ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 2 [2/1]

บทที่ 2

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องเข้ามาในห้องอย่างเต็มที่

แดดนั้นไม่ได้แรงหรือร้อนมากแต่ประการใด หากแสงเพียงอ่อนๆ นั้นก็ส่งผลให้คนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้งพรวดขึ้นมาทันควันเมื่อตื่นนอน

“ตายจริง! สายแล้ว!”

รุจิรดา ‘กระโจน’ พรวดเดียวลงจากเตียงกว้าง ก่อนวิ่งตึงตังเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเร่งแต่งตัว แล้วจึงวิ่งลงมาจากชั้นบนอย่างรวดเร็ว...

“คุณหนูรดาเจ้าคะ!”

...รวดเร็วมาก... แค่สามสี่ขั้นบันได ก็ได้ยินไปถึงหูทิพย์ของคุณแม่บ้านแล้วหรือนี่...

น้ำเสียงเข้มๆ ของแม่สายทำให้ใบหน้านวลม่อยลง และเปลี่ยนจากการวิ่งเป็นการซอยเท้าเบาๆ อย่างรวดเร็วลงบันไดเพื่อให้ทันเวลา

“วันนี้ตื่นสายนะเรา...”

คุณหญิงลักขณาวดีเอ่ยปากทักหลานสาว ผู้ที่ตอนนี้กำลังพุ่งมาทางโต๊ะอาหารก่อนจะคว้าขนมปังไปเพียงแผ่นเดียวอย่างรวดเร็ว

“เมื่อคืนรดาทานยาแก้ปวดหัวค่ะ เลยหลับไม่รู้เรื่องเลย ตื่นมาอีกทีก็สายเสียแล้ว”

“อ้าว!” คุณหญิงอุทานเสียงไม่เบานัก ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารที่เพิ่งทานได้ไปเพียงครึ่งเดียวแล้วเดินมาหาหลานสาวที่กำลังพยายามรวมผมดำสลวยที่แล้วม้วนๆ ขึ้นเป็นมวยอย่างลวกๆ ส่วนในปากก็คาบขนมปังเอาไว้ “แล้วตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ไอ้เอ็นไอ...” หญิงสาวรีบหยิบขนมปังมาถือเมื่อเห็นสายตาเขียวปั๊ดจากคุณแม่บ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะอาหาร “ไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณหญิงป้า รดาต้องรีบแล้ว วันนี้เรียนกับอาจารย์ที่รดาไม่เคยเรียนด้วยมาก่อน เกิดเข้าสายครั้งแรกคงน่าดูชมล่ะค่ะ”

จะว่าไปแล้วชื่ออาจารย์ที่เธอเลือกลงเรียนวิชากฎหมายระหว่างประเทศด้วยนั้นชื่ออะไร รุจิรดาก็จำไม่ได้เสียแล้ว ด้วยหญิงสาวไม่ได้ทำกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัยด้วย ดังนั้นนอกจากอาจารย์ที่เธอเรียนด้วยแล้วเธอก็แทบจะจำอาจารย์คนอื่นไม่ได้เลย

“ข้าวต้มสักหน่อยก็ไม่ทันหรือรดา”

“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ วันนี้ขอให้ลุงชอบไปส่งรดานะคะ ไปสามล้อ รดาคงไปถึงตอนเลิกเรียนพอดี ไปนะคะคุณหญิงป้า”

พูดเสร็จ รุจิรดาก็คว้าหนังสือก่อนจะวิ่งตื๋อออกไปนอกบ้าน ไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังให้เธอเดินดีๆ ของแม่สาย ก่อนที่จะขึ้นรถให้ลุงชอบ สารถีประจำบ้านไปส่งที่มหาวิทยาลัย ลงจากรถได้หญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในตึกเรียนด้วยความรวดเร็ว ผ่านระเบียงและทางเดินต่างๆ จนขึ้นไปถึงชั้นที่สาม ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องเรียน รุจิรดาผ่อนฝีเท้ารวดเร็วนั้นให้ช้าลงจนเกือบจะเหมือนเดินปกติ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วว่าอีกประมาณห้านาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน ร่างโปร่งบางพยายามควบคุมลมหายใจให้จังหวะช้าลง ซึ่งช่วยระงับความเหนื่อยและความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี แล้วจึงผลักเปิด

หน้าห้องตรงที่บรรยาย ไร้เงาร่างของอาจารย์ที่รุจิรดาวาดภาพเอาไว้เสียน่ากลัวกว่าความเป็นจริง หญิงสาวโล่งใจเสียจนถอนหายใจออกมา ทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู

“เฮ้อ! ดีจังที่อาจารย์ยังไม่มา”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว รุจิรดาจึงรู้สึกได้ถึงความเงียบผิดปกติของทุกคนในชั้นเรียน ในเวลาที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ห้องเรียนก็จะมีเสียงพูดคุยกันเรื่อยๆ แต่เธอเพิ่งสังเกตว่าตอนที่เข้ามาทีแรก ทั้งห้องเงียบกันหมดแล้ว...

ร่างโปร่งบางรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลที่จู่ๆ สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่ตนเอง เธอจึงแปลกใจเสียจนลืมขยับตัวออกจากหน้าประตูห้อง และก่อนที่จะทันได้ถามอะไร ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง... ในระยะประชิด

“ขอโทษด้วยที่ผมต้องบอกว่าผมมาก่อนคุณ แต่คุณกำลังทำให้ผมสายเพราะยืนขวางหน้าประตู”

น้ำเสียงทุ้มนุ่ม เรียบเรื่อยนั้นไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่เธอรู้จักแน่ แต่รุจิรดากลับจำได้ในทันทีว่าคนพูดเป็นใคร หญิงสาวหันหลังขวับ ก่อนเบิกตากว้างเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจ้องมองพักตร์คมคายของ... มจ.อดุลย์วิทย์ พิพัฒนศักดิ์

“นะ... นี่... คุณ อย่าบอกนะว่า... เป็นอาจารย์สอนวิชานี้”

อีกฝ่ายยืนนิ่ง ทั้งๆ ที่หญิงสาวตะโกนเสียงดังด้วยความลืมตัวและตกใจ

“เอ่อ... รดา” พิมพรที่เลือกลงวิชานี้ด้วยเช่นกันเอ่ยเสียงค่อย “เธอขยับออกจากหน้าประตูหน่อยได้ไหม ท่านชายเสด็จเข้ามาไม่ได้”

“อะ อ้อ...” ร่างโปร่งบางถอยหลังทันควัน ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉย แล้วรีบไปนั่งข้างเพื่อนอย่างรวดเร็วพลางกระซิบถาม ดวงตายังเหลือบมองร่างสูงที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวขาวสะอาด ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาเข้มพร้อมกับกางเกงสีเดียวกัน รองเท้าหนังสีดำ... แต่ไม่ยักกะมีสูทตัวนอกใส่มาด้วย ไม่อย่างนั้นมาด ‘อาจารย์’ ที่เห็นตอนนี้อาจจะกลายเป็นมาดของ ‘ท่านชาย’ ไปเสีย

‘อาจารย์’ ดำเนินไปหยุดอยู่ด้านหน้าตรงกลางห้อง ดวงเนตรสีดำคมกริบทอดตรงมาที่หญิงสาวนิ่ง อาจจะเป็นเพราะเธอมาสาย หรือเป็นเพราะจะทรงจำเธอได้ รุจิรดาก็สุดรู้... เพราะตอนนี้เธอทำได้แต่เพียงมองวรกายสูงสง่าที่ประทับเด่นตรงหน้าห้องด้วยความประหลาดใจ

...ก็อาจารย์ของเธอน่ะ คือ ‘ท่านชาย’ ชื่อยาวๆ ที่เธอเจอเมื่อวานนี่นา

เมื่ออาจารย์เริ่มสอน หญิงสาวก็เลยหันไปถามพิมพรด้วยความสงสัย

“พิม นั่นเขา... เอ่อ... ท่านชายทรงเป็นอาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศหรือ?”

“ใช่” พิมพรพยักหน้า ก่อนจะเหลียวมองคนถามด้วยแววตาสงสัย “รดาไม่รู้หรือ”

“รู้อะไร”

“อะไรไม่รู้เลยหรือ เมื่อก่อนท่านอดุลสอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาได้สองสามปี แล้วท่านก็ลาไปเป็นเลขานุการเอก ของสถานทูตที่อังกฤษ แล้วปีนี้ท่านก็กลับมาสอนกฎหมายระหว่างประเทศนี่ล่ะ”

“อ้าว! เป็นถึงเลขาฯ ทูตชั้นเอก แล้วทำไมกลับมาสอนหนังสือเสียเล่า?”

“คำตอบนั้นคงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียนกันอยู่ตอนนี้กระมัง” หญิงสาวทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวเมื่อสุรเสียงนุ่มของอาจารย์ดังก้อง หากท่านอดุลย์กลับมิได้ทำอะไรมากกว่าปรายเนตรมองก่อนจะกลับไปสอนต่อเสมือนเมื่อครู่มิได้มีการขัดจังหวะการสอนอย่างนั้น “กฎหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นหลักกฎหมายหรือข้อตกลงร่วมกันที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิวัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศเริ่มต้นตั้งแต่สมัยโบราณก่อนคริสต์กาล นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มรวมตัวเป็นชุมชนสืบต่อมาในสมัยกลาง สมัยใหม่จนถึงสมัยปัจจุบัน โดยเริ่มจากการปฏิบัติต่อกันจนกลายเป็นจารีตประเพณี สนธิสัญญา และแนวคิดในการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้น”

“อาจารย์... เอ้อ พระอาจารย์ หม่อมขอถามได้ไหมกระหม่อม”

“ได้” ท่านอดุลย์ยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย “แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกพวกคุณก่อนว่า ไม่ต้องเรียกหรือใช้คำราชาศัพท์ใดๆ กับผมในห้องนี้ เพราะดูพวกคุณจะลำบากในการเรียกพอสมควร... เอ้า! จะถามอะไรล่ะ”

“สิ่งที่ประกอบเป็นรัฐนั้นมีอยู่สี่อย่าง คือรัฐถาธิปัตย์ อำนาจอธิปไตย ดินแดน และประชากร แล้วหากมีกฎหมายระหว่างประเทศขึ้น ซึ่งเท่าที่กระหม่อมทราบ คือการที่แต่ละประเทศยอมที่จะใช้ข้อตกลงร่วมกัน และยินยอมให้มีการลงโทษแต่ละประเทศได้หากผิดข้อตกลงนั้น แล้วอย่างนี้มันจะไม่เป็นการขัดต่ออำนาจอธิปไตยในรัฐนั้นหรือกระหม่อม”

“ก็ถือว่ากระทบ” ท่านชายรับสั่ง “แต่รัฐนั้นไม่อาจดำรงอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว ต้องมีการติดต่อซื้อขาย มีการร่วมมือ เจรจาทางการทูต เศรษฐกิจ การพัฒนาด้านต่างๆ หากแต่ละรัฐไม่ยอมที่จะทำตามข้อตกลง เช่นนั้นก็คงไม่สามารถติดต่อหรือมีความสัมพันธ์ต่อกันได้อย่างสุจริต เพราะต่างก็ต้องแสวงหาประโยชน์เข้าใส่ตนเอง กฎหมายระหว่างประเทศจึงเป็นเหมือนกฎเกณฑ์ที่จะป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ด้วยการกำหนดบทลงโทษกับรัฐที่ไม่ทำตาม แต่รัฐก็มีสิทธิที่จะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ แม้จะมีคำตัดสินใดๆ ออกมาก็ตาม เพียงแต่รัฐภาคีในสัญญาต่างๆ ที่รัฐนั้นผิดไปก็จะไม่ยอมรับรัฐนั้นอีก”

“ขอบพระทัยกระหม่อม เข้าพระทัย เอ้ย! เข้าใจแล้วกระหม่อม”

“เช่นนั้นเรามาเรียนต่อกันเลย มีการให้คำนิยามของกฎหมายระหว่างประเทศไว้หลายคำ ตัวอย่างเช่น...”

พิมพรหันมาคุยกับหญิงสาวอีกครั้งเมื่อท่านชายทรงหันหลังไปเขียนอะไรบนกระดาน “ทรงรูปงามจริงๆ นะรดา เนตรสวย ดำสนิทอย่างกับนิลแน่ะ แถมยังแย้มสรวลอยู่ตลอด จะต้องเป็นคนเจ้าสำราญแน่ๆ เลย”

คิ้วเรียวขยับชิดเข้าหากันเมื่อรุจิรดาคิดตามที่เพื่อนสาวพูด ก่อนจะไพล่คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอกับท่านชายเมื่อวาน พักตร์เรียบเฉยหากรู้สึกได้ถึงกระแสเย็นชาที่แผ่ซ่าน ไม่มีแม้แต่รอยแย้มโอษฐ์สักน้อย...

นึกเช่นนี้แล้วอยากจะตอบพิมพรไปเสียจริงว่า... ใช่อย่างที่ว่าแน่หรือ...

แต่ไม่ทันที่เธอจะตอบคำเพื่อน พักตร์คมคายก็หันกลับมาอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวได้แต่หยิบปากกาขึ้นมาจดตามรับสั่งรวดเร็วของผู้เป็นอาจารย์ รายละเอียดมากมายที่รับสั่งนั้นทำให้หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดกับความเร็วในการรับสั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“รดา เมื่อกี้เราจดไม่ทัน ท่านรับสั่งว่าอะไรนะ” พิมพรชะโงกมาดูสมุดจดของเพื่อน ก่อนจะท่องขมุบขมิบแล้วไปจดลงในสมุดของตนเอง

แต่แล้วพิมพรก็ต้องมาขอดูที่เธอจดไปอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายรุจิรดาซึ่งเริ่มจะรำคาญกับการต้องหยุดมือเป็นพักๆ จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นพร้อมกับเอ่ย

“อาจารย์เพคะ” เรียกไปแล้วรุจิรดาก็แอบขันในใจกับคำเรียกนั้น อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยใช้คำราชาศัพท์กับผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองเลยแม้แต่คนเดียว เพิ่งมีประสบการณ์ใช้กับท่านชายเป็นคนแรก “จะทรงกรุณาลดความเร็วลงอีกหน่อยได้ไหมเพคะ”

วรองค์สูงเหลือบเนตรมาทางเธอ แววในดวงเนตรดำสนิทนั้นส่อแววฉงน “ความเร็ว?”

“รับสั่ง... เอ้อ... เร็วเกินไปเพคะ หม่อมฉันกับเพื่อนจดตามไม่ทันเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ งั้นเราจะพูดช้าลงก็แล้วกัน”

ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทรงรับปาก รับสั่งต่อๆ มานั้นช้า ชัด และอธิบายเพิ่มเติมเสียจนรุจิรดาจดแล็กเชอร์ลงในสมุดเสียหลายหน้า

หญิงสาวไม่ใช่คนเรียนดีมากมายนัก เธอเรียนปานกลางค่อนไปทางดี และดีมากเป็นบางวิชา ซึ่งรุจิรดารู้ตัวดีเมื่อมาเรียนวิชานี้ว่า... และนี่ก็ไม่ใช่วิชาที่เธอจะเรียนมันได้ดีเช่นเดียวกัน

จนถึงจบการบรรยายในวันนี้แล้ว นิสิตทุกคนต่างเก็บข้าวของของตนเอง บ้างมีเรียนต่อ บ้างก็ไม่มีเรียนอีกแล้วในวันนี้ รุจิรดานั้นไม่มีวิชาเรียนอีก แต่วันนี้หญิงสาวกะว่าจะไปขี่ม้าที่สโมสร หลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน เธอจึงรีบเก็บข้าวของเร็วกกว่าปกติ

หากเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทั้งห้องก็เหลือนิสิตอีกไม่กี่คน และ ‘อาจารย์’ ก็ยังคงประทับนิ่งอยู่ที่หน้าห้องดุจเพิ่งเลิกสอนอย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวแอบเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าดวงเนตรนั้นจ้องมาที่เธอก็ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมา มือเรียวจึงเปลี่ยนจากเก็บเป็นรวบๆ ของเอามาถือไว้ และตั้งท่าจะเดินออกไปนอกห้องเมื่อสุรเสียงเรียบดังขึ้น

“เดี๋ยวก่อน”

ร่างโปร่งบางเหลือบมองเท้าตนเองที่เหลืออีกก้าวเดียวก็จะออกไปนอกห้องเรียนแล้วอย่างปลงอนิจจัง ตาสีน้ำตาลเหลือกขึ้นฟ้าชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาหาผู้เรียกด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“มีอะไรหรือเพคะ”

ท่านชายที่ตอนนี้สีพักตร์เรียบเฉย นิ่งเสียจนหญิงสาวอดคิดถึงเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมาที่ยังแย้มสรวลน้อยๆ ให้กับนิสิตตลอดแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว วางพักตร์เฉยแบบนี้แหละที่เธอเจอเมื่อวาน อยากให้พิมพรมาเห็นพักตร์ ‘อาจารย์ผู้อ่อนโยน’ ในตอนนี้เสียเหลือเกิน

...สงสัยยิ้มที่ให้นิสิตนั้นจะเป็นยิ้มแบบนักการทูตเสียกระมัง...

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ทอดพระเนตรหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับสั่ง

“เธอชื่ออะไร?”

“รุจิรดาเพคะ”

พักตร์คมคายพยักขึ้นลงน้อยๆ “เมื่อวาน... เราสองคนเจอกัน จำได้ใช่หรือไม่?”

“จำได้เพคะ”

“นั่นล่ะ... เราขอบใจมากสำหรับเหตุการณ์เมื่อวาน เธอช่วยหญิงอรเอาไว้”

“คนที่ทำให้เรื่องจบคือฝ่าบาทต่างหากเพคะ”

“หญิงอรพูดถึงเธอไม่หยุดเลยเมื่อวาน” รับสั่งเลี่ยงมาเสียอีกทาง คล้ายจะทรงรับกลายๆ ว่าเรื่องเมื่อวานจบเพราะพระองค์จริงๆ “บอกว่าเธอกล้าหาญมาก กล้าเข้ามาขวางทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมีคนมากกว่าและยังเป็นผู้ชาย ส่วนเธอก็เป็นผู้หญิงคนเดียว”

หญิงสาวยกยิ้ม “ไม่ว่าใครก็คงทนไม่ได้หรอกเพคะ เมื่อวานผู้ชายพวกนั้นทั้งพูดจาและท่าทางไม่ให้เกียรติผู้หญิง หม่อมฉันเพียงแต่ทำในสิ่งที่ควรกระทำเท่านั้น”

“อย่างไรต้องขอขอบใจเธอในความกล้าหาญนั้น น้ำใจเธอดีมาก” ริมโอษฐ์ยกเยื้อนขึ้นน้อยๆ ก่อนจะกลับเข้าสู่แบบเดิม คือวางพักตร์เฉย หากรุจิรดาก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่ารับสั่งชมเธอเท่านั้น หญิงสาวยิ้มรับ

“ขอบพระทัยสำหรับคำชมเพคะ เป็นเกียรติที่ได้ฟังคำชมจากฝ่าบาท”

“เรายังมีนอกจากคำชมอีก”

“นอกจากคำชมหรือเพคะ?”

ท่านชายยังทอดพระเนตรหญิงสาวนิ่ง มองดูกิริยายืนนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลใสที่เมื่อครู่ยังทรงเห็นแวววิบวับก่อนจะหลุบลงต่ำอย่างนึกขึ้นได้ มือประสานกันข้างหน้าของหญิงสาวแล้วก็นึกสรวลในใจ

...เมื่อเช้าใครกันเล่าที่วิ่งตึงตังตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสาม กิริยาแคล่วคล่องว่องไวของร่างโปร่งบางที่ทอดพระเนตรเมื่อตอนที่ดำเนินกลับไปเอาของก่อนจะดำเนินกลับมาในห้องเรียนนั้นทำให้ทรงแปลกพระทัยปนขันกับกิริยา ‘พยายาม’ เรียบร้อยของหญิงสาว ที่พยายามอย่างไรก็ทรงดูออก... อาจเป็นเพราะทรงเห็นเธอเมื่อวาน มิเช่นนั้นวันนี้องค์เองก็คงไม่สังเกตเธอเช่นกัน

“เธอกล้าหาญมากก็จริง แต่คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก หากเราไม่ไปเจอเข้าคิดหรือว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆ แค่นี้”

“จะรับสั่งว่าหากเจอเห็นการน่าอัปยศเช่นนั้นอีกจะทรงไม่ให้หม่อมฉันยุ่งเกี่ยวหรือเพคะ”

“เธอเป็นผู้หญิง ไม่ควรที่จะเที่ยวไปทำก๋ากั๋นใส่ใครแบบนี้ เมื่อวานดีที่เรื่องมันจบเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างไร เธอต้องคิดถึงผลที่ตามมาด้วย”

“เพียงเพราะหม่อมฉันเป็น ‘ผู้หญิง’ เช่นนั้นหรือเพคะ? ถึงทรงห้ามหม่อมฉัน”
มือที่กำประสานกันกลายออกเมื่อใบหน้านวลเงยขึ้นสบตากับเนตรคม หลงลืมกิริยาที่ผู้น้อยพึงแสดงต่อผู้ใหญ่อย่างที่แม่สายพูดเสียหมด

“ไม่ใช่เพียง... แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เธอเป็นผู้หญิง และผู้หญิงก็ไม่ควรที่จะโลดโผนมากมาย จะเกิดอันตรายได้ทุกขณะ เป็นหญิงนั้นจัดการงานหรือสิ่งใดๆ ได้ไม่เท่ากับผู้ชายหรอก”

เหมือนหญิงอรเมื่อวานนั่นปะไร แทบจะสู้รบปรบมือกับใครก็ไม่ได้ แล้วยังเป็นการเสี่ยงที่จะไปกระตุ้นโทสะของอีกฝ่ายด้วย ทั้งๆ ที่เรื่องที่เกิดขึ้นตนเอก็ไม่ได้ผิดอะไรด้วยเลย แต่เพราะเพื่อนจึงทำให้ต้องทรงออกหน้าแบบนี้

แต่รุจิรดากลับรู้สึกถึงใบหน้าผ่าวร้อนด้วยความโกรธขึ้นมาทันควัน

“หมายความว่าอย่างไรเพคะที่ทรงบอกว่าผู้หญิงจัดการงานหรือสิ่งใดๆ ได้ไม่เท่าผู้ชาย”

“ก็ตามที่เราพูดไปนั่นล่ะ เป็นหญิงก็ต้องทำหน้าที่ของหญิง ไม่ได้ตำหนิเรื่องเมื่อวาน แต่จะบอกว่าให้ระวัง หากคนเมื่อวานจะใช้กำลังขึ้นมา เธอจะทำอะไรได้ เจ็บตัวเสียเปล่าๆ เป็นหญิงก็หัดทำตัวให้เป็นกุลสตรีเสียบ้าง”

...อีกแล้วหรือ

กุลสตรี! รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์นั้นไม่เป็นกุลสตรี หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้ หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ทรงเคยไปต่างประเทศ พบเห็นหญิงสาวจากต่างถิ่นมากมาย ทรงให้คำจำกัดความกับหม่อมฉันหน่อยเถอะเพคะว่ากุสตรีเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดกัน”

“ใช่ว่าเมืองนอกไม่มีกุลสตรี แต่เขาก็เป็นในแบบฉบับของบ้านเมืองเขา ของเราก็ต้องเป็นแบบบ้านเมืองเรา” รับสั่งสุรเสียงเรื่อยๆ เพราะทรงจับกระแสความรู้สึกของหญิงสาวได้ว่าเธอกำลังโกรธ...

รุจิรดากลอกตาขึ้นบนฟ้า แม้จะตกใจกับการแสดงกิริยาของตนเอง แต่เธอก็ทำไปแล้ว “แล้วถ้าหม่อมฉันจะเป็น ‘กุลสตรี’ ตามแบบฉบับของหม่อมฉันเองก็ไม่ผิดนี่เพคะ เหตุใดจึงต้องจำกัดว่าสตรีที่ดีคือกุลสตรี ถ้าไม่เป็นกุลสตรีจะเป็นสตรีที่เลวตรงไหนเพคะ เพียงแค่สตรีคนหนึ่งที่ไม่ได้ฝึกฝนอย่างกุลสตรี จะทรงบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรือเพคะ”

“เราก็ไม่ได้บอกว่าไม่เป็นกุลสตรีแปลว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี แต่มันจะดีกว่าหรือเปล่าหากเธอจะเป็นสตรีที่ดีด้วยและเป็นกุลสตรีด้วย ไม่มีผู้ชายคนไหนต้องการภริยาที่ไม่เรียบร้อยหรอก”

รับสั่งเสร็จก็เอี้ยวองค์ไปหยิบข้าวของต่างๆ ขององค์เอง ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับใบหน้านวลที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงจางๆ “อย่างไรเราก็ขอบใจเธอมากสำหรับเรื่องหญิงอร ขอบใจอีกครั้งหนึ่ง”

วรองค์สูงเพรียวดำเนินผ่านหน้าเธอไปก่อนออกจากห้อง ทิ้งให้รุจิรดาเม้มริมฝีปากแน่น หัวเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

อะไรกัน... ขอบใจแล้วมาติเตียนทีหลัง คราวหน้าคราวหลังหากเธอไปเจอหญิงอรแล้วมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก เธอจะไม่ช่วยอีกแล้ว คอยดูสิ!



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ต.ค. 2555, 04:40:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ต.ค. 2555, 04:40:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2757





<< บทที่ 1 [2/2]   บทที่ 2 [2/2] >>
ม่านฟ้า 20 ต.ค. 2555, 08:16:23 น.
สนุกดีค่ะ มาอัพบ่อยๆนะคะ
ได้กลิ่นอายสมัยนั้นเลย ชอบแนวนี้ค่ะ


ใบบัวน่ารัก 20 ต.ค. 2555, 20:54:32 น.
ยากอ่ะการเป็นกุลสตรี


ukkanirut 20 ต.ค. 2555, 21:49:24 น.
ท่าจะต่อปากต่อคำกันสนุก ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account