ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 3 [2/2]


“อ้าว! ทรงยืนรอใครอยู่หรือกระหม่อม?”

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาหันพักตร์ไปตามเสียงเรียกสดใส ก่อนจะแย้มสรวลออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นตัวผู้เรียก

“รอรดาน่ะค่ะ วันนี้นัดกันไว้”

“จะไปทำอะไรแผลงๆ กันอีกหรือกระหม่อม” มนต์ณัฐพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายรื่นเริงอยู่เป็นนิจทอดมองวงพักตร์งดงามอย่างเอ็นดู

“แย้มสรวลอย่างนี้ แสดงว่าวันนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ เลย บอกกระหม่อมได้ไหม”

นิลเนตรงดงามฉายประกายเจ้าเล่ห์เล็กๆ ขณะรับสั่ง “บอกไม่ได้ค่ะ”

“อ้าว! กระหม่อมหรือก็รอฟัง” คนถูกปฏิเสธหัวเราะลั่น ดวงหน้าคมสันดูอ่อนเยาว์ลงมากเมื่อประดับด้วยรอยยิ้ม

ท่านหญิงสรวลน้อยๆ ขณะรับสั่ง “เสียใจด้วยค่ะที่ทำให้ต้องผิดหวัง”

“ดีล่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปเค้นถามเอาที่รดาดีกว่า”

ชายหนุ่มพูดอย่างมาดมั่น วรองค์เล็กบางสั่นพักตร์น้อยๆ ทอดพระเนตรคนตรงหน้าด้วยความอิ่มเอม

ตั้งแต่ประสูติมา ท่านหญิงอรกัญญาก็ไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศมาก่อน ผู้ชายที่ทรงคุ้นเคยด้วยมีแต่ท่านพ่อ หรือพระองค์เจ้านฤบดินทราทิพย์ พี่ชาย และคุณครูที่มาสอนเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากการเรียนในคอนแวนต์ให้เท่านั้น ชีวิตในโรงเรียนหญิงล้วนมิได้ขาดเหลือสิ่งใด... พูดอีกแบบหนึ่งคือไม่เคยมีสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้ต่างหาก

คงคล้ายกับที่ทรงเคยได้ยินอยู่ออกบ่อยว่า ผู้ที่ไม่เคยมีสิ่งใด จะไม่รู้สึกว่าตนเองขาด

ทรงเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน ไม่เคยรู้เลยว่าทรงขาดอะไรไป

ต่อเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คณะที่ทรงเรียนอยู่ก็แทบจะเป็นสตรีล้วน มิได้มีบรรยากาศต่างไปจากในรั้วคอนแวนต์เลย เพียงแต่ทรงได้พบเห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้นก็เท่านั้น

จนได้พบกับรุจิรดาและมนต์ณัฐ ท่านหญิงอรกัญญาจึงทรงบอกกับองค์เองได้ว่าทรงขาดสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพ และความมีชีวิตชีวา

กฎระเบียบและการอบรมตั้งแต่ทรงประสูติ จากท่านพ่อผู้เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ และหม่อมแม่ผู้เรียบร้อยไม่มีปากเสียงทำให้ท่านหญิงน้อยพลอยมี ‘จริตกิริยา’ งดงาม นุ่มนวล เป็นที่พึงพอใจของใครหลายคนที่เพียงได้ยลโฉมก็ต้องอุทานเป็นเสียงเดียวกัน

‘งามเหลือเกิน สมกับที่เป็นเจ้าเป็นนาย’

ก็เพราะคำพูดพวกนี้ ท่านหญิงอรกัญญาจึงกลายเป็นตุ๊กตาแก้วเจียระไนอย่างที่รุจิรดาเคยรำพึงไว้ เมื่อยามคบหากันแรกๆ มีหลายครั้งที่รุจิรดาเรียกท่านด้วยคำนี้เสมอ และมีเพียงรอยแย้มสรวลน้อยๆ ที่ตอบกลับไปเท่านั้น

แต่การได้คบหาเพื่อนใหม่สองคนคล้ายกับเป็นการเปิดประตูให้ทรงก้าวออกมาด้านนอก ก้าวออกมาจากกรอบกำแพงไร้รูปร่างที่ทรงขังองค์เองอยู่ในนั้นเนิ่นนาน รุจิรดาคล้ายเป็นตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงขาดหายไป และมนต์ณัฐ... ชายหนุ่มคือความแปลกใหม่ที่ทรงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้น และนับวันก็ทรงกระหายที่จะเรียนรู้จากเขาขึ้นเรื่อยๆ

“จะว่าไป...” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ขนงเรียวต้องเลิกขึ้นอย่างฉงน “ฝ่าบาทว่ารดาเธอเป็นอย่างไรบ้างกระหม่อม”

“เป็นอย่างไรบ้างหรือ... ก็น่ารัก ร่าเริงดีนะ หญิงชอบ อยู่ใกล้เขาแล้วสบายใจดี”

ท่านหญิงรับสั่งเนิบช้าตามวิสัย แปลกพระทัยอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็ได้ยินคำถามไม่คาดฝันนี้ “ทำไมหรือณัฐ?”

“เปล่าหรอกกระหม่อม” ปากปฏิเสธ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย “กระหม่อมก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง”

รอยยิ้มนั้นทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่พลุ่งขึ้นมาในหทัยดวงน้อยทันควัน

...คล้ายว่าท่านหญิงจะได้ยินเสียงเตือนกับองค์เองว่า รอยยิ้มนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่องค์เองสมควรจะรู้

“อยากรู้?”

รับสั่งเสียงสูงคล้ายยังไม่เข้าพระทัยดีนัก หากมนต์ณัฐกลับร้องขึ้นมาอย่างยินดี

“อ้าว รดามาพอดีเลย มาให้เราเค้นเสียดีๆ”

“เค้นอะไรกัน”

รุจิรดาเดินเข้ามาสบทบกับเพื่อนทั้งสอง แม้เจ้าตัวพยายามปั้นสีหน้าแจ่มใสคล้ายไม่มีเรื่องใด หากด้วยวิสัยละเอียดอ่อนของท่านหญิง ก็ทำให้ทรงเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้รางๆ ในแววตาแจ่มชัดของเพื่อน รอยยิ้มสดใสนั้นดูเหมือนจะหมองหม่นลงเสียจนท่านหญิงพระทัยหาย

“ก็เค้นว่าวันนี้เธอนัดกับท่านหญิงจะไปไหนกันน่ะสิ อะไรกัน เล่นนัดกันแต่ผู้หญิงสองคนเท่านั้นหรือ นี่มันแบ่งเพศชัดๆ”

“ทำไมจะทำไม่ได้ ทีผู้ชายยังแบ่งเพศ สร้างข้อห้ามให้ผู้หญิงเสียหมด” ผู้มาใหม่โต้อย่างไม่ยอมแพ้ หากใบหน้ายิ้มแย้มนั้นทำให้เข้าใจได้ว่านี่เป็นการหยอกเล่นกันเพียงเท่านั้น ไม่ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวแต่อย่างใด

ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มทำท่าเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรม ใบหน้าคมสันละห้อยเสียจนน่าสงสารเมื่อหันไป ‘ฟ้อง’ กับวรองค์แบบบางที่ประทับฟังสองคนนี้โต้กันเงียบๆ ด้วยสีพระพักตร์สนุกสนาน

“ทอด’เนตรดูเถิดฝ่าบาท นี่ขนาดเป็นเพื่อนกันนะกระหม่อม เขายังไม่ยอมละความคิดของเขาเลย เอามาโจมตีกระหม่อมได้ กระหม่อมช่างน่าสงสาร...” ชายหนุ่มแสร้งทำโอดครวญ หากไม่ทันที่จะท่านหญิงจะรับสั่งปลอบ หญิงสาวอีกคนก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ถ้าไม่อยากโดนโจมตีแบบนี้ ก็ไปหากลุ่มเพื่อนที่คณะวิศวะของเธอสิณัฐ เพื่อนเธอมีแต่ผู้ชายทั้งนั้นนี่ เผื่อจะมีคนเห็นใจเธอบ้าง แต่ที่นี่... เสียใจจ้ะ” ร่างโปร่งบางปิดท้ายประโยคด้วยการยักคิ้วขึ้นล้อเลียน “ไปเถอะเพคะหญิงอร”

รุจิรดายืนรอ ทว่าท่านหญิงอรกัญญากลับหันพักตร์ไปหาชายหนุ่มที่ยืนหน้าม่อยอย่างสงสาร “รดาจ๋า จะไม่ชวนณัฐเขาไปด้วยจริงๆ หรือ”

หญิงสาวปรายหางตามองคู่กรณีอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ทั้งเธอและเขาจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

น่าเอ็นดูเสียจริง!

เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่ทั้งรุจิรดาและมนต์ณัฐจะสรรหาสารพัดเรื่องมาล้อเล่นกัน เพียงเพื่อต้องการให้สุรเสียงอ่อนหวานของท่านหญิงเอ่ยห้ามขึ้นเท่านั้น ก็ใครให้ตุ๊กตาแก้วเจียระไนตัวนี้ช่างงดงาม บอบบางเสียจนเธอเอื้อเอ็นดูประดุจน้องสาวของตนเอง และท่านหญิงก็ช่างทำตัวเหมือนตุ๊กตาแก้วเจียระไนจริงๆ ทั้งความงดงาม และความเฉยชา...

นิ่งเฉยประดุจไร้จิตใจ คล้ายทรงถูกสร้างขึ้นมาจากแก้วจริงๆ กระนั้น

ถึงเธอจะชอบความงามแบบนี้ แต่เธอก็เชื่อว่าหากความงามนั้นกอปรด้วยความมีชีวิต ตุ๊กตาแก้วเจียระไนตัวนี้จะต้องมีความสุขมากกว่านี้เป็นแน่

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นแก้วเจียระไน แต่เป็นคนจริงๆ

รุจิรดาที่ยังยิ้มแย้มอยู่หลังจากหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นในที่สุด “สุดแท้แต่ฝ่าบาทเถิด หากจะทรงบอกเขาก็ได้เพคะ”

“ขอบใจ” สุรเสียงหวานรับสั่งอย่างยินดี ก่อนจะหันพักตร์ไปทางชายหนุ่ม “เราสองคนจะไปขี่ม้าที่สโมสรน่ะจ้ะ ไปด้วยกันไหม?”

“ไปสิกระหม่อม แหม... ถ้ารู้ว่าไปขี่ม้าแล้วไม่ชวนนี่ กระหม่อมโกรธจริงๆ”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกระตือรือร้น “ดีจัง ไม่ได้ไปขี่ม้ามานานแล้ว ไปยืดเส้นยืดสายเสียบ้างก็คงดี ฝ่าบาททรงม้าเป็นด้วยหรือกระหม่อม?”

พักตร์งามส่ายน้อยๆ “ไม่เป็นหรอก รดาเขาจะสอนให้วันนี้แหละ”

“โอ้ยตาย ยายรดา!” ชายหนุ่มอุทานเสียงลั่น ก่อนหันมาหาคนที่ตั้งตัวเป็นครูสอนขี่ม้าทันควัน “เธอคิดอย่างไรชวนท่านหญิงที่ทรงม้าไม่เป็นไปทรงเนี่ย เธอจะสอนท่านได้หรือ?”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” อีกฝ่ายเชิดหน้าใส่อย่างไม่ยอม หากเมื่อเหลียวมาหาวรองค์แบบบางก็ยิ้มแย้มอ่อนหวาน “ที่คอกม้ามีม้าเชื่องๆ ตัวเล็กๆ เยอะเลยเพคะ หม่อมฉันจะให้ทรงตัวพวกนั้นไปเสียก่อน เมื่อใดที่ทรงได้คล่องแล้วค่อยเปลี่ยนม้า”

“ไม่ได้!” มนต์ณัฐยังยืนยันเสียงเข้ม และคล้ายยังแสดงอาการปกป้องไม่พอจึงก้าวเท้ามายืนบังระหว่างรุจิรดาและท่านหญิงอรกัญญา “ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านหญิง เอาอย่างนี้...”

จู่ๆ ใบหน้าคมสันก็หันกลับมาหาท่านหญิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดเด็ดขาด

“กระหม่อมจะเป็นคนสอนท่านหญิงทรงม้าเอง!”



เมื่อกลับถึงวังนฤบดินทราทิพย์ ตะวันก็คล้อยบ่ายแล้ว

ท่านหญิงอรกัญญาทรุดลงประทับกับเก้าอี้นวมอย่างหมดแรงรับสั่งกับคนรับใช้ที่กุลีกุจอยกน้ำมาให้ด้วยสุรเสียงอ่อนแผ่ว

“แม่แผ้ว ประเดี๋ยวขอผ้าชุบน้ำเย็นๆ สักสามผืนนะ เอาเข้ามาให้ฉันหน่อย”

“ได้เพคะ”

ถึงแม้แม่แผ้วจะตระหนกเมื่อเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของวรองค์แบบบาง แต่นางก็ถูกอบรมมาอย่างเข้มงวดว่าอย่าไต่ถามการใดเกินควร ร่างอวบในชุดเสื้อคอบัวสีขาวและผ้าถุงสีน้ำเงินเข้มขึ้นค่อยคลานเข่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินเร็วจี๋หายลับไปในห้องครัว

“ไหวไหมเพคะ ทรงเหนื่อยมากเลยนี่เพคะ”

รุจิรดาที่อยู่ในชุดขี่ม้า ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนมีผ้าผูกคอสีเดียวกัน และกางเกงเข้ารูปสีน้ำตาลเกือบดำที่ทำให้เห็นเรียวขาเพรียวทูลถามเมื่อเห็นพักตร์งามยังแดงก่ำ ส่วนไรเกศา ชื้นเหงื่อแถวๆ นลาฎ นั้นแห้งสนิทไปแล้ว

หลังจากที่ไปถึงสโมสร รุจิรดาและมนต์ณัฐโต้เถียงกันอยู่เป็นนาน ก่อนที่จะเลือกม้าที่ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าเชื่องที่สุด ฝีเท้าปานกลาง ขนสีขาวบริสุทธิ์และยังเป็นเพียงลูกม้าที่ยังไม่เติบโตเพื่อให้ชายหนุ่มใช้สอนให้ท่านหญิงทรงม้า

ตอนแรกๆ ก็ทรงกลัวที่จะสัมผัสมัน หากเมื่อชายหนุ่มพูดปลอบและค่อยๆ โน้มนำให้ทรงปฏิบัติตาม ท่านหญิงอรกัญญาจึงทรงพบว่าการทรงม้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าที่เคยดำริไว้ และที่ทรงสัมผัสได้นอกจากตัวม้า ยังทรงสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน นิ่มนวล และใจเย็นจากมนต์ณัฐ

ดังนั้นตลอดเวลาที่อยู่บนหลังม้า จึงทรงกายอยู่ได้อย่างมั่นคง เพราะทรงวางพระทัยเขาว่าจะไม่ปล่อยให้ทรงได้รับบาดเจ็บใดๆ เป็นแน่

บทเรียนการขี่ม้าผ่านไปอย่างสนุกสนาน รุจิรดานั้นเมื่อตอนที่ทั้งสองกำลังหัดขี่ม้าอยู่ หญิงสาวก็ชักม้าวนเวียนไม่ห่าง แต่เมื่อใกล้จะกลับแล้วมนต์ณัฐกลับขอแข่งขี่ม้ากับเธอสักรอบ...

เป็นการแข่งขี่ม้าที่สนุกมากในความรู้สึกของหญิงสาว ทั้งคู่มีฝีมือสูสีกัน แต่เมื่อใกล้ถึงเส้นชัยแล้วฝีเท้าม้าของมนต์ณัฐกลับแผ่วลง จนทำให้รุจิรดาชนะไปในที่สุด ท่ามกลางเสียงหัวเราะและแซ่ซ้องในความเก่งของเธอ

หากหญิงสาวรู้ดีว่ามนต์ณัฐแกล้งแพ้ แต่ไม่เป็นไร... เธอหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าหากมีโอกาส จะขอแข่งม้ากับเขาอีกสักรอบ และรอบนี้จะต้องเป็นผลแพ้ชนะอย่างแท้จริง ไม่ใช่การยอมให้แบบนี้

แต่อย่างน้อยวันนี้ต้องขอบใจเขา ที่ทำให้ความขุ่นข้องที่ได้ประสบมาจากในห้องเรียนมลายหายไปกับสายลม

ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลน้อยๆ แม้พักตร์ยังแดงก่ำ หากก็ทรงโอษฐแข็ง “ไม่เหนื่อยเลย สนุกดี วันหลังเราไปกันอีกนะ”

“ได้สิเพคะ”

รุจิรดาชะงักคำพูดต่อเมื่อเห็นแม่แผ้วเดินเข้ามาพร้อมกับของที่สั่งไปเมื่อครู่

“ผ้ามาแล้วเพคะ”

ผ้าที่นำมานั้นพับอย่างเรียบร้อย ถูกบิดหมาดๆ และวางอยู่ข้างๆ อ่างแก้วปากบานที่ใส่น้ำลอยกลีบกุหลาบครึ่งหนึ่ง แม่แผ่วนั้นนำของมาวางไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอยกลับเข้าไปในครัว รอเวลาที่จะถูกเรียกใช้อีกหน

“ผ้านี้หอมจริงกระหม่อม” มนต์ณัฐที่เห็นผ้าก็ตาวาว โน้มตัวลงไปคว้าผ้ามาเช็ดหน้าโดยเร็ว “เห็นทีจะหอมกว่าน้ำหอมของกระหม่อมอีกกระมัง?”

วาจาหยอกแกมเย้าทำให้หญิงสาวสองคนยิ้มแย้มกว้างขวาง ก่อนที่จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยๆ จนได้เวลาที่รุจิรดาและมนต์ณัฐจะกลับ หญิงสาวจึงเริ่มเหลียวมองไปมา ก่อนทูลถาม

“หญิงอร ท่านพี่ของฝ่าบาทล่ะเพคะ?”

“พี่ชายยังไม่กลับมาเลย เห็นทีจะกลับค่ำอีกแล้ว”

“อย่างนั้นหม่อมฉันรอเป็นเพื่อนก็ได้เพคะ” รุจิรดาเสนอ ไม่ได้อยากจะพบพักตร์ของอาจารย์ตนเองนอกเวลาหรอก เพียงแต่สงสารที่วรองค์แบบบางงดงามจะต้องประทับอยู่ที่วังเพียงองค์เดียว “เดี๋ยวรอท่านกลับมาหม่อมฉันค่อยกลับ”

“ไม่เป็นไรกระมัง”

น้ำเสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากตรงประตู ก่อนที่ร่างสมส่วนของผู้เข้ามาใหม่จะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ท่านหญิงอรกัญญาโดยที่ไม่ได้เหลือบแลคนที่นั่งอยู่ด้วยแม้แต่น้อย

“เสด็จไหนมาเพคะ เนี่ยพอหม่อมฉันเรียนเสร็จตอนแรกก็จะชวนฝ่าบาทไปดูสร้อยสวยๆ เอาไว้ใส่เล่นกันเสียหน่อย แต่ก็ทรงกลับก่อนเสียอย่างนั้น”

สุรเสียงนุ่มนวลตอบกลับเบาๆ “เรามีนัดน่ะแวววรรณ อ้อ... แวววรรณ นี่รุจิรดา และนี่มนต์ณัฐ แล้ว... นี่แวววรรณ” ทรงผายมือไปยังผู้ถูกแนะนำ ก่อนจะรับสั่งต่อ “คุ้นๆ หน้ากันบ้างไหม?”

อ้อ! คนที่ชนเขาจนขวดน้ำหอมแตก แต่ไม่รับผิดชอบนี่เอง “พอจำได้กระหม่อม”

รุจิรดาไม่ตอบคำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเพียงฉายแววสนใจชั่วครู่ ก่อนจะค้อมศีรษะให้เล็กๆ เท่านั้น ส่งผลให้หญิงสาวอีกคนขัดเคืองจนต้องออกปาก

“ทรงชวนพวกนี้มาที่วังหรือเพคะ”

“ใช่” อีกฝ่ายยังไม่รู้องค์ว่าสหายกำลังขุ่นใจ ยังคงแย้มโอษฐ์อ่อนหวาน “เรื่องที่แล้วๆ มาก็ปล่อยๆ ไปเสียเถอะ ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน แล้วมาทำความรู้จักกันใหม่ดีกว่านะ ได้ไหมณัฐ”

ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ในใจต่อสู้กันระหว่างความหมั่นไส้อยากให้บทเรียนคนตรงหน้า กับอีกใจที่ไม่อยากมีเรื่องมีราวอีก สุดท้ายจึงถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเอ่ย “สุดแท้แต่ฝ่าบาทเถิด กระหม่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองเขาแล้วล่ะ”

“อะไรกัน เธอนั่นแหละที่ถือของไม่ระวังเอง แล้วยังจะมาโทษคนอื่นอีกหรือ” แวววรรณร้องเสียงดัง น้ำเสียงเดือดดาลไม่ยอมรับ “ดูสิฝ่าบาท...”

“แวว... แววเป็นคนชนเขาจริงๆ นี่จ๊ะ” ถึงแม้สุรเสียงยังอ่อนหวานไม่เปลี่ยน แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแววเนตรทรงอำนาจที่ฉายชัดขึ้นมา จนทำให้หญิงสาวผู้มาใหม่อึ้งงัน “เขาไม่เรียกร้องให้แววชดใช้ค่าเสียหายก็ดีแล้ว อย่าต่อความกันอีกเลย เรื่องมันแล้วไปแล้ว”

อีกฝ่ายทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ต่อเมื่อเห็นสีพระพักตร์เรียบเย็นจึงชะงัก เปลี่ยนคำพูดใหม่เสีย

“แล้ว... ไม่ทราบว่าทั้งสองคนมีนามสกุลว่ากระไรเพคะ ในแวดวงสังคมน่ะหม่อมฉันรู้จักอยู่หลายคน เผื่อเป็นนามสกุลที่หม่อมฉันรู้จักอยู่บ้าง”

ท่าทางเย่อหยิ่ง คำพูดยโส และทีท่าการปรายตามองเหมือนคนอื่นต่ำต้อยกว่าตนเองทำให้แวบหนึ่งรุจิรดาหวนคิดถึงกลุ่ม ‘เพื่อน’ ที่เธอเพิ่งประสบมาเมื่อครู่ หญิงสาวเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัว ไม่ตอบคำแม้จะได้ยินเสียงมนต์ณัฐแนะนำตัวแว่วๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าใดนัก และเสียงตอบกลับของอีกฝ่ายก็อ่อนลงกว่าเดิม

แสดงว่ามนต์ณัฐ บุตรชายของท่านรัฐมนตรีช่วยฯ เช่นเดียวกับแวววรรณคงจะผ่านเกณฑ์แล้วสินะ

“เธอ... แล้วเธอล่ะ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร นามสกุลอะไร”

น้ำเสียงไว้ตัวดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แวววรรณพิจารณาคนตรงหน้าด้วยแววตาเหยียดหยันน้อยๆ ไม่แสดงออกมากนักเพราะอยู่ต่อหน้าเบื้องพักตร์ท่านหญิง

...สารรูปแบบนี้คงเป็นคนธรรมดาๆ ไร้สกุลล่ะนะ ดูแต่งเนื้อแต่งตัวเข้า ชุดขี่ม้านั่นถึงจะเป็นของมีราคาบ้าง แต่ก็เก่าปอนเหลือเกิน คู่ควรกับการคบค้าเสียที่ไหนกัน ผมเผ้ายาวรุ่ยร่ายไม่รู้จักเก็บให้ดี ใบหน้าก็พูดได้แค่พอดูได้ใช่จะสะสวยอะไรมาก คนแบบนี้ท่านหญิงคบเข้าไปได้อย่างไรนะ...

เมื่อถามแล้วอีกฝ่ายยังไม่ให้คำตอบ แวววรรณก็ขุ่นเคืองขึ้นมาทันควัน ร่างน้อยที่อยู่ในชุดกระโปรงผ้าสีชมพูหวาน ใบหน้าสดสวยงดงามที่แต่งแต้มอย่างประณีตบึ้งตึง “เอ๊ะ! ฉันถามไม่ได้ยินหรืออย่างไร ตกลงเป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหนหรือจึงไม่สามารถบอกที่มาของตนเองได้”

“ไม่ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์อะไรหรอกค่ะ แค่กำลังคิดว่านามสกุลของฉันไม่ได้เด่นดังพอที่จะให้คุณแวววรรณ บุตรีท่านรัฐมนตรีช่วยฯ รู้จักได้หรอกค่ะ แต่ถ้าอยากทราบฉันก็จะบอกให้... รุจิรดา นฤมาศบดีค่ะ!”

คิ้วโก่งเรียวขมวดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากที่ถูกแตะแต้มลิปสติกสีแดงจะแย้มหยัน “อ้อ... ไม่รู้จักจริงๆ นั่นล่ะ”

รุจิรดาเม้มริมฝีปากสะกดอารมณ์ หันไปสบตามนต์ณัฐ ชายหนุ่มกำลังมองเธออย่างเห็นใจก่อนที่จะเอ่ยทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า

“นี่ก็บ่ายจนเกือบเย็นแล้ว กระหม่อมกับรดากลับกันก่อนดีกว่า ไว้วันอื่นเราค่อยเจอกันอีกนะฝ่าบาท ลาล่ะครับคุณแวววรรณ...” เสียงสดใสของชายหนุ่มขาดหายไปชั่วครู่คล้ายชั่งใจ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ยินดีเช่นกันค่ะ” หญิงสาวตอบอ่อนหวาน ไม่มองร่างโปร่งบางที่ลุกขึ้นยืนเคียงข้างแม้สักนิด

รุจิรดาเพียงค้อมศีรษะพร้อมประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่อ่านไม่ออกไว้บนใบหน้านวล ก่อนจะเดินตามเพื่อนชายออกไปข้างนอกจนลับตา

ท่านหญิงอรกัญญาหันพักตร์มาทางเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หากยังไม่ทันรับสั่งสิ่งใด อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ทรงไปคบกับคนเหล่านี้ได้ยังไงเพคะ มนต์ณัฐน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยายรดาอะไรนั่น... ดูมอมแมมเหลือเกิน”

ท่านหญิงทอดพระเนตรคนพูดนิ่ง ก่อนจะรับสั่งชัดเจน “เขาเป็นเพื่อนหญิง”

แวววรรณเงียบเสียงลงเมื่อได้ยิน หากชั่วครู่ต่อมาก็เอ่ยขึ้นอีก “ทรงไปไหนมาไหนกับสองคนนั้นหรือเพคะ แหม... จะทรงมีเพื่อนเพิ่มก็เป็นสิ่งดี แต่หม่อมฉันคิดว่าจะทรงเป็นก้างขวางคอพวกเขาอยู่หรือเปล่าเท่านั้นเอง ดูเขาใส่ใจกันดีนะเพคะ หรือว่าเป็นคู่รักกันอยู่แล้วหรือเปล่า”

“ไม่ใช่” นิลเนตรงามฉายแววประหลาดขณะที่รับสั่งตอบรวดเร็ว... เร็วอย่างที่ไม่ได้ผ่านการดำริมาก่อนเลยด้วยซ้ำ “พวกเขาไม่ใช่คู่รักกัน เราเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น”

ก็เพิ่งรู้จัก เพิ่งคบหากันได้ไม่นาน ทั้งสองคนจะคิดอะไรกันได้อย่างไร แวววรรณน่ะ... พูดเลื่อนเปื้อน!

หากแม้จะทรงขัดเคืองพระทัย แต่จู่ๆ แววตาขณะที่มนต์ณัฐพูดถึงหญิงสาวอีกคนกลับฉายชัดขึ้นมาในห้วงคำนึง และทำให้หทัยดวงน้อยแปร่งปร่าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“หม่อมฉันแค่ตั้งข้อสังเกตเท่านั้นล่ะเพคะ” หญิงสาวว่าพลางยักไหล่อย่างไม่คิดอะไร “ว่าแต่ท่านพี่ของฝ่าบาทเสด็จกลับมาหรือยังเพคะ”

ใบหน้าของคนพูดแดงเรื่อขึ้นมาแม้เพียงเอ่ยถึงหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ แววหวานในดวงตาสวยคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกที่มีต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงหมดสิ้น

ท่านหญิงแย้มโอษฐ์น้อยๆ ปรายเนตรไปเสียอีกทางหนึ่ง ทั้งๆ ที่ทรงรับรู้เต็มหทัยว่าคนตรงหน้าคิดอย่างไรกับเชษฐาขององค์เอง “ยังไม่กลับ แต่เดี๋ยวคงใกล้มาถึงแล้วล่ะ”

“อย่างนั้นฝ่าบาทต้องรีบขึ้นไปสรงน้ำ ชำระวรกายเลยนะเพคะ ก็ทรงรู้อยู่ว่าหากท่านพี่ทอดเนตรเห็นฝ่าบาทอยู่ในชุดแบบนี้จะทรงเอ็ดเอาได้นะเพคะ”

คำเตือนนั้นแม้จะแฝงนัยบางอย่างที่ท่านหญิงอรกัญญารู้เท่าทัน หากวรองค์แบบบางก็ลุกขึ้นยืนรวดเร็วด้วยความตกพระทัย เมื่อมองนาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่ชิดกับชั้นวางภาพถ่ายและเครื่องประดับห้องต่างๆ เนตรงามก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะรับสั่งอย่างตระหนก

“อย่างนั้นเราไปอาบน้ำก่อน ถ้าท่านพี่กลับมาแววก็รับหน้าไปก่อนนะ”

รับสั่งเสร็จแล้วก็ดำเนินแกมวิ่งแบบที่หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ต้องไม่เคยได้ทอดพระเนตรกิริยาเช่นนี้แน่นอน ทว่าตอนนี้มิใช่เป็นเวลาที่จะมาดำริอะไรแบบนั้น ต่อให้ต้องปล่อยให้พี่ชายอยู่ตามลำพังกับแวววรรณก็เถอะ!

ตอนนี้ต้องเอาองค์เองให้รอดจากการถูกเอ็ดก่อนดีกว่า!



หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์เหลือบเนตรมองรถที่เพิ่งแล่นผ่านพักตร์ไป

ขณะที่รถที่ทรงอยู่กำลังเข้าไปในบริเวณวัง ทรงเห็นร่างโปร่งบางของใครบางคนที่คุ้นตาในชุดขี่ม้าทะมัดทะแมง ใบหน้าอ่อนใสนั้นแย้มยิ้มเต็มที่ และกำลังหัวเราะกับชายคนหนึ่งที่เดินไปเปิดประตูให้เธอ ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถสวนกับพระองค์เมื่อครู่

ชั่วขณะที่รถคันนั้นผ่านพักตร์ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ก็ทรงคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าผู้ชายมาก่อน แต่กับผู้หญิงนั้นทรงจำแม่น

รุจิรดา... ลูกศิษย์ขององค์เอง

เนตรคมกริบปรายมองจนรถคันนั้นลับหายไป ก่อนจะดำริขึ้นมาได้

เมื่อครู่ที่ทรงเห็น รุจิรดาและชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดขี่ม้านี่นา... แล้วมาที่วังนี่...

เนตรคมหรี่ลงขณะที่ดำริอย่างขุ่นพระทัย

ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนพาขนิษฐาของพระองค์ไปขี่ม้ามาหรอกนะ!

................
ขออนุญาตทักทายค่ะ ^^

มาลงนิยายที่นี่แต่ไม่เคยได้ทักทายคนอ่านเลย ปณัชญาค่ะ เรียกเล่นๆ ว่าส้มเช้งก็ได้นะคะ

ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามนิยายมาตลอดค่ะ แต่ส้มก็ยังอยากได้คอมเม้นท์ติชมเรื่อยๆ นะคะ ^^

ตอบคำถามหน่อยดีกว่า มีคนถามมาเยอะเหมือนกันในเว็บอื่น แต่จะตอบที่เว็บนี้ด้วยนะคะ

1. เรื่องช่วงสมัย นิยายเรื่องนี้อยู่ประมาณ 2503 ค่ะ ถ้า ณ ตอนนี้นะคะ เพราะมีการอ้างอิงถึงเรื่องเล็บครุฑ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2500 ที่ครอบครัวของรดายังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้ารีไรท์ก็จะพยายามให้อยู่ในช่วง 2500 นี่แหละค่ะ เลขสวยดี 555+

2. เรื่องคำพูดที่ใช้ในนิยายเรื่องนี้จะค่อนข้างคล้ายยุคปัจจุบัน เรื่องนี้ส้มถามอาจารย์ที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว อาจารย์บอกว่า นั่นมันเป็นภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาที่ใช้พูดจริง ซึ่งเวลาพูดกันจริงๆ แล้วก็พูดคล้ายกับปัจจุบันนี้ เพียงแต่ไม่มีแสลงที่เราใช้กัน เป็นแสลงสมัยเก่าเท่านั้นเอง ต้องบอกปูมหลังว่าอจารย์เป็นผู้ดีเก่าเลยทีเดียว ส้มก็เลย... ok น่าจะใช่แล้วแหละ

ก็ประมาณนี้แหละค่ะ ยังไงก็ยังจะวอนขอให้คนอ่านที่น่ารักทุกคนตามต่อไปนะคะ ^^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ต.ค. 2555, 13:55:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2555, 13:55:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 2711





<< บทที่ 3 [1/2]   บทที่ 4 [1/2] >>
ukkanirut 26 ต.ค. 2555, 14:33:03 น.
หรือจะเป็นรัก 4 เส้า
ขอบคุณสำหรับคำตอบเรื่องช่วงเวลาด้วยนะคะ


ม่านฟ้า 26 ต.ค. 2555, 14:51:02 น.
ชอบนิยายประมาณนี้ค่ะ ช่วงปี 2500
ดูอะไรก็นุ่มนวลดี
รักระหว่างอาจารย์กะศิษย์ อิอิ


lovemuay 26 ต.ค. 2555, 22:01:37 น.
เพิ่งมาอ่าน สนุกจังเลยนะคะ นางเอกน่ารัก พระเอกก็เท่ห์ซ้า
ชอบพระเอกแบบนี้ค่ะ สเป๊คเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account