มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 14 (60% ค่ะ)

รู้สึกว่าคอมเม้นต์ของแต่ละคนจะอินมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะคะ 5555 ยังไงก็ต้องขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะเพราะทำให้คนเขียนได้รับรู้ว่าผู้อ่านอยากให้ไปในแนวไหน ใกล้เคียงมากน้อยแค่ไหนกับพล็อตที่วางไว้ ถูกใจบ้างแตกต่างจากที่คิดไว้บ้างก็ไม่ว่ากันนะคะ

เด็กชายตัวน้อยที่เป็นสาเหตุให้พ่อกับแม่นิ่งเงียบตั้งแต่ในร้านไอศกรีมจนมาถึงบนรถได้หลับไปในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่แล้ว พริมานั่งอุ้มลูกอยู่ที่เบาะหลังของรถเพราะรถคันนี้ไม่มีเก้าอี้นั่งของเด็ก คุณแม่ลูกสองนั่งมองออกไปนอกรถบนท้องถนนที่แสนจะวุ่นวายและคราคร่ำไปด้วยรถยนต์นับร้อยนับพันคัน กว่าจะออกจากห้างสรรพสินค้าที่พาลูกชายไปกินไอศกรีมตามสัญญาที่ให้ไว้ก็เกือบพลบค่ำแล้ว ถึงแม้ทั้งคนเป็นพ่อและแม่จะไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหน แต่เพราะรู้ว่าพวกตนได้ทำให้ชีวิตน้อย ๆ ต้องกระทบกระเทือนจิตใจขนาดหนัก ภัทร์และพริมาจึงไม่อาจละเลยความรู้สึกของลูกได้อีกแล้ว ....ไหนที่ใคร ๆ บอกว่าเด็ก ๆ จะปรับตัวได้เองกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ได้เอง มันจริงหรือ และใคร ๆ เหล่านั้นรับรู้หรือไม่ว่ากว่าเด็กตัวน้อย ๆ จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นรอบตัวนั้น พวกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง พวกเขาจะต้องผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่ทั้งหลายเลย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือคนที่ทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นต้องเจ็บปวดกลับกลายเป็นผู้ให้กำเนิด....ผู้ให้กำเนิดที่มีหน้าที่ต้องปกป้อง และดูแลความรู้สึกของพวกเขาให้รู้สึกมั่นคง ปลอดภัยและมีความสุข ผู้ให้กำเนิดที่กลับกลายเป็นผู้หยิบยื่นความเจ็บปวดให้ลูกเสียเอง
พริมาก้มลงจูบกระหม่อมลูกชายในอ้อมกอด ก่อนที่จะหลับตาลงและปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งของวัน ครั้งนี้เธอโทษตัวเอง
คำพูดของครูประจำชั้นยังดังก้องอยู่ในหัว ครูบอกกับพวกเธอว่า ‘น้องป๊อป ลูกชายของพวกคุณเปลี่ยนไปมากในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา เขาพูดน้อยลง เล่นกับเพื่อนก็น้อยลง ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด จากเด็กที่ร่าเริงและช่างพูดกลับกลายเป็นเด็กเก็บตัว ถามคำตอบคำ เขาไม่สุงสิงกับใครและบางครั้งก็ยังนั่งเหม่อ ไม่สนใจผู้คนและสิ่งรอบข้างดังเช่นเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ แต่พอได้เห็นหน้าพ่อและแม่ในตอนเย็น ความสดใส ร่าเริง และเสียงหัวเราะก็กลับมาบนใบหน้าและดวงตาก็ฉายความสุขออกมาอย่างชัดเจน ดิฉันไม่ถามว่าเพราะอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นนะคะ แต่ถ้าทางพวกคุณต้องการให้ดิฉันช่วยเหลืออย่างไรก็บอกมาได้เลยค่ะ ดิฉันยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ที่จะให้น้องป๊อปกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง’
คำบอกเล่าของพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกชายคนโต ทำให้ผู้เป็นแม่อย่างเธอสะเทือนใจจนเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวหากไม่ได้กำลังใจจากพ่อของลูก ที่ส่งผ่านฝ่ามือใหญ่มาบีบกระชับแนบแน่นอยู่ตลอดเวลาที่นั่งคุยกันกับคุณครู ไออุ่นที่ส่งผ่านมาครั้งนี้คงเพราะต้องการจะบอกกันและกันว่า ‘เราจะฟันฝ่ามันไปด้วยกัน’
นอกจากนั้นคุณครูประจำชั้นยังนำผลงานศิลปะซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาที่ ด.ช. ภัทรดนัย ชื่นชอบมากเป็นพิเศษมาให้ภัทร์และพริมาได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ‘รูปภาพหนึ่งภาพสามารถแทนคำได้เป็นล้าน ๆ คำ’ เมื่อได้เห็นภาพพริมาถึงกับหน้าถอดสีเพราะเธอใกล้ชิดกับลูกมาก โดยปกติในเวลาว่าง ด.ช. ภัทรดนัย จะชอบระบายสีและวาดรูปเล่น และทุก ๆ ครั้งเด็กน้อยก็จะใช้สีสันที่สดใส ชิ้นงานของลูกแทบทุกชิ้นที่เธอเก็บสะสมเอาไว้จะเต็มไปด้วยสีสันที่สว่างสดใสสมวัย บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกของผู้วาดว่าสุขใจขนาดไหน แต่รูปภาพ 2 รูปที่ครูประจำชั้นเอามาให้เธอดูนั้นแตกต่างกับรูปอื่น ๆ ของลูกอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีชื่อของลูกชายกำกับไว้ใต้ภาพด้วยลายมือโย้เย้นั้น เธอเองคงไม่มีวันเชื่อว่านี่จะเป็นฝีมือของลูกชายตัวเอง
รูปแรกเป็นรูปวาดลายเส้นจำนวนมากที่ขีดเขียนเต็มหน้ากระดาษ เส้นสายเหล่านั้นดูยุ่งเหยิงพันกันไปมา ดูไม่ออกว่าเป็นรูปวาดอะไร เพราะมีเพียงแต่เส้นสายโยงกันไปมา คนวาดใช้เพียงสีชอล์คสีดำวาดรูปเส้นเหล่านั้น และที่สำคัญ คือ ตรงกลางของรูปก็มีสีชอล์คสีแดงมาระบายทับพวกเส้นสีดำเหล่านั้นอย่างลวก ๆ แต่ออกแรงกดมาก เพราะเล้นสีแดงค่อนข้างชัด ลึกและหนา มันดูราวกับว่าคนวาดต้องการจะปิดบังพวกเส้นยุ่งเหยิงสีดำไม่ให้ใครได้เห็น….ไม่ให้เห็นเพราะครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกกับเด็กน้อยว่าสีดำเป็นสีของความทุกข์ คนเราจะใส่ชุดสีดำไว้ทุกข์ให้กัน
ส่วนรูปที่สองที่ทำให้ผู้เป็นแม่และพ่อสะเทือนใจไม่แพ้กันนั้น เป็นรูปที่ครูประจำชั้นบอกว่า ด.ช.ภัทรดนัยวาดเล่นในช่วงพักกลางวัน รูปภาพนั้นวาดด้วยดินสอ ตรงกลางของกระดาษเป็นรูปบ้านหลังใหญ่ 3 ชั้น มีสระว่ายน้ำอยู่ด้านข้าง ชั้นบนสุดมีรูปคนผมยาวยืนอยู่และมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘Mum’ ชั้นที่ 2 ของบ้านเป็นรูปของเด็ก 2 คนกำลังนั่งเล่นของเล่นกันอยู่ มีเส้นโยงไปที่เด็กแต่ละคนพร้อมเขียนชื่อกำกับว่า ‘Pop และ Pip’ ส่วนที่ชั้นล่างของบ้านมีรูปคนผู้ชายนั่งดูทีวีและมีตัวหนังสือกำกับใกล้ ๆ รูปว่า ‘Dad’ และตรงมุมขวาล่างของกระดาษมีตัวหนังสือโย้ไปเย้มาเขียนว่า ‘I lov yu so mush Dad and Mum.’
พริมายื่นมือไปหยิบรูปเหล่านั้นขึ้นมาจากโต๊ะเพื่อที่จะได้มองเห็นรายละเอียดได้ชัดมากขึ้น เธอลากมือไปบนรูปที่ใช้สีแดงและสีดำ พอพลิกฝ่ามือขึ้นมาก็มีฝุ่นของสีชอล์คติดมือมาด้วยดดยเฉพาะสีแดง หลังจากนั้นเธอก็หยิบอีกรูปขึ้นมาดูบ้าง สายตาของเธอเพ่งนิ่งและจดจ้องไปที่ตัวหนังสือ ‘I lov yu so mush Dad and Mum.’ เธอส่งรูปทั้งสองให้ภัทร์ดูต่อ แล้วจึงหันไปพูดคุยกับคุณครูของลูกชายเพื่อถามรายละเอียดเพิ่มเติมของพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กชายตัวน้อย
ก่อนที่จะกล่าวลาเมื่อพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณครูประจำชั้นได้บอกกับภัทร์และพริมาว่า
‘ทุกเรื่องมีทางออกนะคะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไป แต่พวกเราจะต้องช่วยและร่วมมือกันนะคะ ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดคุยกับลูกให้เขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาควรได้รับข้อมูลทีละเล็กทีละน้อย อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างฉับพลัน เพราะเด็กอาจจะปรับตัวไม่ได้และจะส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเขาได้นะคะ’ คำพูดที่เตือนด้วยความหวังดีของครูทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่ถึงกับอึ้ง และฉุกคิดว่าจะเห็นแก่ตัวและเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้อีกแล้ว
พริมาลืมตาขึ้นพร้อมทั้งใช้ฝ่ามือซับน้ำตาก่อนที่มันจะไหลรินลงบนใบหน้าของลูกน้อยที่ยังหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ ทุกอิริยาบทอยู่ในสายตาของภัทร์ที่มองผ่านมาทางกระจกมองหลัง เมื่อพริมาเงยหน้าขึ้น เธอจึงสบตากับเขา สายตาที่มองมาอย่างอ่อนโยนและเป็นกำลังใจให้นั้นทำให้พริมารีบหันหน้าหลบ เธอไม่อยากแพ้ใจตัวเองอีกแล้วดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยทุกคำว่า
“ปริมขออะไรอย่างหนึ่งนะคะพี่โป๊ป” พริมาหยุดเพื่อให้ผู้ฟังได้เตรียมตัว แล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ปริมขอร้องว่า อย่าให้ลูกของพี่กับผู้หญิงคนนั้นมาเรียนโรงเรียนเดียวกับลูกของปริม ปริมไม่ต้องการให้พวกแกมาเกี่ยวข้องกันมากไปกว่านี้ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องรู้จักกันได้ยิ่งดี ปริมขอแค่นี้ล่ะค่ะ” ภัทร์ที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึงว่าพริมาจะขอเขาในเรื่องนี้ เขาก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าผู้หญิงที่ใจเย็นและอ่อนโยนอย่างพริมาจะเด็ดขาดได้แบบนี้ แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดี ยิ่งได้มารับรู้ปัญหาของลูกชายคนโตด้วยแล้ว เขายิ่งพูดไม่ออกเพราะเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปขนาดนี้ ภัทร์รู้ดีว่าที่พริมาขอมานั้น เธอทำเพื่อลูก เธอไม่ได้ตั้งใจจะกีดกันให้ลูกใหม่ของเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดแห่งนี้ เธอไม่ได้อิจฉาเด็กอีกคนแต่เธอกำลังปกป้องลูก ๆ ของเธอ และนั่นก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่ออย่างเขาเช่นกัน
“ได้สิ พี่รับปาก” ภัทร์ให้สัญญาอย่างหนักแน่น
“ขอบคุณค่ะ และปริมหวังว่าสัญญาข้อนี้พี่โป๊ปจะรักษามันได้นะคะ” พริมาอดที่จะเหน็บสามีไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าไม่ควรทำเพราะอาจจะบานปลายจนทะเลาะกันได้อีก ซึ่งไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งเพราะตอนนี้มีลูกอยู่ในรถด้วย
“และปริมจะยังไม่ย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดนะคะ ปริมจะพาลูก ๆ แวะไปเที่ยวก่อน ให้พวกแกได้คุ้นเคย บางทีอาจจะไปนอนค้างบ้าง แต่ยังไม่ย้ายออกไปเสียทีเดียว ปริมขอเวลาให้ลูก ๆ ได้ปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อน ให้แกปรับได้ทีละนิดทีละน้อย” พริมาพูดเบาลงเพราะรู้สึกสะท้อนใจ แต่ภัทร์กลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างประหลาดทันทีที่ได้ยินการตัดสินใจใหม่ของภรรยา
“พี่แล้วแต่ปริมจะตัดสินใจแล้วกัน เพราะพี่รู้ดีว่าปริมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว” ภัทร์ชื่นชมและนับถือในน้ำใจของภรรยา รวมทั้งแอบดีใจอยู่เงียบ ๆ แต่ก็ต้องหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของพริมาที่ว่า
“ส่วนเรื่องหย่า เรายังไปหย่ากันวันจันทร์นี้เหมือนเดิมนะคะ ไม่ต้องรออะไรเพราะเราคงไม่ต้องปรับตัวอะไรกันอีกแล้ว ให้มันชัดเจนไปเลยตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปใครจะไปทำอะไรก็ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจกันอีกแล้ว ที่สำคัญ....เราต่างก็จะได้ชีวิตของแต่ละคนคืนกลับมาสักที” พริมายืนยันอย่างชัดเจนก่อนที่จะหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เธอต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อตัวเธอเอง และเธอต้องเข้มแข็งเพื่อลูก

************************



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2555, 12:45:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2555, 12:45:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2011





<< ตอนที่ 14 (20 %)   ตอนที่ 14 ครบ 100% แล้วค่ะ >>
violette 14 ต.ค. 2555, 22:13:07 น.
นายโป๊ปเพิ่งมาคิดได้หรือไงว่าจะทำเพื่อลูก แล้วก่อนหน้านี้ล่ะคิดมั้งมั้ย
ว่ามีเมียน้อยแล้วลูกจะรู้สึกยังไง ทำอิท่าไหนไปทำเค้าท้องเฮ้ออ เกลียดจริง


หนาวรัก 14 ต.ค. 2555, 23:03:17 น.
อัพเร็วๆนะครับ รอลุ้นอยู่ ^^


tity 15 ต.ค. 2555, 07:37:31 น.
เป็นคุณแม่ที่เข้มแข็งจริงๆ


poy 15 ต.ค. 2555, 08:44:36 น.
เศร้ามากเลยไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยจริงๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account