ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 2 [2/2]

แต่รุจิรดาก็รู้ตัวดีว่าเธอทำไม่ได้อย่างที่ตั้งปณิธานไว้

เมื่อเห็นวรองค์แบบบางของ ‘ตุ๊กตาแก้วเจียระไน’ อีกครั้งหนึ่ง รุจิรดาซึ่งกำลังเดินไปหาสามล้อรับจ้างด้วยอารมณ์หงุดหงิดก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงเบื้องพักตร์และกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น คือผู้ชายคนเมื่อวานที่ต้องเสียน้ำหอมไปนั่นเอง

หญิงสาวขมวดคิ้ว สองขาพาตัวเองเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงดัง

“เธอมาหาเรื่องอะไรท่านหญิงอีก”

ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอหันหน้ากลับมามองคนที่เดินเข้ามาขัดจังหวะด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ไม่ได้มาหาเรื่อง เพียงแต่มาขอโทษเรื่องเมื่อวานเท่านั้น”

รุจิรดาเลิกคิ้วพลางหันไปมองท่านหญิงอรกัญญา ที่วันนี้มิได้มีผู้หญิงอีกคนตามมาด้วย

“เขามาขอโทษจริงๆ ค่ะ” ท่านหญิงคนงามรับสั่งแผ่วเบา ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ ให้กับร่างโปร่งบางของหญิงสาวที่เข้ามาใหม่ “เมื่อวานว่าจะขอบใจเธอ แต่เธอก็หายไปเสียก่อน”

“เมื่อวานหม่อมฉันมีธุระเพคะ เลยต้องรีบไป” พูดเสร็จก็เหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งแล้วเอ่ย “แล้วเธอ... ขอโทษเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ยังรีรออะไรอีกล่ะ”

“เรื่องของฉัน” อีกฝ่ายตอบรวนๆ เลิกคิ้วข้างหนึ่งประกอบคำพูดว่ากำลัง ‘ยวน’ เธอสุดฤทธิ์ “เธอสิ ทักทายท่านหญิงแล้วจะไปทำธุระหรืออะไรต่อก็ตามสบายเลย”

“นี่!...”

“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยค่ะ”

สุดท้ายท่านหญิงอรกัญญาที่ทอดเนตรซ้ายทีขวาทีตามคนพูดก็ต้องเอ่ยห้ามทัพ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เริ่มห้ำหั่นกันอีกครั้ง ก่อนจะหันมารับสั่งกับรุจิรดา “คุณมนต์ณัฐเขาไม่ได้มาหาเรื่องอะไรหญิงแล้วค่ะ เขาเพียงแต่มาขอโทษที่เมื่อวานเสียงดังและทำกิริยาไม่ดีใส่หญิงเท่านั้นเอง เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน หญิงให้อภัยได้”

“อ้อ... เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะเพคะ” หญิงสาวยิ้มตอบพักตร์งดงามนั้น “เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับแล้วล่ะเพคะ”

“เดี๋ยวก่อนสิ หญิงยังไม่รู้จักชื่อของเธอเลย”

“รุจิรดา... เรียกสั้นๆ ว่ารดาก็ได้เพคะ”

“รดา” ท่านหญิงแย้มสรวลกว้าง ส่งให้ดวงเนตรนั้นสดใสขึ้นมากโข “ขอบใจเรื่องเมื่อวานมากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการห้ามผู้ชายคนหนึ่งไม่ให้คุกคามสุภาพสตรีเช่นฝ่าบาท”

“เราไม่ได้คุกคามเสียหน่อย” ‘ผู้ชาย’ ที่โดนพาดพิงถึงเอ่ยลอยๆ หากแต่ใบหน้าคมสันสะอาดสะอ้านนั้นกลับฉายแววละอายใจขึ้นแวบหนึ่ง “อีกอย่างเราก็ขอโทษท่านหญิงไปแล้วด้วยสำหรับเรื่องเมื่อวาน”

รุจิรดาเม้มริมฝีปากบาง พลางจ้องชายหนุ่มที่เมื่อวานยังทำท่าคึกคะนองไร้สาระ แต่วันนี้ผู้ชายคนเดียวกันกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมและสำนึกผิดยามกล่าวโทษตนเอง

...คงรู้ตัวว่าผิดจริงกระมัง

“ขอโทษก็ดีแล้วนี่”

มนต์ณัฐได้แต่กลอกตาเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่าย แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังรู้ตัวว่าเธอคงไม่ค่อยเชื่อคำขอโทษของเขาเท่าใด

น้ำหอมเมื่อวานคือของขวัญวันเกิดที่เขาสั่งซื้อมาจากฝรั่งเศสมาให้มารดา เป็นของที่เขาเก็บออมเงินค่าขนมและค่าจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่นการวาดแบบให้กับเพื่อนๆ ที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน เพื่อที่จะให้เป็นของขวัญที่มารดาจะภาคภูมิใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายทุ่มเทให้นางเพียงใด

แต่เขากำลังจะเอาออกมาให้เพื่อนเป็นคนห่อของขวัญให้ เมื่อรู้สึกว่ามีแรงมากระทบต้นแขน ทำให้ขวดน้ำหอมที่ทำจากแก้วเจียระไนใบน้อยแตกกระจาย ตอนแรกเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก รู้สึกเพียงเสียดายของที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองเท่านั้น แต่เมื่อมองเห็นคนชนที่เชิดหน้าแล้วทำท่าจะเดินหนีไปเสียดื้อๆ โดยไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ก็ทำให้ชายหนุ่มนึกอยากจะให้บทเรียนแก่แม่สาวที่ดีแต่เชิดหน้าไม่มองดินคนนั้นเสียหน่อย

ใครจะไปคิดว่าเธอจะวิ่งไปเกาะหลังเพื่อน... เพื่อนที่ดูไม่น่าจะช่วยเหลืออะไรได้เลย มนต์ณัฐบอกได้ทันทีที่เห็นร่างแบบบางที่สั่นน้อยๆ ยามสบตาเขาแล้วก็ใจอ่อน หากท่าทางผยองของคนที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังเพื่อนนั่นต่างหากที่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจโวยวายเรียกร้องความรับผิดชอบ หวังให้คนกระทำผิดละอายแล้วขอโทษเขาเสีย

แต่แทนที่คนขอโทษจะเป็นคนทำผิด กลับเป็นคนที่ตัวสั่นเป็นลูกนกเท่านั้นที่พยายามยืดอกแล้วบอกขอโทษแทนเพื่อน เขาจึงโวยวายหนักขึ้นเพื่อต้องการให้บทเรียนแก่คนทั้งคู่

...บทเรียนที่ว่าด้วยความรับผิดชอบให้คนหนึ่ง และบทเรียนที่ว่าด้วยเรื่องมิตรแท้ให้กับอีกคน

มนต์ณัฐตัดสินใจอ่อนข้อให้หญิงสาวที่กำลังจ้องเขาตาเขม็ง “ที่ยังไม่ไปไหน เพราะกำลังจะถามท่านหญิงว่าจะให้ไปส่งที่วังหรือเปล่า เห็นยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”

“อ้าว! ทรงกลับวังไม่ได้หรือเพคะ”

“ไม่ใช่ว่ากลับไม่ได้หรอก แต่ต้องรอนานหน่อย วันนี้อาจารย์เลิกสอนเร็วกว่าปกติ เราไม่ได้บอกคนรถไว้ เลยต้องมารอเขาอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะมารับเวลาปกติ”

“แล้วเวลาปกตินี่มันเมื่อไหร่กันเพคะ”
ท่านหญิงรับสั่งด้วยสุรเสียงเจือกังวล “ประมาณบ่ายสามโมงน่ะ”

“บ่ายสามโมง!” รุจิรดาทำตาโต “ไม่ไหวกระมังเพคะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยงเลยด้วยซ้ำไป ไม่ทรงกลับเองก่อนล่ะเพคะ”

“เรากลับเองไม่ได้หรอก... เราไม่เคยกลับเอง ปกติคนรถมารับมาส่งตลอด”

ท่านหญิงอรกัญญาขมวดขนงน้อยๆ แต่พองาม นอกจากนั้นแล้วรุจิรดาก็ไม่เห็นจะทรงมีท่าทางวิตกไปมากกว่านั้น

...จริตกิริยาอย่างนี้ อย่างเธอต้องฝึกอีกเท่าใดถึงจะได้หนอ

“เอ... เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรดีหนอ...” รุจิรดาเริ่มกังวลไปด้วย ร่างโปร่งเริ่มเดินไปมาสั้นๆ “จะทรงขึ้นรถสามล้อไปเองก็ไม่ได้ด้วยสิ คงไม่เคยขึ้นสินะเพคะ”

“ไม่เคย” ท่านหญิงรับสั่งสุรเสียงอ่อน

มนต์ณัฐมองหญิงสาวทั้งคู่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่เงียบๆ คนที่น่าจะกังวลมากกว่าอย่างท่านหญิงอรกัญญากลับยืนนิ่ง มีเพียงเนตรงามเท่านั้นที่ส่อแววครุ่นคิด แตกต่างจากอีกฝ่ายหนึ่งที่เดินไปมาอย่างกระวนกระวาย

“หม่อมฉันว่าเอาอย่างนี้ดีกว่าเพคะ” ในที่สุดรุจิรดาก็ยิ้มออก ใบหน้านวลสดใสขึ้นทันควัน ทำให้ชายหนุ่มคนเดียวในนั้นถึงกับพูดไม่ออกชั่วขณะเมื่อสบดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เปล่งประกายด้วยรอยยิ้มนั้น

...เหมือนดอกไม้ผลิบานในช่วงที่งามที่สุดทีเดียว

“ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะเรียกสามล้อ แล้วจะนั่งไปส่งฝ่าบาทที่วังเอง อย่างนี้คงได้นะเพคะ”

พักตร์งามเอียงน้อยๆ เป็นกิริยาที่มนต์ณัฐแน่ใจว่าท่านหญิงไม่ทรงรู้องค์เองแน่นอน หากกิริยานั้นทำให้ทรงดูเหมือนเด็กๆ ที่กำลังสงสัยกระนั้น

“จะดีหรือ รบกวนรดามากเกินไปหรือเปล่า”

“ดีสิเพคะ จะดีกว่านี้ด้วยหากเราจะไปกันตอนนี้เลย หม่อมฉันว่าทรงยืนตรงนี้นานแล้ว จะต้องปวดเมื่อยแน่เลยเทียว”

“กระหม่อมไปส่งดีกว่า” ชายหนุ่มได้ยินเสียงตนเองเอ่ยขึ้น หลังจากมองดูแล้วท่านหญิงคงเสด็จขึ้นสามล้อ ‘ไม่ไหว’ “กระหม่อมมีรถ”

หญิงสาวทั้งคู่หันกลับมาดูร่างสูงโปร่งที่ถูกลืมไปชั่วขณะ ก่อนที่รุจิรดาจะเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน

“แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะไปส่งเราที่วังของท่านหญิงจริงๆ”

“ไม่เป็นไรกระมังคะ รบกวนเธอมากไปเสียเปล่าๆ” ท่านหญิงหลุบเนตรลงต่ำพลางรับสั่ง “อย่าลำบากเลยค่ะ”

“กระหม่อมไม่ลำบากอะไร ส่วนหากไม่เชื่อว่ากระหม่อมจะไปส่งท่านหญิงจริงๆ หรือไม่ กระหม่อมขอสาบานด้วยเกียรติของสุทธาธิกรตรงนี้ว่ากระหม่อมมิได้คิดการสิ่งใดไม่ดีเลยแม้แต่น้อย”

ดวงตาสีน้ำตาลของมีร่องรอยคลับคล้ายคลับคลาบางอย่าง ก่อนจะเอ่ย “เธอเป็นอะไรกับตระกูลสุทธาธิกร ที่เป็นท่านรัฐมนตรีช่วยตอนนี้หรือ”

“ท่านรัฐมนตรีเป็นพ่อของเราเอง” มนต์ณัฐตอบสบายๆ ก่อนเร่ง “ไปเถิด จะยืนรอตรงนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไปสามล้อก็ลำบากเสียเปล่าๆ แต่หากกังวล ประเดี๋ยวเราลองเรียกสามล้อมาสักคัน ให้เขาถีบสามล้อตามเราไปก็ได้”

ข้อเสนอตลกๆ นั้นทำให้หญิงสาวทั้งคู่หัวเราะคิกคัก ก่อนที่ท่านหญิงจะแย้มโอษฐ์น้อยๆ พร้อมกับรับสั่ง

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เราคิดว่าแค่รดาจะไปเป็นเพื่อนก็น่าจะดีแล้ว ส่วนคุณจะกลับเลยก็ได้ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบใจสำหรับน้ำใจมาก”

“โธ่... กระหม่อมหวังดีหรอก อีกอย่างก็ต้องการไถ่โทษเรื่องเมื่อวานด้วย ทรงอนุญาตเถอะ กระหม่อมจะได้สบายใจว่าทรงยกโทษให้กระหม่อมแล้ว”

รุจิรดากลอกตาน้อยๆ ก่อนพึมพำ

“ช่างพูดเสียจริงหนอคนเรา”

“ว่าอย่างไรนะ”

คนโดนจับได้ยังทำหน้าเฉย “เปล่าเสียหน่อย”

มนต์ณัฐปรายตามองร่างโปร่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาพักตร์งามอีกครา “ถือเสียว่ากระหม่อมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็ได้นะกระหม่อม”

ประโยคท้ายนั้นทำให้ท่านหญิงอรกัญญานิ่งไปอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบนิลเนตรกับดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังฉายแววรื่นรมย์ “รดาว่าอย่างไรดีล่ะ”

คราแรกเธอก็อยากจะแกล้งชายหนุ่มอยู่หรอก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในทุกคำพูดของเขา รุจิรดาจึงเพียงแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยน้อยๆ ก่อนตอบ

“เช่นนั้นก็ไปเถอะเพคะ ประเดี๋ยวเขาจะหาเอาได้ว่าทรงหยิ่งไม่รับเขาเป็นเพื่อน” ประโยคนั้นบอกให้อีกฝ่ายรู้ไปเลยว่าเธอรู้ทันเขา แค่ประโยคที่บอกว่า หากเห็นว่าเป็นเพื่อน ขอให้เขาได้สบายใจ คำเหล่านี้อาจฟังดูเป็นคำธรรมดาๆ แต่ความหมายแฝงของมันคือการบังคับกลายๆ ให้ท่านหญิงตอบตกลงเพียงอย่างเดียว

ชายหนุ่มไม่ต่อคำ หากบอกว่าตนเองจะไปเอารถแล้วก็หายไป เมื่อกลับมาอีกทีพร้อมรถเก๋งสีดำสนิท ร่างสูงจึงออกมาเปิดประตูให้ท่านหญิงไปประทับด้านหลัง ก่อนจะทำท่าเดินอ้อมไปนั่งที่ตนเอง แต่ต้องชะงักเมื่อรุจิรดาเอ่ยขึ้นลอยๆ เสียก่อน

“ถือว่าท่านหญิงเป็นเพื่อนเลยเปิดประตูรถให้ แต่เราไม่ใช่เพื่อน จึงไม่จำเป็นต้องเปิดประตูรถให้กระมัง...”

ชายหนุ่มเพียงเลิกคิ้วก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้หญิงสาว ในขณะที่ท่านหญิงที่ประทับด้านหลังสรวลน้อยๆ ก่อนที่รถจะแล่นออกไปอย่างนุ่มนวล

รุจิรดาจึงได้เพื่อนใหม่สองคนมาด้วยประการฉะนี้...




ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ต.ค. 2555, 03:47:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ต.ค. 2555, 03:47:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 2542





<< บทที่ 2 [2/1]   บทที่ 3 [1/2] >>
pattisa 23 ต.ค. 2555, 10:30:21 น.
น่ารักดีค่ะ:)


ใบบัวน่ารัก 23 ต.ค. 2555, 12:50:20 น.
อยู่ในช่วงพศ.ไหน จะได้นึกภาพออก


ปรางขวัญ 23 ต.ค. 2555, 19:42:08 น.
สนุกมากค่ะ เกาะขอบจอติดตาม ตัวละครน่ารักมากค่ะ


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 23 ต.ค. 2555, 21:24:07 น.


บัวขาว 24 ต.ค. 2555, 12:52:31 น.
น่ารักค่ะ

=^_^=


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account