กลรักเกมหัวใจ
พีร์ หนุ่มเสเพลย์บอยรูปหล่อพ่อรวย ไม่ยอมทำการงานจนอายุปาเข้าไปจะ 30 แล้ว จนภูมิ บิดาของพีร์ไม่ยอมอ่อนข้อให้ลูกชายตัวแสบอีกต่อไป จึงบังคับให้พีร์เข้ามาฝึกงานเพื่อรับช่วงต่อเมื่อเขาจะเกษียณในอีกไม่ช้า
ผู้โชคร้ายได้รับมอบหมายให้เทรนงานให้เพลย์บอยตัวแสบผู้หลงตัวเองไม่มีใครเกินคือมาลินี เลขาฯ คู่ใจของภูมิซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาถึง 10 ปี นอกจากเรื่องงานที่เธอเลิศเลอเพอร์เฟคแล้ว เรื่องอื่น...จัดว่าไม่ได้เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาหญิงที่แม้แต่ครึ่งเล่มเกวียนก็ไม่มี
เมื่อคนต่างขั้วต้องมาเจอกัน ทั้งคู่จึงเป็นคู่ปากคู่ปรับกันตั้งแต่วันแรก แต่ก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากมาลินีไม่ปากไวไปนินทาทำนองปรามาสพีร์กับว่าที่เลขาฯ สาวอึ๋มสุดสะบึมของเขาว่า
"คุณพีร์น่ะหรือ...ให้ฟรีพี่ยังไม่เอาเลยค่ะคุณน้อง นอกจากหล่อไปวัน ๆ แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้าต้องเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ พี่ขอเป็นโสดไปตลอดชีวิตดีกว่า"
มีหรือที่คาสโนว่าตัวพ่ออย่างพีร์จะยอมปล่อยให้ว่าที่สาวขึ้นคานอย่างมาลินีได้กรีดกรายขึ้นไปนั่งบนคานทองอย่างสบายใจ ปากดีอย่างนี้ต้องจัดแผลใจไปไว้เป็นประสบการณ์รักขมๆ เพราะถึงคาสโนว่าอย่างเขาจะไม่มีอะไรดีนอกจากหล่อไปวัน ๆ แต่คำพูดของเธอมันหยามกันเกินไป ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้
เกมรักที่มีหัวใจของสาวทำงานอย่างมาลินีเป็นเดิมพันจึงเกิดขึ้น แต่ action เท่ากับ reaction ดังกฏของนิวตันว่าไว้ฉันใดก็ฉันนั้น ล่อลวงให้เขาหลง ก็ย่อมเสี่ยงต่อการหลงเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน งานนี้ใครจะเจ็บใครจะจำ....โปรดติดตาม ณ บัดนี้
ผู้โชคร้ายได้รับมอบหมายให้เทรนงานให้เพลย์บอยตัวแสบผู้หลงตัวเองไม่มีใครเกินคือมาลินี เลขาฯ คู่ใจของภูมิซึ่งทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาถึง 10 ปี นอกจากเรื่องงานที่เธอเลิศเลอเพอร์เฟคแล้ว เรื่องอื่น...จัดว่าไม่ได้เรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาหญิงที่แม้แต่ครึ่งเล่มเกวียนก็ไม่มี
เมื่อคนต่างขั้วต้องมาเจอกัน ทั้งคู่จึงเป็นคู่ปากคู่ปรับกันตั้งแต่วันแรก แต่ก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากมาลินีไม่ปากไวไปนินทาทำนองปรามาสพีร์กับว่าที่เลขาฯ สาวอึ๋มสุดสะบึมของเขาว่า
"คุณพีร์น่ะหรือ...ให้ฟรีพี่ยังไม่เอาเลยค่ะคุณน้อง นอกจากหล่อไปวัน ๆ แล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง ถ้าต้องเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ พี่ขอเป็นโสดไปตลอดชีวิตดีกว่า"
มีหรือที่คาสโนว่าตัวพ่ออย่างพีร์จะยอมปล่อยให้ว่าที่สาวขึ้นคานอย่างมาลินีได้กรีดกรายขึ้นไปนั่งบนคานทองอย่างสบายใจ ปากดีอย่างนี้ต้องจัดแผลใจไปไว้เป็นประสบการณ์รักขมๆ เพราะถึงคาสโนว่าอย่างเขาจะไม่มีอะไรดีนอกจากหล่อไปวัน ๆ แต่คำพูดของเธอมันหยามกันเกินไป ลูกผู้ชายอย่างเขาฆ่าได้หยามไม่ได้
เกมรักที่มีหัวใจของสาวทำงานอย่างมาลินีเป็นเดิมพันจึงเกิดขึ้น แต่ action เท่ากับ reaction ดังกฏของนิวตันว่าไว้ฉันใดก็ฉันนั้น ล่อลวงให้เขาหลง ก็ย่อมเสี่ยงต่อการหลงเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน งานนี้ใครจะเจ็บใครจะจำ....โปรดติดตาม ณ บัดนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ปวดหัว(ใจ)ในโจทย์แรก
การท้าทายจากบิดายังไม่เท่ากับความแค้นใจจากรอยยิ้มเยาะในหน้าซีด ๆ ของยายเลขาฯ คนเก่ง มาลินียิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่จริง ๆ เมื่อเห็นคู่อริได้งานมอบหมายที่น่าหนักใจ เศรษฐกิจช่วงนี้แย่จริง ๆ ทั้งความไม่มั่นคงทางการเมือง ทั้งภัยธรรมชาติสารพัดอย่างทั้งในและนอกประเทศ ขนาดผู้มีประสบการณ์การทำงานในฝ่ายการตลาดยังส่ายหน้า ยอมบอกว่าแค่ประคองรายได้ให้ทรงไว้อย่าให้ทรุดไปกว่านี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว คนไม่เคยทำงานอย่างพีร์มีหรือจะสามารถจัดการกับโจทย์นี้ได้ ภูมิคงตั้งใจทำให้ลูกชายล้มเหลวเพื่อเป็นประสบการณ์ทำงาน เผื่อจะได้ฉุกใจคิดได้ว่า ที่คิดไปเองว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถนั้นไม่ได้เป็นความจริงเลย หญิงสาวนึกรักท่านประธานขึ้นมาอีกอักโข พร้อมกันนั้นก็นึกเสียดายแทนที่ภูมิมีบุตรชายเพียงคนเดียว ทั้งนี้ก็เพราะมารดาของพีร์มีสุขภาพไม่ดี หลังจากคลอดลูกชายออกมาก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก และถึงแม้จะมีอนุภรรยาอีกมากมายจนนับนิ้วไม่ได้ ภูมิก็ไม่เคยปล่อยให้เกิดทายาทกับภรรยานอกกฎหมายคนไหน ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการทำร้ายจิตใจภรรยาเอกซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจการหาเศษหาเลยนอกบ้านของภูมิ ด้วยเหตุที่ตนเองก็สุขภาพไม่ดี ให้ความสุขแก่สามีได้ไม่เต็มที่ ความรักทั้งหมดจึงแทบจะทุ่มไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน รวมถึงความน้อยเนื้อต่ำใจจากสามีก็ถูกถ่ายทอดลงไปที่ลูกชายทั้งหมด
แต่แทนที่พ่อลูกชายจะเข้าใจหัวอกผู้หญิงของมารดา เขากลับได้แนวคิดไม่ศรัทธาในสถาบันครอบครัวมาครอบครองแทน สำหรับพีร์แล้วการแต่งงานจึงไม่ต่างอะไรกับการกระโจนเข้าไปในกองทุกข์ ในทัศนคติของเขาแล้ว ไม่มีทางเลยที่มนุษย์ต่างเพศกันจะตอบสนองความคาดหวังของกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งพยายามผูกพันกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีแต่ทุกข์ใจมากเท่านั้น เหมือนกับที่แม่ของเขาต้องทนทุกข์มาตลอดชีวิต พอ ๆ กับที่พ่อของเขาก็คงเสียใจไม่ต่างกันที่ไม่สามารถเป็นสามีที่รักเดียวใจเดียวได้ ฉะนั้น สำหรับพีร์แล้ว สนุกด้วยกันไปวัน ๆ ก็พอ ถ้าจะต้องแต่งงานมีลูกจริง ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องสืบสกุล ผู้หญิงคนที่จะต้องทำหน้าที่นี้ก็คงจะต้องเข้าใจเงื่อนไขและยอมรับแนวคิดของเขาได้
“นี่เป็นแฟ้มจากฝ่ายการตลาดค่ะคุณพีร์ มีสรุปแผนการตลาดย้อนหลัง 5 ปี แต่ถ้าคุณพีร์ดูแล้วติดใจสงสัยอะไร อยากจะให้นัดกับทางผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ก็บอกดิฉันได้นะคะ”
เสียงเรียบ ๆ เย็น ๆ ของมาลินีดึงพีร์ที่จ่อมจมอยู่กับการฟุ้งซ่านกลับมาสู่โต๊ะทำงาน เขามองแฟ้มหนาตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบแบบไม่ใส่ใจตามปกติว่า
“คุณก็นัดให้เลยสิ...ถ้าจะให้ดี เขียนแผนกระตุ้นยอดขายบ้าบออะไรนั่นให้ผมเลยจะขอบคุณมาก”
อาการประชดประชันตอนท้ายทำให้มาลินีอยากส่ายศีรษะให้กับความงี่เง่าของเจ้านาย แต่ต้องสะกดใจกลั้นไว้ ก่อนจะแย้งอย่างมีเหตุผล
“ดิฉันว่าก่อนจะนัดคุณน่าจะมีข้อมูลคร่าว ๆ ก่อนนะคะ อย่างน้อยจะได้มีอะไรไปซักถามฝ่ายการตลาดเขาบ้าง ไม่ใช่นัดให้เขามาเล่าสิ่งที่มันอยู่ในแฟ้มอยู่แล้ว อ้อ...อีกอย่าง ดิฉันว่าเขาคงอยากรู้เหมือนกันว่าลูกชายท่านประธานจะมีกึ๋นแค่ไหน อย่างน้อยก็อย่าทำให้ท่านขายหน้าเลยนะคะ”
เหมือนเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟอย่างไรอย่างนั้น พีร์ยืนขึ้นแล้วตบโต๊ะปังใหญ่จนมาลินียังสะดุ้ง ตะคอกใส่คุณเลขาฯ ที่หน้าเสียเพราะตกใจเสียงลั่น
“ผมไม่ได้ขอความคิดเห็นคุณก็ไม่ต้องเสนอ ให้ทำอะไรก็ทำเถอะ อ้อ...วันนี้ผมหงุดหงิด จะออกไปทำงานข้างนอก ถ้าไม่มีใครจะตายก็ไม่ต้องโทรตาม เข้าใจไหม”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผลุนผลันออกไป แฟ้มข้อมูลก็วางแน่นิ่งอยู่ที่โต๊ะแบบนั้น คราวนี้หญิงสาวเลยส่ายหน้าด้วยความระอา คนไม่รู้จักควบคุมอารมณ์แบบนี้ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นผู้บริหารที่ดี แล้วเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็น้อยออกจะตายไป แทนที่จะรีบศึกษาข้อมูล กลับออกไปเถลไถลเพราะอารมณ์เสีย
“เอะอะอะไรกันคะ เสียงดังออกไปถึงข้างนอก”
คุณแม่บ้านเตือนใจโผล่หน้าเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ รู้อยู่ว่าลูกชายท่านประธานเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณเลขาฯ แต่ว่าไม่เคยเสียงดังกันอย่างวันนี้ เห็นเขาเดินออกไปหลังไว ๆ แล้ว เตือนใจจึงรีบวิ่งเข้ามาดูว่ามาลินียังมีสภาพดีอยู่ไหม แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าสนิทสนมกัน แต่ที่ผ่านมา มาลินีก็ดีกับเตือนใจมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องการซื้อขนมนมเนยมาฝากเป็นครั้งคราว การช่วยเหลือทางการเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อเธอมีปัญหาครอบครัว
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...คุณพีร์เธอคง...ไม่ได้อย่างใจน่ะ”
สีหน้ายิ้มละไมของคนตอบทำให้เตือนใจนึกถึงคำพังเพยที่ว่าขนมพอสมน้ำยา รายนี้ก็คงรู้อยู่แล้วว่าจะกวนประสาทอีกคนอย่างไร คุณมะลิหนอคุณมะลิ...ไม่รู้จะทำไปทำไม คุณพีร์อย่างไรก็เป็นลูกชายท่านประธาน ถ้าเป็นเรื่องกันมาลินีก็มีแต่จะเสียเปรียบ
“คุณมะลิก็อย่าไปขัดใจเธอสิคะ เสียงดังน่ากลัวออกค่ะ ท่าทางเจ้าอารมณ์ไม่ใช่ย่อย”
“คนจริงไม่เสียงดังหรอกจ้ะเตือน คนไม่จริงถึงจะเอาเสียงเข้าข่ม เตือนไม่ต้องตกใจไปนะจ๊ะ ทำใจไว้เลยดีกว่า มะลิว่าคงมีมาเรื่อย ๆ แหละ พูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ก็ต้องเสียงดังเข้าว่า”
สองสาวสนทนากันโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าตัวที่ปึงปังออกไปเมื่อสักครู่เดินกลับมายืนฟังอยู่หน้าห้องที่ไม่ได้ปิดประตูด้วยอาการกัดฟันกรอด ๆ พีร์ลืมกุญแจรถจึงย้อนกลับมา ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้ยินคำนินทากาเลจากแม่เลขาฯ หน้าจืดนี่ กล้ามากที่ทำกับเขาแบบนี้ แล้วจะได้เห็นดีกันในไม่ช้า
วันนั้นทั้งวันพีร์ไม่กลับเข้ามาออฟฟิซอีกเลย...แต่วันรุ่งขึ้น เขาเข้ามาทำงานตามปกติ พร้อมกับหญิงสาวที่สวยเจิดจรัสราวกับนางแบบ คงจะสวยกว่านี้ถ้าบนร่างกายของเธอมีเสื้อผ้าที่มิดชิดมากกว่านี้ ไม่ใช่เสื้อสายเดี่ยวกับกระโปรงสั้นเต่อ แต่งหน้าแต่งตาแบบจัดเต็มจนคนมองต้องเหลียวหลังตามดูให้แน่ใจว่าอยู่ในสำนักงาน ไม่ใช่อยู่ที่งานมอเตอร์โชว์
“หนุงหนิง...ไหว้ป้า...เอ๊ย ไม่ใช่ พี่เขาสิ พี่เขาชื่อมะลิ จะเป็นคนสอนงานเลขาฯ ให้หนุงหนิง”
พีร์แนะนำสมาชิกใหม่ให้รู้จักกับมาลินีซึ่งนั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะประจำ หนุงหนิงกระพุ่มมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างเรียบร้อย แต่สีหน้าปิดไม่มิดว่าดูแคลนสภาพทางกายของคนตรงหน้า ถ้าคะแนนความงามเต็มร้อย หนุงหนิงคงให้มาลินีอยู่ที่สิบกว่าๆ เทียบกับเธอซึ่งเกือบเต็มแล้ว ต่างกันราวเหวกับฟ้า
“จัดที่นั่งให้หนุงหนิงด้วยนะ....แต่ว่า หนุงหนิงคงไม่ค่อยได้นั่งหรอก ผมอยากให้หนุงหนิงนั่งกับผมมากกว่า”
ท้ายประโยคหันไปพูดแบบมีลับลมคมนัยกับว่าที่เลขาฯ ใหม่ หนุงหนิงรับลูกด้วยการทำท่าสะเทิ้นอาย บิดซ้ายขวาแล้วฟาดมือเรียวที่ประดับด้วยเล็บยาวสีแดงสดใสไปที่บ่าของชายหนุ่มเบา ๆ
“แหม...พี่พีร์อะ...เอาเปรียบหนุงหนิงเรื่อยเชียว...บ้า หนุงหนิงมาทำงานเป็นเลขาฯ นะคะ”
“พี่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกนี่จ๊ะ...น่า...หนุงหนิงคงไม่ใจร้ายกับพี่เหมือนคนแถวนี้ใช่ไหมคะ ถ้าหนุงหนิงใจร้าย พี่คงเสียใจ เอาอย่างนี้ดีกว่า ระหว่างรอโต๊ะของหนุงหนิง หนุงหนิงมานั่งกับพี่ดีกว่าค่ะ”
โชคดีที่พีร์ลากหนุงหนิงไปนั่งกระแซะกันที่โต๊ะทำงานเสียก่อน ไม่อย่างนั้น ทั้งคู่คงได้รู้ว่ามาลินีกินอะไรเป็นอาหารเช้า เพราะหญิงสาวคลื่นไส้ถึงขีดสุด ให้ตายสิ...หมอนี่นี่งี่เง่าเข้าขั้นเทพแล้วจริง ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดแผนกระตุ้นยอดขายมหาหิน ดันเอาเวลาไปหาลิงมาหัดขึ้นมะพร้าว เอ๊ย...ไม่ใช่ หานางแบบมาฝึกเป็นเลขาฯ
หนุงหนิงที่เขาพามาเป็นสาววัย 24 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าใกล้จะจบมากแล้ว เหลือเก็บหน่วยกิตอีกตัวสองตัวเท่านั้น คงไม่เกินเทอมหน้า มาลินีจึงกลับไปแจ้งให้พีร์ทราบว่า
“ปกติเลขาฯ เรารับวุฒิฯ ปริญญาตรีนะคะ”
“ก็น้องเค้ากำลังจะจบเร็ว ๆ นี้แล้ว รับเข้ามาก่อนจะเป็นไรไป”
“มันผิดระเบียบน่ะค่ะ ถ้าคุณพีร์ทำแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการลดมาตรฐานงานบุคคลนะคะ”
“ผมไม่สนใจ...เลขาฯ ผม ผมเป็นคนกำหนดคุณสมบัติ เลขาฯ คนอื่นจะเป็นไงก็ช่างสิ”
ถ้าเป็นเพื่อนหรือน้อง มาลินีคงร้อง อ้าว...เว้ยเฮ้ย หรืออะไรคล้าย ๆ กัน แต่เพราะเป็นพีร์ หญิงสาวจึงทำได้แค่ลอบถอนใจ พลางเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับว่าที่เลขาฯ คนใหม่ หากพีร์ยอมเลิกนัวเนียและปล่อยตัวหนุงหนิงให้มีเวลาว่างบ้าง
การฝึกหนุงหนิงให้เป็นเลขาฯ จะว่ายากก็ยาก เพราะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ติดลบเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเธอไม่มีความรู้หรือทักษะพื้นฐานอะไรเลย พิมพ์ภาษาไทยก็ช้ามาก ภาษาอังกฤษยิ่งไปกันใหญ่ อย่าว่าแต่ทักษะทางคอมพิวเตอร์เลย หนุงหนิงใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิซแทบไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ด้วยพื้นฐานแบบนี้ มาลินีคิดว่ากว่าจะพอเป็นงานคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 เดือน แต่ข้อดีของหนุงหนิงคือ ไม่ดื้อและไม่ขี้เกียจ ถ้าไม่นับเวลาที่ถูกพีร์ดึงตัวไปนัวเนียแล้ว หนุงหนิงแทบจะไม่อู้เลยก็ว่าได้ แถมยังเคารพนบนอบมาลินีราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ แม้มาลินีจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงการแสดงก็ตาม
พร้อมกับการฝึกหนุงหนิง มาลินียังต้องช่วยพีร์เรื่องแผนการกระตุ้นยอดขาย ทั้งเรื่องหาข้อมูล รับฟังแนวคิดไปพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารประกอบและทำพรีเซนเทชั่น หญิงสาวต้องทำงานล่วงเวลาถึงสามสี่ทุ่มติดกันทุกวันตลอดสัปดาห์นั้น ยิ่งเวลางวดเข้า พีร์ก็ยิ่งเคร่งเครียด ยิ่งพีร์เคร่งเครียด เขาก็ยิ่งนัวเนียกับหนุงหนิงและจิกใช้มาลินีอย่างกับข้าทาส
“พรีเซนเทชั่นจืดชืดแบบนี้ใครจะไปสนใจ ไหนคุณว่าเป็นเลขาฯ มืออาชีพไง ทำไมถึงทำได้แค่นี้”
“ผมต้องการข้อมูลยอดขายสินค้าอุปโภคพรีเมี่ยมเกรดสามปี คุณก็หามาแค่นี้ คิดเองไม่เป็นหรือไงว่าควรทำอัตราการเติบโตมาด้วย...ต้องให้ผมสั่งทุกอย่างหรือไง คิดเองบ้างเป็นไหม”
มาลินีอยากจะย้อนว่า อยากได้อะไรก็สั่งมาให้ละเอียดสิเว้ย คุณภูมิพ่อของคุณยังไม่เคยจิกหัวใช้ฉันขนาดนี้เลย แต่...ถ้ามัวแต่เถียงกันก็คงจะลงเอยด้วยการเสียเวลา สู้เอาเวลามาปั่นงานให้เสร็จดีกว่า
ค่ำคืนสุดท้ายของการเตรียมงาน มาลินีนั่งแก้ไขงานตามคำสั่งของพีร์อย่างบ้าคลั่ง ส่วนหนุงหนิงผู้ช่วยทำอะไรไม่ได้นอกจากถ่ายเอกสารและจัดเรียงก็เลี่ยงไปนั่งสัปหงกรอเรียกใช้อยู่อีกทาง
“แก้...แก้ใหม่ให้หมด ยกเลิกเอกสารชุดเดิมให้หมดเดี๋ยวนี้ เอาตามที่ผมร่างให้ใหม่”
เสียงสั่งการอันเคร่งเครียดจากเจ้านายใหม่เปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้าย มาลินีลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนที่ยามนี้หมดสภาพหนุ่มหล่ออย่างสิ้นเชิง ตาแดงก่ำ เสื้อเชิ้ตถูกม้วนแขนขึ้น ชายเสื้อหลุดออกจากขอบกางเกงเกือบหมด ไม่ต้องพูดถึงเสื้อสูทกับเนคไทที่ถูกโยนไปคนละทาง ผมเผ้าที่เคยเป็นทรงหล่อเหลาดูยุ่งเหยิงราวกับถูกสาว ๆ ที่ทำให้อกหักรุมทึ้ง จะว่าไปก็สภาพไม่ค่อยต่างจากมาลินีเท่าไหร่ เธอเองก็อึดอัดจนต้องถอดเสื้อสูทพาดไว้กับพนักเก้าอี้เหมือนกัน ผมที่เคยมุ่นไว้เป็นมวยเนี้ยบไม่กระดิก บัดนี้ก็รุ่ยร่ายเพราะไม่มีเวลาคอยจับจัด แถมยังถูกเจ้าตัวดึงทึ้งเวลาหงุดหงิดที่พิมพ์งานผิดบ้างช้างบ้างไม่ได้อย่างใจ หน้าหรือก็มันย่องจนแว่นเลื่อนหลุดลงมาอยู่ที่ปลายจมูกจนไม่อยากจะเสียเวลาเลื่อนขึ้นอีกแล้ว ให้มันตกๆ แก่ๆ ไปอย่างนี้แหละ
“ไม่แก้แล้วค่ะ ดิฉันว่าแผนล่าสุดที่จัดเตรียมเอกสารเสร็จแล้วนี่ล่ะ เพอร์เฟคท์สุดแล้ว คุณพีร์ควรเตรียมซ้อมนำเสนอและหาข้อมูลไว้ตอบคำถามจากกรรมการบริหารดีกว่าค่ะ ถ้ามัวแต่แก้กลับไปกลับมาเนี่ย เวลาซ้อมและเตรียมข้อมูลจะไม่พอเอานะคะ”
“คุณทำตามที่ผมสั่งเถอะ อย่ามัวเสียเวลาทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ขอให้คุณทำอยู่เลย”
“แต่นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะคะ คุณอาจจะไม่เหนื่อย แต่ฉันเหนื่อย หนุงหนิงก็เหนื่อย ดูนั่นสิ...นั่งฟุบพับหลับไปแล้ว ฉันว่าพอเถอะค่ะ ถึงคุณจะเป็นเจ้านาย แต่ฉันว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย...ฉันจะกลับบ้าน”
มาลินีไม่พูดเปล่าแต่หยิบกระเป๋าสะพายมาเปิด โยนโทรศัพท์มือถือกับของกระจุกระจิกบางอย่างลงไป ก่อนหันไปคว้าเสื้อสูทที่พาดไว้ ตั้งท่าจะสวม แต่ถูกคนตัวสูงใหญ่กว่าคว้าแขนไว้เสียก่อน พีร์ก้าวเข้ามาจนชิดร่างอวบ ก่อนเค้นเสียงกระซิบที่ริมหูของหญิงสาว
“ผมยังไม่ได้อนุญาต”
“ฉันไม่จำเป็นต้องรอคำอนุญาตของคุณ นี่มันเกินกว่าเหตุไปแล้ว ฉันจะกลับแล้ว ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ยิ่งบอกให้ปล่อย มือใหญ่ก็บีบที่ต้นแขนของเธอแน่นขึ้นจนหญิงสาวนิ่วหน้า เจ็บกายก็เจ็บ แต่โมโหมากกว่า
“ฉันบอกให้ปล่อย”
“ทำงานให้เสร็จก่อน...อย่าทำตัวเป็นคนไม่รับผิดชอบ สะบัดก้นทิ้งเจ้านายไปอย่างนี้”
“ถ้าเจ้านายเป็นคนตั้งใจทำงานดี รับผิดชอบทำงานในเวลาที่ผ่านมาเต็มที่ ฉันก็ไม่มีทางทิ้งอยู่แล้ว แต่นี่มัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ แล้วจะให้ฉันต้องอยู่ดึกดื่นค่อนคืนเพื่อเจ้านายแบบนี้เนี่ยนะ....คุณว่าแฟร์กับฉันไหมล่ะ”
คำพูดตรงแรงแถมด้วยสีหน้าเหยียดหยันของมาลินีทำให้อีกฝ่ายที่ไม่เคยทำอะไรเหนื่อยหนักเท่านี้มาก่อนโมโหจนหน้ามืด...ก่อนจะมีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พีร์ก็ก้มจูบปากอิ่มที่พ่นไฟใส่เขาอย่างดุดันเพื่อเป็นการลงโทษ จุมพิตโหดร้ายทำให้มาลินีทั้งผลักทั้งทุบหน้าอกของคนบ้าอำนาจเป็นพัลวัน แต่กว่าพีร์จะหยุดได้ ก็เล่นเอาหญิงสาวถึงกับร้องไห้น้ำตาเปรอะเต็มแก้มอิ่มกลมด้วยความแค้นใจ ไม่ได้เสียดายที่จูบนี้เป็นจูบแรก แต่เสียใจที่ถูกผู้ชายเอาเปรียบด้วยพละกำลังที่มากกว่า
“คุณ....คุณมัน...ไอ้บ้า”
หญิงสาวแผดเสียงใส่พีร์ดังลั่น สะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมได้ก็คว้ากระเป๋าถือโดยไม่สนใจเสื้อสูทที่กะว่าจะเอามาใส่คลุมทับเสื้อไม่มีแขน ไม่ต้องแคร์ว่าจะโชว์ต้นแขนอวบให้คนบนรถไฟฟ้าหิวขาหมูตอนดึกแล้ว นาทีนี้มาลินีขอไปจากสถานที่ที่น่าอับอายตรงนี้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากับภูมิว่าจะขอย้ายกลับไปทำหน้าที่เดิม หน้าที่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายตัวร้ายของท่าน ก็หาคนมาทำใหม่ก็แล้วกัน
พีร์เองก็ยืนงงกับความระห่ำของตัวเองจนไม่ได้ทัดทานเมื่ออีกฝ่ายผลุนผลันออกไปเช่นกัน เขาโมโหจนขาดสติ แต่ขาดสติแค่ไหนก็ไม่ควรทำอะไรที่เกินเลยเช่นเมื่อสักครู่นี้ แต่หน้าเชิด ๆ สีหน้าหยัน ๆ ปากยื่น ๆ ของยายนั่นแล้ว เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปได้อย่างไร ที่ประหลาดใจมากกว่าก็คือ จูบกับยายนั่นแล้ว รู้สึกดีเป็นบ้า แม้จะถูกทั้งผลักทั้งทุบ แต่ร่างอวบอัดที่เขารัดไว้กลับให้ความรู้สึกรัญจวนใจ
“เสียงดังอะไรกันคะพี่พีร์ อ้าว....แล้วพี่มะลิล่ะคะ ไปไหนแล้วล่ะ หรือว่าไปห้องน้ำ”
หนุงหนิงเพิ่งจะงัวเงียลุกขึ้นมาถามคนที่ยืนเบลออยู่อย่างแปลกใจ คนถูกถามไม่ตอบ แต่กลับบอกเธอว่า
“ไปเตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวผมจะไปส่ง วันนี้พอแค่นี้แหละ พรุ่งนี้ค่อยไปตายเอาดาบหน้า”
“อ้าว...พี่พีร์พูดแบบนี้แปลว่างานยังไม่เสร็จหรือเปล่าคะ ยังไม่เสร็จแล้วจะกลับได้ไงล่ะคะ หนุงหนิงงงไปหมดแล้วนะ”
อาการบ้องแบ๊วของหนุงหนิงกระตุ้นต่อมหงุดหงิดของชายหนุ่มขึ้นมาทันที เขาหันมาทำหน้ายักษ์ใส่คนช่างถาม เสียงแข็งจนหนุงหนิงหัวหด ได้แต่เดินตามเขาไปต้อย ๆ อย่างเงียบฉี่
“บอกว่ากลับก็กลับสิ...เว้ยเฮ้ย เลขาฯ บริษัทนี้มันเป็นอะไรกันวะ....ไอ้ที่บอกก็ไม่ทำ ไอ้ที่ไม่ให้ทำก็จะทำกันจริง ไม่เสร็จก็ไม่ทำแล้วเว้ย...พรุ่งนี้ถ้ามันห่วยนักก็ให้มันถูกไล่ออกไปเลย ให้มันรู้ไปว่าจะถูกไล่ออกจากบริษัทพ่อตัวเอง”
วันรุ่งขึ้นมาลินีลาป่วยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การไม่ปรากฏกายของเลขาฯ ทำให้ภูมิต้องออกปากถามลูกชายที่นั่งหน้ายู่อยู่ด้วยความประหลาดใจ
“อ้าว หนูมะลิล่ะ ทำไมไม่เข้ามาช่วยแก”
“ไม่รู้ เห็นมีคนบอกว่าลาป่วย ตายไปแล้วมั้งพ่อ ถ้าห่วงนัก พ่อก็โทรไปถามอาการเขาเองสิ”
“เออ...เว้ย ไอ้นี่ ถามแค่นี้ก็ทำมีน้ำโหไปได้ เอาล่ะ...แกมีอะไรก็เสนอมา ไหนดูซิว่าจะมีแนวโน้มกระตุ้นยอดขายได้จริงไหม”
ภูมิตัดบทก่อนหันไปสนทนากับกรรมการบริหารคนอื่น ๆ ปล่อยให้ลูกชายเตรียมตัวเตรียมใจสักครู่ ก่อนเริ่มการบรรยายหัวข้อที่เตรียมการณ์มา ในที่สุดการนำเสนอแผนก็จบลงอย่างแกน ๆ แต่เนื้อหาของแผนที่พีร์นำเสนอมีผู้ฟังหลายคนเห็นด้วยและเสนอให้ปฏิบัติอย่างจริงจัง
“ผมเห็นด้วยกับทิศทางที่คุณพีร์เสนอนะครับ จับตลาดสินค้าพรีเมี่ยมเป็นหลัก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มาร์จินมากกว่า ถ้าเพิ่มยอดขายกลุ่มนี้ได้ ยอดขายรวมก็ต้องกระเตื้องขึ้นอยู่แล้ว ทุ่มโฆษณา หาแคมเปญอะไรใหญ่ ๆ ให้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ก็น่าจะเป็นการทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าเราได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งเน้นไปที่พวกกลุ่มคนดัง ก็น่าจะยิ่งได้ผล คุณพีร์เก่งสมเป็นลูกชายคุณภูมิเลยนะครับ เห็นท่าทางสบาย ๆ ไม่นึกเลยว่าจะทำการบ้านมาหนักจริงๆ”
พีร์อยากจะหันไปยิ้มเย้ยยายเลขาฯ ตัวดีถ้าเพียงแต่มาลินีจะนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่แล้วเขาก็สะดุ้ง เพราะนึกได้ว่า แผนนี้เกือบจะไม่ได้ถูกนำเสนอ หากเธอไม่ยืนยันว่าจะไม่แก้ไขแผนให้จนมีเรื่องลุกลามเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มนึกพลางลูบริมฝีปากอย่างใจลอย
“เอ้า...เจ้าพีร์ เหม่ออะไร อาอำนวยเขาชมแกแหนะ....อย่าชมมันนักเลยอำนวย ไอ้นี่มันคงฟลุคน่ะ อีกอย่าง...พี่ก็ให้หนูมะลิคอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่ ถ้าจะชมเจ้านี่ก็ต้องเผื่อแผ่คำชมไปให้หนูมะลิด้วย สงสัยหมอนี่ใช้งานเลขาฯ หนักมาก ดูสิ....วันนี้ลาป่วยเลย ว่าแต่เมื่อคืนคงอยู่ดึกสินะ กลับกันกี่ทุ่มกี่ยามล่ะ”
“ห้าทุ่มกว่าครับ พ่อครับ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะฮะ”
พีร์ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตหรือไม่ เขาพยักหน้าให้หนุงหนิงเดินตามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผสมเหนื่อยล้า เอาแฟ้มงานกลับไปโยนไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลากหนุงหนิงออกจากออฟฟิซพลางบอกเธอว่า
“ไปเที่ยวเล่นกันดีกว่าหนุงหนิง วันนี้พี่ไม่ทำงานแล้วล่ะ....เบื่อ”
แต่แทนที่พ่อลูกชายจะเข้าใจหัวอกผู้หญิงของมารดา เขากลับได้แนวคิดไม่ศรัทธาในสถาบันครอบครัวมาครอบครองแทน สำหรับพีร์แล้วการแต่งงานจึงไม่ต่างอะไรกับการกระโจนเข้าไปในกองทุกข์ ในทัศนคติของเขาแล้ว ไม่มีทางเลยที่มนุษย์ต่างเพศกันจะตอบสนองความคาดหวังของกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งพยายามผูกพันกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีแต่ทุกข์ใจมากเท่านั้น เหมือนกับที่แม่ของเขาต้องทนทุกข์มาตลอดชีวิต พอ ๆ กับที่พ่อของเขาก็คงเสียใจไม่ต่างกันที่ไม่สามารถเป็นสามีที่รักเดียวใจเดียวได้ ฉะนั้น สำหรับพีร์แล้ว สนุกด้วยกันไปวัน ๆ ก็พอ ถ้าจะต้องแต่งงานมีลูกจริง ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องสืบสกุล ผู้หญิงคนที่จะต้องทำหน้าที่นี้ก็คงจะต้องเข้าใจเงื่อนไขและยอมรับแนวคิดของเขาได้
“นี่เป็นแฟ้มจากฝ่ายการตลาดค่ะคุณพีร์ มีสรุปแผนการตลาดย้อนหลัง 5 ปี แต่ถ้าคุณพีร์ดูแล้วติดใจสงสัยอะไร อยากจะให้นัดกับทางผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ก็บอกดิฉันได้นะคะ”
เสียงเรียบ ๆ เย็น ๆ ของมาลินีดึงพีร์ที่จ่อมจมอยู่กับการฟุ้งซ่านกลับมาสู่โต๊ะทำงาน เขามองแฟ้มหนาตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบแบบไม่ใส่ใจตามปกติว่า
“คุณก็นัดให้เลยสิ...ถ้าจะให้ดี เขียนแผนกระตุ้นยอดขายบ้าบออะไรนั่นให้ผมเลยจะขอบคุณมาก”
อาการประชดประชันตอนท้ายทำให้มาลินีอยากส่ายศีรษะให้กับความงี่เง่าของเจ้านาย แต่ต้องสะกดใจกลั้นไว้ ก่อนจะแย้งอย่างมีเหตุผล
“ดิฉันว่าก่อนจะนัดคุณน่าจะมีข้อมูลคร่าว ๆ ก่อนนะคะ อย่างน้อยจะได้มีอะไรไปซักถามฝ่ายการตลาดเขาบ้าง ไม่ใช่นัดให้เขามาเล่าสิ่งที่มันอยู่ในแฟ้มอยู่แล้ว อ้อ...อีกอย่าง ดิฉันว่าเขาคงอยากรู้เหมือนกันว่าลูกชายท่านประธานจะมีกึ๋นแค่ไหน อย่างน้อยก็อย่าทำให้ท่านขายหน้าเลยนะคะ”
เหมือนเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟอย่างไรอย่างนั้น พีร์ยืนขึ้นแล้วตบโต๊ะปังใหญ่จนมาลินียังสะดุ้ง ตะคอกใส่คุณเลขาฯ ที่หน้าเสียเพราะตกใจเสียงลั่น
“ผมไม่ได้ขอความคิดเห็นคุณก็ไม่ต้องเสนอ ให้ทำอะไรก็ทำเถอะ อ้อ...วันนี้ผมหงุดหงิด จะออกไปทำงานข้างนอก ถ้าไม่มีใครจะตายก็ไม่ต้องโทรตาม เข้าใจไหม”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผลุนผลันออกไป แฟ้มข้อมูลก็วางแน่นิ่งอยู่ที่โต๊ะแบบนั้น คราวนี้หญิงสาวเลยส่ายหน้าด้วยความระอา คนไม่รู้จักควบคุมอารมณ์แบบนี้ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นผู้บริหารที่ดี แล้วเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็น้อยออกจะตายไป แทนที่จะรีบศึกษาข้อมูล กลับออกไปเถลไถลเพราะอารมณ์เสีย
“เอะอะอะไรกันคะ เสียงดังออกไปถึงข้างนอก”
คุณแม่บ้านเตือนใจโผล่หน้าเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ รู้อยู่ว่าลูกชายท่านประธานเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณเลขาฯ แต่ว่าไม่เคยเสียงดังกันอย่างวันนี้ เห็นเขาเดินออกไปหลังไว ๆ แล้ว เตือนใจจึงรีบวิ่งเข้ามาดูว่ามาลินียังมีสภาพดีอยู่ไหม แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าสนิทสนมกัน แต่ที่ผ่านมา มาลินีก็ดีกับเตือนใจมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องการซื้อขนมนมเนยมาฝากเป็นครั้งคราว การช่วยเหลือทางการเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อเธอมีปัญหาครอบครัว
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...คุณพีร์เธอคง...ไม่ได้อย่างใจน่ะ”
สีหน้ายิ้มละไมของคนตอบทำให้เตือนใจนึกถึงคำพังเพยที่ว่าขนมพอสมน้ำยา รายนี้ก็คงรู้อยู่แล้วว่าจะกวนประสาทอีกคนอย่างไร คุณมะลิหนอคุณมะลิ...ไม่รู้จะทำไปทำไม คุณพีร์อย่างไรก็เป็นลูกชายท่านประธาน ถ้าเป็นเรื่องกันมาลินีก็มีแต่จะเสียเปรียบ
“คุณมะลิก็อย่าไปขัดใจเธอสิคะ เสียงดังน่ากลัวออกค่ะ ท่าทางเจ้าอารมณ์ไม่ใช่ย่อย”
“คนจริงไม่เสียงดังหรอกจ้ะเตือน คนไม่จริงถึงจะเอาเสียงเข้าข่ม เตือนไม่ต้องตกใจไปนะจ๊ะ ทำใจไว้เลยดีกว่า มะลิว่าคงมีมาเรื่อย ๆ แหละ พูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ก็ต้องเสียงดังเข้าว่า”
สองสาวสนทนากันโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าตัวที่ปึงปังออกไปเมื่อสักครู่เดินกลับมายืนฟังอยู่หน้าห้องที่ไม่ได้ปิดประตูด้วยอาการกัดฟันกรอด ๆ พีร์ลืมกุญแจรถจึงย้อนกลับมา ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้ยินคำนินทากาเลจากแม่เลขาฯ หน้าจืดนี่ กล้ามากที่ทำกับเขาแบบนี้ แล้วจะได้เห็นดีกันในไม่ช้า
วันนั้นทั้งวันพีร์ไม่กลับเข้ามาออฟฟิซอีกเลย...แต่วันรุ่งขึ้น เขาเข้ามาทำงานตามปกติ พร้อมกับหญิงสาวที่สวยเจิดจรัสราวกับนางแบบ คงจะสวยกว่านี้ถ้าบนร่างกายของเธอมีเสื้อผ้าที่มิดชิดมากกว่านี้ ไม่ใช่เสื้อสายเดี่ยวกับกระโปรงสั้นเต่อ แต่งหน้าแต่งตาแบบจัดเต็มจนคนมองต้องเหลียวหลังตามดูให้แน่ใจว่าอยู่ในสำนักงาน ไม่ใช่อยู่ที่งานมอเตอร์โชว์
“หนุงหนิง...ไหว้ป้า...เอ๊ย ไม่ใช่ พี่เขาสิ พี่เขาชื่อมะลิ จะเป็นคนสอนงานเลขาฯ ให้หนุงหนิง”
พีร์แนะนำสมาชิกใหม่ให้รู้จักกับมาลินีซึ่งนั่งพิมพ์งานอยู่ที่โต๊ะประจำ หนุงหนิงกระพุ่มมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างเรียบร้อย แต่สีหน้าปิดไม่มิดว่าดูแคลนสภาพทางกายของคนตรงหน้า ถ้าคะแนนความงามเต็มร้อย หนุงหนิงคงให้มาลินีอยู่ที่สิบกว่าๆ เทียบกับเธอซึ่งเกือบเต็มแล้ว ต่างกันราวเหวกับฟ้า
“จัดที่นั่งให้หนุงหนิงด้วยนะ....แต่ว่า หนุงหนิงคงไม่ค่อยได้นั่งหรอก ผมอยากให้หนุงหนิงนั่งกับผมมากกว่า”
ท้ายประโยคหันไปพูดแบบมีลับลมคมนัยกับว่าที่เลขาฯ ใหม่ หนุงหนิงรับลูกด้วยการทำท่าสะเทิ้นอาย บิดซ้ายขวาแล้วฟาดมือเรียวที่ประดับด้วยเล็บยาวสีแดงสดใสไปที่บ่าของชายหนุ่มเบา ๆ
“แหม...พี่พีร์อะ...เอาเปรียบหนุงหนิงเรื่อยเชียว...บ้า หนุงหนิงมาทำงานเป็นเลขาฯ นะคะ”
“พี่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกนี่จ๊ะ...น่า...หนุงหนิงคงไม่ใจร้ายกับพี่เหมือนคนแถวนี้ใช่ไหมคะ ถ้าหนุงหนิงใจร้าย พี่คงเสียใจ เอาอย่างนี้ดีกว่า ระหว่างรอโต๊ะของหนุงหนิง หนุงหนิงมานั่งกับพี่ดีกว่าค่ะ”
โชคดีที่พีร์ลากหนุงหนิงไปนั่งกระแซะกันที่โต๊ะทำงานเสียก่อน ไม่อย่างนั้น ทั้งคู่คงได้รู้ว่ามาลินีกินอะไรเป็นอาหารเช้า เพราะหญิงสาวคลื่นไส้ถึงขีดสุด ให้ตายสิ...หมอนี่นี่งี่เง่าเข้าขั้นเทพแล้วจริง ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดแผนกระตุ้นยอดขายมหาหิน ดันเอาเวลาไปหาลิงมาหัดขึ้นมะพร้าว เอ๊ย...ไม่ใช่ หานางแบบมาฝึกเป็นเลขาฯ
หนุงหนิงที่เขาพามาเป็นสาววัย 24 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าใกล้จะจบมากแล้ว เหลือเก็บหน่วยกิตอีกตัวสองตัวเท่านั้น คงไม่เกินเทอมหน้า มาลินีจึงกลับไปแจ้งให้พีร์ทราบว่า
“ปกติเลขาฯ เรารับวุฒิฯ ปริญญาตรีนะคะ”
“ก็น้องเค้ากำลังจะจบเร็ว ๆ นี้แล้ว รับเข้ามาก่อนจะเป็นไรไป”
“มันผิดระเบียบน่ะค่ะ ถ้าคุณพีร์ทำแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการลดมาตรฐานงานบุคคลนะคะ”
“ผมไม่สนใจ...เลขาฯ ผม ผมเป็นคนกำหนดคุณสมบัติ เลขาฯ คนอื่นจะเป็นไงก็ช่างสิ”
ถ้าเป็นเพื่อนหรือน้อง มาลินีคงร้อง อ้าว...เว้ยเฮ้ย หรืออะไรคล้าย ๆ กัน แต่เพราะเป็นพีร์ หญิงสาวจึงทำได้แค่ลอบถอนใจ พลางเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับว่าที่เลขาฯ คนใหม่ หากพีร์ยอมเลิกนัวเนียและปล่อยตัวหนุงหนิงให้มีเวลาว่างบ้าง
การฝึกหนุงหนิงให้เป็นเลขาฯ จะว่ายากก็ยาก เพราะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ติดลบเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเธอไม่มีความรู้หรือทักษะพื้นฐานอะไรเลย พิมพ์ภาษาไทยก็ช้ามาก ภาษาอังกฤษยิ่งไปกันใหญ่ อย่าว่าแต่ทักษะทางคอมพิวเตอร์เลย หนุงหนิงใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิซแทบไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ด้วยพื้นฐานแบบนี้ มาลินีคิดว่ากว่าจะพอเป็นงานคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 เดือน แต่ข้อดีของหนุงหนิงคือ ไม่ดื้อและไม่ขี้เกียจ ถ้าไม่นับเวลาที่ถูกพีร์ดึงตัวไปนัวเนียแล้ว หนุงหนิงแทบจะไม่อู้เลยก็ว่าได้ แถมยังเคารพนบนอบมาลินีราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ แม้มาลินีจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงการแสดงก็ตาม
พร้อมกับการฝึกหนุงหนิง มาลินียังต้องช่วยพีร์เรื่องแผนการกระตุ้นยอดขาย ทั้งเรื่องหาข้อมูล รับฟังแนวคิดไปพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารประกอบและทำพรีเซนเทชั่น หญิงสาวต้องทำงานล่วงเวลาถึงสามสี่ทุ่มติดกันทุกวันตลอดสัปดาห์นั้น ยิ่งเวลางวดเข้า พีร์ก็ยิ่งเคร่งเครียด ยิ่งพีร์เคร่งเครียด เขาก็ยิ่งนัวเนียกับหนุงหนิงและจิกใช้มาลินีอย่างกับข้าทาส
“พรีเซนเทชั่นจืดชืดแบบนี้ใครจะไปสนใจ ไหนคุณว่าเป็นเลขาฯ มืออาชีพไง ทำไมถึงทำได้แค่นี้”
“ผมต้องการข้อมูลยอดขายสินค้าอุปโภคพรีเมี่ยมเกรดสามปี คุณก็หามาแค่นี้ คิดเองไม่เป็นหรือไงว่าควรทำอัตราการเติบโตมาด้วย...ต้องให้ผมสั่งทุกอย่างหรือไง คิดเองบ้างเป็นไหม”
มาลินีอยากจะย้อนว่า อยากได้อะไรก็สั่งมาให้ละเอียดสิเว้ย คุณภูมิพ่อของคุณยังไม่เคยจิกหัวใช้ฉันขนาดนี้เลย แต่...ถ้ามัวแต่เถียงกันก็คงจะลงเอยด้วยการเสียเวลา สู้เอาเวลามาปั่นงานให้เสร็จดีกว่า
ค่ำคืนสุดท้ายของการเตรียมงาน มาลินีนั่งแก้ไขงานตามคำสั่งของพีร์อย่างบ้าคลั่ง ส่วนหนุงหนิงผู้ช่วยทำอะไรไม่ได้นอกจากถ่ายเอกสารและจัดเรียงก็เลี่ยงไปนั่งสัปหงกรอเรียกใช้อยู่อีกทาง
“แก้...แก้ใหม่ให้หมด ยกเลิกเอกสารชุดเดิมให้หมดเดี๋ยวนี้ เอาตามที่ผมร่างให้ใหม่”
เสียงสั่งการอันเคร่งเครียดจากเจ้านายใหม่เปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้าย มาลินีลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนที่ยามนี้หมดสภาพหนุ่มหล่ออย่างสิ้นเชิง ตาแดงก่ำ เสื้อเชิ้ตถูกม้วนแขนขึ้น ชายเสื้อหลุดออกจากขอบกางเกงเกือบหมด ไม่ต้องพูดถึงเสื้อสูทกับเนคไทที่ถูกโยนไปคนละทาง ผมเผ้าที่เคยเป็นทรงหล่อเหลาดูยุ่งเหยิงราวกับถูกสาว ๆ ที่ทำให้อกหักรุมทึ้ง จะว่าไปก็สภาพไม่ค่อยต่างจากมาลินีเท่าไหร่ เธอเองก็อึดอัดจนต้องถอดเสื้อสูทพาดไว้กับพนักเก้าอี้เหมือนกัน ผมที่เคยมุ่นไว้เป็นมวยเนี้ยบไม่กระดิก บัดนี้ก็รุ่ยร่ายเพราะไม่มีเวลาคอยจับจัด แถมยังถูกเจ้าตัวดึงทึ้งเวลาหงุดหงิดที่พิมพ์งานผิดบ้างช้างบ้างไม่ได้อย่างใจ หน้าหรือก็มันย่องจนแว่นเลื่อนหลุดลงมาอยู่ที่ปลายจมูกจนไม่อยากจะเสียเวลาเลื่อนขึ้นอีกแล้ว ให้มันตกๆ แก่ๆ ไปอย่างนี้แหละ
“ไม่แก้แล้วค่ะ ดิฉันว่าแผนล่าสุดที่จัดเตรียมเอกสารเสร็จแล้วนี่ล่ะ เพอร์เฟคท์สุดแล้ว คุณพีร์ควรเตรียมซ้อมนำเสนอและหาข้อมูลไว้ตอบคำถามจากกรรมการบริหารดีกว่าค่ะ ถ้ามัวแต่แก้กลับไปกลับมาเนี่ย เวลาซ้อมและเตรียมข้อมูลจะไม่พอเอานะคะ”
“คุณทำตามที่ผมสั่งเถอะ อย่ามัวเสียเวลาทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ขอให้คุณทำอยู่เลย”
“แต่นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะคะ คุณอาจจะไม่เหนื่อย แต่ฉันเหนื่อย หนุงหนิงก็เหนื่อย ดูนั่นสิ...นั่งฟุบพับหลับไปแล้ว ฉันว่าพอเถอะค่ะ ถึงคุณจะเป็นเจ้านาย แต่ฉันว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย...ฉันจะกลับบ้าน”
มาลินีไม่พูดเปล่าแต่หยิบกระเป๋าสะพายมาเปิด โยนโทรศัพท์มือถือกับของกระจุกระจิกบางอย่างลงไป ก่อนหันไปคว้าเสื้อสูทที่พาดไว้ ตั้งท่าจะสวม แต่ถูกคนตัวสูงใหญ่กว่าคว้าแขนไว้เสียก่อน พีร์ก้าวเข้ามาจนชิดร่างอวบ ก่อนเค้นเสียงกระซิบที่ริมหูของหญิงสาว
“ผมยังไม่ได้อนุญาต”
“ฉันไม่จำเป็นต้องรอคำอนุญาตของคุณ นี่มันเกินกว่าเหตุไปแล้ว ฉันจะกลับแล้ว ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ยิ่งบอกให้ปล่อย มือใหญ่ก็บีบที่ต้นแขนของเธอแน่นขึ้นจนหญิงสาวนิ่วหน้า เจ็บกายก็เจ็บ แต่โมโหมากกว่า
“ฉันบอกให้ปล่อย”
“ทำงานให้เสร็จก่อน...อย่าทำตัวเป็นคนไม่รับผิดชอบ สะบัดก้นทิ้งเจ้านายไปอย่างนี้”
“ถ้าเจ้านายเป็นคนตั้งใจทำงานดี รับผิดชอบทำงานในเวลาที่ผ่านมาเต็มที่ ฉันก็ไม่มีทางทิ้งอยู่แล้ว แต่นี่มัวแต่เอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ แล้วจะให้ฉันต้องอยู่ดึกดื่นค่อนคืนเพื่อเจ้านายแบบนี้เนี่ยนะ....คุณว่าแฟร์กับฉันไหมล่ะ”
คำพูดตรงแรงแถมด้วยสีหน้าเหยียดหยันของมาลินีทำให้อีกฝ่ายที่ไม่เคยทำอะไรเหนื่อยหนักเท่านี้มาก่อนโมโหจนหน้ามืด...ก่อนจะมีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พีร์ก็ก้มจูบปากอิ่มที่พ่นไฟใส่เขาอย่างดุดันเพื่อเป็นการลงโทษ จุมพิตโหดร้ายทำให้มาลินีทั้งผลักทั้งทุบหน้าอกของคนบ้าอำนาจเป็นพัลวัน แต่กว่าพีร์จะหยุดได้ ก็เล่นเอาหญิงสาวถึงกับร้องไห้น้ำตาเปรอะเต็มแก้มอิ่มกลมด้วยความแค้นใจ ไม่ได้เสียดายที่จูบนี้เป็นจูบแรก แต่เสียใจที่ถูกผู้ชายเอาเปรียบด้วยพละกำลังที่มากกว่า
“คุณ....คุณมัน...ไอ้บ้า”
หญิงสาวแผดเสียงใส่พีร์ดังลั่น สะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมได้ก็คว้ากระเป๋าถือโดยไม่สนใจเสื้อสูทที่กะว่าจะเอามาใส่คลุมทับเสื้อไม่มีแขน ไม่ต้องแคร์ว่าจะโชว์ต้นแขนอวบให้คนบนรถไฟฟ้าหิวขาหมูตอนดึกแล้ว นาทีนี้มาลินีขอไปจากสถานที่ที่น่าอับอายตรงนี้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากับภูมิว่าจะขอย้ายกลับไปทำหน้าที่เดิม หน้าที่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายตัวร้ายของท่าน ก็หาคนมาทำใหม่ก็แล้วกัน
พีร์เองก็ยืนงงกับความระห่ำของตัวเองจนไม่ได้ทัดทานเมื่ออีกฝ่ายผลุนผลันออกไปเช่นกัน เขาโมโหจนขาดสติ แต่ขาดสติแค่ไหนก็ไม่ควรทำอะไรที่เกินเลยเช่นเมื่อสักครู่นี้ แต่หน้าเชิด ๆ สีหน้าหยัน ๆ ปากยื่น ๆ ของยายนั่นแล้ว เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปได้อย่างไร ที่ประหลาดใจมากกว่าก็คือ จูบกับยายนั่นแล้ว รู้สึกดีเป็นบ้า แม้จะถูกทั้งผลักทั้งทุบ แต่ร่างอวบอัดที่เขารัดไว้กลับให้ความรู้สึกรัญจวนใจ
“เสียงดังอะไรกันคะพี่พีร์ อ้าว....แล้วพี่มะลิล่ะคะ ไปไหนแล้วล่ะ หรือว่าไปห้องน้ำ”
หนุงหนิงเพิ่งจะงัวเงียลุกขึ้นมาถามคนที่ยืนเบลออยู่อย่างแปลกใจ คนถูกถามไม่ตอบ แต่กลับบอกเธอว่า
“ไปเตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวผมจะไปส่ง วันนี้พอแค่นี้แหละ พรุ่งนี้ค่อยไปตายเอาดาบหน้า”
“อ้าว...พี่พีร์พูดแบบนี้แปลว่างานยังไม่เสร็จหรือเปล่าคะ ยังไม่เสร็จแล้วจะกลับได้ไงล่ะคะ หนุงหนิงงงไปหมดแล้วนะ”
อาการบ้องแบ๊วของหนุงหนิงกระตุ้นต่อมหงุดหงิดของชายหนุ่มขึ้นมาทันที เขาหันมาทำหน้ายักษ์ใส่คนช่างถาม เสียงแข็งจนหนุงหนิงหัวหด ได้แต่เดินตามเขาไปต้อย ๆ อย่างเงียบฉี่
“บอกว่ากลับก็กลับสิ...เว้ยเฮ้ย เลขาฯ บริษัทนี้มันเป็นอะไรกันวะ....ไอ้ที่บอกก็ไม่ทำ ไอ้ที่ไม่ให้ทำก็จะทำกันจริง ไม่เสร็จก็ไม่ทำแล้วเว้ย...พรุ่งนี้ถ้ามันห่วยนักก็ให้มันถูกไล่ออกไปเลย ให้มันรู้ไปว่าจะถูกไล่ออกจากบริษัทพ่อตัวเอง”
วันรุ่งขึ้นมาลินีลาป่วยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การไม่ปรากฏกายของเลขาฯ ทำให้ภูมิต้องออกปากถามลูกชายที่นั่งหน้ายู่อยู่ด้วยความประหลาดใจ
“อ้าว หนูมะลิล่ะ ทำไมไม่เข้ามาช่วยแก”
“ไม่รู้ เห็นมีคนบอกว่าลาป่วย ตายไปแล้วมั้งพ่อ ถ้าห่วงนัก พ่อก็โทรไปถามอาการเขาเองสิ”
“เออ...เว้ย ไอ้นี่ ถามแค่นี้ก็ทำมีน้ำโหไปได้ เอาล่ะ...แกมีอะไรก็เสนอมา ไหนดูซิว่าจะมีแนวโน้มกระตุ้นยอดขายได้จริงไหม”
ภูมิตัดบทก่อนหันไปสนทนากับกรรมการบริหารคนอื่น ๆ ปล่อยให้ลูกชายเตรียมตัวเตรียมใจสักครู่ ก่อนเริ่มการบรรยายหัวข้อที่เตรียมการณ์มา ในที่สุดการนำเสนอแผนก็จบลงอย่างแกน ๆ แต่เนื้อหาของแผนที่พีร์นำเสนอมีผู้ฟังหลายคนเห็นด้วยและเสนอให้ปฏิบัติอย่างจริงจัง
“ผมเห็นด้วยกับทิศทางที่คุณพีร์เสนอนะครับ จับตลาดสินค้าพรีเมี่ยมเป็นหลัก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มาร์จินมากกว่า ถ้าเพิ่มยอดขายกลุ่มนี้ได้ ยอดขายรวมก็ต้องกระเตื้องขึ้นอยู่แล้ว ทุ่มโฆษณา หาแคมเปญอะไรใหญ่ ๆ ให้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ก็น่าจะเป็นการทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าเราได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งเน้นไปที่พวกกลุ่มคนดัง ก็น่าจะยิ่งได้ผล คุณพีร์เก่งสมเป็นลูกชายคุณภูมิเลยนะครับ เห็นท่าทางสบาย ๆ ไม่นึกเลยว่าจะทำการบ้านมาหนักจริงๆ”
พีร์อยากจะหันไปยิ้มเย้ยยายเลขาฯ ตัวดีถ้าเพียงแต่มาลินีจะนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่แล้วเขาก็สะดุ้ง เพราะนึกได้ว่า แผนนี้เกือบจะไม่ได้ถูกนำเสนอ หากเธอไม่ยืนยันว่าจะไม่แก้ไขแผนให้จนมีเรื่องลุกลามเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มนึกพลางลูบริมฝีปากอย่างใจลอย
“เอ้า...เจ้าพีร์ เหม่ออะไร อาอำนวยเขาชมแกแหนะ....อย่าชมมันนักเลยอำนวย ไอ้นี่มันคงฟลุคน่ะ อีกอย่าง...พี่ก็ให้หนูมะลิคอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่ ถ้าจะชมเจ้านี่ก็ต้องเผื่อแผ่คำชมไปให้หนูมะลิด้วย สงสัยหมอนี่ใช้งานเลขาฯ หนักมาก ดูสิ....วันนี้ลาป่วยเลย ว่าแต่เมื่อคืนคงอยู่ดึกสินะ กลับกันกี่ทุ่มกี่ยามล่ะ”
“ห้าทุ่มกว่าครับ พ่อครับ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะฮะ”
พีร์ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตหรือไม่ เขาพยักหน้าให้หนุงหนิงเดินตามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผสมเหนื่อยล้า เอาแฟ้มงานกลับไปโยนไว้บนโต๊ะ ก่อนจะลากหนุงหนิงออกจากออฟฟิซพลางบอกเธอว่า
“ไปเที่ยวเล่นกันดีกว่าหนุงหนิง วันนี้พี่ไม่ทำงานแล้วล่ะ....เบื่อ”
moreya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2554, 23:20:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2554, 23:20:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 2171
<< แลกหมัดจัดไป |
SaiParn 6 มิ.ย. 2554, 20:57:39 น.
นิสัยหนอ..แย่ได้อีกนะเนี่ยนายพีร์
สงสารมะลิเหมือนกันค่ะ น่าจะตบแรง ๆ ไปอีกสักหนึ่งทีด้วย อิอิ
ปล.พี่สบายดีนะคะ ไม่ได้คุยกันนานมากแล้วนะคะ หลายปีแล้วด้วย คงจำกันไม่ได้แล้วแน่เชียว (Doungtawan ณ Bloggang)ค่ะ
นิสัยหนอ..แย่ได้อีกนะเนี่ยนายพีร์
สงสารมะลิเหมือนกันค่ะ น่าจะตบแรง ๆ ไปอีกสักหนึ่งทีด้วย อิอิ
ปล.พี่สบายดีนะคะ ไม่ได้คุยกันนานมากแล้วนะคะ หลายปีแล้วด้วย คงจำกันไม่ได้แล้วแน่เชียว (Doungtawan ณ Bloggang)ค่ะ