จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: แค่องครักษ์

ตอนที่ 6

หลังจากจัดการอาหารจนเรียบวุธและจบรายการแกล้งพันกรรอบเช้าพร้อมซักไซร้จนรู้สาเหตุที่พี่ชายคนใหม่หวงเนื้อหวงตัวแล้ว บุษราคัมจึงฉวยจากขึ้นมาหมายจะเอาไปล้างในครัว ไม่ยอมให้ชายหนุ่มช่วย

“พี่พันกรทำแล้ว เดี๋ยวพลอยโชว์ฝีมือการล้างจานเองค่ะ”

“แต่ว่า”

“เอางี้ ถ้าพี่พันกรเกรงใจเปลี่ยนเป็นพาพลอยออกไปซื้อของข้างนอกหน่อยได้ไหมคะ”

พันกรขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม แต่ก็ไม่รับปาก “เอาเป็นว่าน้องพลอยวางจานไว้บนอ่างก่อนนะครับ ส่วนเรื่องนั้นพี่จะถามเศรษฐให้”

บุษราคัมทำปากยู่ขัดใจ แต่ก็ยอมวางจานบนอ่างล้างแล้วขยับให้เขาเข้ามาแทนที่แต่โดยดี แต่ยังไม่วายลอบสังเกตการใช้เจ้าเครื่องไฮโซนั่นเผื่อครั้งหน้าจะมีโอกาสได้เล่นบ้าง

“ว่าแต่เขาเถอะค่ะ สายขนาดนี้แล้วยังนอนไม่ตื่นอีก คนอะไรนอนกินบ้านกินเมืองชะมัด ปล่อยให้พี่พันกรทำอยู่คนเดียว ใช้ไม่ได้เลย” ปากอิ่มบ่นขมุบขมิบ ก่อนจะแกล้งเอามือป้องปากทำทีกระซิบกระซาบทั้งที่เสียงไม่ได้เบาเลย “อย่างนี้พลอยถือโอกาสไล่ออกเลยดีไหมคะ”

“ครับ? ไล่ออก” พันกรถามกลั้วหัวเราะ แม้บุษราคัมจะรู้ว่าเขาเป็นองครักษ์ แต่คงยังไม่รู้ว่าเศรษฐเป็นใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าคิดจะ ‘ไล่’ เจ้าชายเก้าแห่งอุรัศยาให้พ้นตำแหน่งแน่ๆ

คิดแล้วก็อดสงสารเพื่อนไม่ได้ โถๆๆ สงสัยอยู่เมืองไทยราศีไม่จับ

“อย่าเลยครับหน้าแตกเปล่าๆ”

“คะ?”

สายตาสื่อคำถามของเธอได้รับคำตอบในลักษณะเดียวกันด้วยการพยักเพยิดไปข้างหลัง หญิงสาวขมวดคิ้ว หากทว่ายังไม่ทันจะหันไปมอง เสียงดุๆ ก็ลอยมากระทบโสตประสาทรับอรุณเสียก่อน

“เจ็ดโมงไม่ถือว่าเช้าสำหรับฉัน”

หญิงสาวในชุดแซกหันขวับจนคอแทบเคล็ดแล้วก็เห็นว่าบุคคลที่เธอเพิ่งค่อนขอดไปเมื่อครู่ว่านอนกินบ้านกินเมืองบัดนี้อยู่ในชุดสูทหรูคล้ายเตรียมไปทำงาน

แต่เดี๋ยว...ห้องนอนเขาไม่ได้อยู่ทางที่เจ้าตัวเดินมา

ทางที่มีเพียงประตูใหญ่ทอดผ่าน

ราวกับว่าเขาเพิ่งกลับมาจากทำงาน...ตอนเก้าโมงเนี่ยนะ?

หรือจะลืมของเลยกลับมาเอา บุษราคัมคิดหาเหตุผล

แต่เดี๋ยว...งั้นทำไมตอนเขาออกไปเธอถึงไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นหลังไวๆ เลยล่ะ

แสดงว่า...เขาออกไปทำงานก่อนเธอตื่นหรือนี่!!!

เพล้ง! เสียงหน้าใครแตกนะ?!?

คราวนี้คำถามของหญิงสาวตาโตได้รับการการันตีคำตอบจากดวงตาเป็นประกายขบขันของพันกร และตอกย้ำชัดเจนโดยเสียงทุ้มทรงอำนาจ

“หนอนที่ออกหากินในตอนเช้า มักได้หนอนตัวใหญ่เสมอ”

“ฉันไม่กินหนอน” เสียงเล็กๆ สวนขวับตามนิสัย ลืมเสียสนิทว่ากำลังหน้าแตกเป็นรอบที่สองต่อหน้าผู้ชายคนนี้

เศรษฐตวัดสายตาดุมาให้คนเถียงคำไม่ตกฟากเลยไปถึงเพื่อนสนิทที่ยืมกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ ก่อนที่พันกรจะสบสายตาปรามนั่นแล้วโค้งตัวเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังหลุมหลบภัยก่อนที่ระเบิดจะลง ไม่ใยว่าน้องสาวคนใหม่จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเป็นการด่วน

...ตัวใครตัวมันล่ะคราวนี้

“เถียงคำไม่ตกฟาก ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” ชายหนุ่มคิ้วเข้มหน้าดุเปิดฉากก่อน

“ยังดีกว่าแก่จนฟันไม่มี เคี้ยวหมากไม่ได้ก็แล้วกัน” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง แต่ไม่เบาจนหลุดรอดการได้ยินของเขา

เศรษฐหน้าตึงเมื่อโดนเด็กกะโปโลสวน เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขาสักคน!

ร่างสูงใหญ่ก้าวมาใกล้ๆ ใช้ความสูงข่มคนตัวเล็กที่บัดนี้ค่อยๆ ถอยหลังช้าๆ มองผู้ชายที่ย่างสามขุมท่าทางคุกคามตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “คุณจะทำอะไรน่ะ”

“ทำให้เธอรู้จักคำว่ากลัว” เขาตอบพลางเดินเข้ามาใกล้

“หยุดนะ! ไม่งั้นฉันจะฟ้องพี่พันกรจริงๆ ด้วย”

“พันกรจะช่วยอะไรเธอได้” เขาตอบแล้วใช้มือยันกำแพงล้อมกรอบคนตัวเล็กที่ยืนแหงนคอเถียงเขาคอเป็นเอ็น “คิดหรือว่าคนของฉันจะอยู่ข้างเธอ”

เศรษฐถามกลั้วเสียงหัวเราะที่แสนจะเยาะเย้ยในความคิดของเธอ หญิงสาวเม้มปากแน่น อัดอั้นตันใจที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ดีที่สุดคือทำตัวลีบไปกับผนังแล้วมองหาทางหนีทีไล่ออกจากกรงแขนของเขา

“คุณเศรษฐ!”

“หืม?”

“ฉันอึดอัด”

“ขอโทษฉันสิบุษราคัม” เขายื่นข้อเสนออย่างเป็นต่อ มั่นใจว่าเขาเองเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าอย่างที่ทำมาตลอด แต่ก็ต้องผิดคาด

“ไม่! ก็คุณมาว่าฉันก่อนทำไมล่ะ”

“แน่ใจหรือว่าฉันเริ่มก่อน” เขาถามเสียงดุ ประโยคต่อไปแทบเรียกว่าเค้นรอดไรฟัน “ฉันให้โอกาสเธอแล้วนะ...จะมาหาว่าใจร้ายไม่ได้นะ”

“ทำไม? คุณจะทำอะไรฉัน” เจ้าหล่อนเชิดหน้าถาม ก่อนจะลองเสี่ยงดวงอวดอ้างตำแหน่งทั้งที่ไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยได้ก็เถอะ “อย่าลืมสิว่าฉันเป็นเจ้าหญิง”

แล้วก็ต้องร้องเยสในใจเมื่อตำแหน่งเจ้าหญิงพลัดถิ่นนี่มันก็มีประโยชน์กับเขาเหมือนกัน เพราะเศรษฐลดท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างลงแล้วเปลี่ยนเป็นกอดอกแทน แม้ว่านัยน์ตาดุยังคงมองนิ่งตรึงเธอไว้อยู่กับที่ หญิงสาวขยุกขยิกพลางลอบถอนหายใจทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้

“แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใคร”

คำถามเรียบๆ กับดวงหน้านิ่งๆ อย่างวางมาดของเขาทำให้เธอเองต้องคิดหนัก เพราะไม่ทันจะถามพันกรว่าเศรษฐเป็นใคร

องครักษ์ ผู้ช่วยองครักษ์ พลทหารธรรมดา คนขับรถ หรือแค่คนดูแลตึก

มีตำแหน่งตั้งมากมาย แล้วเธอจะไปเดาถูกไหมนั่น!

บุษราคัมยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด อย่างน้อยการเดาตำแหน่งใหญ่ๆ ไว้ก่อนก็อาจจะทำให้คนฟังรู้สึกดี เผลอๆ เธอและเขาอาจจะมีสัมพันธไมตรีที่ดีขึ้น

“คุณเป็น...องครักษ์ใช่ไหมล่ะ”

“อะไรนะ!” เจ้าชายเศรษฐายุแห่งอุรัศยาร้องลั่นอย่างหลุดมาดเจ้าชาย ชนิดที่ถ้าพสกนิกรมาเห็นคงเสื่อมศรัทธาไปเยอะ

เขาแทบอยากจับแม่คนช่างคิดที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน แต่มือไม้มันก็สั่นไปหมดด้วยความโกรธ

ยัยเด็กปากสามหาวมีตาหามีแววไม่!

“เอาน่าๆ” คนตัวเล็กทำใจกล้ายื่นมือไปแตะบ่าเขาเป็นเชิงเข้าใจ คงจะได้รับตำแหน่งที่เว่อร์กว่าที่เป็นอยู่จริงล่ะสิท่าถึงได้ตาโตร้องเสียงหลงดีใจเสียขนาดนี้

“ฉันไม่...”

“ช่างเถอะๆ” หญิงสาวเอ่ยขัดแววตารื่นรมย์ แล้วต่อให้อย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องปฏิเสธหรอกนะ ความจริงฉันก็ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอะไร ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ช่าง เราอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีองครักษ์ดีไหมล่ะ แต่ว่าก็ว่าเถอะนะถ้าฉันจะวานคุณบ้างจะเป็นอะไรไหม พอดีของใช้บางอย่างมันขาดน่ะเลยอยากออกไปหาซื้อ ตกลงตามนี้นะ งั้นเดี๋ยวฉันไปหยิบกระเป๋าเงินก่อน รอแป๊บนึงนะ”

หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...

เจ้าชายเศรษฐายุถึงกับต้องกลั้นหายใจนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ลมหายใจถูกผ่อนเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ค่อยๆ ควบคุมอารมณ์ที่พุ่งผล่านกลับสู่ปกติ ท่องไว้ว่าเจ้าหล่อนก็เป็นน้องเขาคนหนึ่งจะจับคอขาวๆ นั่นหักแล้วโยนให้แร้งมันรุมทึ้งก็คงไม่ได้ จะเอามีดปาดลิ้นโยนให้เป็ดกินก็กระไร จะกระชากหล่อนให้แขนขาดก็ใช่ที่

ห้า...หก...เจ็ด...แปด...

หล่อนเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสา แต่วาจาสามหาวสิ้นดี เป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่กล้าต่อล้อต่อเสียงกับเขา เป็นแค่เจ้าหญิงพลัดถิ่นที่แทบไม่มีความสำคัญหากมิใช่ราชวงศ์ตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังกล้าคิดว่าเขาเป็นแค่

...องครักษ์

“พันกร!!!” เสียงดุตวาดลั่นพสุธาสะเทือน เรียกคนสนิทออกมากจากที่ซ่อน แล้วก็อยากจะสั่งควักลูกตาวิบวับของมันออกมาทั้งสองข้างอย่างไม่มีเหตุผล มือใหญ่กำแน่นระงับโทสะที่บัดนี้ผู้บันดาลหายตัวเข้ากลีบเมฆแล้ว ร่างสูงใหญ่ยืนตัวสั่นด้วยความฉุนเฉียวอยู่กลางห้อง สุดท้ายเมื่อลงกับใครไม่ได้จึงพาลใส่กับเพื่อนสนิทเสียเลย

“มองทำไม! หรืออยากจะให้ฉันสั่งควักลูกตานายออกมาจากเบ้า”

คนเกือบชะตาขาดแกล้งทำตาใสซื่อ ในใจนึกชื่นชมเจ้าหญิงที่ทรงวางรเบิดได้อย่างไม่รู้เวล่ำเวลาและวางได้ถูกที่ถูกใจเขาเสียด้วย ก็นานๆ ทีจะได้เห็นไอ้เจ้าชายมาดมากตรงหน้า น็อตหลุดอย่างวันนี้

แหม...มันน่าอัดคลิปไว้จริงๆ

“หม่อมฉันไม่กล้าหรอกพระเจ้าค่ะ” เขาแกล้งใช้ศัพท์แสง ทำให้เพื่อนราชนิกูลอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ก่อนจะกระชากมันลงมาด้วยถ้อยคำแสลงหู

“หม่อมฉันก็เป็นแค่...องครักษ์”

“พันกร!”





เสียงมือถือเครื่องจิ๋วดังขึ้นอีกครั้ง ภีมเอาหมอนอุดหู ก่อนจะสำเหนียกได้ว่ามันใช่เสียงเรียกเข้าของเขา

แล้วของใคร...

ชายหนุ่มผมยุ่งโผล่มือออกมาจากผ้าห่ม ควานหาเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่กำลังร้องเพลงฮิตตลอดกาล...โดเรมอน

จะเป็นของใครไปได้ถ้าไม่ใช่ของยัยตัวเล็ก...ภีมนึกขำๆ ก่อนจะโผล่ศีรษะออกมาตามแล้วหยีตาสู้แสงเพ่งมองรายชื่อบนจอโทรศัพท์

...พี่แม็ท

เหมือนจะคุ้นแต่ก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มตัดสินใจชั่วครู่ไม่อยากรับโทรศัพท์คนอื่นโดยพลการ แต่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่วางง่ายๆ แน่จึงกดรับ

ทว่ายังไม่ทันจะพูดอะไร ปลายสายก็กรอกเสียงร้อนรนลงมา “พลอยครับ พี่ฝากไปดูครีมที่คอนโดทีนะ ที่บ้านมีเรื่องอีกแล้ว รบกวนด้วยนะครับ เดี๋ยวพี่เคลียร์เสร็จจะรีบตามไป”

“ฮัลโหล” ผู้ชายคนนั้นวางสายไปเสียแล้ว แต่เพราะฝ่ายนู้นพูดชื่อคิริมาขึ้นมา ทำให้เขานึกได้ว่าคนโทรมาเป็นพี่ชายคนละแม่ของคิริมาที่บุษราคัมเล่าให้ฟังนั่นเอง

ภีมลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที เหลือบมองนาฬิกา เขาเพิ่งได้นอนไปไม่ถึงสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แล้วจะต้องออกไปข้างนอกอีกหรอเนี่ย...เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ดูเหมือนเป็นปัญหาในครอบครัว แต่ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องโทรมารบกวนบุษราคัมอย่างนี้

ทำราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่รู้กันอย่างนั้นแหละ

มันช่างกระตุ้นต่อมสงสัยของเขาอะไรอย่างนี้...ภีมนึกครึ้มใจขึ้นมา อย่างน้อยความสงสัยก็จุดประกายให้เขาตาตื่นพร้อมจะบึ่งรถไปคอนโดคิริมาตอนนี้ล่ะนะ





ร่างโปร่งบางของคิริมานั่งพิงโซฟา แขนเรียวทั้งสองตกลงข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง นัยน์ตาเรียวสวยโฉบเฉี่ยวปิดลงอย่างเหนื่อยล้า ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความอัดอั้นตันใจจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาก่อนที่เธอจะโซซัดโซเซกลับมาคอนโดด้วยหัวใจที่เจ็บปวดอีกครั้ง

เมื่อวานหลังจากที่จำต้องขึ้นรถพี่ชายมา คชาก็พาเธอมาส่งที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่นานๆ ทีเธอจะกลับมา คชาบอกว่าท่านนายพลต้องการพบเธอ แต่ที่ไหนได้กลับไม่เจอใคร และหญิงสาวก็ไม่คิดจะพยายามถามหาเอากับใครเพราะไม่อยากเจอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงนั่งรถกลับ

ที่ไหนได้วันนี้คชามาอีกหัวเสียใส่เธอตั้งแต่เช้า สาเหตุก็เพราะเมื่อวานเธอไม่นั่งรอที่บ้านทำให้เขาเสียเวลาต้องขับรถมารับเธออีกครั้ง

สุดท้ายเธอก็ต้องนั่งรถไปกับคชาอยู่ดี ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ วันหยุดที่ควรจะได้พักใจให้สบาย

คชาเหยียบคันเร่งแบบไม่ผ่อน ทำให้เธอนั่งตัวเกร็งมาตลอดทาง ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาในพื้นที่กว้างใหญ่ที่คิริมาเห็นว่าเหมาะกับคำว่า ‘คฤหาสถ์’ มากกว่า ‘บ้าน’

บ้านในความหมายของเธอไม่ต้องใหญ่โต ขอแค่หลังเล็กๆ อยู่แล้วสบายใจเท่านั้นก็พอ

“จะนั่งรออะไรอีก ถึงแล้วก็ลงมาสิ!”

...ซึ่งก็นั่นแหละ ขนาดพี่ชายแท้ๆ อยู่ใกล้ยังไม่สบายใจสักนิดเลย

หญิงสาวที่ถูกเรียกก้าวออกมาจากรถพี่ชาย เสียงปิดประตูที่ไม่เบานักทำให้คชาจ้องตาเขม็ง ปากที่กำลังจะสบถออกมาหุบฉับเมื่อสตรีวัยห้าสิบแต่ยังคงความงามอย่างผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วก้าวอาดๆ ออกมา คชายกมือไหว้อย่างเสียมิได้

“ยัยครีม” คุณหญิงสาวิตรีกอดหญิงสาวรุ่นลูกแน่น หอมแก้มซ้ายขวา “แม่คิดถึงหนูจังเลยลูก”

“สวัสดีค่ะคุณแม่ใหญ่” คิริมากราบที่อกผู้สูงวัย “สบายดีนะคะ”

“ก็ดีจ๊ะ แต่จะดีมากเลยถ้าครีมยอมมาอยู่ที่นี่กับแม่”

คิริมาถอนหายใจ ไม่เคยเบื่อที่มีคนยังต้องการเธออยู่ เพียงแต่ว่าคนที่ไม่ต้องการเธอก็มีมากเช่นกัน

หญิงสาวยิ้มหวานให้ ‘คุณแม่ใหญ่’ ยิ้มอย่างที่อีกฝ่ายต้องนิ่วหน้า เพราะรู้ดีว่า...ถ้าลูกสาวคนสวยยิ้มหวานแบบนี้ทีไรเป็นต้องปฏิเธเสียงนุ่มต่อทุกที

“ขอบคุณนะคะ แต่อย่าดีกว่า”

เห็นไหมล่ะ! คิดไว้ไม่มีพลาด “เอาเถอะจ๊ะ ไปๆๆ เข้าในบ้านก่อนดีกว่านะ แดดแรงอย่างนี้ผิวหนูจะเสียหมด เอ๋...นี่คล้ำขึ้นหรือเปล่าลูก?”

คนคล้ำขึ้นหัวเราะ รู้ดีว่าคุณหญิงสาวิตรีกำลังล่อหลอกเธอทุกวิถีทางให้กลับมาอยู่บ้าน แต่ทว่าไม่มีอะไรจะดึงเธอกลับมาได้...ไม่มีทางและไม่มีวัน!

เสียงหยอกเย้าคุยกันกระหนุงกระหนิงตามภาษาผู้หญิงของสองคนสองวัยเป็นภาพที่ทำให้แม่บ้านและคนรับใช้ต่างต้องอมยิ้ม แต่ใครบางคนกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น

“มาเมื่อไหร่ทำไมไม่ขึ้นไปหาฉัน!”

ร่างสูงโปร่งยืนขึ้นหันไปทางบันไดวน ร่างอรชนเดินนวยนาดลงมา คิริมายกมือประนม “สวัสดีค่ะแม่”

“ดีนะที่ยังจำได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่แก ใครกันแน่ที่อุ้มท้องแกมา”

คิริมายิ้มหยัน แบบที่กวนตะกอนอารมณ์ที่ขุ่นจัดของ ‘ผู้ให้กำเนิดตัวจริง’ เป็นที่สุด หน้าตาสะสวยของมารดา เรือนร่างที่ถูกคลุมด้วยชุดกำมะหยี่สีเลือดนก คนๆ นี้ไม่ใช่หรือคือมารดาที่แท้จริงของเธอ

และคนๆ นี้ไม่ใช่หรือ ‘ผู้หญิง’ ที่แย่งคนรักของคนอื่นมาอย่างไร้ยางอาย แล้วยังนอกใจพ่อมายุ่งกับพี่ชายของพ่อแทนแบบนี้!!

“พอเถอะคุณจิต ฉันรั้งยัยครีมไว้เอง ลูกกำลังจะขึ้นไปไหว้เธอพอดี” สาวิตรีลุกขึ้น กระซิบบอกแล้วดุนหลังร่างบางไปข้างหน้า “ไปกราบแม่เขาซะลูก”

“ขอบคุณนะคะคุณตรี...ที่ช่วยอบรมสั่งสอนลูกของจิต”

คุณหญิงสาวิตรีเบือนหน้าหนีวาจาเชือดเฉือน ที่ปลื้มจิตใช้ย้ำเสมอเรื่อง ‘ลูกสาว’

“ใช่ค่ะ ครีมต้องกราบขอบคุณคุณแม่ใหญ่ที่สั่งสอนครีมมา” คิริมากราบงดงาม ก่อนจะเชิดหน้ามองคนบนบันไดอย่างไม่ยอมแพ้ “...ไม่อย่างนั้นครีมคงไม่ได้โตมาอย่างลูกผู้ดีในวันนี้!!”

“นังครีม!”

คนเป็นแม่ถลาลงมาจากบันได หากยังไม่ถึงตัวเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้ทุกสายตามองตรงไปที่ประมุขของบ้านกำลังเดินลงบันไดตามมา

“เอะอะโวยวายอะไรกันนักหนา!!”

“คุณพี่คะ” คิริมาอยากจะเบือนหน้าหนี ภาพมารดาปรี่เข้าไปออดอ้อนออเซาะกับท่านนายพล “จิตเสียใจค่ะ ยัยครีมพูดเหมือนจิตไม่ใช่แม่ของแก ฮึกๆ” ปลื้มจิตซบหน้าลงกับท่อนแขนล่ำสันของสามี “จิตคงไม่สำคัญเหมือนคุณตรี ลูกถึงไม่อยากไหว้ ไม่อยากมองหน้าแม่คนนี้”

“สาวิตรี! ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเสี้ยมสอนยัยครีมให้เป็นแบบนี้...ฉันอุตส่าห์ไว้ใจให้เธอดูแลลูกของจิต แต่วันนี้...ฉันผิดหวังมาก!”

“คุณพี่!” สาวิตรีเรียกสามีเสียงเครือ จนคนข้างๆ ทนไม่ไหวเสียเอง มือบางประคองร่างสั่นเทิ้มของผู้สูงวัยอย่างอ่อนโยน แต่แววตาที่มองบุพการีตรงบันไดนั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและแววตาแห่งความชิงชัง

“ไม่ต้องมีใครสั่งสอนหรอกค่ะ ถ้าจะเลว มันคงมาจากเลือดเลวในตัวดิฉันเอง”

“ยัยครีม!!” ท่านนายพลชี้นิ้วสั่นเทามาที่เธอ “ลูกไม่รักดี!”

“ก็เพราะมันไม่มี ‘ดี’ จะให้รักไงคะท่านนายพล” คนถูกด่าย้อน “ที่สำคัญ...ฉันมีพ่อแค่คนเดียว และคนๆ นั้นไม่ใช่คุณ!”

“แก!!!”

สาวิตรีกระตุกมือบาง ไม่อยากให้หญิงสาวที่ท่านแสนรักต้องทำบาปไปมากกว่านี้เมื่อเห็นท่านนายพลตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “ครีม...หนูกลับไปก่อนเถอะลูก”

สายตาห่วงใยที่คิริมามองมา เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณหญิงยิ้มได้ “นะจ๊ะไม่ต้องห่วงแม่ เดี๋ยวตาแม็ทก็กลับ”

เธอมองผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย เปลือกนอกของคุณหญิงสาวิตรีอาจดูเปราะบาง แต่ผู้หญิงข้างหน้าเธอนั้นเข้มแข็งกว่าที่ใครจะคาดคิด แกร่งมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงทนอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้

...หนึ่งผัวสองเมีย...

“จะไปไหน! กลับมาเดี๋ยวนี้นะนังลูกไม่รักดี ฉันสั่งให้แกกลับมา”

ร่างบางหยุดกึก ประสานสายตากับผู้มาใหม่ ก่อนจะผินหน้ากลับเล็กน้อย ตอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยังไม่ชินหรือคะท่านนายพล...คำสั่งของคุณไม่เคยมีผล-สำ-หรับ-ฉัน!”

“คิริมา!”

เสียงตวาดอาจทำให้คนที่ฟังหวาดกลัว แต่ไม่ใช่เธอ คิริมายิ้มให้แววตาห่วงใยตรงหน้าของคนมาใหม่ “พี่แม็ท ฝากขอโทษคุณแม่ใหญ่ด้วยนะคะ” พูดจบเธอก็เดินจากไป ไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมาอีกเลย





น้ำตาไหลรินจากหางตาทั้งสองข้างแต่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมัน มือที่ไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้างค่อยๆ ยกขึ้นมาประคองกอดตัวเองในยามที่ไม่มีใคร ยามที่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้อย่างไม่ต้องอายใคร

พ่อจ๋า...ครีมคิดถึงพ่อ

หล่อนสะอื้นเบาๆ ภาพความทรงจำเก่าๆ กับครอบครัวที่แสนอบอุ่นแวบเข้ามาในสมองราวกับจะตอกย้ำว่ามันจะไม่มีอีกแล้วความรู้สึกดีๆ แบบนั้น

เสียงออดดังขึ้นอย่างที่ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าคงไม่พ้นบุษราคัม เพื่อนที่แสนดีและน่ารักของเธอเสมอ คนที่รู้เบื้องลึกทุกอย่างในครอบครัวของเธอ คนที่มาหาเธอทุกครั้งยามที่เธอไม่เหลือใคร เจ้าของอ้อมแขนเล็กๆ ทว่าให้ความอบอุ่นกับหัวใจที่แห้งเหี่ยวดวงนี้ทุกครั้ง

พี่แม็ทคงโทรไปกวนบุษราคัมอีกแน่ๆ แล้วอีกฝ่ายก็คงจะรีบกระวีกระวาดมาหาเธออย่างเคย

คิดได้อย่างนี้หญิงสาวก็ยิ้มออกมาบางๆ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รักเธอและคนที่เธอรัก เธอเช็ดน้ำตาเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักไมสบายใจ ก่อนจะรีบลุกไปเปิดประตูให้คนใจร้อน

“ทำไมวันนี้มาเร็ว...”

เสียงหวานชะงักคำถามที่เหลือเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่บุษราคัม “มาทำไม”

ถามปนน้อยใจเมื่อคิดว่าบุษราคัมอาจไว้วานให้ภีมมาส่ง แต่จนแล้วจนรอดก็มองไม่เห็นร่างเล็กของเพื่อนสนิท เจอเพียงใบหน้ากวนอารมณ์ของภีม ทำให้ความรู้สึกเหมือนถูกแย่งของรักเข้ามาทำร้ายจิตใจจนกระแทกประตูใส่หน้าแขก ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายไวทายาทดันประตูแล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างชำนาญ

“โอ๊ยคุณ! ใจคอจะกระแทกให้ดั้งผมแบนเลยใช่ไหมเนี่ย”

“ใครใช้ให้เข้ามา ออกไปเดี๋ยวนี้” คิริมายืนกอดอกสั่งเสียงดุ

“นี่ไม่คิดจะถามหน่อยหรอว่าที่มาวันนี้มีธุระหรือเปล่า คนอะไร...ตั้งท่าจะไล่กันอย่างเดียว” ภีมแกล้งบ่นงุงิ แต่นัยน์ตาสำรวจไปทั่วคอนโดกว้างที่ตกแต่งเรียบแต่หรูแสดงว่าคนซื้อต้องกระเป๋าหนักพอสมควร “แต่งห้องสวยนะคุณ”

“ไม่ต้องมาวิจารณ์ กลับไปได้แล้ว”

“อะไรกันเนี่ย พี่สั่งให้มา น้องไล่ให้กลับ”

คิริมาขมวดคิ้ว “นายว่าใครสั่งให้มานะ”

“ก็พี่คุณน่ะสิ จู่ๆ ก็โทรมาใช้พลอยให้มาหาคุณ ตอนแรกผมก็นึกว่ามีปัญหาอะไรใหญ่โต แต่นี่คุณก็ดูสบายดีนะ”

“นายรับโทรศัพท์พลอยได้ยังไง หรือว่า...” หญิงสาวเบิกตากว้างกับความคิด แต่โดนเขาขัดขึ้นมาเสียก่อน

“อย่าได้คิดอกุศลนะครับคุณ บาปจะกินหัว เดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาไม่สวยนะจะบอกให้” ภีมเย้าแต่อีกฝ่ายไม่สนุกด้วย เขาเลยต้องบอกความจริงแม้จะไม่หมดทุกเรื่องก็ตาม “พอดียัยตัวเล็กทำมือถือตกบนรถน่ะคุณ”

คิริมาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและรักใคร่ยามที่ผู้ชายคนนี้พูดถึงเพื่อนรักของเธอ อยากจะเชื่อว่าเขาจะรักเพื่อนเธอจริงๆ แต่ความทรงจำเลวร้ายในความมักมากของผู้ชายทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อลมปากของผู้ชายคนไหน และไม่เคยจะเชื่อหรือศรัทธาในความรักอีกเลย

แต่ยังหรอก...เธอจะจับตาดูความประพฤติของเขาอีกนานจนแน่ใจว่าภีมจะไม่ทำให้บุษราคัมผิดหวัง

“ไม่มีอะไรหรอก นายกลับไปได้แล้ว”

“โถ่...ไอ้เราก็อุตส่าห์รีบถ่อมา ข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้อง พอหมดประโยชน์ก็ไล่กับเหมือนหมูเหมือนแมว”

คิริมาตวัดสายตาดุ แต่ปรามคนพูดมาไม่ได้ เขาบ่นอะไรอีกสองสามประโยคจนเธอหมดความอดทนจำต้องเดินเข้าครัวหาอะไรมาอุดปากคนพูดมากจะได้กลับๆ ไปเสียที

ลับหลังร่างสูงโปร่งราวนางแบบ ภีมยิ้มขำๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาของเจ้าของห้องอย่างเข้าข้างตัวเองว่าเธอชวนแล้ว นัยน์ตาเป็นประกายระริกเพราะสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ชอบวางมาดทำตาดุใส่เขาเหลือเกิน

แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่ลืมหรอกนะ สาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่

ชายหนุ่มเอนหลัง ก่อนจะเด้งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะหลังสัมผัสอะไรบางอย่างแข็งๆ

...กรอบรูป

เขาหยิบมันขึ้นมาดู กรอบรูปไม้ทันสมัยทว่ารูปข้างในค่อนข้างเก่า ชายวัยกลางคนที่มองมายังเขาดูใจดี มือทั้งสองข้างจับมือหนูน้อยวัยกระเตาะที่ขี่คอเขาอยู่ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข หนูน้อยชุดแดงยิ้มร่าอวดฟันหลออย่างภูมิใจ ข้างๆ มีหญิงสาวสวยน้าตาละม้ายคล้ายคิริมายืนยิ้มบางๆ จับมือเด็กชายตัวอ้วนอยู่อีกข้าง สถานที่ในภาพคงเป็นสนามหญ้าในบ้านของครอบครัวแสนสุขนี้

คนในรูปจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เจ้าของห้อง สิ่งที่เห็นทำให้เขานึกถึงรูปที่หัวเตียงของตัวเอง ที่มีเขาและท่านแม่ในเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบครบชุด ส่วนรูปที่มีท่านพ่อเป็นรูปสมัยที่เขายังเป็นทารกอยู่ในอ้อมอกของท่านแม่ มีท่านพ่อยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

“เอามานี่!” รูปในมือถูกฉวยไป ภีมมองเจ้าของห้องที่ดูฉุนเฉียวอย่างไม่เข้าใจ

“ผมขอโทษ แค่หยิบขึ้นมาเพราะเกือบจะนั่งทับเท่านั้นเอง” เขาอธิบาย อีกฝ่ายมีท่าทีผ่อนคลายลงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากรูปที่เจ้าตัวคงหวงแหนมาก จนเขาต้องเอ่ยเย้า “...ไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูรูปคุณฟันหลอซะหน่อย”

หญิงสาวถลึงตาก่อนจะเดินเข้าห้องนอนเพื่อเอารูปไปเก็บ ภีมมองกิริยาแบบเด็กหวงของแล้วก็ต้องหัวเราะ

คิริมาเดินออกมาอีกครั้ง คราวนี้นั่งลงตรงข้ามเขา ใช้สายตาขู่บังคับให้เขาทานยากิโซบะตรงหน้าเร็วๆ

“คุณทำเองหรอ อร่อยดีนะ”

“ฉันซื้อมา”

“งั้นก็เปลี่ยนเป็นเลือกร้านซื้อได้เก่งดีนะ”

“อย่าพูดมากได้ไหม รีบกินแล้วก็รีบกลับ”

“คุณนี่จริงๆ เลย” เขาพูดพลางคีบเส้นยากิโซบะหนานุ่ม “พูดตรงเกินไปก็ไม่ดีต่อผู้ฟังนะคุณ นี่ถ้าเป็นยัยตัวเล็กล่ะก็...”

“นายกับพลอยไม่เหมือนกัน อย่าคิดเอาไปเปรียบเทียบ”

“เลือกปฏิบัติ” เขาต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก “ใช่สิ ถ้าเป็นยัยตัวเล็กอ่ะนะ คุณคงรีบเข้าไปพะเน้าพะนอดูแลอย่างดีไม่มีที่ติ ได้รางวัลแม่ดีเด่นประจำปี”

“ใช่ ฉันรักพลอยมากและจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้พลอยเสียใจเป็นอันขาดรู้ไว้ซะด้วย”

ภีมลดตะเกียบในมือลง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายจนคิริมาต้องค้นหาความหมายของดวงตาคู่นั้น อดรู้สึกหงุดหงิดอย่างเสียไม่ได้ จนต้องส่งสายตาดุปรามเป็นระยะ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังขยันส่งสายตาส่อนัยน์บางอย่างที่เธอไม่รู้ให้อยู่ดี

สงครามสายตาสิ้นสุดลงเมื่อกริ่งหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คิริมาเบิกตากว้างเมื่อมองลอดช่องตาแมวแล้วเห็นว่าไม่ใช่ใครอื่น

“พี่แม็ท!”

“เฮ้ย! อะไรคุณ อุ๊บ” มือเรียวตะปบปากที่เริ่มจะพูดมากของเขา ก่อนจะออกแรงดันตัวคนสูงกว่าเข้าไปยัดไว้ในห้องนอน แล้วกระซิบบอกลอดไรฟัน

“อยู่ให้เงียบที่สุด ไม่งั้นนายตายแน่”

ภีมอ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่มีเสียงเพราะสายตาดุที่ส่งมา แต่เปรยกับตัวเองเบาๆ เมื่อบานประตูกระแทกใส่หน้า

“ท่านแม่ยังไม่ดุขนาดนี้เลย ผู้หญิงอาไร้ ดุอย่างกับ...”



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:29:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:29:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1560





<< เจ้าหญิงจอมเปิ่น   
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 5 เม.ย. 2554, 23:41:49 น.
กำลังมันส์ มาต่อไวไว นะ


srivara 14 พ.ค. 2555, 16:27:30 น.
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account