระดุมที่ติดมากับปลายเสื้อเชิ้ตตัวนั้นออกมา แล้วเย็บเข้าไปแทนตำแหน่งกระดุมที่หลุดหายไป ใช้เวลาเพียงไม่นานหญิงสาวก็วางเข็มในมือลงบนโต๊ะ ใช้สองมือจับไหล่เสื้อเชิ้ตตัวนั้นแล้วยกขึ้นค้างไว้กลางอากาศ สำรวจความเรียบร้อยอยู่ครู่ ก่อนจะรู้สึกปวดแปลบใจอยู่นิดๆไม่ได้ว่าคนที่มอบเสื้อตัวนั้นให้ตรีทศคือแพรวา

ผู้หญิงที่เคยมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างดูถูกดูแคลน สุ้มเสียงขึ้นจมูกของผู้หญิงคนนั้นเธอยังจำได้ดีไม่มีวันลืม

‘นี่ถ้าไม่ได้คุณพ่อคุณแม่ของตรีชุบเลี้ยง เธอก็คงอยู่สุขสบายแบบนี้หรอกนะ...ใช่ไหมคะ ตรี’ ประโยคท้ายหญิงสาวหันไปถามคนข้างตัวเสียงหวานหยดย้อย ผิดกับยามที่พูดกับเธอลิบลับ

‘ใช้จ้ะ แพร...ถ้าพ่อแม่ผมไม่รับอุปการะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะทำงานใน ‘ซ่อง’ ไหน’

ถ้อยคำดูถูกของแพรวายังไม่ทำให้เธอเจ็บใจมากเท่ากับถ้อยคำของผู้ชายตรงหน้า ร่างเล็กตัวสั่นเพราะทั้งโกรธทั้งผิดหวัง หากก็ทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่กัดริมฝีปากนิ่งเพียงเท่านั้น ตรีทศยังเอ่ยต่อไปด้วยเสียงหยามเหยียด

‘ขนาดท่านเลี้ยงดูอย่างดี เธอยังชอบหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายรวยๆอยู่เสมอเลยนี่ พรนภัส’

‘ตายแล้ว...จริงหรือคะนี่’ ท่าทางยกมือทาบอก เผยอปากน้อยๆนั้นช่างดูเป็นผู้ดีเสียเต็มประดา แต่กับการใช้ ‘สายตา’ มองดูคนอื่นนั้นกลับฉุดให้แพรวาดูตกต่ำในสายตาของเธอ...อาจจะตกต่ำยิ่งกว่าเธอเสียด้วยซ้ำไป

‘น่าสมเพชจริง’

‘ไม่ใช่แค่น่าสมเพชหรอกจ้ะ แพร...แต่...น่าขยะแขยงด้วย!’

เสียงของตรีทศดังก้องในหัวเธอซ้ำไปซ้ำมาในตอนนั้น แม้กระทั่งยามนี้...ยามที่เธอนั่งอยู่เดียวดายลำพังภายในห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้ สุ้มเสียงนั้นก็ยังคงฝังแน่นในหัวใจของเธอไม่เคยเลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยยามนี้วาววับไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมา จวนจะหยาดหยดแต่ผู้เป็นเจ้าของรีบใช้หลังมือปัดมันทิ้งไปเสีย

...จะมัวร้องไห้ โศกเศร้าไปทำไมกับแค่คำพูดบ้าๆที่ไม่มีมูลความจริงของผู้ชายที่มีแต่อคติคนนั้น

ห้ามตัวเองเสร็จสรรพ เจ้าตัวก็สูดหายใจเข้าปอดลึกยาว จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วจัดการแขวนเสื้อตัวนั้นไว้ในตู้ กะว่าพรุ่งนี้จะนำไปคืนเจ้าของแต่เช้า

เมื่อเดินกลับมาที่เตียง พรนภัสก็ปิดโคมไฟหัวเตียงเสีย แล้วล้มตัวลงนอน สักพักใหญ่ก็พลิกกายไปมาซ้ายขวาอย่างคนนอนไม่หลับ ผลสุดท้ายก็ทนไม่ได้ที่จะต้องนอนปิดตาอยู่เช่นนั้น จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างเตียง พร้อมก้าวลงจากเตียง ก่อนเท้าทั้งสองจะพาเธอออกมายืนอยู่ตรงระเบียงเล็กๆของห้องที่สามารถทอดสายตามองไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านได้

ยืนสูดอากาศยามค่ำคืนอยู่เพียงครู่เท่านั้นก็แว่วเสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางด้านล่าง พรนภัสรีบชะโงกศีรษะมองดูก็เห็นตรีทศกำลังสั่งให้คนขับรถประจำตระกูลไปนำรถปอร์เช่คู่ใจของตนเองออกมาให้ ไม่ต้องเดา หญิงสาวก็พอจะรู้ว่าเขาจะไปที่ใด

...ถ้าไม่ใช่ผับแห่งใดแห่งหนึ่งก็คงจะเป็นคอนโดริมน้ำของคนรักของเขานั่นแหละ...

เพียงครู่เดียวปอร์เช่คันหรูก็ถูกนำมาจอดตรงหน้า ร่างสูงรีบผลุบหายเข้าไปด้านใน ก่อนจะเหยียบคันเร่งพารถคันนั้นผ่านประตูใหญ่แล่นออกสู่ถนน เสียงเครื่องยนต์ของรถคันนั้นครางกระหึ่มรบกวนความสงบอย่างน่าหงุดหงิด

พรนภัสมองตามรถคันนั้นจนมันหายลับตาไปกับความมืดยามราตรีกาล แล้วส่ายหน้าน้อยๆด้วยรู้ดีว่าคืนนี้ตรีทศคงไม่กลับมาค้างที่บ้านตามเคย หรือถ้ากลับก็คงจะอยู่ในสภาพเมามายดูไม่ได้เหมือนทุกครั้ง

...ผู้ชายที่มีนิสัยแย่ๆแบบนี้ทำไมถึงมีผู้หญิงมาชอบได้ และที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือกลุ่มผู้หญิงพวกนั้น มีเธอรวมอยู่ด้วย...

หญิงสาวยืนอยู่อีกเพียงครู่เดียว จึงเดินกลับเข้ามาด้านใน แล้วล้มตัวลงนอน คราวนี้แม้จะนอนไม่หลับ เธอก็พยายามข่มตาหลับจนได้



รุ่งเช้าวันถัดมาพรนภัสตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะนอนหลับไม่สนิทนัก อาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับตรีทศก็เป็นได้...ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นเธอจะต้องรับมือกับ ‘พายุ’ รุนแรงพร้อมทำลายทุกอย่างสักกี่ลูกกัน

หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว เธอไม่มัวแต่เสียเวลากับการประทินผิว หรือแต่งแต้มเครื่องสำอางบนใบหน้าแม้แต่น้อย ที่เธอทำคือผัดแป้งด้วยแป้งเด็ก และเคลือบริมฝีปากอิ่มด้วยลิปสติกสีชมพูบางเบาเท่านั้น

เมื่อลงมาถึงห้องครัว ก็พบว่าป้าแสงกับเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งในครัวกำลังง่วนอยู่หน้าเตาแก๊ส

“มีอะไรให้ฟ้าช่วยไหมคะ”’

ป้าแสงหันมามองก่อนยิ้มกว้าง

“เช้านี้มีแค่ข้าวต้มค่ะ แล้วป้าก็ทำเสร็จแล้วด้วย...คุณฟ้าไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”

‘ทางนี้’ ที่ว่า...พรนภัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร หรือใคร

ตรีทศคงเพิ่งกลับมาถึงตอนย่ำรุ่ง อาจจะหมดเรี่ยวหมดแรง หรือเมาหัวราน้ำ และตอนนี้คงกำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งๆที่ยังไม่อาบน้ำ หญิงสาวส่ายหน้าอย่างนึกระอาเล็กๆ

“ถ้าอาหารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฟ้าขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

...รีบออกไปก่อนที่ใครบางคนจะตื่นคงดีกว่า...ร่างบางส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนกระชับกระเป๋าสะพายของตนเองแล้วดุ่มเดินออกจากห้องครัว ผ่านใต้บันได มายังห้องโถงทางด้านหน้า หากยังไม่ทันจะผลักประตูแล้วก้าวออกไป เสียงงัวเงียของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“พรนภัส...มานี่หน่อย”

ไม่ใช่คำร้องขอ ออดอ้อน แต่เต็มไปด้วยอำนาจ บอกชัดถึงความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนถูกเรียกชะงักฝีเท้า หมุนตัวกลับ แล้วเงยหน้ามองคนที่ยืนเกาะราวบันไดอยู่ตรงขั้นบนสุด

“คะ?” คำถามสั้นๆ ไม่ได้แสดงความนอบน้อม หรือมีทีท่าหวั่นเกรงแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป

“ไปเตรียมน้ำให้ฉันอาบหน่อย”

พรนภัสขมวดคิ้ว ด้วยรู้ดีว่าปกติแล้วคนที่คอยเตรียมน้ำอุ่นให้ตรีทศนั้นคือละมุน...คนรับใช้วัยสี่สิบที่รับหน้าที่ทำความสะอาดห้องและคอยดูแลเรื่องต่างๆของเขาโดยไม่เคยทำหน้าที่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย

แล้วเหตุใดวันนี้เขาจึงสั่งให้เธอทำให้...

คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ เพราะคนที่ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์หลังนี้ส่งเสียงเร่งเธอยิกๆ

ด้วยความรำคาญและไม่อยากก่อปัญหาเธอจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปชั้นบน เดินตามหลังร่างสูงเข้าไปในห้องนอนของเขาในทันที พลันที่ก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นแอลกอฮอล์ก็โชยมาแตะจมูก จนเธอต้องนิ่วหน้า รู้ได้เลยว่าค่ำคืนที่ผ่านมาชายหนุ่มดื่มหนักเพียงใด



พรนภัสระบายลมหายใจยาวอย่างอึดอัดเมื่อเจ้าของจับจ้องมองเธอไม่วางตา ราวกับสำรวจทุกอิริยาบถเพื่อหาช่องทางกลั่นแกล้ง หรือใช้คำพูดสักคำทำร้ายจิตใจกัน

“รอสักครู่นะคะ”

หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย ก่อนกระชับกระเป๋าสะพายแล้วหายลับเข้าไปในห้องน้ำ ตระเตรียมน้ำอุ่นให้ ‘ว่าที่’ สามีอย่างรวดเร็ว กำลังจะเดินกลับออกมาแล้วตอนที่คนตัวโตเดินสวนทางเข้ามาเสียก่อน แถมยังปิดประตูอย่างแรงอีกด้วย

“จะทำอะไรคะ”

ตรีทศย่างสามขุมเข้ามาหา หน้าตาของเขาดุดันบูดบึ้ง จนพรนภัสใจสั่น ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะไปสู้อะไรเขาได้ หญิงสาวค่อยๆก้าวถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกันให้มากที่สุด เธอไม่ได้กรีดร้องเพราะรู้ว่าคงไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาช่วย ไม่ได้ตะโกนโวยวายเพราะรู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ที่เธอทำคือนิ่งสงบ ทำหน้าเรียบเฉยเข้าไว้แม้ในใจจะปั่นป่วนหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม

“คุณตรีคะ ฉันต้องรีบไปเปิดร้านค่ะ”

ทันทีที่จบประโยค พรนภัสก็ต้องสะดุ้งเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับหนังเย็นเยียบ

“อะไรกัน จะรีบไปไหน...น่าจะทำตัวให้ชินกับว่าที่สามีสักหน่อยนะ พรนภัส”

เขามาหยุดยืนตรงหน้าห่างกันหนึ่งช่วงแขน หัวใจพรนภัสเต้นเร็วแรง กลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำอะไร ‘ร้ายๆ’ หากใจหนึ่งก็เชื่อใจว่าตรีทศไม่ใช่ผู้ชายประเภทนั้น แม้เขาจะดูใจร้าย เจ้าอารมณ์ เจ้าทิฐิ และมีอคติรุนแรงก็ตามแต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าอะไรเลย

ทว่า...เสี้ยววินาทีถัดมา หญิงสาวชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าที่คิดไว้นั้นมันถูกต้องหรือเปล่า คนตัวโตก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วใช้สองแขนคร่อมตัวเธอไว้อย่างรวดเร็ว

“ฉันอยากรู้นักว่าเธอใช้วิธีไหนยั่วยวนพ่อของฉัน”

“ฉันไม่เคยทำอะไรบ้าๆแบบที่คุณคิด” ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้น แววตาสว่างวาบบอชัดว่าไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย

“เธอต้องการเงิน อยากมีชีวิตอยู่อย่างเจ้าหญิง หรือไม่ก็กลัวว่าพอฉันไล่เธอออกจากบ้าน แล้วเธอจะอดตายใช่ไหม พรนภัส”

ร่างเล็กที่ถูกอีกฝ่ายคุกคามแทบจะกลั้นหายใจ เมื่อใบหน้าถมึงทึงของตรีทศห่างจากเธอเพียงคืบ อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นเหงื่อและอะไรต่อมิอะไรจนทำให้เธอเวียนศีรษะไปหมด

“ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร คุณตรีก็ไม่เคยเชื่ออยู่แล้วนี่คะ” หญิงสาวนิ่วหน้า พยามเมินมองไปทางอื่นไม่ยอมมองสบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของเขาเลยแม้แต่น้อย “ไม่ต้องมาเสียเวลาถามหรอกค่ะ เพราะถึงอย่างไรคุณก็มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว...”

พระนภัสเลิกคิ้ว ขณะถามด้วยสุมเสียงเรียบเฉย ให้ความรู้สึกเย็นเยียบราวน้ำแข็งทีเดียว

“...ไม่ใช่หรือคะ”

ตรีทศขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แต่ก็แค่นั้น เขามองเธออย่างกินเลือดกินเนื้อ แต่ไม่ได้ทุบตีทำร้ายใดๆ หรือแม้แต่ข่มเหงเหมือนในวันนั้น...

ตรงมุมตึกของมหาวิทยาลัย ตรีทศลากเธอไปคุยด้วยสองต่อสอง เขาต่อว่าที่คุณอธิปใจดีเพิ่มเงินให้เธอใช้ระหว่างเดือนเป็นสองเท่า แถมยังซื้อเครื่องประดับราคาแพงลิ่วให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดอีกด้วย ทันทีที่รู้เรื่อง ตรีทศก็เหมือนสุนัขบ้า วิ่งพล่านไปทั่ว เขาควานหาตัวเธอทั้งวัน จนมาพบตอนที่หญิงสาวกำลังจะเดินไปขึ้นรถที่คุณอธิปสั่งให้คนคอยรับส่ง

นับว่าเป็นโชคร้ายก็ว่าได้ที่วันนั้นเธอบังเอิญกลับบ้านช้า เพราะไม่เช่นนั้นตรีทศคงไม่มีโอกาสต่อว่า หรือกระทำการอันล่วงเกินกับเธอได้อย่างแน่นอน

‘เธอไปออดอ้อนอะไรพ่อฉัน ใช้วิธีไหนถึงทำให้พ่อของฉันหลงได้ขนาดนี้ หรือ...เอาตัวเข้าแลก’

คำพูดคำจาเสียดแทงหัวใจ และทำให้โทสะของเธอพลุ่งพล่าน พรนภัสสะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาโดยแรง หากไม่ได้โต้แย้ง หรือถกเถียงแต่อย่างใด ตอนนั้นเขาคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไม่ทันคิดหน้าคิดหลังใดๆทั้งสิ้น เมื่อกระชากตัวเธออย่างแรง แล้วบดจูบหนักหน่วงลงบนริมฝีปากของเธอ

...เป็นจูบแรกที่แสนเจ็บปวด..เธอมัวแต่ตกตะลึงจนไม่ได้ปัดป้อง และที่แย่กว่านั้นคือ เขาเริ่มซุกไซ้ปลายจมูกไปตามแก้มร้อนผะผ่าว และลำคอระหง หากก่อนที่อะไรๆจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เสียกรีดร้องของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

เมธาวี...คนรักของตรีทศยืนตะลึงจ้องมองภาพหนุ่มสาวที่กำลังพร่ำพลอดรักกันด้วยความเสียใจอย่างที่สุด เธอไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น แม้ว่าตรีทศจะพยายามเหนี่ยวรั้งลพร่ำพูดอธิบายเพียงใด

เหตุการณ์หลังจากนั้น...เป็นความโศกเศร้าอย่างที่สุด เมื่อเมธาวีประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ตรีทศประณามว่าเธอเป็นต้นเหตุ...ส่วนเขาไม่ผิด

พรนภัสอยากจะหัวเราะนัก...เขาน่ะหรือที่ไม่ผิด ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายรุกรานล่วงเกินเธอเอง เธอไปยั่วยวนเขาเสียเมื่อไหร่

หญิงสาวดึงความคิดกลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเค้นเสียงแหบห้าวของตนเองออกมา

“ฉันเกลียดเธอ”

คนฟังพยักหน้ารับรู้...เพียงเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของความเสียใจ ไม่มีวี่แววว่าเธอจะโต้กลับ ทำเพียงแค่ยอมรับโดยดุษณี...เธอยังคงเป็น ‘ยัยน้ำแข็ง’ ไม่เปลี่ยนแปลง

คนที่รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับกำแพงก็ทำเสียงฮึดฮัด แล้วยืดตัวตรง หมุนตัวหันหลังกลับ เดินตรงไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง และเริ่มถอดเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่ของตน เห็นดังนั้น พรนภัสก็รีบจ่ำอ้าวออกจากห้องเร็วรี่ด้วยเกรงว่าจะถูกชายหนุ่ม ‘กัก’ ตัวไว้อีก



ออกมาจากห้องของตรีทศได้ พรนภัสก็รีบรุดออกจากบ้านเสียโดยเร็ว นายมั่น...คนขับรถที่คอยขับรถรับส่งเธอเป็นประจำมานับสิบปีก็ปราดเข้ามารับใช้ตามหน้าที่ แต่หญิงสาวบอกปฏิเสธไป ด้วยไม่อยากฟังถ้อยคำค่อนแคะ ดูถูก เหยียดหยามจากผู้เป็นเจ้าของบ้านอีก ตรีทศหวงทุกอย่างที่เป็นของปัจจภาคย์ แม้แต่ใบสักใบ ต้นหญ้าสักต้น เธอก็คงเด็ดมันเล่นๆได้ และถ้าขืนทำเช่นนั้น เขาก็คงไม่วายหาเรื่องมาต่อว่าทำให้เธอเจ็บใจอยู่ดี

พรนภัสเดินไปตามทางที่ขนาบข้างด้วยทิวสน และทอดยาวสู่ประตูทองเหลืองขนาดใหญ่ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะมาถึงถนนหน้าคฤหาสน์ เช้าๆเช่นนี้รถรายังไม่ขวักไขว่มากนัก หญิงสาวเดินระเรื่อยเลียบริมฟุตบาทตรงไปยังปากทางเข้าของบ้านจัดสรรแห่งนี้ ระหว่างทางก็กวาดสายตามองบ้านหลังใหญ่น้อยแต่ละหลัง ไม่มีสักหลังที่ใหญ่โต หรูหรา อลังการเท่าคฤหาสน์ปัจจภาคย์เลยแม้แต่น้อย...หญิงสาวคิดว่ามันใหญ่เกินกว่าจะเป็นบ้านด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อไม่มีคุณอธิปด้วยแล้ว ความอบอุ่นที่บ้านควรจะมีกลับเลือนวับหาย กลายเป็นความมืดดำเข้ามาแทนที่ ร่างบางระบายลมหายใจยาว พร้อมกับยิ้มบางๆทักทายรปภ.ที่เฝ้าอยู่หน้าปากทางเข้า แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างออกไปเพียงสามสิบเมตร

ถนนใหญ่เริ่มมีชีวิตชีวา เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มช่างแสบแก้วหู จนพรนภัสนึกอยากจะหนีไปอยู่ในที่ไหนสักแห่งที่มีความสงบมากกว่านี้ ...สงบทั้งทางกายและจิตใจ แต่...คงยังเป็นไปไม่ได้ เธอคงต้องรอหลังจากแต่งงานกับตรีทศครบหนึ่งปี...หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ รับรู้ในทุกวินาทีที่ผ่านไปว่าการแต่งงานครั้งนี้คงทรมานเธออย่างแสนสาหัส แค่แต่งกับคนที่ไม่เคยมองเธอในแง่ดีก็หนักหนาสาหัสพอตัวอยู่แล้ว แต่นี่...ตรีทศยังเป็นคนที่เธอแอบชอบอีกด้วย

ชอบ...ได้อย่างไร พรนภัสไม่รู้ เขาไม่มีลักษณะใดๆที่น่าจะทำให้เธอชอบได้เลย ปากร้ายก็เท่านั้น ชอบวางอำนาจ ยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แถมทิฐิแรง...เกลียดเป็นเกลียด หากยามรักก็จะทุ่มความรักเต็มที่จนเรียกว่าเทิดทูนก็ยังได้

อารมณ์ความรู้สึกของเขารุนแรงเสมอ ผิดกับเธอที่เก็บกดความรู้สึกของตนเองไว้ในใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะโกรธ เกลียด หรือแม้แต่รัก

ความคิดของเธอสะดุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อรถเมล์สายที่ผ่านร้านเบเกอรี่เล็กๆของเธอแล่นเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ร่างเล็กกระชับกระเป๋าสะพาย แล้วก้าวขึ้นไปนั่งริมหน้าต่าง เหม่อมองผู้คนที่ต่างดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ...เป็นการดิ้นรนที่ไม่มีวันสิ้นสุด

หลายครั้งพรนภัสก็นึกอยากจะไปอยู่ที่ไหนไกลๆ ที่ที่สงบเงียบ ไม่ต้องแข่งขันอะไรกับใคร ไม่ต้องทนให้ใครโขกสับ หรือเป็นที่รองรับความร้ายของใครบางคน...อีกแค่หนึ่งปี เธอก็จะเป็นอิสระ วันใดที่หย่าขาดจากเขา เธอจะโบยบินไปตามทางของตัวเอง และหวังจะลืมเลือนเรื่องราวของผู้ชายที่ชื่อตรีทศไปจนสิ้น เมื่อถึงวันนั้น...ชีวิตของเธออาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้

ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าพรนภัสจะมาถึงจุดหมาย หญิงสาวลงตรงป้ายรถเมล์แก่งหนึ่ง แล้วเดินไปตามบาทวิถีไปอีกสามสี่ช่วงตึก ก็มาถึงคูหาเล็กๆที่ประตูสีเทายังปิดไว้อย่างแน่นหนา ร่างบางทรุดกายลงนั่งแล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไข ก่อนค่อยๆดันประตูเหล็กบานนั้นขึ้นไปด้านบน จากนั้นจึงไขประตูกระจกซึ่งมีป้ายติดไว้ว่า...เดียร์เบเกอรี่...แล้วผลักเข้าไปด้านใน

ร้านใหม่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก แต่ถึงกระนั้นเธอก็มีลูกค้าที่ติดใจในเค้กที่เธอทำเองกับมืออยู่หลายคนทีเดียว พรนภัสวางกระเป๋าลงบนเคาน์เตอร์ก่อนนำขนมเค้กที่เก็บไว้ในตู้เย็นออกมาจัดวางตรงตู้โชว์ ระหว่าง่วนอยู่กับการทำความสะอาดและเตรียมเปิดร้านนั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกพร้อมกับร่างโปร่งสูงของหญิงสาวคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาด้านใน

“ยัยฟ้า! มาเช้าเหมือนเคยเลยนะ”

อิสรียาเอ่ยทักด้วยสุมเสียงสดใส เธอเป็นสาวผิวขาว ผมน้ำตาลเหลือบดำถูกดัดเป็นลอนล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกที่เข้มขยับไหวยามเจ้าตัวสาวเท้าเข้ามาช่วยเพื่อนสาวจัดโต๊ะ

“วันนี้แกจะทำเค้กชิ้นใหม่ใช่มะ”

“อื้อ...ลองทำดูเผื่อลูกค้าจะชอบ”

“ชอบอยู่แล้วน่า ถ้ามีฉันคอยเชียร์ซะอย่าง”

อิสรียาเอ่ยด้วยสุ้มเสียงมั่นใจ หญิงสาวเป็นเพื่อนของพรนภัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และยังเป็นหุ้นส่วนของร้านนี้อีกด้วย ความแคล่วคล่อง พูดเก่งทำให้ขนมเค้กของเธอขายดีอย่างน่าประหลาดใจ แม้แต่เค้กรสใหม่ก็ยังหมดได้ภายในวันเดียว
อิสรียานั้นเคยชอบตรีทศมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ขนาดเพียงเห็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นยังเก็บมากรี๊ดกร๊าด ละเมอเพ้อพกอยู่ตั้งหลายวัน ขนาดผ่านไปห้าหกปีก็ยังไม่วายถามเธอเกี่ยวกับเขาหลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายกลับมาจากเมืองนอกแล้ว

'คุณตรีทศกลับมาแล้วใช่ไหม'

ตอนนั้นพรนภัสเลิกคิ้วเพียงน้อย ไม่ตอบคำถามนั้นแต่ถามกลับไปว่า

'ยังแอบชอบคุณตรีอยู่อีกหรือรี'

'แหม...หล่อ สมาร์ทแบบนั้นใครจะไม่ชอบล่ะ อ้อ...อาจจะยกเว้นเธอสักคน' อิสรียามองหน้าเพื่อนสาวก่อนยิ้มกว้างสดใส 'ฉันแค่ถามล่ะน่า อยากรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปแค่ไหนเท่านั้นเอง'

'ก็เหมือนเดิม'

...ตรีทศยังเกลียดชังเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ...
พรนภัสถอนหายใจบางเบา ก่อนหันไปคว้ากระเป๋าสะพายซึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์ แล้วเอ่ยว่าจะเข้าไปทำเค้กหลังร้าน พร้อมกับบอกให้อิสรียาเป็นฝ่ายเฝ้าต้อนรับลูกค้า ก่อนผลักประตูหายลับเข้าไปทางด้านหลังร้านเสียโดยเร็ว



ใช้เวลาครึ่งวันเช้า เค้กช็อคโกแล็ตและเค้กหน้ามะพร้าวอ่อนก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พรนภัสซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนแสนน่ารักก็นำมันออกมาวางโชว์ในตู้ ตอนนั้นคนในร้านมีประมาณสามสี่คน เธอเห็นจากปลายหางตา...มีคนคนหนึ่งที่แสนคุ้นตาเรียกให้เธอต้องเงยหน้ามอง แล้วความคุ้นตาก็กลายเป็นความตกใจ ประหลาดใจเล็กๆ

อิสรียาซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ก้าวเข้ามาประชิดแล้วกระซิบกระซาบพอให้ได้ยินกันสองคน

“คุณตรีของแกยังหล่อเหมือนเดิมเลยยัยฟ้า”

พรนภัสเพียงแต่ยิ้มบางๆ ก่อนสาวเท้าเข้าไปหา ด้วยรู้ดีว่าตรีทศคงไม่มาที่ร้านนี้เพื่อต้องการเค้กสักชิ้น แต่เขาคงจะมาหาเธออย่างไม่ต้องสงสัย

“สวัสดีค่ะ คุณตรี...มาหาฉันมีเรื่องอะไรคะ”

ถามอย่างตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม ชายหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆ ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ท่าทางดูสมาร์ทอย่างที่อิสริยาพูดไว้ไม่มีผิด ถ้ามีอะไรที่ขัดตาเห็นจะเป็นเน็กไทที่ดูบิดเบี้ยวไปสักหน่อยเพียงเท่านั้น

“น้าวิบอกให้เราไปลองชุด”

ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวว่าชุดที่ว่านั้นคืออะไร หญิงสาวพยักหน้าตอบรับโดยไม่อิดออดเพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรเธอก็ต้องแต่งงานกับเขาในเร็ววันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ค่ะ ขอฉันไปหยิบกระเป๋าก่อนนะคะ”

ร่างบางหายลับไปหลังร้าน เพียงครู่เดียวก็กลับออกมาโดยไม่มีผ้าคลุมกันเปื้อนสวมอยู่อีกต่อไป

“ฉันพร้อมแล้วค่ะ”

ตรีทศหันไปผลกศีรษะลาอิสรียาก่อนก้าวเท้าฉับๆออกจากร้าน เดินลิ่วๆโดยไม่สนใจเลยว่าคนที่เดินตามจะตามทันหรือไม่ พรนภัสต้องเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวให้ทันเขา ก่อนจะกลายเป็นวิ่งเมื่ออีกฝ่ายไปถึงรถปอร์เช่คันหรูของตัวเองแล้ว พอเขาเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ หญิงสาวก็มาถึงพอดิบพอดี

“ขึ้นรถ”

คนที่เพื่งวิ่งมาหยุดหายใจหอบเพียงครู่ ก่อนเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง ภาวนาให้ตรีทศขับรถอย่างนิ่มนวล ไม่ฉวัดเฉวียนไปมาอย่างคราวที่แกล้งให้เธอต้องอาเจียนแบบเมื่อก่อนอีก




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ต.ค. 2555, 14:05:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:17:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1857





<< บทนำ + บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
หมูอ้วน 10 ต.ค. 2555, 14:19:53 น.
สงสารหนูฟ้าจังเลยค่ะ


ameerahTaec 10 ต.ค. 2555, 16:00:57 น.
นู๋ฟ้าต้องทนรองรับอารมณ์สารพัด T^T


mhengjhy 10 ต.ค. 2555, 16:59:58 น.
เฮ้อ โหดร้ายจัง


คิมหันตุ์ 11 ต.ค. 2555, 02:51:53 น.
นางเอกเย็นชาเก็บอารมณ์เก่งจัง ชอบค่าาาาา


Zephyr 9 มี.ค. 2556, 19:43:03 น.
พระเอกนิสัย แบบ อ้ากกกกก
นางเอกก็นิ่งเกิ้นนนนน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account