Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน
ตอน: บทที่ 3
บทที่ 3
ปณาลีเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบ้าน บริเวณทางเดินจากปากประตูลึกเข้าไปเป็นทางเดินแคบที่หล่อนช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ก่อนมองแปลกไปที่ภาพใส่กรอบอย่างดีซึ่งถูกแขวนบ้างวางตั้งกับพื้นฝาผนังห้องบ้างติดทั่วเต็มกำแพงไปหมด
ภาพวาดเหล่านั้นแม้จะถูกแขวนอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่ก็ดูออกว่าเป็นความตั้งใจของคนแขวนมากกว่าถูกจัดวางอย่างลวกๆ
ไม่นานหล่อนก็เดินพ้นทางแคบออกมาสู่กลางห้องทำงาน ที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้าง มีรูปภาพวางพิงอยู่เต็มห้อง ส่วนน้อยที่จะเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเจ้าของ
เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่เบาๆ กับชายร่างสูงใหญ่คุ้นตาที่นั่งไขว่ห้างอยู่หลังกระดานวาดภาพที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้อง สร้างรอยยิ้มปรากฎขึ้นที่มุมปากของหญิงสาว
‘เดี๋ยวนี้อาจหาญเข้ามาในห้องทำงานของพี่แล้วเหรอเรา’
ปณาลีถึงกับสะดุ้ง ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ‘พี่กฤตรู้ได้ไงว่าลีเข้ามา’
‘พี่ได้ยินตั้งแต่เราเปิดประตูเข้ามาแล้วล่ะ’ เขาเอ่ยพลางวางพู่กันในมือลงบนจานสี มือข้างหนึ่งปัดผมยาวกระเซอะกระเซิงที่ถูกรวบไว้อย่างไม่ใยดีไปด้านหลัง มืออีกข้างชี้บุ้ยใบ้ไปที่ภาพวาดตรงหน้า ‘เข้ามาดูภาพให้พี่หน่อยว่าสวยรึเปล่า’
ปณาลีเดินเข้ามาอย่างเด็กว่าง่าย เอามือวางไว้บนต้นขาแข็งแรงของเขาด้วยความเคยชินยามที่ถูกเรียกให้มาดูภาพใกล้ๆ
ภาพของเด็กหญิงต่างวัยสองคนที่ยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าระเบียงในสวนถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส สีทุกสีที่ชายหนุ่มบรรจงวาดให้ความรู้สึกนุ่มนวลทุกครั้งที่เห็น
‘อีกสองสัปดาห์พี่ต้องไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาดสีน้ำมันร่วมสมัยที่ต่างประเทศ’
‘ไปต่างประเทศอีกแล้วเหรอคะ’
‘ใช่จ้ะ งานนี้พี่เป็นหนึ่งในศิลปินที่จะได้ร่วมโชว์ผลงานในงานด้วยนะ เราว่าภาพนี้สวยพอจะนำไปโชว์ได้รึเปล่า’
‘เออ...ลี...’ จู่ๆ ปณาลีก็เงียบไป เห็นท่าไม่ดีคนถามจึงกระชับเอวบางมาโอบไว้ข้างกาย
‘เราอย่าเงียบไปแบบนี้สิ พี่ใจไม่ดีเลย’
‘เปล่าเสียหน่อยค่ะพี่กฤต ภาพนี้สวยดีออกค่ะ’
ถึงเจ้าหล่อนจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นซีดจนเขาจับความรู้สึกภายใต้ดวงหน้าสวยนั้นได้ ‘เราก็รู้ว่าพี่ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้เพราะอาชีพนี้ ที่พี่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็เพื่ออนาคตของเรา ที่จริงพี่ก็อยากชวนเราไปด้วยกัน แต่พี่เห็นว่าเราติดเรียน’
‘ลีก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่เสียหน่อย ลีเข้าใจ’
คราวนี้ชายหนุ่มถอนใจยาว เปลี่ยนจากโอบเอวเป็นเชยคางหญิงสาวขึ้น และนั่นทำให้ปณาลีสบตากับดวงตาสีนิลชัดเจน ‘พี่รักเรานะ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจพี่อยู่อย่างนี้ พี่ก็คงทิ้งเราไปไม่ได้’
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ควานหาอะไรบางอย่างจากลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานมุมหนึ่งของห้อง ‘แบมือเร็ว’
แม้ปณาลีจะไม่เข้าใจกับการกระทำของเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมแบมือแต่โดยดี
เขาใส่ของสิ่งนั้นไว้ในมือหล่อน ทันทีที่ฝ่ามือใหญ่คลายออกหล่อนก็พบกุญแจสองดอกวางอยู่บนฝ่ามือของหล่อนเรียบร้อย
‘นี่คือกุญแจบ้านพี่เอง พี่ปั้มไว้ให้เราเก็บไว้อีกดอก วันไหนถ้าเราไม่สบายใจจากบ้านโน้น ก็มานอนเล่นที่บ้านพี่ก็ได้’
‘แต่ว่าพี่กฤตไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านไม่ใช่เหรอคะ โดยเฉพาะแกลลอรี่ของพี่’
‘ใช่ พี่ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามในบ้านของพี่ แต่ยกเว้นเรา ยังไงวันข้างหน้าบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นบ้านของเราอยู่แล้ว’
ปณาลีหยิบสายไหมพรมสีเขียวที่คล้องติดกับกุญแจในมือมาแกว่งเล่น มองกุญแจทีมองหน้าชายหนุ่มทีอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ‘พูดแล้วห้ามคืนคำนะพี่กฤต’
ชายหนุ่มขยี้ศีรษะหญิงสาวเล่นอย่างที่เขาชอบทำทุกครั้งเวลาแกล้งหล่อน ‘ฝากเฝ้าบ้านด้วยล่ะเด็กดื้อ ถ้าของพี่หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว พี่จะกลับมาจัดการเรา’
‘หน็อย ทำมาปากหวาน ที่แท้ก็อยากให้เราเฝ้าบ้าน’
‘ไม่ต้องมาแขวะพี่เลย ดูแลกุญแจให้ดีแล้วกัน ถ้าหายพี่ไม่ปั้มให้ใหม่แล้วนะ’
ปณาลีกอดอก แยกเขี้ยวใส่เขาพอให้หายหมั่นไส้ ‘เจ้าค่ะพ่อศิลปินใหญ่ ดิฉันจะเก็บใส่กล่องล็อคกุญแจให้แน่นหนาเลย ชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถหาเจอได้นอกจากลี พอใจรึยังเจ้าคะ’
*****************************
ปณาลีรู้สึกเหมือนร่างหล่อนโคลงเคลงไปมาตามแรงเขย่าของใครบางคน หล่อนค่อยๆ ลืมตา ใบหน้าขาวซีดกลับมามีสีเลือดเมื่อแลเห็นเพื่อนสาว
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลี” มนต์นภาถามด้วยความเป็นห่วง
ปณาลีต้องตั้งสติเล็กน้อย กวาดตามองไปรอบกายแล้วถึงพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาส่วนรับรองแขกภายในห้องทำงานสี่เหลี่ยมของใครบางคน ไม่ใช่บ้านแกลลอรี่หลังนั้น
นี่หล่อนฝันไปอีกแล้วหรือเนี่ย
อาการวิงเวียนศีรษะกำเริบขึ้นอีกครั้ง รู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรงเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาอย่างหนักทั้งที่จำได้ว่าหลังจากออกมาจากห้องน้ำก็มานั่งรอผู้บริหารบริษัทเงินทุนในห้องทำงานด้วยกันกับมนต์นภา
“คงเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหัวมั้ง แล้วลียังเพิ่งอาเจียนไปด้วยเลยหมดแรงจนผล็อยหลับไป ว่าแต่ลีฝันถึงใครเหรอ เราเห็นลีเรียกชื่อเขาตั้งหลายรอบ”
“เรียกชื่อ ?”
“ใช่ รู้สึกจะชื่อ...อืม...ชื่อพี่กฤตอะไรนี่แหละ ใครกันจ๊ะ”
พี่กฤต คราวนี้หล่อนทวนคำเพื่อนในใจ ผู้ชายเจ้าของนัยน์ตาสีนิลคู่สวยที่ชื่อกฤต ห้องทำงาน และก็ยังกุญแจบ้านของเขาแจ่มชัดในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง
ใช่ ในฝันหล่อนกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาคือใครกันล่ะ
ปณาลีได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิด ท่าทางเหมือนจะไม่มีคำตอบให้คนถามจึงโบกปัดอย่างไม่ยี่หระ “ช่างเถอะลี มนต์ว่าเรารีบกลับกันเถอะ ลียังมีงานต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว แล้วมนต์กับผู้บริหาร...อย่าบอกนะว่าคุยกันทั้งที่เราหลับอยู่ตรงนี้”
“คุยอะไรกันละจ๊ะ เผอิญวันนี้เขาติดธุระด่วน เลขาของเขาเพิ่งมาบอกมนต์เมื่อกี้”
คำตอบของเพื่อนสาวทำให้คนผล็อยหลับไปเมื่อครู่ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ “แล้วมนต์จำเป็นต้องขยายกิจการตอนนี้รึเปล่า จะเปลี่ยนบริษัทมั้ย”
มนต์นภาส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ “เรานัดกับทางนี้ไว้แล้วว่าจะมาพบใหม่วันหลังน่ะ ธุระเขาคงด่วนจริงๆ แหละลี ไม่อย่างนั้นคงไม่ผิดนัดเรา”
“แย่จริง ตามหลักเขาน่าจะบอกเราให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้มาถึงแล้วค่อยมาบอกเลิกนัดกันง่ายๆ ขนาดเรานั่งหลับรอได้ก็ลองคิดดูว่ารอกันนานแค่ไหน” คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหัวจริงๆ นั่นแหละที่ทำให้หล่อนผล็อยหลับไปได้ แต่เรื่องอะไรหล่อนจะต้องโทษตัวเองด้วยเล่า ในเมื่อนายผู้บริหารนั่นก็ทำผิดเห็นๆ อยู่แล้ว
“ช่างเขาเถอะจ้ะ นึกโทษโกรธกันก็ไม่มีประโยชน์”
“มนต์ก็เป็นแบบนี้ทุกที” ปณาลีส่ายหน้าระอา
มนต์นภาเพียงส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ปณาลีจึงถือว่ารอยยิ้มนั้นเป็นการจบบทสนทนาระหว่างกัน แต่ไหนแต่ไรหล่อนไม่เคยขัดใจมนต์นภาอยู่แล้ว ในเมื่อเพื่อนสาวไม่เป็นเดือดเป็นร้อน หล่อนก็ไม่รู้จะโกรธแทนไปทำไมให้เสียอารมณ์
***************************
“ดิฉันบอกให้คุณทราบแล้วใช่มั้ยว่ามีประชุมเช้านี้”
คำถามแสนราบเรียบกลับมานั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งข้างกายถึงกับสะอึก
กุศลินนั้นนั่งรออยู่ในรถตู้ประจำบ้านธรรมนิตย์นานแล้ว ขณะที่ปณาลีเพิ่งตาลีตาเหลือกออกจากบ้านเพื่อมาขึ้นรถ รู้ตัวว่ากำลังถูกแม่เลี้ยงสาวตำหนิอ้อมๆ เลยได้แต่ยิ้มเหยเก ไม่กล้าสบดวงตานิ่งดุจน้ำลึกคู่นั้น
เมื่อคืนหล่อนมัวแต่ครุ่นคิดถึงชายที่ชื่อกฤตกับบ้านแกลลอรี่ในความฝัน ป้าบัวผันมาปลุกเรียกนั่นแหละถึงได้รู้ว่าตื่นสาย แถมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงฟ้องชัดเสียขนาดนั้น ไม่แปลกที่ระหว่างทางจากบ้านไปยังบริษัท หญิงสาวข้างกายไม่พูดคุยกับหล่อนสักคำ ส่วนมากจะเป็นปณาลีที่เป็นฝ่ายเริ่มสนทนา และอีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้ากับครางรับพอเป็นมารยาทเท่านั้น สุดท้ายปณาลีเลยปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ ตลอดการเดินทางหล่อนจึงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ระวังครับคุณลี”
คนขับรถประจำบ้านธรรมนิตย์จะเข้ามาช่วยพยุงนายสาวที่ก้าวลงจากรถอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่คนเป็นนายยึดประตูรถเป็นที่พิงเพื่อทรงตัวยืนกับพื้นให้มั่น ตามด้วยกุศลินที่อายุมากกว่าหล่อนไม่กี่ปีแต่แข็งแรงกว่ามาก ยืนอยู่ข้างกาย
“ปวดหัวเหรอคะคุณลี”
ปณาลีพยักหน้าอย่างเนือย ตอนรถตู้ขึ้นอาคารจอดรถ วิ่งวนเป็นงูเลื้อยทำเอาคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างปณาลีต้องนวดขมับไปหลายรอบ รู้สึกคลื่นเหียนเวียนไส้ยังไงก็ไม่รู้
“ลีขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะคุณลิน เสร็จเมื่อไหร่แล้วจะตามเข้าห้องประชุมไปค่ะ”
ปณาลีเดินรุดหน้ากุศลินเข้าบริษัทไป แค่ถึงหน้าประตูห้องน้ำเท่านั้น ก็ต้องยึดกำแพงข้างประตูเป็นที่พิงกายอีกรอบ พินิจมองดวงหน้าซีดเซียวของตัวเองผ่านบานกระจกในห้องน้ำ
‘ช่วงนี้เราปวดหัวบ่อยมากเลยรู้ตัวรึเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะ พี่คงทนไม่ได้ถ้าเห็นเราเป็นอะไรไปอีก’
เสียงสั่งระคนห่วงใยของชนะชลวันก่อนทำให้ปณาลีโมโหตัวเองอยู่ลึกๆ
ทั้งที่หล่อนก็ทานยาแก้ปวดหัวทุกครั้งที่มีอาการ แต่ฤทธิ์ยาเหมือนจะช่วยบรรเทาได้แค่ชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้นอาการปวดหัวก็กลับมากำเริบอีกตามเคย เผลอๆ จะปวดหัวหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
หล่อนรองน้ำจากก๊อกอ่างล้างมือลูบหน้าตัวเองเรียกความสดชื่น หยิบยาแก้ปวดในกระเป๋าสะพายมาทานเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ลืมแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้าให้ดูดีเหมือนเก่า ก่อนรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเดินออกมาจากห้องน้ำ
เมื่อเห็นประตูห้องประชุมอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้นปณาลีถึงกับโล่งอก แต่แล้วก้าวเล็กๆ ต้องชะงัก เพราะยังไม่ทันแตะประตูกลับมีมือของใครบางคนจากด้านหลังยื่นผ่านหน้าหล่อนเข้ามาผลักประตูตัดหน้า
“เชิญครับคุณปณาลี”
ปณาลีหันขวับไปทางเจ้าของมือแล้วต้องพบว่าเป็นชายที่หล่อนเจอที่ห้องทำงานของเสกสรรเมื่อวันก่อน เขาเอ่ยชื่อหล่อนถูกต้อง ทำให้เจ้าตัวนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
รชานนท์เป็นเจ้าหนี้บริษัทของหล่อน ไม่แปลกถ้าจะรู้จักชื่อประธานคนใหม่ของบริษัทนี้ แต่เขารู้ได้ยังไงว่าหล่อนเป็นเจ้าของชื่อนั้น
ปณาลีเก็บคำสงสัยนั้นไว้ในใจ เอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทก่อนก้าวเข้ามาในห้องประชุม ทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หัวโต๊ะ โดยมีเพลินตาเลขาส่วนตัวของหล่อน กุศลิน และเสกสรรนั่งเรียงถัดไป ส่วนรชานนนท์นั้นนั่งเก้าอี้ตัวที่เว้นว่างอยู่ที่หนึ่งพอดีซึ่งก็คือเก้าอี้ข้างหล่อนนั่นเอง
ทันทีที่ประธานบริษัทปรากฏตัว ทุกคนในที่ประชุมต่างจับจ้องมาที่หล่อนราวกับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
แต่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของกุศลินที่มองมาปณาลีต้องลบความคิดเมื่อครู่พลัน เพราะองศาการมองของคนพวกนั้นไม่ได้จับจ้องมาที่หล่อน คนที่พวกเขามอง...เป็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหล่อนต่างหาก !
“มาครบกันทุกคนแล้วใช่มั้ยคะคุณเพลิน”
ปณาลีกระซิบถามเลขาสาว รายนั้นพยักหน้าก่อนทวนระเบียบวาระการประชุมที่ต้องพิจารณากันวันนี้โดยคร่าวให้นายสาวฟัง
ปณาลีครางรับเป็นระยะ ส่วนกุศลินเมื่อเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วจึงเริ่มกล่าวขึ้นก่อน “อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าช่วงที่คุณชลาคมเสีย คุณปณาลีลูกสาวของท่านซึ่งต้องมาดำรงตำแหน่งนี้แทนก็เกิดประสบอุบัติเหตุกะทันหัน ดิฉันต้องดำรงตำแหน่งแทนชั่วคราว แต่ตอนนี้ เวลาที่โหดร้ายเหล่านั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดิฉันขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่ประชุม ขอแสดงความยินดีกับคุณปณาลีด้วยนะคะที่ได้กลับมาทำงานร่วมกับพวกเราอีกครั้ง”
“ขอบคุณค่ะคุณกุศลิน” ปณาลียิ้มรับผู้บริหาร
“ดิฉันเองต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด ช่วงนี้ดิฉันกำลังศึกษางานที่ท่านประธานคนก่อนทำค้างไว้ ยังไงถ้าทุกท่านเห็นว่ามีเรื่องไหนที่ดิฉันทำแล้วดีไม่ดียังไงก็ขอความกรุณาจากทุกท่าน ช่วยแนะนำดิฉันด้วยนะคะ”
สิ้นเสียงประธาน ผู้ร่วมประชุมต่างซุบซิบตามประสานิสัยคนไทย แต่รอยยิ้มไมตรีที่ทุกคนมอบกลับมานั้นทำให้ปณาลีใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“ทุกท่านคงได้อ่านวาระการประชุมแล้ว สิ่งที่ดิฉันอยากเสนอให้ทุกคนพิจารณาคือนโยบายใหม่ของบริษัทเราค่ะ”
“ใช่ค่ะ” กุศลินเสริม “ดิฉันกับท่านประธานมีความเห็นว่าเราควรจะเริ่มปรับปรุงบริษัทของเราใหม่เสียที โดยฝ่ายการตลาดจะต้องคิดวิธีการตลาดใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้า และอาจจะมีการปรับนโยบายบางตัวที่ลดประสิทธิภาพการบริหารงานของทางบริษัทของเรา ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ห้างสรรพสินค้าของเรามียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว”
การประชุมดำเนินไปด้วยดี ผู้บริหารทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยกับความคิดของปณาลีและกุศลิน มีบางส่วนที่ไม่เพียงแต่นั่งฟัง หากร่วมออกความคิดเห็นด้วยซึ่งสำหรับปณาลีแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยการที่พวกเขาแสดงความคิดเห็นก็เท่ากับว่าพวกเขายังให้ความสำคัญกับบริษัทของหล่อน
เว้นเสียแต่เสกสรร คงมีชายมีอายุคนนี้เพียงคนเดียวที่เอาแต่นั่งหน้าเมื่อยตลอดการประชุม สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับมติในที่ประชุม แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยค้านอะไร
การกระทำของเสกสรรทำให้ปณาลีอดตำหนิในใจไม่ได้ สงสัยเขาคงเก่งแต่ดูหมิ่นการกระทำของผู้อื่นลับหลัง ขนาดชลาคมที่ทำงานร่วมกันมานานยังไม่วายกล่าวว่าเสียไม่เหลือชิ้นดี และดูเขาตอนนี้สิ ไม่เห็นช่วยทำอะไรเพื่อบริษัทสักอย่าง
ถึงบิดาของหล่อนจะชอบทำอะไรเกินตัว แต่อย่างน้อยท่านก็ทำ ไม่ใช่เก่งแต่พูดอย่างเสกสรร
**********************
สิ้นสุดการประชุม ปณาลีออกจากห้องเป็นคนแรกโดยมีเพลินตาเลขาสาวเดินตามหลังมาไม่ห่าง
”วันนี้ฉันมีนัดอะไรบ้างคุณเพลิน”
เพลินตาหยิบสมุดจดงานขนาดพกพาจากกระเป๋าเสื้อ อ่านรายชื่องานเรียงตามที่จดไว้อย่างเป็นระเบียบ “วันนี้คุณต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับห้างเปิดใหม่ตอนเย็นค่ะ”
“มีแค่งานเดียวเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ เอ่อ...คุณลีคะ เมื่อครู่คุณกุศลินฝากดิฉันมาบอกคุณว่าเช้านี้เธอขอเลื่อนนัดออกไปก่อนค่ะ เผอิญเธอต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล”
คำว่า ‘เลื่อนนัด’ ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์มาโปรด เรียกรอยยิ้มสดใสจากท่านประธานทันใด
เดินมาถึงห้องทำงาน เพลินตาขอตัวกลับไปสะสางงานที่โต๊ะ ต่างจาก ปณาลีไม่รีรอโทรศัพท์หามนต์นภา ทีแรกหล่อนตั้งใจไว้ว่าเรียนรู้งานจากกุศลินเสร็จเมื่อไหร่จะแวะไปหาเพื่อนสาวที่ร้านอาหาร อย่างน้อยได้ปรับทุกข์เรื่องแปลกๆ ในความฝันกับใครสักคนบ้างคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น พอกุศลินมายกเลิกนัดกะทันหันแบบนี้เลยทางสะดวก
ปณาลีนัดแนะกับมนต์นภาเรียบร้อยก็ออกมายืนรอรถแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าในเวลาถัดมา ใจนั้นหล่อนอยากให้ถวัลย์มารับที่บริษัทอยู่เหมือนกันแต่กุศลินคงใช้รถตู้ประจำบ้านธรรมนิตย์ ครั้นบอกผ่านสายโทรศัพท์ให้มนต์นภามารับ รายนั้นกลับบอกว่ากำลังพามารดาไปทำบุญที่วัดกว่าจะกลับคงสายๆ หล่อนเลยจำต้องมายืนรอรถแท็กซี่หน้ามุ่ย รอแล้วรอเล่ายืนจนขาแข็ง ไม่มีวี่แววว่าแท็กซี่คันไหนจะว่างให้หล่อนขึ้นสักคัน ส่วนมากลูกค้าของหล่อนนั่นแหละที่เป็นผู้โดยสาร ทั้งขาลงและขาขึ้นสลับกันไปมาไม่เว้นว่างให้หล่อนได้แทรก
สงสัยการบริการของห้างสรรพสินค้า สิ่งแรกที่หล่อนจะต้องปรับปรุงคือการให้บริการรถแท็กซี่แก่ลูกค้านี่แหละ
ปณาลีชะเง้อมองออกไปนอกถนน เอามือป้องหน้าผากไว้ หรี่ตาสู้แสงแดดจ้ามองการจราจรบนท้องถนนที่ลื่นไหลจนหล่อนต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
ทันใดนั้นมีรถขับเคลื่อนสีดำวาววับคันหนึ่งชะลอความเร็ว จอดลงตรงหน้าปณาลี
กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นคนในรถที่ปณาลีคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
“คุณรชานนท์...” หล่อนเผลอครางชื่อเขาออกมา แปลกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
“ขึ้นมาสิคุณ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ส่ง ? ส่งฉันเหรอคะ” ปณาลีถามออกไปอย่างงงๆ
รชานนท์เปิดประตูรถฝั่งที่ติดกับฟุตปาธให้หล่อนแทนคำตอบ ปณาลีจึงหันซ้ายแลขวามองหารถแท็กซี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อป่วยการที่จะรอจึงจำยอมขึ้นรถเขาโดยดี
หญิงสาวนั่งลงข้างคนขับ ดึงเข็มขัดนิรภัยรัดด้วยตัวเอง ก่อนเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายเล็กน้อยเป็นเชิงรอให้เขาถามถึงจุดหมายปลายทาง แต่คนหลังพวงมาลัยออกรถแล้วกลับยังคงนั่งนิ่ง สายตาคมกล้ามองตรงไปยังถนนเบื้องหน้าท่าเดียวไม่คิดจะถามหล่อนสักคำ ร้อนถึงปณาลีต้องรีบบอกกลัวเขาจะขับพาไปโผล่ขั้วโลกเหนือ !
“เอ่อ...คุณรชานนท์คะ เดี๋ยวช่วยเลี้ยวซ้ายข้างหน้าทีนะคะ ฉันจะไปทำธุระที่ร้านอาหารเพื่อน”
“คุณหายดีแล้วใช่มั้ย”
“คะ?” จู่ๆ เขาก็ถามไปคนละเรื่องเล่นเอาสาวบอกทางงุนงง หันมองเขาให้แน่ใจว่าไม่ได้คุยโทรศัพท์อยู่กับใคร คนถูกมองรู้ตัวเลยถามซ้ำ
“ผมถามว่าคุณหายดีรึยัง เมื่อวานคุณดูไม่ดีเลยตอนที่วิ่งสวนทางออกไปตรงปากประตูหน้าบริษัทของผม”
สวนทาง ? บริษัทของเขา ? ปณาลีพยายามไล่เรียงสิ่งที่ชายหนุ่มพูด แล้วหล่อนก็ต้องถึงบ้างอ้อ นายรชานนท์นี่เองที่เดินชนกับหล่อนหน้าบริษัทเงินทุนเมื่อวันก่อน แสดงว่าบริษัทเงินทุนนั้นก็คงเป็นบริษัทของเขาน่ะสิ
“วันนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่ผิดนัดเพื่อนคุณ เผอิญบริษัทของผมมีปัญหานิดหน่อย”
เพื่อน ? ปณาลีนิ่วหน้าเล็กน้อย นึกโมโหตัวเองที่ทำตัวงงๆ ให้เขาเห็นอยู่นั่นเอง แล้วก็ต้องนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นหล่อนไปเป็นเพื่อนมนต์นภาที่บริษัทเงินทุน สงสัยคนของเขาคงรายงานเอาไว้มั้งว่ามีหล่อนไปนั่งรอด้วยในวันนั้น
“คุณคงเห็นแล้วว่ามีคนโดนยิงที่หน้าบริษัทผม”
“จริงสิคะ ฉันเห็นอยู่เหมือนกัน” ปณาลียังจำสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟุตปาธได้ติดตา
“เขาเป็นใครเหรอคะ”
“พนักงานของผมเอง” เขาตอบสั้นและห้วนแล้วเงียบไป
พอเห็นท่ารชานนท์จะตอบแค่นั้นไม่อธิบายอะไรอีก ปณาลีก็มีมารยาทพอไม่ซักถามเขาไปมากกว่านี้ บางทีเขาคงไม่ชอบให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
ระหว่างทางจากบริษัทถึงร้านอาหารของมนต์นภาจึงช่างเงียบแสนเงียบ หล่อนไม่ชินเอาเสียเลยกับการเดินทางที่ไร้เสียงเพลง ถ้าเป็นรถของมนต์นภาปณาลีคงหยิบซีดีสักแผ่นมาเปิดฟังแก้เหงาไปแล้ว หรือไม่ก็คุยกันตามประสาผู้หญิง แต่รถของรชานนท์ไม่มีสิ่งที่หล่อนต้องการสักอย่าง แผ่นเพลงสักแผ่นก็ไม่มี แต่ถึงมีหล่อนก็คงไม่กล้าเปิดหรอก ก็ดูหน้าเขาสิเรียบเฉยเสียจนหล่อนไม่กล้าแม้แต่จะชวนเขาคุยสักแอะ
ปณาลีสบโอกาสนั้นลอบมองชายหนุ่มข้างกาย รชานนท์เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่ของเขาผายกว้าง มีใบหน้ายาวได้รูปและจมูกโด่งเป็นสันคม ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม ตัดสั้น โครงสร้างโดยรวมของเขาออกไปทางลูกครึ่งตะวันตกมากกว่าคนไทยอย่างเราๆ
หากน่าแปลกที่หล่อนกลับรู้สึกคุ้นตากับภาพที่เห็นตรงหน้า
ถ้าเขาเปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวและรวบทิ้งไว้ด้านหลัง หัวฟูๆ อย่างคนผมหยักศกเสียหน่อย หล่อนคงคิดว่านายรชานนท์เป็นพี่กฤตชายในฝันของหล่อนไปแล้ว
ปณาลีเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบ้าน บริเวณทางเดินจากปากประตูลึกเข้าไปเป็นทางเดินแคบที่หล่อนช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ก่อนมองแปลกไปที่ภาพใส่กรอบอย่างดีซึ่งถูกแขวนบ้างวางตั้งกับพื้นฝาผนังห้องบ้างติดทั่วเต็มกำแพงไปหมด
ภาพวาดเหล่านั้นแม้จะถูกแขวนอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่ก็ดูออกว่าเป็นความตั้งใจของคนแขวนมากกว่าถูกจัดวางอย่างลวกๆ
ไม่นานหล่อนก็เดินพ้นทางแคบออกมาสู่กลางห้องทำงาน ที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้าง มีรูปภาพวางพิงอยู่เต็มห้อง ส่วนน้อยที่จะเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเจ้าของ
เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่เบาๆ กับชายร่างสูงใหญ่คุ้นตาที่นั่งไขว่ห้างอยู่หลังกระดานวาดภาพที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้อง สร้างรอยยิ้มปรากฎขึ้นที่มุมปากของหญิงสาว
‘เดี๋ยวนี้อาจหาญเข้ามาในห้องทำงานของพี่แล้วเหรอเรา’
ปณาลีถึงกับสะดุ้ง ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ‘พี่กฤตรู้ได้ไงว่าลีเข้ามา’
‘พี่ได้ยินตั้งแต่เราเปิดประตูเข้ามาแล้วล่ะ’ เขาเอ่ยพลางวางพู่กันในมือลงบนจานสี มือข้างหนึ่งปัดผมยาวกระเซอะกระเซิงที่ถูกรวบไว้อย่างไม่ใยดีไปด้านหลัง มืออีกข้างชี้บุ้ยใบ้ไปที่ภาพวาดตรงหน้า ‘เข้ามาดูภาพให้พี่หน่อยว่าสวยรึเปล่า’
ปณาลีเดินเข้ามาอย่างเด็กว่าง่าย เอามือวางไว้บนต้นขาแข็งแรงของเขาด้วยความเคยชินยามที่ถูกเรียกให้มาดูภาพใกล้ๆ
ภาพของเด็กหญิงต่างวัยสองคนที่ยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าระเบียงในสวนถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส สีทุกสีที่ชายหนุ่มบรรจงวาดให้ความรู้สึกนุ่มนวลทุกครั้งที่เห็น
‘อีกสองสัปดาห์พี่ต้องไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาดสีน้ำมันร่วมสมัยที่ต่างประเทศ’
‘ไปต่างประเทศอีกแล้วเหรอคะ’
‘ใช่จ้ะ งานนี้พี่เป็นหนึ่งในศิลปินที่จะได้ร่วมโชว์ผลงานในงานด้วยนะ เราว่าภาพนี้สวยพอจะนำไปโชว์ได้รึเปล่า’
‘เออ...ลี...’ จู่ๆ ปณาลีก็เงียบไป เห็นท่าไม่ดีคนถามจึงกระชับเอวบางมาโอบไว้ข้างกาย
‘เราอย่าเงียบไปแบบนี้สิ พี่ใจไม่ดีเลย’
‘เปล่าเสียหน่อยค่ะพี่กฤต ภาพนี้สวยดีออกค่ะ’
ถึงเจ้าหล่อนจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นซีดจนเขาจับความรู้สึกภายใต้ดวงหน้าสวยนั้นได้ ‘เราก็รู้ว่าพี่ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้เพราะอาชีพนี้ ที่พี่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็เพื่ออนาคตของเรา ที่จริงพี่ก็อยากชวนเราไปด้วยกัน แต่พี่เห็นว่าเราติดเรียน’
‘ลีก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่เสียหน่อย ลีเข้าใจ’
คราวนี้ชายหนุ่มถอนใจยาว เปลี่ยนจากโอบเอวเป็นเชยคางหญิงสาวขึ้น และนั่นทำให้ปณาลีสบตากับดวงตาสีนิลชัดเจน ‘พี่รักเรานะ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจพี่อยู่อย่างนี้ พี่ก็คงทิ้งเราไปไม่ได้’
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ควานหาอะไรบางอย่างจากลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานมุมหนึ่งของห้อง ‘แบมือเร็ว’
แม้ปณาลีจะไม่เข้าใจกับการกระทำของเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมแบมือแต่โดยดี
เขาใส่ของสิ่งนั้นไว้ในมือหล่อน ทันทีที่ฝ่ามือใหญ่คลายออกหล่อนก็พบกุญแจสองดอกวางอยู่บนฝ่ามือของหล่อนเรียบร้อย
‘นี่คือกุญแจบ้านพี่เอง พี่ปั้มไว้ให้เราเก็บไว้อีกดอก วันไหนถ้าเราไม่สบายใจจากบ้านโน้น ก็มานอนเล่นที่บ้านพี่ก็ได้’
‘แต่ว่าพี่กฤตไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านไม่ใช่เหรอคะ โดยเฉพาะแกลลอรี่ของพี่’
‘ใช่ พี่ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามในบ้านของพี่ แต่ยกเว้นเรา ยังไงวันข้างหน้าบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นบ้านของเราอยู่แล้ว’
ปณาลีหยิบสายไหมพรมสีเขียวที่คล้องติดกับกุญแจในมือมาแกว่งเล่น มองกุญแจทีมองหน้าชายหนุ่มทีอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ‘พูดแล้วห้ามคืนคำนะพี่กฤต’
ชายหนุ่มขยี้ศีรษะหญิงสาวเล่นอย่างที่เขาชอบทำทุกครั้งเวลาแกล้งหล่อน ‘ฝากเฝ้าบ้านด้วยล่ะเด็กดื้อ ถ้าของพี่หายไปแม้แต่ชิ้นเดียว พี่จะกลับมาจัดการเรา’
‘หน็อย ทำมาปากหวาน ที่แท้ก็อยากให้เราเฝ้าบ้าน’
‘ไม่ต้องมาแขวะพี่เลย ดูแลกุญแจให้ดีแล้วกัน ถ้าหายพี่ไม่ปั้มให้ใหม่แล้วนะ’
ปณาลีกอดอก แยกเขี้ยวใส่เขาพอให้หายหมั่นไส้ ‘เจ้าค่ะพ่อศิลปินใหญ่ ดิฉันจะเก็บใส่กล่องล็อคกุญแจให้แน่นหนาเลย ชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถหาเจอได้นอกจากลี พอใจรึยังเจ้าคะ’
*****************************
ปณาลีรู้สึกเหมือนร่างหล่อนโคลงเคลงไปมาตามแรงเขย่าของใครบางคน หล่อนค่อยๆ ลืมตา ใบหน้าขาวซีดกลับมามีสีเลือดเมื่อแลเห็นเพื่อนสาว
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลี” มนต์นภาถามด้วยความเป็นห่วง
ปณาลีต้องตั้งสติเล็กน้อย กวาดตามองไปรอบกายแล้วถึงพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาส่วนรับรองแขกภายในห้องทำงานสี่เหลี่ยมของใครบางคน ไม่ใช่บ้านแกลลอรี่หลังนั้น
นี่หล่อนฝันไปอีกแล้วหรือเนี่ย
อาการวิงเวียนศีรษะกำเริบขึ้นอีกครั้ง รู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรงเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาอย่างหนักทั้งที่จำได้ว่าหลังจากออกมาจากห้องน้ำก็มานั่งรอผู้บริหารบริษัทเงินทุนในห้องทำงานด้วยกันกับมนต์นภา
“คงเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหัวมั้ง แล้วลียังเพิ่งอาเจียนไปด้วยเลยหมดแรงจนผล็อยหลับไป ว่าแต่ลีฝันถึงใครเหรอ เราเห็นลีเรียกชื่อเขาตั้งหลายรอบ”
“เรียกชื่อ ?”
“ใช่ รู้สึกจะชื่อ...อืม...ชื่อพี่กฤตอะไรนี่แหละ ใครกันจ๊ะ”
พี่กฤต คราวนี้หล่อนทวนคำเพื่อนในใจ ผู้ชายเจ้าของนัยน์ตาสีนิลคู่สวยที่ชื่อกฤต ห้องทำงาน และก็ยังกุญแจบ้านของเขาแจ่มชัดในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง
ใช่ ในฝันหล่อนกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาคือใครกันล่ะ
ปณาลีได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิด ท่าทางเหมือนจะไม่มีคำตอบให้คนถามจึงโบกปัดอย่างไม่ยี่หระ “ช่างเถอะลี มนต์ว่าเรารีบกลับกันเถอะ ลียังมีงานต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว แล้วมนต์กับผู้บริหาร...อย่าบอกนะว่าคุยกันทั้งที่เราหลับอยู่ตรงนี้”
“คุยอะไรกันละจ๊ะ เผอิญวันนี้เขาติดธุระด่วน เลขาของเขาเพิ่งมาบอกมนต์เมื่อกี้”
คำตอบของเพื่อนสาวทำให้คนผล็อยหลับไปเมื่อครู่ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ “แล้วมนต์จำเป็นต้องขยายกิจการตอนนี้รึเปล่า จะเปลี่ยนบริษัทมั้ย”
มนต์นภาส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ “เรานัดกับทางนี้ไว้แล้วว่าจะมาพบใหม่วันหลังน่ะ ธุระเขาคงด่วนจริงๆ แหละลี ไม่อย่างนั้นคงไม่ผิดนัดเรา”
“แย่จริง ตามหลักเขาน่าจะบอกเราให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้มาถึงแล้วค่อยมาบอกเลิกนัดกันง่ายๆ ขนาดเรานั่งหลับรอได้ก็ลองคิดดูว่ารอกันนานแค่ไหน” คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหัวจริงๆ นั่นแหละที่ทำให้หล่อนผล็อยหลับไปได้ แต่เรื่องอะไรหล่อนจะต้องโทษตัวเองด้วยเล่า ในเมื่อนายผู้บริหารนั่นก็ทำผิดเห็นๆ อยู่แล้ว
“ช่างเขาเถอะจ้ะ นึกโทษโกรธกันก็ไม่มีประโยชน์”
“มนต์ก็เป็นแบบนี้ทุกที” ปณาลีส่ายหน้าระอา
มนต์นภาเพียงส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ปณาลีจึงถือว่ารอยยิ้มนั้นเป็นการจบบทสนทนาระหว่างกัน แต่ไหนแต่ไรหล่อนไม่เคยขัดใจมนต์นภาอยู่แล้ว ในเมื่อเพื่อนสาวไม่เป็นเดือดเป็นร้อน หล่อนก็ไม่รู้จะโกรธแทนไปทำไมให้เสียอารมณ์
***************************
“ดิฉันบอกให้คุณทราบแล้วใช่มั้ยว่ามีประชุมเช้านี้”
คำถามแสนราบเรียบกลับมานั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งข้างกายถึงกับสะอึก
กุศลินนั้นนั่งรออยู่ในรถตู้ประจำบ้านธรรมนิตย์นานแล้ว ขณะที่ปณาลีเพิ่งตาลีตาเหลือกออกจากบ้านเพื่อมาขึ้นรถ รู้ตัวว่ากำลังถูกแม่เลี้ยงสาวตำหนิอ้อมๆ เลยได้แต่ยิ้มเหยเก ไม่กล้าสบดวงตานิ่งดุจน้ำลึกคู่นั้น
เมื่อคืนหล่อนมัวแต่ครุ่นคิดถึงชายที่ชื่อกฤตกับบ้านแกลลอรี่ในความฝัน ป้าบัวผันมาปลุกเรียกนั่นแหละถึงได้รู้ว่าตื่นสาย แถมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงฟ้องชัดเสียขนาดนั้น ไม่แปลกที่ระหว่างทางจากบ้านไปยังบริษัท หญิงสาวข้างกายไม่พูดคุยกับหล่อนสักคำ ส่วนมากจะเป็นปณาลีที่เป็นฝ่ายเริ่มสนทนา และอีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้ากับครางรับพอเป็นมารยาทเท่านั้น สุดท้ายปณาลีเลยปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ ตลอดการเดินทางหล่อนจึงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ระวังครับคุณลี”
คนขับรถประจำบ้านธรรมนิตย์จะเข้ามาช่วยพยุงนายสาวที่ก้าวลงจากรถอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่คนเป็นนายยึดประตูรถเป็นที่พิงเพื่อทรงตัวยืนกับพื้นให้มั่น ตามด้วยกุศลินที่อายุมากกว่าหล่อนไม่กี่ปีแต่แข็งแรงกว่ามาก ยืนอยู่ข้างกาย
“ปวดหัวเหรอคะคุณลี”
ปณาลีพยักหน้าอย่างเนือย ตอนรถตู้ขึ้นอาคารจอดรถ วิ่งวนเป็นงูเลื้อยทำเอาคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่างปณาลีต้องนวดขมับไปหลายรอบ รู้สึกคลื่นเหียนเวียนไส้ยังไงก็ไม่รู้
“ลีขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะคุณลิน เสร็จเมื่อไหร่แล้วจะตามเข้าห้องประชุมไปค่ะ”
ปณาลีเดินรุดหน้ากุศลินเข้าบริษัทไป แค่ถึงหน้าประตูห้องน้ำเท่านั้น ก็ต้องยึดกำแพงข้างประตูเป็นที่พิงกายอีกรอบ พินิจมองดวงหน้าซีดเซียวของตัวเองผ่านบานกระจกในห้องน้ำ
‘ช่วงนี้เราปวดหัวบ่อยมากเลยรู้ตัวรึเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะ พี่คงทนไม่ได้ถ้าเห็นเราเป็นอะไรไปอีก’
เสียงสั่งระคนห่วงใยของชนะชลวันก่อนทำให้ปณาลีโมโหตัวเองอยู่ลึกๆ
ทั้งที่หล่อนก็ทานยาแก้ปวดหัวทุกครั้งที่มีอาการ แต่ฤทธิ์ยาเหมือนจะช่วยบรรเทาได้แค่ชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้นอาการปวดหัวก็กลับมากำเริบอีกตามเคย เผลอๆ จะปวดหัวหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
หล่อนรองน้ำจากก๊อกอ่างล้างมือลูบหน้าตัวเองเรียกความสดชื่น หยิบยาแก้ปวดในกระเป๋าสะพายมาทานเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ลืมแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้าให้ดูดีเหมือนเก่า ก่อนรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเดินออกมาจากห้องน้ำ
เมื่อเห็นประตูห้องประชุมอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้นปณาลีถึงกับโล่งอก แต่แล้วก้าวเล็กๆ ต้องชะงัก เพราะยังไม่ทันแตะประตูกลับมีมือของใครบางคนจากด้านหลังยื่นผ่านหน้าหล่อนเข้ามาผลักประตูตัดหน้า
“เชิญครับคุณปณาลี”
ปณาลีหันขวับไปทางเจ้าของมือแล้วต้องพบว่าเป็นชายที่หล่อนเจอที่ห้องทำงานของเสกสรรเมื่อวันก่อน เขาเอ่ยชื่อหล่อนถูกต้อง ทำให้เจ้าตัวนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
รชานนท์เป็นเจ้าหนี้บริษัทของหล่อน ไม่แปลกถ้าจะรู้จักชื่อประธานคนใหม่ของบริษัทนี้ แต่เขารู้ได้ยังไงว่าหล่อนเป็นเจ้าของชื่อนั้น
ปณาลีเก็บคำสงสัยนั้นไว้ในใจ เอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทก่อนก้าวเข้ามาในห้องประชุม ทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หัวโต๊ะ โดยมีเพลินตาเลขาส่วนตัวของหล่อน กุศลิน และเสกสรรนั่งเรียงถัดไป ส่วนรชานนนท์นั้นนั่งเก้าอี้ตัวที่เว้นว่างอยู่ที่หนึ่งพอดีซึ่งก็คือเก้าอี้ข้างหล่อนนั่นเอง
ทันทีที่ประธานบริษัทปรากฏตัว ทุกคนในที่ประชุมต่างจับจ้องมาที่หล่อนราวกับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
แต่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของกุศลินที่มองมาปณาลีต้องลบความคิดเมื่อครู่พลัน เพราะองศาการมองของคนพวกนั้นไม่ได้จับจ้องมาที่หล่อน คนที่พวกเขามอง...เป็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหล่อนต่างหาก !
“มาครบกันทุกคนแล้วใช่มั้ยคะคุณเพลิน”
ปณาลีกระซิบถามเลขาสาว รายนั้นพยักหน้าก่อนทวนระเบียบวาระการประชุมที่ต้องพิจารณากันวันนี้โดยคร่าวให้นายสาวฟัง
ปณาลีครางรับเป็นระยะ ส่วนกุศลินเมื่อเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วจึงเริ่มกล่าวขึ้นก่อน “อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าช่วงที่คุณชลาคมเสีย คุณปณาลีลูกสาวของท่านซึ่งต้องมาดำรงตำแหน่งนี้แทนก็เกิดประสบอุบัติเหตุกะทันหัน ดิฉันต้องดำรงตำแหน่งแทนชั่วคราว แต่ตอนนี้ เวลาที่โหดร้ายเหล่านั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดิฉันขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่ประชุม ขอแสดงความยินดีกับคุณปณาลีด้วยนะคะที่ได้กลับมาทำงานร่วมกับพวกเราอีกครั้ง”
“ขอบคุณค่ะคุณกุศลิน” ปณาลียิ้มรับผู้บริหาร
“ดิฉันเองต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด ช่วงนี้ดิฉันกำลังศึกษางานที่ท่านประธานคนก่อนทำค้างไว้ ยังไงถ้าทุกท่านเห็นว่ามีเรื่องไหนที่ดิฉันทำแล้วดีไม่ดียังไงก็ขอความกรุณาจากทุกท่าน ช่วยแนะนำดิฉันด้วยนะคะ”
สิ้นเสียงประธาน ผู้ร่วมประชุมต่างซุบซิบตามประสานิสัยคนไทย แต่รอยยิ้มไมตรีที่ทุกคนมอบกลับมานั้นทำให้ปณาลีใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“ทุกท่านคงได้อ่านวาระการประชุมแล้ว สิ่งที่ดิฉันอยากเสนอให้ทุกคนพิจารณาคือนโยบายใหม่ของบริษัทเราค่ะ”
“ใช่ค่ะ” กุศลินเสริม “ดิฉันกับท่านประธานมีความเห็นว่าเราควรจะเริ่มปรับปรุงบริษัทของเราใหม่เสียที โดยฝ่ายการตลาดจะต้องคิดวิธีการตลาดใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้า และอาจจะมีการปรับนโยบายบางตัวที่ลดประสิทธิภาพการบริหารงานของทางบริษัทของเรา ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ห้างสรรพสินค้าของเรามียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว”
การประชุมดำเนินไปด้วยดี ผู้บริหารทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยกับความคิดของปณาลีและกุศลิน มีบางส่วนที่ไม่เพียงแต่นั่งฟัง หากร่วมออกความคิดเห็นด้วยซึ่งสำหรับปณาลีแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยการที่พวกเขาแสดงความคิดเห็นก็เท่ากับว่าพวกเขายังให้ความสำคัญกับบริษัทของหล่อน
เว้นเสียแต่เสกสรร คงมีชายมีอายุคนนี้เพียงคนเดียวที่เอาแต่นั่งหน้าเมื่อยตลอดการประชุม สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับมติในที่ประชุม แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยค้านอะไร
การกระทำของเสกสรรทำให้ปณาลีอดตำหนิในใจไม่ได้ สงสัยเขาคงเก่งแต่ดูหมิ่นการกระทำของผู้อื่นลับหลัง ขนาดชลาคมที่ทำงานร่วมกันมานานยังไม่วายกล่าวว่าเสียไม่เหลือชิ้นดี และดูเขาตอนนี้สิ ไม่เห็นช่วยทำอะไรเพื่อบริษัทสักอย่าง
ถึงบิดาของหล่อนจะชอบทำอะไรเกินตัว แต่อย่างน้อยท่านก็ทำ ไม่ใช่เก่งแต่พูดอย่างเสกสรร
**********************
สิ้นสุดการประชุม ปณาลีออกจากห้องเป็นคนแรกโดยมีเพลินตาเลขาสาวเดินตามหลังมาไม่ห่าง
”วันนี้ฉันมีนัดอะไรบ้างคุณเพลิน”
เพลินตาหยิบสมุดจดงานขนาดพกพาจากกระเป๋าเสื้อ อ่านรายชื่องานเรียงตามที่จดไว้อย่างเป็นระเบียบ “วันนี้คุณต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับห้างเปิดใหม่ตอนเย็นค่ะ”
“มีแค่งานเดียวเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ เอ่อ...คุณลีคะ เมื่อครู่คุณกุศลินฝากดิฉันมาบอกคุณว่าเช้านี้เธอขอเลื่อนนัดออกไปก่อนค่ะ เผอิญเธอต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล”
คำว่า ‘เลื่อนนัด’ ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์มาโปรด เรียกรอยยิ้มสดใสจากท่านประธานทันใด
เดินมาถึงห้องทำงาน เพลินตาขอตัวกลับไปสะสางงานที่โต๊ะ ต่างจาก ปณาลีไม่รีรอโทรศัพท์หามนต์นภา ทีแรกหล่อนตั้งใจไว้ว่าเรียนรู้งานจากกุศลินเสร็จเมื่อไหร่จะแวะไปหาเพื่อนสาวที่ร้านอาหาร อย่างน้อยได้ปรับทุกข์เรื่องแปลกๆ ในความฝันกับใครสักคนบ้างคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น พอกุศลินมายกเลิกนัดกะทันหันแบบนี้เลยทางสะดวก
ปณาลีนัดแนะกับมนต์นภาเรียบร้อยก็ออกมายืนรอรถแท็กซี่หน้าห้างสรรพสินค้าในเวลาถัดมา ใจนั้นหล่อนอยากให้ถวัลย์มารับที่บริษัทอยู่เหมือนกันแต่กุศลินคงใช้รถตู้ประจำบ้านธรรมนิตย์ ครั้นบอกผ่านสายโทรศัพท์ให้มนต์นภามารับ รายนั้นกลับบอกว่ากำลังพามารดาไปทำบุญที่วัดกว่าจะกลับคงสายๆ หล่อนเลยจำต้องมายืนรอรถแท็กซี่หน้ามุ่ย รอแล้วรอเล่ายืนจนขาแข็ง ไม่มีวี่แววว่าแท็กซี่คันไหนจะว่างให้หล่อนขึ้นสักคัน ส่วนมากลูกค้าของหล่อนนั่นแหละที่เป็นผู้โดยสาร ทั้งขาลงและขาขึ้นสลับกันไปมาไม่เว้นว่างให้หล่อนได้แทรก
สงสัยการบริการของห้างสรรพสินค้า สิ่งแรกที่หล่อนจะต้องปรับปรุงคือการให้บริการรถแท็กซี่แก่ลูกค้านี่แหละ
ปณาลีชะเง้อมองออกไปนอกถนน เอามือป้องหน้าผากไว้ หรี่ตาสู้แสงแดดจ้ามองการจราจรบนท้องถนนที่ลื่นไหลจนหล่อนต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
ทันใดนั้นมีรถขับเคลื่อนสีดำวาววับคันหนึ่งชะลอความเร็ว จอดลงตรงหน้าปณาลี
กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นคนในรถที่ปณาลีคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
“คุณรชานนท์...” หล่อนเผลอครางชื่อเขาออกมา แปลกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
“ขึ้นมาสิคุณ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ส่ง ? ส่งฉันเหรอคะ” ปณาลีถามออกไปอย่างงงๆ
รชานนท์เปิดประตูรถฝั่งที่ติดกับฟุตปาธให้หล่อนแทนคำตอบ ปณาลีจึงหันซ้ายแลขวามองหารถแท็กซี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อป่วยการที่จะรอจึงจำยอมขึ้นรถเขาโดยดี
หญิงสาวนั่งลงข้างคนขับ ดึงเข็มขัดนิรภัยรัดด้วยตัวเอง ก่อนเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายเล็กน้อยเป็นเชิงรอให้เขาถามถึงจุดหมายปลายทาง แต่คนหลังพวงมาลัยออกรถแล้วกลับยังคงนั่งนิ่ง สายตาคมกล้ามองตรงไปยังถนนเบื้องหน้าท่าเดียวไม่คิดจะถามหล่อนสักคำ ร้อนถึงปณาลีต้องรีบบอกกลัวเขาจะขับพาไปโผล่ขั้วโลกเหนือ !
“เอ่อ...คุณรชานนท์คะ เดี๋ยวช่วยเลี้ยวซ้ายข้างหน้าทีนะคะ ฉันจะไปทำธุระที่ร้านอาหารเพื่อน”
“คุณหายดีแล้วใช่มั้ย”
“คะ?” จู่ๆ เขาก็ถามไปคนละเรื่องเล่นเอาสาวบอกทางงุนงง หันมองเขาให้แน่ใจว่าไม่ได้คุยโทรศัพท์อยู่กับใคร คนถูกมองรู้ตัวเลยถามซ้ำ
“ผมถามว่าคุณหายดีรึยัง เมื่อวานคุณดูไม่ดีเลยตอนที่วิ่งสวนทางออกไปตรงปากประตูหน้าบริษัทของผม”
สวนทาง ? บริษัทของเขา ? ปณาลีพยายามไล่เรียงสิ่งที่ชายหนุ่มพูด แล้วหล่อนก็ต้องถึงบ้างอ้อ นายรชานนท์นี่เองที่เดินชนกับหล่อนหน้าบริษัทเงินทุนเมื่อวันก่อน แสดงว่าบริษัทเงินทุนนั้นก็คงเป็นบริษัทของเขาน่ะสิ
“วันนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่ผิดนัดเพื่อนคุณ เผอิญบริษัทของผมมีปัญหานิดหน่อย”
เพื่อน ? ปณาลีนิ่วหน้าเล็กน้อย นึกโมโหตัวเองที่ทำตัวงงๆ ให้เขาเห็นอยู่นั่นเอง แล้วก็ต้องนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นหล่อนไปเป็นเพื่อนมนต์นภาที่บริษัทเงินทุน สงสัยคนของเขาคงรายงานเอาไว้มั้งว่ามีหล่อนไปนั่งรอด้วยในวันนั้น
“คุณคงเห็นแล้วว่ามีคนโดนยิงที่หน้าบริษัทผม”
“จริงสิคะ ฉันเห็นอยู่เหมือนกัน” ปณาลียังจำสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟุตปาธได้ติดตา
“เขาเป็นใครเหรอคะ”
“พนักงานของผมเอง” เขาตอบสั้นและห้วนแล้วเงียบไป
พอเห็นท่ารชานนท์จะตอบแค่นั้นไม่อธิบายอะไรอีก ปณาลีก็มีมารยาทพอไม่ซักถามเขาไปมากกว่านี้ บางทีเขาคงไม่ชอบให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
ระหว่างทางจากบริษัทถึงร้านอาหารของมนต์นภาจึงช่างเงียบแสนเงียบ หล่อนไม่ชินเอาเสียเลยกับการเดินทางที่ไร้เสียงเพลง ถ้าเป็นรถของมนต์นภาปณาลีคงหยิบซีดีสักแผ่นมาเปิดฟังแก้เหงาไปแล้ว หรือไม่ก็คุยกันตามประสาผู้หญิง แต่รถของรชานนท์ไม่มีสิ่งที่หล่อนต้องการสักอย่าง แผ่นเพลงสักแผ่นก็ไม่มี แต่ถึงมีหล่อนก็คงไม่กล้าเปิดหรอก ก็ดูหน้าเขาสิเรียบเฉยเสียจนหล่อนไม่กล้าแม้แต่จะชวนเขาคุยสักแอะ
ปณาลีสบโอกาสนั้นลอบมองชายหนุ่มข้างกาย รชานนท์เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่ของเขาผายกว้าง มีใบหน้ายาวได้รูปและจมูกโด่งเป็นสันคม ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม ตัดสั้น โครงสร้างโดยรวมของเขาออกไปทางลูกครึ่งตะวันตกมากกว่าคนไทยอย่างเราๆ
หากน่าแปลกที่หล่อนกลับรู้สึกคุ้นตากับภาพที่เห็นตรงหน้า
ถ้าเขาเปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวและรวบทิ้งไว้ด้านหลัง หัวฟูๆ อย่างคนผมหยักศกเสียหน่อย หล่อนคงคิดว่านายรชานนท์เป็นพี่กฤตชายในฝันของหล่อนไปแล้ว
สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:50:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:50:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1139
<< บทที่ 2 | บทที่ 4 >> |