Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน

ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง

หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก


เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย


หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง

Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6

มนต์นภาเลี้ยวรถมาจอดในลานจอดรถส่วนตัวของครอบครัวซึ่งเป็นที่ประจำของเจ้าของร้าน โดยมีปณาลีนั่งติดสอยห้อยตามมาด้วย

ทีแรกเพื่อนสาวจะให้หล่อนนั่งรถมากับรชานนท์ แต่พอปณาลีส่ายหน้าดิก ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างโน้นอ้างนี่ ปฏิเสธไปเรื่อย มนต์นภาเลยเลิกล้มความตั้งใจ ที่จริงหล่อนก็แค่แกล้งปณาลีไปอย่างนั้นเอง พอจะอ่านสีหน้าบูดบึ้งของเพื่อนออกว่าไม่ค่อยถูกชะตากับรชานนท์

“ลีไปนั่งรอในร้านก่อนนะ เดี๋ยวมนต์ไปดักรอคุณนนท์ที่หน้าร้านอาหารก่อน จะได้ให้เขามาจอดรถในลานจอดรถของมนต์” ด้วยความที่เป็นช่วงเที่ยง สวนอาหารของมนต์นภาจึงเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าทั้งขาประจำและสัญจร หล่อนต้องใช้เสียงมากกว่าปกติบอกเพื่อนสาวฝ่าเสียงจอแจของลูกค้าเมื่อหยุดยืนอยู่หน้าร้านด้วยกันทั้งคู่

ปณาลีพยักหน้ารับ อาสาช่วยถือกระเป๋าสะพายให้เพื่อน ก่อนนำเข้าไปในร้าน

ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป ปณาลีต้องหยุดกึก

เสียงลูกค้าในห้องกระจกดังและสะท้อนกว่าเสียงของลูกค้าในสวนอาหารด้านนอกมาก จนหล่อนต้องนวดขมับคลายอาการปวดหัวที่ทำท่าจะกำเริบขึ้นมาเสียดื้อๆ มองดูบริกรภายในร้านที่เดินเข้าเดินออกเป็นว่าเล่น ง่วนอยู่กับหน้าที่ของตน สลับกับผู้คนบนโต๊ะอาหารที่พูดคุยหยอกล้อกัน รู้สึกเหมือนคนพวกนั้นพยายามตะโกนใส่หูหล่อน มากกว่าที่จะพูดคุยกันอย่างที่เห็น

ปณาลีส่ายหน้าแรงสลัดความมึนงง ตัดสินใจเดินถอยกลับออกไปตั้งหลักนอกร้าน แต่แล้วต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสกับแผ่นอกอุ่นๆ ของคนด้านหลัง

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณปณาลี”

ปณาลีพยายามเพ่งมองคนตรงหน้า รู้สึกตาพร่าเลือน แปลกใจที่เห็น รชานนท์ ทั้งที่เพื่อนสาวเพิ่งแยกออกไปรอรับเขาไม่ถึงนาทีเองไม่ใช่เหรอ รชานนท์นิ่วหน้ามองหญิงสาวอย่างไม่ค่อยไว้ใจในอาการ ดวงหน้าขาวซีดนั้น ร้อนถึงเขาต้องประคองร่างบางไว้ในอ้อมแขน กวาดตามองหาที่นั่งในร้าน โชคดีที่มนต์นภาเข้ามาพอดี

“ลีเป็นอะไรไปคะคุณนนท์”

“สงสัยเธอคงจะปวดหัว”

“ตายจริง มนต์ก็ลืมไปว่าช่วงเที่ยงแบบนี้ร้านมนต์ไม่ค่อยว่างเสียด้วย” หล่อนหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่ “เอาแบบนี้กล้วกันค่ะ คุณนนท์ช่วยพาลีไปนั่งพักที่บ้านพักหลังที่ลีเคยพาคุณไปก่อนนะคะ เดี๋ยวมนต์ตามไป”

ไม่รอช้า มนต์นภาก็หายเข้าครัวไป เมื่อเหลือเพียงสาวในอ้อมแขน

รชานนท์จึงประคองร่างที่อ่อนแรง ค่อยๆ พาเดินลัดเลาะมาตามสวนหลังร้านอาหารมายังบ้านพักของมนต์นภา

“ระวังนะปณาลี”

ด้วยความที่ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ใกล้เพียงคืบทำให้ปณาลีได้ยินเสียงทุ้มของเขาชัดเจน น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลกระตุกใจคนฟังพิกล จนไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไปมองเขา ค่อยๆ ก้าวระวังตามที่ชายหนุ่มบอก

รชานนท์ประคองหญิงสาวนอนลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่เขาเคยนั่ง

ปณาลีเอ่ยขอบคุณเขาด้วยเสียงแผ่วเบา รอเขาวางหมอนเรียบร้อยถึงค่อยใช้หมอนใบนั้นหนุนศีรษะ หลับตาลบภาพความวุ่นวายในร้านอาหารออกจากหัวสมอง

ไม่นานมนต์นภาก็ตามเข้ามาพร้อมบริกรสาวหนึ่งคน หล่อนชี้บอกให้อีกฝ่ายวางชามแก้วลงบนโต๊ะกระจกใกล้ปณาลี

มนต์นภาแทรกตัวเข้ามาอยู่ระหว่างโต๊ะกับร่างของเพื่อนสาวบนโซฟา หยิบผ้าขนหนูที่บริกรสาวทิ้งไว้ให้ชุบน้ำเย็นในชามแก้ว ก่อนเช็ดหน้าปณาลีไล่ลงมาที่คอและแขน

“โชคดีนะที่คุณนนท์เขาหาที่จอดรถได้พอดี มนต์ก็เลยไม่ต้องรอเขาอยู่หน้าร้านนานอย่างที่คิด มนต์ว่าพักนี้ลีปวดหัวบ่อยมากเลยนะ ที่จริงร้านดังแค่นั้นไม่น่าจะทำให้ปวดหัวได้”

“ดังแค่นั้นอะไรกันละมนต์ เราว่าลูกค้าของมนต์ตะโกนคุยกันมากกว่า ไม่งั้นเราจะปวดหัวได้ยังไง”

มนต์นภาส่ายหน้าระอาในความรั้นของเพื่อนสาว

เป็นรชานนท์ที่ถาม “คุณลีปวดหัวบ่อยแบบนี้มานานรึยังครับ”

“ค่ะ ตั้งแต่ลีฟื้นจากอุบัติเหตุก็ปวดหัวมาตลอด ทีแรกมนต์นึกว่าเป็นเพราะฝันร้ายที่ลีเขาฝันทุกคืน แต่มนต์ว่าไม่น่าใช่”

“มนต์...!!” ปณาลีปรามเพื่อนสาว ท่าทางครุ่นคิดของเจ้าหล่อนคงไม่หยุดพูดแค่นี้แน่ จึงกระซิบพอให้หล่อนกับเพื่อนได้ยินว่า “ไปเล่าเรื่องของเราให้เขาฟังทำไม แค่นี้เขาก็รู้มากพอแล้ว”

“แต่มนต์ไม่อยากเห็นลีเป็นแบบนี้นี่ ถ้าลีไม่อยากให้มนต์พูดอีก ลีต้องสัญญาก่อนว่าจะหาเวลาไปหาหมอ มนต์กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลี”

“พูดเป็นเล่นน่ะมนต์ เราก็แค่ปวดหัว ทานยาเดี๋ยวเดียวก็หาย” พูดจบเจ้าหล่อนก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง คว้ากระเป๋าสะพายบนโต๊ะกระจก หยิบยาออกมาทานเหมือนเคย

มนต์นภาได้แต่ถอนใจ เหนื่อยที่จะต้องหาเหตุผลมาล่อหลอกให้คนดื้อรั้นเชื่อ จึงทำได้เพียงจับเพื่อนเอนกายลงนอนเหมือนเดิมเช็ดตัวให้เพื่อนเงียบๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายของปณาลีดังขึ้น คนป่วยทำท่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรับสาย แต่มนต์นภาครางค้าน

“นอนพักเถอะจ้ะ เดี๋ยวมนต์รับให้” ว่าแล้วหล่อนก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเพื่อนสาว ขอตัวออกไปรับสายข้างนอก

ปณาลีมองคนที่คุยกับคนในสาย สีหน้ายุ่งๆ ของเพื่อนสาวพลอยทำให้ปณาลีกังวลไปด้วย เผลอถอนใจออกมาก่อนละสายตาจากคนด้านนอก หันกลับมาสนใจผ้าขนหนูที่วางพาดอยู่บนขอบชามแก้ว

มือจะเอื้อมหยิบมาเช็ดหน้าตัวเองต่อแต่แล้วก็ต้องชะงัก ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีอีกคนอยู่ในบ้าน

“ผมทำให้”

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”

อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง คว้าผ้าขนหนูตัดหน้าหล่อนจัดการจุ่มผ้าลงในชามแก้ว ชุบน้ำให้เสร็จสรรพและบิดจนแห้ง แต่แล้วดูเหมือนเขาจะลังเลเล็กน้อยเมื่อมองกลับมาที่เจ้าของดวงหน้าสวย ที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อที่แก้มทั้งสองข้าง

เป็นเพราะนัยน์ตาสีนิลคู่สวยของเขาที่มองมานั่นแหละ

“คุณเช็ดเองได้ใช่มั้ย”

ปณาลีรีบพยักหน้ารับ ถึงเขาไม่ถาม หล่อนก็คงไม่ปล่อยให้เขามาแตะเนื้อต้องตัวหล่อนหรอก

“ใครโทร.มาเหรอมนต์” ปณาลีถามทันทีที่เห็นเพื่อนสาวเดินกลับเข้ามา

“คุณชลจ้ะ เขาเป็นห่วงลีเลยโทร.มา” มนต์นภาตอบพลางวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ คว้าผ้าขนหนูจากมือเพื่อนมาเช็ดหน้าให้ “พอเขารู้ว่าลีอยู่กับมนต์ที่ร้านอาหาร เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่มนต์ไม่ได้บอกหรอกนะว่าลีจะเป็นลม”

“ดีแล้วล่ะมนต์ ปกติตอนเที่ยงเราต้องโทร.ไปหาเขาไง สงสัยเขาคงเป็นห่วง”

“ก็แล้วมันน่าห่วงมั้ยละจ๊ะ”

“โธ่มนต์...เราไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่เห็นเหรอ”

รชานนท์เพียงแต่มองสองสาวเงียบๆ เมื่อเห็นคนบนโซฟาเถียงเพื่อนได้เป็นปกติ เขาจึงตัดสินใจบอกลา “ผมว่าวันนี้คุณมนต์คงไม่สะดวกแล้ว เอาไว้วันหลังผมจะโทร.มานัดคุณล่วงหน้าเอง”

จู่ๆ รชนานนท์โพล่งขึ้นมาทำให้มนต์นภาต้องตั้งหลักเล็กน้อย

“ดีเหมือนกันค่ะ ลีเองก็คงไม่ไหวเหมือนกัน งั้น...ถ้าคุณนนท์ไม่รีบ มนต์ฝากคุณไปส่งลีด้วยนะคะ ที่ร้านยุ่งแบบนี้มนต์คงปลีกตัวไปส่งลีไม่ได้แล้ว”

“มะ...ไม่เป็นไรมนต์ เรากลับเองได้” คนที่นอนซมอยู่บนโซฟาไม่วายยังอุตส่าห์ร้องค้าน

“ไม่เป็นไรได้ไงลี เห็นอยู่ว่าจะเป็นลมอยู่รอมร่อ มนต์คงไม่สบายใจถ้าต้องปล่อยให้ลีกลับบริษัทเอง หายดีแล้วก็บอกคุณนนท์เขา เขาจะได้พาลีกลับบริษัท เข้าใจมั้ยจ๊ะ”

“แต่เรา...”

“ครับคุณมนต์” รชานนท์ชิงรับปากก่อน และนั่นแทนที่คนป่วยจะอาการดีขึ้นกลับนอนซมหนักกว่าเก่า เรียกรอยยิ้มขันจากมนต์นภาหยิกแก้มเพื่อนสาวเชิงหยอกระคนหมั่นเขี้ยว รู้ดีว่าปณาลีต้องหาทางกลับมาเอาเรื่องหล่อนวันหลังแน่ แต่วันนี้ขอบายแล้วกันนะเพื่อนรัก คนมันยุ่งจริงๆ




********************



หลังจากมนต์นภาปลีกตัวไปดูแลลูกค้าในร้านอาหาร ปณาลีอยู่บ้านพักเพื่อนได้ไม่นานก็ขอให้รชานนท์พากลับบริษัท เพราะเกรงใจเจ้าหนี้ของหล่อนนั่นแหละ ยามบ่ายปณาลีจึงหมดเวลาไปกับการดูเอกสารสำคัญที่เลขานำมาให้เซ็นชื่อและจัดการกับกองงานที่วางสุมเพิ่มบนโต๊ะ อาการปวดหัวที่ทำท่าจะทุเลาจึงกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณปณาลีคะ เมื่อครู่นี้คุณมนต์นภาโทรศัพท์มาบอกว่าคุณลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านพักเธอค่ะ”

คำรายงานของเลขาสาวผ่านเครื่องตอบรับ ดึงสมาธิปณาลีหลุดจากงานกองพะเนินตรงหน้าพลัน ควานหาโทรศัพท์มือถือตัวเองในกระเป๋าสะพายทั้งที่มืออีกข้างยังกุมขมับ

“คุณมนต์ถือสายรออยู่รึเปล่าจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ เธอกำลังดูแลลูกค้าเลยแค่โทร.มาบอกให้คุณทราบ แต่เห็นว่าฝากไว้ที่คุณรชานนท์แล้วค่ะสักครู่คงเอามาให้คุณที่บริษัท เอ่อ...ขอโทษทีค่ะคุณปณาลี ดิฉันลืมไปเลยว่าคุณชนะชลโทร.มา จะให้ดิฉันโอนสายเข้ามามั้ยคะ”

ปณาลีคลายนิ้วจากหัวคิ้ว กดปุ่มบนเครื่องตอบรับอีกครั้งเพื่อบอกอนุญาตให้อีกฝ่ายโอนสายชนะชลเข้ามา ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนในสาย

“ยุ่งอยู่เหรอเรา ไม่เห็นรับสายพี่เลย”

“ลีลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านมนต์น่ะค่ะ เพิ่งรู้เมิ่อกี้เลย สงสัยรายนั้นรับสายพี่ชลแล้วคงลืมเก็บใส่กระเป๋าให้ลี”

“ให้พี่ไปเอาให้มั้ย ตอนนี้พี่ออกมาจากที่ทำงานพอดี”

“ไม่เป็นไรค่ะ มนต์ฝากให้คนอื่นเอามาคืนลีแล้ว พี่ชลออกจากบริษัทเร็วจังค่ะลียังเคลียร์งานไม่เสร็จเลย เดี๋ยวต้องมารอลีไม่รู้ด้วยนะ”

“รอเรา ต่อให้รอนานนับปีพี่ก็รอได้”

ได้ยินชนะชลตอบกลับมาแบบนั้นคนฟังกลับยิ้มขัน สำนวนเขาลิเกชอบกล

“พี่ว่าจะชวนลีไปทานข้าวร้านนอกเมืองด้วยกันเย็นนี้น่ะจ้ะ พี่จองโต๊ะไว้แล้วด้วย ร้านนี้อาหารเขาขึ้นชื่อเชียวนะ พี่มั่นใจว่าลีต้องชอบ”

“แต่ลี...เอ่อ...” จะปฏิเสธเขาเพราะรู้สึกปวดหัวก็ปฏิเสธไม่ลง

ถ้าเลือกได้ตอนนี้หล่อนอยากกลับไปนอนพักที่บ้านมากกว่า แต่ถ้าเกิดเขารู้อาการหล่อนขึ้นมาเดี๋ยวพาลเป็นห่วงอีกเลยตกอยู่ในสภาวะจำยอม เขาเองเล่นจองโต๊ะไว้แล้วด้วยนี่นา

“ก็ได้ค่ะพี่ชล งั้นพอลีเคลียร์งานเสร็จแล้วจะลงไปรอพี่ชลข้างล่างนะคะ”

ยังไม่ทันถึงเวลาเลิกงานดี ปณาลีต้องตาลีตาเหลือกลงมาที่ชั้นล่างของบริษัทเพื่อมารอชนะชลตามที่นัดไว้ ทีแรกหล่อนว่าจะรอรชานนท์เอาโทรศัพท์มือถือมาให้แต่น่าแปลกที่เขาหายตัวไปเลย สุดท้ายหล่อนเลยฝากให้เพลินตาอยู่รับหน้าก่อนนั่งรถชนะชลมายังร้านอาหารนอกเมืองในเวลาถัดมา

ร้านอาหารที่ชนะชลพามานั้น เป็นร้านอาหารริมแม่น้ำ ตั้งอยู่นอกเมืองห่างไกลผู้คนพอสมควร ชนะชลดูจะคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี เพราะถนนที่ตัดเข้าสู่ร้านอาหารนั้นค่อนข้างแคบเหมือนเป็นแค่ซอยเล็กๆ ในหมู่บ้านจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านอาหารใหญ่โตแอบอยู่ด้านในได้ เขาอ้างว่าอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวกับหล่อนบ้าง ซึ่งปณาลีเองไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะรู้ตัวดีว่าระยะหลังมานี้มัวแต่ให้ความสำคัญกับงานจนไม่ได้ใส่ใจเขาเท่าที่ควร

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

ชนะชลก้มโค้งอย่างสุภาพ เปิดประตูเชื้อเชิญแฟนสาวลงจากรถ

ปณาลีอดไม่ได้ตีแขนเขาให้ที หมั่นไส้ที่เขาทำมาปรนนิบัติหล่อนดีจนโอเวอร์ ก่อนตามพนักงานเสิร์ฟที่นำทั้งสองมานั่งโต๊ะริมแม่น้ำซึ่งเป็นโต๊ะที่ชนะชลจองไว้

“เราอยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ” ปณาลีแกล้งแหย่เขาเล่นไปอย่างนั้น แต่ถ้าเขาจะยินดีจ่ายจริงอย่างที่ว่า หล่อนก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ

ปณาลีพลิกเมนูอาหารไปมา รู้สึกได้ถึงท้องน้อยๆ ที่ร้องครวญคราง รบกวนสมาธิหล่อนไม่น้อย เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เที่ยง ไม่น่าล่ะรายชื่ออาหารที่ไล่เรียงอยู่ในเมนูถึงได้น่าทานไปหมด

“ลีว่าพี่ชลสั่งให้ลีดีกว่าค่ะ ขืนปล่อยให้ลีสั่งเองมีหวังสั่งหมดเล่มแน่เลย”

“เอาอย่างนั้นเหรอ”

ปณาลีพยักหน้ายืนยัน ชนะชลจึงเป็นฝ่ายเลือกอาหารลงโต๊ะ สั่งเสร็จเขาก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำปล่อยให้ปณาลีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพียงลำพัง ใช้เวลานั้นทอดสายตาไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ชมวิวทิวทัศน์ที่มีเพียงแม่น้ำสีขุ่นกับบ้านเรือนที่ปลูกอยู่บนแพลอยอยู่เหนือน้ำ หล่อนสังเกตได้ว่าบ้านแต่ละหลังมีเชือกผูกติดกับเสาซึ่งปักเป็นหลักไว้อยู่ตามมุมทั้งสี่ของแพ เช่นเดียวกับร้านอาหารที่หล่อนนั่งอยู่นี้เพียงแต่ต่างกันตรงขนาดของเชือกและแพเท่านั้น

ปณาลีสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆ ปะทะผิวกาย แดดช่วงบ่ายหายไปแล้วทิ้งไว้แต่เมฆปกคลุมทั่วฟ้า ร่มรื่นถึงคนในร้าน ไอเย็นจากผิวน้ำทำให้หล่อนสดชื่ดไม่น้อย

“ลี...”

เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างกายเรียกความสนใจจากปณาลีหันมอง จำได้ว่าเป็นเสียงของชนะชล แต่แล้วหญิงสาวกลับตกใจระคนประหลาดใจที่เห็นช่อดอกไม้ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

“ดอกไม้สวยๆ สำหรับเรา”

ปณาลีมองใบหน้ายิ้มแย้มของชนะชลสลับกับดอกกุหลาบสีแดงสดในมือเขาอย่างงงๆ “เนื่องในโอกาสอะไรคะเนี่ยพี่ชล”

ชนะชลไม่ตอบ เขาคงยืนค้างอยู่อย่างนั้นถ้าหล่อนไม่รับช่อดอกไม้จากเขา ปณาลีเองรู้ตัวจึงยอมรับมาถือไว้เก้ๆ กังๆ ขณะที่ชนะชลกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิมแล้ว

“พี่รักลีมากนะ พี่คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลี”

ปณาลียังคงพินิจมองช่อดอกกุหลาบนั้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับมันดี ทว่ากลิ่นหอมของมันกลับทำให้ปณาลีรู้สึกแปลกๆ วูบหนึ่งเหมือนมีภาพบางอย่างตัดผ่านเข้ามาในหัวสมอง...เลือนราง...และชัดเจนขึ้นจนเสียงทุ้มๆ ของชนะชลกลายเป็นความเลือนรางเข้ามาแทนที่

‘ดอกไม้สวยจังค่ะพี่กฤต’ ปณาลียิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยมีโต๊ะอาหารกั้นกลางระหว่างเขากับหล่อน

‘อะไรคะเนี่ย’ หญิงสาวที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงสวยหยิบกล่องกำมะหยีซึ่งซ่อนอยู่ในช่อดอกไม้ออกมา

หล่อนหัวเราะน้อยๆ รับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเขา ก่อนเปิดกล่องกำมะหยีนั้นดู แล้วก็ต้องพบว่า...มีแหวนวงเกลี้ยงสีเงินอยู่ในนั้น

“แต่งงานกับพี่นะลี”

วินาทีนั้นเสียงของพี่กฤตถูกซ้อนทับด้วยเสียงของชายหนุ่มในโลกแห่งความจริง ราวกับเป็นภาพๆ เดียวกัน ปณาลีถึงกับผงะเมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าไม่ใช่พี่กฤตแต่เป็นชนะชล

“ลี...ลีได้ยินพี่รึเปล่า”

“คะ ?” ปณาลีตกใจวางช่อดอกกุหลาบลงบนโต๊ะ เผลอร้องถามออกมา ครานั้นเองกลิ่นดอกกุหลาบที่ว่าหอมน่าชมเมื่อครู่ กลับกลายเป็นกลิ่นฉุนที่กระตุ้นอาการปวดหัวของปณาลีกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง หากหนักกว่าทุกครา

“นี่เราไม่ได้ฟังพี่เลยเหรอ”

“เอ่อ...ลีว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะพี่ชล ลี...ลียังไม่พร้อม”

“แต่เราหมั้นกันมานานแล้วนะ เราบอกพี่ได้มั้ยว่าไม่พร้อมเรื่องอะไร เรื่องงาน หรือว่าพี่ลิน ถ้าเรื่องนั้นเราสบายใจได้ พี่บอกเรื่องนี้ให้พี่ลินรู้แล้วก่อนหน้าที่จะพาเรามาที่นี่ พี่ลินยังเห็นด้วยกับพี่เลย”

ปณาลียังคงเงียบ อาการปวดหัวนั้นไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลงเลยแม้ว่ากลิ่นดอกไม้จะจางลงบ้างแล้วก็ตาม หล่อนไม่รู้จะอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจยังไง ในเมื่อขณะที่เขาขอความรักอยู่ตรงหน้า หล่อนกลับไปนึกถึงใครก็ไม่รู้ในความฝัน

นึกถึง...ทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้รึเปล่า

ชนะชลสบตาหญิงสาวตรงๆ พยายามค้นหาคำตอบผ่านนัยน์ตาคู่สวยนั้น แต่ความเงียบที่ได้รับกลับมาทำให้ชนะชลเบือนหน้าหนี

“พี่รู้แล้ว เราคงไม่รักพี่สินะ ถึงได้ปฏิเสธพี่อย่างไร้เยื่อใยแบบนี้”

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะพี่ชล”

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหน !”

“พี่ชล !” พอเขาขึ้นเสียงปณาลีเลยโต้กลับมาบ้าง หล่อนชักหมดความอดทนพอๆ กับเขานั่นแหละ “พี่ก็รู้ว่าลียังไม่หายเป็นปกติดี ลียังจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วพี่จะให้ลีตอบตกลงกับพี่ได้ยังไง”

“แล้วเราจะสนใจอดีตที่มันผ่านเลยมาแล้วทำไม เรื่องปัจจุบันต่างหากที่เราควรสนใจ”

“งั้นแสดงว่าเรื่องราวในอดีตมันไม่เคยมีความสำคัญกับพี่ชลเลยใช่มั้ยคะ”

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“พอเถอะค่ะพี่ชล เอะอะอะไรพี่ก็ให้ลีลืม ทั้งอดีตของเรา ทั้งความฝันของลีที่พี่หาว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ลีถามจริงๆ เถอะค่ะว่าที่พี่อยากให้ลีลืม เป็นเพราะพี่กลัวลีจะรู้อะไรรึเปล่า”

“ลี !” คราวนี้ชนะชลเด้งตัวผาง ลุกขึ้นยืนเหนือหล่อน

“พี่ว่าวันนี้เราพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ กลับ”

ปณาลีเงียบ หล่อนไม่ตอบ ไม่ค้าน ไม่เอะอะโวยวายอะไรทั้งนั้น หล่อนลุกขึ้นยืนเสมอเขา แต่ด้วยความที่ลุกขึ้นเร็วทำให้ร่างบางเสียหลัก ทำท่าจะเซล้มทั้งยืน ร้อนถึงคนที่เพิ่งตวาดใส่หน้าหล่อนไปหมาดๆ รีบเข้ามาประคองแทบไม่ทัน

“ไหวรึเปล่าเรา”

ปณาลีสะบัดมือเขาออกจากการเกาะกุม ไม่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยที่เขาอุตส่าห์หลงเหลือไว้ให้ หล่อนรังเกียจเกินกว่าจะรับมัน



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:53:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:53:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1184





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account