Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน

ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง

หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก


เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย


หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง

Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน

ตอน: บทที่ 2

บทที่ 2

รถขับเคลื่อนสี่ล้อจอดลงหน้าปากประตูทางเข้าอาคารสูงราวสามสิบชั้น ปณาลีมองเข้าไปในตัวอาคารส่วนที่เป็นบริษัทของห้างสรรสินค้า มีแต่กระจกบานใสรายล้อมไปทั่วอาคาร แล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนถอดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว

หล่อนไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีแววตาห่วงใยของชายหนุ่มข้างกายลอบมองมาตลอดทางที่พามาส่ง

“เป็นอะไรรึเปล่าเรา หรือว่าเมื่อคืนฝันร้ายอีก”

“เปล่าค่ะ ลีแค่ปวดหัวนิดหน่อย พี่ชลไม่ต้องเป็นห่วงลีหรอกนะคะ”

คำตอบของแฟนสาวดูเหมือนจะไม่ทำให้ชนะชลหายเป็นห่วงได้เลย เขากุมมือนุ่มๆ ของหล่อนไว้อย่างกับกลัวหล่อนจะหนีหายไปเสียเดี๋ยวนั้น “ช่วงนี้เราปวดหัวบ่อยมากเลยรู้ตัวรึเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะ พี่คงทนไม่ได้ถ้าเห็นเราเป็นอะไรไปอีก”

“โธ่พี่ชลคะ” ริมฝีปากสีบางยิ้มกว้างให้เขา เกาะกุมมือเขาตอบ “ลีไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ หรือถ้าพี่ชลเป็นห่วง กลัวลีจะเป็นอะไรไปอีก เดี๋ยวลีจะโทร.รายงานตัวกับพี่ชลทุกหลังมื้ออาหารเลยเป็นไงคะ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น พี่ชลจะได้มั่นใจว่าลีไม่เป็นอะไร เอ...แต่ลีว่าน่าจะแถมตอนค่ำและก็ก่อนนอนด้วย และก็ตอน...”

“ตกลงๆ” ชนะชลรีบยกมือยอมแพ้ “พอพี่เป็นห่วงทีไร เราต้องทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย ถ้าเราทำได้ พี่ก็ยินดีจะรอรับโทรศัพท์เราทุกสามมื้อเลย เอ้า !”

“อ้าว ทำไมไม่ห้ามกันบ้างเลยล่ะพี่ชล แบบนี้ลีก็แย่สิ”

“ก็เราบอกเองไม่ใช่เหรอ”

เมื่อโดนเจ้าหล่อนย่นจมูกใส่เข้าให้ เขาจึงบีบจมูกย่นนั้นแกล้งตอบ “พี่ลดให้เหลือหลังสามมื้ออาหารแล้วนะ แต่เราห้ามผิดคำพูดล่ะ”

สาวร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถ เปลี่ยนเป็นยืนโบกมือให้คนขับนอกกระจก “ขอบคุณนะคะพี่ชล และก็ขับรถดีๆ ด้วยนะคะ”

“ครับผม” ชายหนุ่มตะเบ๊ะรับ จากสบมองดวงหน้าสวยก็เปลี่ยนเป็นมองถนนเบื้องหน้าก่อนเลี้ยวรถออกจากตึกลานจอดรถไป

รอจนรถของชนะชลหายลับไปปณาลีถึงค่อยละสายตา หันกลับมามองบริษัทของตัวเองอีกครั้ง แต่หล่อนต้องถอยผละออกมาแทบไม่ทันเมื่อเห็นเงาดำของใครบางคนสะท้อนบนกระจก พาดผ่านไปในพริบตา

ปณาลีหันหลังขวับ แต่แล้วก็ต้องถอนใจดังพรืด เมื่อสิ่งที่พบด้านหลัง

คือ ความว่างเปล่า ไร้ซึ่งรถและผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่จะบ่งบอกได้เลยว่าเป็นเจ้าของเงาดำเมื่อครู่

“สงสัยคงตาฝาด” ปณาลีบอกตัวเอง คราเดียวกับที่ประตูบริษัทเลื่อนเปิดรับอัตโนมัติเชื้อเชิญให้หญิงสาวเข้าสู่ภายในอาคาร

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรปณาลีถึงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เมื่อเช้า...ใต้อาคารจอดรถ แต่ก่อนขึ้นรถชนะชลมายังบริษัทวันนี้ ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านทุกวัน หรือกระทั่งตอนเย็นหลังเลิกงาน หล่อนก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนจ้องมองหล่อนอยู่ไม่ห่าง

คงไม่ใช่เพราะเรื่องความฝันเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ปณาลีมีสีหน้าไม่สู้ดีในเช้าวันนี้...ความรู้สึกแปลกๆ เหล่านี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังค้างคาใจหล่อนไม่แพ้กัน และนับวันความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้ยิ่งจะรุนแรงมากขึ้นทุกที

ทันทีที่ถึงชั้นผู้บริหาร ปณาลีซอยเท้าออกมาจากลิฟท์ ก่อนหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของกุศลินมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเอง กุศลินนัดสอนงานหล่อนไว้ ได้แต่หวังว่าคนในห้องจะไม่กล่าวโทษที่สายไปร่วมครึ่งชั่วโมง

แต่ยังไม่ทันผลักประตูเข้าไป คนในห้องก็กลับเปิดสวนทางออกมาทำให้ปณาลีสะดุ้งจนตัวโยน เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ถอยผละไปเหมือนกัน

“โธ่หนูลี”

“คุณลุงสรร” ที่แท้ก็เสกสรร หนึ่งในผู้บริหารบริษัทของชลาคม

ปณาลียกมือไหว้ทำความเคารพชายมีอายุตรงหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยถามมีความกังวลผ่านไปถึงเจ้าของห้องด้านใน “คุณลุงมาคุยธุระกับคุณลินเหรอคะ”

“เรามาก็ดีแล้ว ลุงกำลังอยากคุยกับเราอยู่พอดี”

ปณาลีสัมผัสได้ถึงความเครียดภายใต้น้ำเสียงนั้น เขาดูจะหัวเสียไม่น้อยเมื่อมีเสียงของกุศลินแทรกเข้ามา “คุณปณาลีเข้ามาข้างในได้เลยค่ะ เลยเวลานัดมามากแล้ว”

“แล้วลุงจะมาคุยกับเราใหม่วันหลัง” เขากระซิบพอให้เขาและหล่อนได้ยินกันแค่สองคน คนสุดท้ายที่เสกสรรมองไปคือหญิงสาวในห้อง ก่อนเบี่ยงตัวหลบออกไปเร็วราวพายุ

ปณาลีพยายามปิดประตูให้เบาที่สุด อาจเป็นเพราะหล่อนพยายามถ่วงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนหลังโต๊ะทำงาน

“เชิญนั่งค่ะคุณลี”

แม้ภายในห้องจะเงียบแสนเงียบ แต่น่าแปลกที่ปณาลีกลับรู้สึกอึดอัดพิกล เหมือนกับมีแต่ความหม่นหมองรายล้อมอยู่รอบกาย

ท่าทางของเสกสรรที่เดือดพล่านออกจากห้องไปไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่หล่อนเคยเห็น ทำให้ปณาลีเริ่มเป็นห่วงหญิงสาวที่นั่งหันหลังอยู่ตอนนี้

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะคุณลิน”

“…เปล่าจ้ะ” กุศลินตอบพลางหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่นั่งหน้าโต๊ะทำงานเรียบร้อย

“คุณร้องไห้” ในที่สุดปณาลีก็หาคำตอบของความรู้สึกเมื่อครู่พบ ดวงหน้าเรียวที่เคยยิ้มแย้มสดใสให้กับทุกคน บัดนี้...มีแต่สีหน้าซีดเซียว รอยยิ้มเจื่อนกับดวงตาที่แดงก่ำของหญิงสาวดูยังไงก็เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“คุณลุงสรรมาต่อว่าคุณอีกแล้วใช่มั้ยคะ”

คำถามของปณาลี แทนที่จะช่วยให้กุศลินดีขึ้น กลับกลายเป็นดั่งเหล็กแหลมทิ่มแทงใจ เรียกพาเอาน้ำตาที่เหือดแห้งไปหมาดๆ พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

“ลีจะไปคุยกับลุงสรรค่ะ” ไม่พูดเปล่า เจ้าหล่อนยังลุกขึ้นพรวด ร้อนถึงเจ้าของห้องที่ต้องคว้าแขนหล่อนไว้

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณลี ดิฉันไม่เป็นอะไร”

“แต่คุณร้องไห้”

“ก็แค่ร้องไห้” กุศลินว่าพลางปาดน้ำตาออกจากแก้ม “ดิฉันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ทุกข์นิดเดียวก็ร้องไห้ เดี๋ยวเดียวก็เลิกร้องไปเองแหละค่ะ”

ปณาลีมองหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำปลอบใจ เพราะพอจะเดาได้จากคำพูดของเสกสรรเมื่อครู่แล้วว่าคงมาต่อว่าการทำงานของหล่อนผ่านกุศลินอีกตามเคย

“อย่าโกรธคุณลุงเลยนะคะคุณลี เป็นความผิดของดิฉันเองที่ดูแลคุณไม่ดีเท่าที่ควร”

“ใครบอกล่ะคะ ทุกวันนี้คุณลินทำดีที่สุดแล้ว แต่ลีเองต่างหากที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ถ้าลีให้ความสำคัญกับงานมากกว่านี้คุณลินก็คงไม่โดนคุณลุงต่อว่า...ยังไงวันนี้ลีก็ต้องคุยกับคุณลุงให้รู้เรื่องค่ะ”

คราวนี้ปณาลีไม่ฟังเสียงค้าน เดินออกจากห้องทำงานของกุศลินได้ก็มุ่งตรงมายังห้องทำงานของเสกสรร ซึ่งอยู่ถัดจากห้องของหญิงสาวแค่สองห้องเท่านั้น

“ยังเข้าไปไม่ได้นะคะคุณปณาลี” เลขาหน้าห้องของเสกสรรเอ่ยห้าม แต่ไม่ไวเท่าปณาลีที่ผลีผลามเปิดประตูเข้าไปไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว

“ลีมีเรื่องจะคุยกับ...” แต่แล้วเจ้าหล่อนก็ต้องชะงัก เพราะในห้องไม่ได้มีเสกสรรเพียงคนเดียว หากมีผู้ชายอีกคนนั่งร่วมอยู่ด้วย

ชายในชุดสูทซึ่งนั่งหน้าโต๊ะทำงานของเสกสรรยังคงนั่งนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนอง ผิดกับเจ้าของห้องที่สปริงตัวลุกจากเก้าอี้ในทันทีทันใด “คุณนี ! ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่ายังไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา”

“เอ่อ...คือ...ดิฉัน”

“อย่าโทษคุณปรานีเลยค่ะคุณลุง ลีผิดเองที่ผลีผลามเข้ามา” ปณาลีออกรับแทน ก่อนทำสัญญาณมือบอกให้เลขาสาวกลับออกไปหน้าห้อง

การรับผิดแต่โดยดีของปณาลีคงสร้างความพอใจให้กับเสกสรรไม่น้อย รอยยับย่นบนหน้าผากจึงคลายลง แต่ยังคงเหลือความเคร่งขรึมให้เห็นเหมือนเช่นทุกครั้ง “ลุงบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะคุยกับเราใหม่วันหลัง”

“ลีทราบค่ะคุณลุง แต่ลีอยากอธิบายเรื่องวันนี้ให้คุณลุงเข้าใจ”

“ไม่เป็นไรครับคุณสรร” จู่ๆ คนที่นั่งนิ่งอยู่นานก็ลุกขึ้นเสมอเสกสรร

ชั่ววินาทีนั้นปณาลีรู้สึกเหมือนตัวเองโดนร่ายมนต์สะกดให้หยุดนิ่งอยู่ที่แผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า เสียงของชายผู้นั้นถึงแม้จะฟังดูเรียบเฉย แต่หล่อนกลับมีความรู้สึกว่ามันนุ่มนวลและน่าฟัง...คุ้นเคยจนน่าประหลาด

เจ้าของเสียงขยับเสื้อสูทให้เข้าที่เล็กน้อย ”เผอิญผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนต้องทำ แล้วเราค่อยคุยธุระของเราวันหลังแล้วกันครับ”

ปณาลีละสายตาจากเสกสรรหันมองเขาให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป แต่ทันทีที่ชายหนุ่มตรงหน้าหันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว ใบหน้าของเขามีแต่ความเคร่งขรึม ไม่แสดงความรู้สึกใดให้เห็นแม้แต่น้อย

หากนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น...สวยชวนหลงใหล...คล้ายชายในฝันของหล่อนมากเสียจนคนมองต้องกระพริบตาถี่ !

แต่มันก็แค่ชั่วพริบตาเดียว เพราะเขาไม่คิดจะมองหน้าหล่อนด้วยซ้ำ ขายาวๆ ของเขาก้าวผ่านพ้นหน้าไป เหมือนกับเขาไม่เห็นผู้หญิงที่ชื่อปณาลีอยู่ในสายตา ภาพสุดท้ายที่เห็น...คือประตูห้องปิดลง

“คุณรชานนท์”

“คะ ?” การที่เสกสรรก็โพล่งขึ้นมา ทำให้ปณาลีต้องตั้งสติเล็กน้อย

เสกสรรค์ผ่อนลมหายใจอย่างรำคาญๆ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม “ผู้ชายคนนั้นชื่อรชานนท์ เรียนจบจากต่างประเทศมาได้หลายปีแล้วแต่เพิ่งเริ่มมาช่วยงานที่บริษัทเงินทุนของคุณภูเบศวร์ได้ไม่นาน...เขาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทเรา และเป็นหลานชายของเจ้าหนี้ของบริษัทเราด้วย”

“เจ้าหนี้ !” ปณาลีถึงกับร้องเสียงหลง “หมายความว่ายังไงคะคุณลุง”

“นี่คุณลินผู้แสนดีของเราเขาไม่ได้บอกรึไงว่าบริษัทของเรากำลังทำงานผ่อนชำระหนี้ให้บริษัทเงินทุนของคุณภูเบศวร์อยู่”

สิ่งที่เพิ่งรู้ทำให้ปณาลีช็อค ฝ่ายเสกสรรเองไม่สนใจในท่าทีของหล่อนสักเท่าไหร่ เขาผละมือจากแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเปลี่ยนเป็นนั่งไขว้ห้างพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่สบอารมณ์

“หลังจากเราประสบอุบัติเหตุ ก็ไล่เลี่ยกับที่พ่อเราเสียชีวิตนั่นแหละ คุณลินเธอต้องทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัทนี้แทนชั่วคราว ตอนนั้นบริษัทของเราก็ตกต่ำอยู่แล้ว พวกเราจึงตัดสินใจกู้เงินจากบริษัทเงินทุนของคุณภูเบศวร์มาหมุนเวียนกิจการของเรา”

“ทำไม...ทำไมลีถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะคะคุณลุง”

“ก็เพราะเราไม่เคยสนใจอะไรเลยน่ะสิยัยลี” เสกสรรตอบโดยไม่ต้องคิด เขาคงอยากที่จะพูดประโยคนี้มานานแล้ว

เมื่อโดนชายมีอายุต่อว่าตรงๆ ปณาลีเองก็เถียงไม่ออกนอกจากยิ้มเหยเกให้ผู้เป็นลุง

“ลุงขอพูดตรงๆ นะว่าพ่อของเราชอบทำอะไรเกินตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดิมทีห้างสรรพสินค้าของเราก็มั่นคงดีอยู่หรอก ดันไปหาเรื่องใส่ตัว ไปซื้อกิจการโรงแรมที่เพิ่งปิดตัวลงมาบริหาร แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็เจ๊ง

แต่มันไม่จบแค่นั้น ห้างเราก็พลอยขาดทุนไปด้วย ก็เพราะพ่อเรามัวแต่เอาเงินไปถลุงกับกิจการโรงแรมบ้าๆ บอๆ นั่นน่ะแหละ พักหลังๆ บริษัทเราเลยต้องมีมาตราการคุมค่าใช้จ่าย ต้องปิดไฟดวงเว้นดวง ปิดแอร์เป็นบางเวลา ซ้ำร้ายเรายังไม่มีเงินพอจะจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานและก็ดอกเบี้ยจากเงินกู้ครั้งก่อนๆ ด้วย”

อยู่ดีๆ คนเล่าก็หัวเราะขื่นออกมา “ถ้าลุงเป็นลูกค้า ก็คงไม่คิดจะมาใช้บริการห้างฯ เราอีกแล้วล่ะ โชคดีแค่ไหนที่คุณรชานนท์ยอมให้เรากู้เงินจากบริษัทของลุงเขามาหมุนเวียน”

ปณาลีนึกภาพตามในสิ่งที่เสกสรรพยายามจะอธิบายให้หล่อนเข้าใจ แต่ประโยคท้ายกลับสร้างความประหลาดใจให้ปณาลีมากที่สุด “น่าแปลกนะคะคุณลุง ฟังดูแล้ว...บริษัทของเราไม่น่าจะอยู่ในสถานะที่ใครจะกล้าให้กู้ยืมเงินกันได้ง่ายๆ แต่คุณรชานนท์ก็ยังให้ยืม”

“นั่นไง ลุงถึงอยากให้คนของเราเอาใจเขาให้มากๆ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการตอบแทนในน้ำใจของเขาที่มีต่อบริษัทของเรา”

น้ำใจ! ปณาลีเพียงแต่ค้านเสกสรรในใจ รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปคนตรงหน้าก็คงไม่ฟัง

“ที่นี้เราคงเข้าใจแล้วว่าทำไมลุงถึงต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชเรานัก”

“แต่ลีไม่อยากให้คุณลุงกับคุณลิน...”

“ลุงว่าวันนี้เราพอแค่นี้เถอะ ลุงยังมีงานต้องทำอีกมาก” เสกสรรตัดบท ก่อนกดปุ่มบนเครื่องตอบรับบนโต๊ะ “คุณปรานีส่งท่านประธาน”

คำเรียกของเสกสรรที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้ปณาลีหัวเสีย ในเมื่อเจ้าของห้องไม่ต้อนรับหล่อนแล้ว ปณาลีจึงไหว้ชายมีอายุอย่างเสียมิได้ก่อนเดินหน้านิ่วออกจากห้องไป




******************************



“คุณปณาลีคะ คุณมนต์นภามาขอพบค่ะ”

เสียงเพลินตาเลขาสาวหน้าห้องรายงานผ่านเครื่องตอบรับบนโต๊ะทำงาน เรียกรอยยิ้มกว้างจากท่านประธานที่กำลังนั่งครุ่นคิดเรื่องเสกสรรอยู่เป็นนานสองนาน เอ่ยอนุญาตกับเลขาสาว ไม่นานมนต์นภาก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง

พอเห็นเพื่อนเท่านั้นปณาลีไม่รีรอลุกจากโต๊ะทำงานมาต้อนรับ “จะมาหาเราทำไมไม่โทร.มาบอกก่อนละมนต์”

“มนต์โทร.มาหาลีแล้วแต่สงสัยลีคงไม่ได้ยินน่ะจ้ะ”

มนต์นภาตอบยิ้มๆ ก่อนเดินตามเพื่อนมานั่งที่โซฟายาวสำหรับต้อนรับแขก “เอ...ลีไม่สบายรึเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”

“ฮื้อ ? เราดูหน้าซีดขนาดนั้นเลยเหรอ” ปณาลีสาละวนจับหน้าตัวเองให้วุ่น ขณะที่เพื่อนสาวยังคงมีสีหน้าเป็นกังวล

มนต์นภาเป็นเพื่อนสนิทของปณาลีตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาตอนปลาย พอเรียนจบ ทั้งสองก็สอบเข้าได้มหาวิทยาลัยเดียวกัน ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานาน แค่เพียงหล่อนปั้นหน้ายิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทายอย่างปกติคงไม่อาจปิดบังความอ่อนล้าทั้งกายและใจยามนี้ได้

ปณาลีจึงถอนใจออกมา “ไม่มีอะไรหรอกมนต์ เราแค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย ไม่อยากถูกตำหนิอีกน่ะ ภาพความฝันมันทำให้เราไม่มีสมาธิทำงานเลย”

“ฝัน ?” เพื่อนสาวนิ่วหน้าเล็กน้อยยามพินิจมองดวงหน้าสวยของเพื่อน “ฝันร้ายที่ลีเคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ”

“ก็...เอิ่ม...ไม่เชิงหรอก พักหลังมานี้เรารู้สึกเหมือนมีใครคอยจับตา มองเราอยู่ตลอดเวลา เราเบื่อตัวเองน่ะมนต์ บอกตามตรงว่าตั้งแต่เราฟื้นจากอุบัติเหตุ ไม่มีวันไหนที่เรามีความสุขสักวัน ภาพในความฝันมันตามมาหลอกหลอนเราทุกคืน ตื่นมาก็ต้องมารับรู้ว่าตัวเองความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้แถมยังมีงานเป็นกองพะเนินให้ต้องเรียนรู้อีก บางครั้ง...เราก็แอบคิดนะ ว่าเราไม่น่ารอดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเลย จะได้ไม่ต้องรับรู้กับปัญหาพวกนี้”

“คิดแบบนั้นได้ยังไงลี”

เสียงหลงของมนต์นภาทำให้ปณาลีรีบจุ๊ปาก “ร้องเสียดังลั่นเชียวมนต์ กลัวคนข้างนอกเขาจะไม่ได้ยินเรื่องที่เราพูดกันรึไง”

“ก็แล้วทำไมลีพูดแบบนั้นล่ะ คนที่บาดเจ็บแบบลีก็มีอีกมาก บาดเจ็บหนักกว่าลีก็ใช่ว่าจะไม่มี คนพวกนั้นเขายังอยากที่จะมีโอกาสรอดชีวิตกลับมาอยู่กับคนที่พวกเขารักเลย ลีเองสิโชคดีแค่ไหน ยังจะมาแช่งตัวเองอีก”

“โอ๋ๆ เราขอโทษที่พูดไม่คิด” ปณาลีลูบแขนเพื่อนไปมาปลอบใจเป็นการใหญ่ “เราก็แค่พูดเล่น ไม่อยากให้มนต์เครียดน่ะ”

มนต์นภายังคงมองเพื่อนอย่างโกรธๆ แต่ความเป็นห่วงนั้นมีมากกว่าจึงปัดความขุ่นมัวในใจทิ้งเสีย “ถ้าลีไม่สบายใจ ลีก็น่าจะระบายให้คุณชลรู้บ้างนะ ไม่ใช่มาเก็บงำไว้คนเดียวแบบนี้”

“ได้ที่ไหนล่ะมนต์ รายนั้นนะเป็นห่วงเรายิ่งกว่าอะไร ถ้าขืนเราเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง เราว่าคนที่เครียด จะกลายเป็นเขาเสียมากกว่า”

“แต่ลีกับเขาเป็นคู่หมั้นกันนะ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็ไม่ควรปิดบังกัน”

“โธ่มนต์” ปณาลีพูดได้เท่านั้น ดูแล้วท่าจะไม่ใช่แค่ชนะชลเพียงคนเดียวที่เป็นห่วงหล่อนจนเกินความพอดี ยังมีคนข้างกายนี้อีกคน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าขึงขังขึ้นมา คนที่ตั้งใจจะปล่อยให้ความหวังดีของเพื่อนผ่านเลยไปจึงถอดใจพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ ก่อนกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานตามเดิม โดยมีมนต์นภาตามมานั่งฝั่งตรงข้าม

“บ่ายนี้ลีว่างรึเปล่า ผู้บริหารบริษัทเงินทุนนัดมนต์ไปคุยเรื่องเงินที่จะขอกู้ยืมไปขยายกิจการร้านอาหารน่ะ ลีไปเป็นเพื่อนมนต์หน่อยนะ”

“ว่าแล้วว่ามาหาเราต้องมีเรื่องให้ช่วย”

คำขอร้องนั้นเรียกรอยยิ้มขันจากปณาลีได้หน่อย แม้มนต์นภาจะดูเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและฉลาดเพียบพร้อมอย่างแม่ศรีเรือนไทยในสายตาของคนรอบข้าง แต่สำหรับปณาลีแล้ว เพื่อนสาวคนนี้ยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่มาก

“อะไรกันจ๊ะคุณมนต์นภา ร้านอาหารออกใหญ่โตก็ดูแลตัวคนเดียวมาตลอด แค่ไปพบผู้บริหารบริษัทเงินทุนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเองจะกลัวทำไม”

“แต่มันไม่เหมือนกัน ลูกจ้างที่ร้านอาหารล้วนแต่เป็นคนเก่าแก่ของคุณพ่อคุณแม่มนต์ทั้งนั้น กิจการร้านอาหารนี้ก็เป็นของครอบครัว แต่ผู้บริหารบริษัทเงินทุนนี้สิ มนต์ยังไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง รู้จักก็ไม่รู้จัก แล้วยังต้องเสนองานพร้อมอธิบายรายละเอียดให้เขาฟังอีก แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว”

“ตื่นเต้นก็ไม่ต้องไป”

“ได้ไงล่ะลี แล้วร้านอาหารของมนต์จะขยายกิจการได้ยังไง”

“งั้นก็ไป”

“ลี”

“มนต์” ปณาลีแกล้งร้องครางเลียนแบบอีกฝ่าย แต่คนโดนล้อเหมือนจะไม่มีอารมณ์ขันด้วย หน้ากลมๆ ของเจ้าหล่อนถึงได้บูดบึ้งหนักกว่าเก่า แล้วมีเหรอที่เพื่อนอย่างหล่อนจะไม่ใจอ่อน

“ก็ได้ แต่เราคงไปได้ไม่นานนะเพราะยังเป็นเวลางานอยู่ ต้องขออนุญาตคุณลินก่อน”

ดวงตากลมโตสวยคู่นั้นประกายวิบวับอย่างมีความหวังขึ้นมาทันใด “จริงนะลี ลีน่ารักที่สุดเลย ขอบใจนะจ๊ะ แค่ลียอมไปด้วยมนต์ก็อุ่นใจแล้ว มนต์รับรองว่าจะไม่ทำให้ลีเหนื่อยใจเด็ดขาด ลีแค่นั่งสบายๆ เป็นเพื่อนฟังมนต์อธิบายงานให้ผู้บริหารฟังก็พอ”

“เราต้องเข้าไปด้วยเหรอ”

มนต์นภาฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนสาวแทนคำตอบ คนที่หลวมตัวตกปากรับคำจึงมองเพื่อนอย่างงงๆ แกมนึกขันในสีหน้าระรื่นนั้น อะไรของยัยมนต์กันนะ แค่หล่อนไปเป็นเพื่อนดีใจอย่างกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

มนต์นภาขับรถพาปณาลีออกมาจากห้างสรรพสินค้าในเวลาถัดมา

เพื่อนสาวปรนนิบัติดูแลปณาลีดีอย่างที่พูดไว้ไม่มีผิด เพราะไม่ว่าหล่อนจะขยับเขยื้อนไปทางไหนเป็นต้องหันมาบริการ

“จะเปลี่ยนแผ่นซีดีเพลงเหรอลี” มนต์นภาถามคนที่กำลังเอี้ยวตัวไปข้างหลัง และทำท่าจะเอี้ยวตัวตาม ปณาลีจึงยกมือห้ามทันควัน

“ไม่ต้อง เราไม่มีวันยอมให้มนต์ปล่อยพวงมาลัยหรอกนะ ขับรถอยู่ ขืนหันมาหยิบให้เราเดี๋ยวก็ขับไปชนใครเขาเข้าหรอก อยากความจำเสื่อมเหมือนเรารึไง”

“ก็มนต์อยากช่วยลี”

ปณาลีส่ายหน้าระอาในความห่วงใยเกินพอดีของเพื่อนสาว เลือกแผ่นซีดีเพลงในกล่องผ้าบนเบาะหลังรถไม่นาน ก็ตัดสินใจหยิบมาสักแผ่นเตรียมใส่เครื่องเล่นซีดีในรถแทนแผ่นเดิม “ถามจริงเถอะมนต์ เอาใจเราเป็นพิเศษแบบนี้ มีความลับอะไรรึเปล่า”

“ความลับ ?” มนต์นภาทวนคำเพื่อนแล้วต้องแค่นหัวเราะออกมา โบกปัดไปมาในอากาศราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ “ความลับอะไร มนต์เนี่ยนะจะมีความลับกับลี”

“ถ้าเรารู้แล้วเราจะมาถามมนต์อยู่นี่เหรอ”

มนต์นภางึมงำร้องเพลงตามนักร้องในแผ่นซีดี เห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจปณาลีเลยหรี่เสียงเครื่องเล่นซีดีให้เบาลงเหลือเพียงเสียงเพลงดังคลอเบาๆ เพราะต้องการดื่มด่ำบรรยากาศนอกรถมากกว่า

ด้วยความที่การจราจรบนท้องถนนค่อนข้างโล่งทำให้ปณาลีมีโอกาสมองวิวทิวทัศน์ข้างทางได้เต็มตา อย่างน้อยก็ได้เห็นต้นไม้บนเกาะกลางถนนที่แม้จะดูเหี่ยวเฉาไปบ้าง แต่สีเขียวของต้นไม้ใหญ่น้อยช่วยเป็นจุดพักสายตาของคนในรถได้ดีนอกจากป้ายโฆษณากับตึกสูงระฟ้าสองข้างทาง

มนต์นภาขับรถวิ่งฉลุยมาตลอดทาง กระทั่งถึงหน้าบริษัทเงินทุนรถกลับแน่นขึ้นถนัดตา ไม่เพียงแค่รถเท่านั้นที่ชะลอตัวอย่างไม่มีสาเหตุ แต่บนฟุตปาธหน้าบริษัทเงินทุนยังเต็มไปด้วยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ยืนล้อมเป็นแนวกั้นปิดทางเข้า – ออกของบริษัท

“เกิดอะไรขึ้นน่ะลี” มนต์นภาเอ่ยถาม ตื่นตระหนกกับภาพที่เห็น

ปณาลีเป็นฝ่ายเพ่งมองไปยังวงล้อมตรงหน้าคราเดียวกับที่รถของเพื่อนสาวค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้

จุดเกิดเหตุนั้นมีรถตำรวจคันหนึ่งจอดบังกลุ่มคนตรงฟากถนนพอดี ทำให้ปณาลีสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน แต่แล้วสิ่งที่เห็นคือร่างของชายผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนฟุตปาธ บริเวณขมับข้างของชายผู้นั้น มีรอยกระสุนและคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่รอบๆ เลือดสดยังคงไหลอาบร่างที่นอนหมดสติอยู่อย่างนั้น

ปณาลีได้แต่เอามือป้องปาก คำตอบต้องกลืนหายลงคอ

สภาพที่มีแต่เลือดอาบกายทำให้ภาพในฝันร้ายหวนกลับเข้ามาในหัวสมองพลัน ภาพของบิดากับชายในฝันตีปนกันมั่วรู้สึกเหมือนอาหารกำลังไหลย้อนกลับขึ้นมาที่คอ ทำมือบอกให้เพื่อนรีบจอดรถ มนต์นภาอารามตกใจรีบเทียบจอดริมฟุตปาธ ปล่อยให้เพื่อนกระโจนลงจากรถวิ่งตรงเข้าไปในบริษัท ทว่ายังไม่ทันที่ปณาลีจะผลักประตูเข้าไปใครบางคนก็เปิดประตูสวนออกมา ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายกระแทกปณาลีเต็มแรงทำเอาเสียหลักเซจะล้ม ยังดีที่เขาประคองร่างของหล่อนไว้ทัน พูดอะไรบางอย่างกับหล่อน หากเวลานี้หูของปณาลีอื้ออึงไปหมด หล่อนไม่สนใจที่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ นอกจากมองหาป้ายห้องน้ำเพราะเป็นสถานที่เดียวที่หล่อนนึกถึงในตอนนี้ !



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:49:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:49:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1114





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
lovemuay 31 ต.ค. 2555, 18:53:13 น.
สงสัยนิหล่ะมั้ง พระเอก


สรัน 31 ต.ค. 2555, 20:22:20 น.
>///<


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account