Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน

ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง

หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก


เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย


หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง

Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน

ตอน: บทที่ 7

บทที่ 7

ชนะชลมาส่งปณาลีที่บริษัท เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาในรถบอกเวลาสองทุ่มทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวข้างกายหนักกว่าเก่า

“ดึกมากแล้วนะเรา ให้พี่ไปส่งที่บ้านเถอะ”

“ไม่ค่ะ ลีอยากอยู่คนเดียว ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”

ปณาลีก้าวลงจากรถตามด้วยปิดประตูใส่หน้าเขาดังปัก โดยไม่หันกลับมาสนใจคนในรถอีก

เมื่อแน่ใจว่าชนะชลขับรถจากไปแล้ว สาวที่แสดงตนว่าเข้มแข็งกลับรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างหนักอึ้ง ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะทรงตัวได้อีกต่อไป ทิ้งตัวลงบนม้านั่งหน้าประตูทางเข้า–ออกของบริษัท ปล่อยน้ำตาที่ฝืนกลั้นมาตลอดทางให้พรั่งพรูออกมา

เรื่องที่ร้านอาหาร ปณาลีไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าหล่อนเป็นอะไรไป รู้แต่เพียงคำปฏิเสธเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น แม้ว่าส่วนลึกในใจหล่อนทั้งรู้สึกผิดและโกรธตัวเองที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่หมั้นก็ตาม

หล่อนมีชนะชลอยู่แล้วทั้งคน แล้วทำไม ทำไมหล่อนยังต้องละเมอเพ้อฝันถึงผู้ชายในฝันด้วยก็ไม่รู้ ทำไมหล่อนถึงไม่ลืมๆ ไปเสียและอยู่กับปัจจุบันอย่างที่เขาว่า !

หากฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอนหล่อนทุกค่ำคืน ผิดด้วยเหรอถ้าหล่อนอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวหล่อนกันแน่ ทำไมในฝัน...ถึงมีทั้งบิดา พี่กฤต และหล่อนวนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่จบไม่สิ้น ละ...แล้วพี่กฤตนั่นเป็นใครกัน ?

หญิงสาวปาดน้ำตาออกจากแก้ม มองดูหนทางเบื้องหน้าที่แม้จะมีแสงสว่างเรืองๆ จากไฟบนเพดานอาคาร หากพร่าเลือนเต็มทนเพราะมองผ่านม่านน้ำตา

ช่วงหัวค่ำแบบนี้มีรถน้อยคันที่จะวิ่งออกจากอาคารจอดรถทำให้หล่อนมีโอกาสได้อยู่เพียงลำพัง จมอยู่กับความเงียบ หล่อนเพียงแต่หวังว่าหยาดน้ำตามันจะเหือดแห้งไปเองเมื่อความทุกข์เหล่านั้นผ่านพ้น และความมืดภายในอาคารคงช่วยบดบังน้ำตาของหล่อนได้บ้าง

ปณาลีนวดขมับหวังให้อาการปวดหัวทุเลาลง หากมีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารแล้ว หล่อนจึงเปิดกระเป๋าสะพายหยิบยาแก้ปวดหัวมาทานด้วยความเคยชิน

วินาทีนั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นเงาดำของใครบางคนปรากฏขึ้นบนเสาข้างรถยนต์ที่จอดนิ่งอยู่ตรงหน้า

...หล่อนเห็นเงาดำนั้นพาดผ่านหน้าหล่อนไป !

ปณาลีสำลักน้ำและยาที่ติดค้างอยู่ที่คอ รู้สึกขมปี๋จนต้องคายยาลงพื้น

“ใคร !” หล่อนตะโกนถาม มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ปณาลียันตัวเองด้วยแขนทั้งสองข้างให้ยืนขึ้นเผชิญกับความแปลกประหลาดนั้น ทว่าร่างทั้งร่างกลับเซล้มลงนั่งไม่เป็นท่า ในหัวสมองของหล่อนเวลานี้ ไม่หลงเหลือพื้นที่ให้ใช้การอะไรทั้งนั้นนอกจากอาการปวดหัวที่ไม่ต่างจากมีใครเอาค้อนมาทุบศีรษะหล่อนจนร้าวไปทั้งหัว

ปณาลีมองหาเงาดำนั้นอีกครั้ง แล้วต้องพบว่ามันเพิ่งหลบหายเข้าไปหลังหัวมุมตึก จึงพยายามบอกกับตัวเองว่าให้เข้มแข็ง รวบรวมกำลังทั้งหมดฮึดสู้ยืนขึ้นอีกครั้งเพ่งมองถนนเบื้องหน้า แต่ถนนนั้นกลับหมุนวนไปรอบกาย ภาพทุกภาพเลือนรางและมืดมนเกินกว่าที่ปณาลีจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมาย

ร่างของหญิงสาวโอนเอนอย่างไร้การควบคุม อากาศที่เคยหมุนเวียนอยู่รอบกาย เคยใช้ต่อลมหายใจให้กับปณาลี คราวนี้ไม่มีอีกแล้ว

...หรือหล่อนกำลังจะตาย...

ปณาลีรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังล้มทั้งยืน หากทว่ากลับมีแรงมหาศาลของใครบางคนจากด้านหลังรับร่างที่ไร้การทรงตัวของหญิงสาวไว้ทันเวลา ภาพสุดท้ายที่เห็นคือนัยน์ตาสีนิลคู่สวยลอยอยู่ตรงหน้า

“พี่กฤต...” เสียงนั้นเบาหวิวคล้ายเลื่อนลอยไปในอากาศ ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบลงอย่างภาพในความฝันทุกชั่วคืน





********************





“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้ชลใจเย็นๆ !”

“อย่าเพิ่งต่อว่ากันได้มั้ยพี่ลิน คนยิ่งกลุ้มๆ อยู่”

ปณาลีเห็นเงาเลือนรางของคนสองคนยืนอยู่ตรงหน้า ห้องโถงใหญ่กว้างขวางกับโคมไฟระย้าที่แขวนห้อยสวยเป็นแนวดิ่งลงมา...คุ้นตา

“คุณลีฟื้นแล้วค่ะคุณกุศลิน”

สาวใช้มีแววตื่นตระหนกระคนดีใจปรากฏขึ้นในดวงตายามมองนายสาวระยะใกล้ พลางส่งเสียงดังเรียกนายผู้หญิงของบ้าน

เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่หายไปแล้ว ปณาลีกระพริบตาถี่ปรับเลนส์สายตาเรียกสติตัวเองกลับคืน ครานั้นเองถึงเห็นกุศลินตรงดิ่งมาหาโดยมีน้องชายตามติดมาด้วย

ชนะชลเป็นคนเข้ามาช่วยประคองหญิงสาวลุกขึ้นนั่งในท่าที่สบาย หยิบหมอนใบใกล้มือวางรองหลังให้หล่อนก่อนนั่งลงเคียงข้าง

“เป็นยังไงบ้างเรา หายปวดหัวรึยัง”

ปณาลีส่ายหน้าพลางขยับแขนออกจากการเกาะกุมของเขา “ลีมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะคุณลิน”

“คุณรชานนท์มาส่ง” ชนะชลเป็นฝ่ายตอบ เขาดูจะหัวเสียไม่น้อยเมื่อต้องเอ่ยชื่อของชายหนุ่มอีกคน

“คุณรชานนท์ ?” ปณาลีเผลอครางชื่อเขาออกมาอย่างงงๆ ภาพสุดท้ายที่หล่อนจำได้คือ...พี่กฤตนี่นา ทำไมถึงกลายเป็นนายรชานนท์ไปได้

กุศลินอ่านสีหน้าน้องชายออกจึงเอ่ยปรามทั้งที่ยังคงยืนอยู่เหนือศีรษะหนุ่มสาว “ไม่เอาน่ะชล...บัวจ๊ะ”

ประโยคท้ายหล่อนหันไปสั่งหัวหน้าแม่บ้านที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ อีกฝ่ายรู้หน้าที่ดีจึงหายออกไป ก่อนกลับมาพร้อมโทรศัพท์มือถือส่งให้ปณาลี สร้างความงุนงงแก่เจ้าของโทรศัพท์หนักกว่าเก่า

“อยู่ที่คุณลินได้ยังไงคะเนี่ย”

“คุณรชานนท์เป็นคนนำมาคืนค่ะ ทีแรกเขาตั้งใจจะนำมาคืนคุณด้วยตัวเอง แต่พอมาพบคุณนอนสลบอยู่ที่อาคารจอดรถเขาเลยฝากไว้ที่ดิฉัน”

ปณาลีเพียงยิ้มๆ คำตอบของกุศลินไม่ได้ช่วยให้ปณาลีกระจ่างเท่าไหร่แต่หล่อนไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ คงเป็นเพราะยังมีอาการปวดหัวเหลือค้างอยู่ก็เป็นได้ถึงยังได้มึนงงไปหมด

“ตอนนี้เขากลับไปรึยังคะคุณลิน”

“กลับไปแล้วค่ะ พอมาส่งคุณเรียบร้อยก็ขอตัวกลับเลย” กุศลินถอนใจเบาๆ ก่อนนั่งลงข้างลูกสาว “เห็นชลบอกว่าทะเลาะกับคุณลีมาเมื่อเย็น คุณเลยไม่ยอมกลับบ้าน”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณลิน วันนี้ลีคงทำงานหนักไปหน่อยน่ะค่ะเลยพาลไปลงกับพี่ชล ถ้าทุกคนไม่มีอะไรแล้วลีขอตัวไปพักที่ห้องก่อนนะคะ ยังรู้สึกมึนหัวอยู่เลย”

ชนะชลทำท่าจะลุกตามมาด้วย ปณาลีเลยต้องบอกห้าม “พี่ชลกลับไปก่อนเถอะค่ะ ลียังไม่พร้อมคุยกับพี่ตอนนี้”

โดนปฏิเสธตรงๆ ชนะชลเลยลังเลไปเหมือนกัน กระทั่งกุศลินส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่ต้องตามหญิงสาวขึ้นไปน้องชายจึงหยุดยืนอยู่แค่หน้าโซฟา

ปณาลีปิดประตู ลงกลอนห้องอย่างที่หล่อนไม่ค่อยได้ทำนัก ตอนนี้หล่อนเหนื่อยเกินกว่าจะรับหน้าหรือตอบคำถามร้อยแปดของใคร ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มท่ามกลางความว่างเปล่าในห้องนอนที่คุ้นเคย

ภาพนัยน์ตาสีนิลคู่สวยที่มองมาด้วยความห่วงใยระคนเศร้ายังฝังใจ

ดวงตาคู่นั้นที่เคยสวยจับใจหล่อนมีเพียงพี่กฤตชายในฝันของหล่อนเท่านั้น ไม่ใช่นายรชานนท์ที่มีแต่ความเย็นชาและเมินเฉยต่อความรู้สึกของผู้อื่น

ดวงตาคมกล้าของเขาแม้จะมีสีนิลสวยเฉกเช่นเดียวกัน แต่มันให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากจนปณาลีไม่สามารถปักใจเชื่อได้ว่าเป็นเขาที่มาช่วย

ถ้าเป็นอย่างที่กุศลินว่า รชานนท์จะมาบ้านธรรมนิตย์ถูกได้ยังไง แล้วเขามาทำอะไรที่บริษัทค่ำๆ มืดๆ มาคืนโทรศัพท์มือถือให้หล่อนอย่างนั้นเหรอ ช่างเป็นเหตุผลที่ตลกสิ้นดี



************************




“ดิฉันมาขอพบคุณรชานนท์ค่ะ”

หญิงสาวในเครื่องแบบพนักงานประจำบริษัทเงินทุนเงยหน้าจากกองเอกสารบนโต๊ะ ขยับแว่นสายตาลงเพื่อไม่ให้บดบังยามมองสาวแปลกหน้า

“นัดไว้รึเปล่าคะ”

“เปล่าค่ะ” ปณาลีตอบเลขาหน้าห้องของรชานนท์ไปตามตรงทำนองรำคาญอยู่ในที

หล่อนอยากบ่นนักว่าเจ้านายของเจ้าหล่อนนี้วิเศษเลิศเลอมาจากไหนถึงได้เข้าพบยากจริง ตั้งแต่ปณาลีย่างก้าวเข้ามาในบริษัทนี้แล้ว ไม่มีพนักงานบริษัทของเขาคนไหนไม่ถามว่ามาพบใคร พอหล่อนตอบกลับไปว่ามาขอพบรชานนท์ พนักงานทุกคนก็ต่างลังเล ไม่กล้าให้เข้ามา แต่ทันทีที่หล่อนเอาตำแหน่งพร้อมชื่อเต็มยศมาอ้างทุกคนถึงยอมหลีกทางให้จนรอดมาถึงหน้าห้องทำงานของผู้บริหาร

“ฉันชื่อปณาลี ธรรมนิตย์ ประธานบริษัทที่คุณรชานนท์ร่วมเป็นหุ้นส่วนอยู่น่ะค่ะ อยากจะขอคุยธุระด้วยเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

“อ๋อ ขอโทษด้วยนะคะคุณปณาลี” พอรู้สถานะของสาวตรงหน้าเลขาหน้าห้องค่อยยิ้มให้อย่างมีไมตรี

“วันนี้คุณรชานนท์บอกกับดิฉันไว้ว่าจะไม่เข้าบริษัทค่ะ ถ้ายังไงนัดไว้มั้ยคะ ดิฉันจะบอกคุณรชานนท์ให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้ธุระด่วนอะไร เอ่อ...ถ้าเขาเปลี่ยนใจจะเข้าบริษัท โทร.บอกฉันด้วยนะคะ”

ปณาลีเอ่ยขอบคุณเลขาสาว ก่อนเดินกลับออกมาหน้าบริษัท

แต่แล้วพอหันหลังกลับไปมองตึกสูงด้านหลังปณาลีต้องถอนใจออกมาด้วยความผิดหวัง วันนี้หล่อนอุตส่าห์ขับรถมาเองตั้งใจเต็มที่ว่าจะมาขอบคุณพ่อขรึมเสียหน่อย และจะได้ถือโอกาสถามเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ด้วย เขากลับไม่อยู่เสียได้

ปณาลีเลือกมองวิวทิวทัศน์รอบข้างมากกว่าจะสนใจถนนที่ลาดลงและไกลแสนไกลเบื้องหน้า จากหน้าบริษัทถึงริมฟุตปาธด้านหน้าซึ่งเป็นที่ที่หล่อนจอดรถทิ้งไว้นั้นค่อนข้างไกล โชคดีที่วันนี้แดดไม่แรงมากนักแม้ใกล้เที่ยงแล้วก็ตาม บวกกับบริษัทของรชานนท์มีทั้งต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมไปทั่วทางเดิน เห็นแล้วร่มรื่นไม่น้อย คนเดินจึงไม่รู้สึกร้อนอย่างที่คิด

ปณาลีใช้เวลานั้นสูดอากาศบริสุทธิ์รอบกายพลางกวาดตามองความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า

ครานั้นเองสาวเจ้าสะดุดตากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนม้านั่งภายในสวนหย่อมเคียงข้างบริเวณทางเดิน สร้างความดีใจระคนประหลาดใจแก่ปณาลีไม่น้อย ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปในสวนหย่อมนั้น หยุดยืนอยู่ด้านหลังม้านั่งเขา

“มาหลบอยู่ที่นี่เองนะคะคุณรชานนท์”

แม้ยังไม่เห็นหน้า หากแผ่นหลังกว้างและไหล่ที่ผายออกให้ความรู้สึกอบอุ่นยามมองนั้น ปณาลีคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะหล่อนเคยพักพิงอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าของไหล่กว้างนั้นมาแล้ว

คนที่นั่งนิ่งภายในสวนหย่อมเพียงลำพังบนม้านั่งที่เล็กกว่าลำตัวของเขามากยังคงนั่งมองบ่อน้ำขนาดเล็กเบื้องหน้า ทำราวกับเสียงของหล่อนเป็นเพียงลมพัดผ่านหู

ปณาลีไม่ถือสากับภาพตรงหน้าหรอก เพราะเคยชินกับความเฉยชาของเขาเสียแล้ว

เมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร หล่อนจึงถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ รู้ดีว่าเขาคงไม่ว่าอะไรเช่นกัน

“หายดีแล้วเหรอคุณ ถึงได้ออกมาตากแดดตากลมได้แบบนี้”

หญิงสาวเอียงคอมองคนข้างกายเล็กน้อย ลอบอมยิ้มอยู่กรายๆ ที่ในที่สุดรชานนท์ก็ยอมพูดกับหล่อน

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้ว”

“คุณไม่ตายง่ายๆ หรอกปณาลี ตราบใดที่คุณยังมีลมหายใจ”

ริมฝีปากบางเผยยิ้มขันออกมา ผู้ชายคนนี้พูดอะไรไม่เคยทำให้คนฟังเข้าใจง่ายเลยสักครั้ง แม้ไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของเขาเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่านั่นคือคำอวยพรของคนผู้ให้ชีวิตใหม่

“คุณมาทำอะไรที่บริษัทฉันตอนนั้นคะ”

“ผมว่าผมบอกคุณกุศลินไปเรียบร้อยแล้ว”

“ค่ะคุณบอกคุณลินแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจ คุณคิดยังไงถึงได้มาคืนโทรศัพท์มือถือให้ฉันดึกดื่นป่านนั้น ไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันอาจกลับบ้านไปแล้ว”

รชานนท์ผ่อนลมหายใจออกมาแทนคำตอบ และนั่นทำให้คนถามสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็แค่ชั่วครู่เพราะเขากลับหัวเราะเบาๆ ในลำคอฝ่าความเงียบขึ้นมา “ผมไม่นึกเลยว่าจะต้องมานั่งตอบคำถามร้อยแปดของคุณในเวลาสงบสุขแบบนี้ คุณไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องคอยสงสัยหรือระแวงคนอื่นทุกเวลา”

“สงสัย ? ระแวง ?” คิ้วเรียวขมวดเป็นปมยุ่งหนักกว่าเก่า เพิ่งเห็นเขายิ้มก็วันนี้แหละ

“ฉันเนี่ยนะคะขี้สงสัย ขี้ระแวง”

“แล้วที่คุณกำลังทำตัวเป็นสาวช่างถามอยู่แบบนี้ ไม่ให้ผมเรียกว่าระแวงแล้วจะให้เรียกว่าอะไรฮึปณาลี”

การที่รชานนท์เรียกชื่อหล่อนเต็มๆ อย่างที่ชายในฝันชอบเรียกเวลาที่เขาต้องการปรามเด็กดื้ออย่างหล่อน ทำให้ปณาลีรู้สึกแปลกหูอยู่บ้าง แต่น่าแปลกที่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

หล่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้ชายหนุ่มข้างกายไม่ได้ใส่สูทตัวหนาเหมือนเช่นเคย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตปล่อยชายกับกางเกงผ้าเนื้อดี...แปลกตากว่าทุกครั้ง

รชานนท์ยังคงทอดมองสายน้ำที่ไหลวนในบ่อ นานทีจะเห็นระลอกคลื่นนิดๆ ไหลไปตามสายลมแรงที่พัดพาเอาใบไม้ที่แห้งคาต้นร่วงกราวลงมาราวกับสายฝนในยามเที่ยง

หนุ่มสาวปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง ปณาลีลอบมองคนข้างกายเป็นระยะ เมื่อเขาไม่เอ่ยอะไรหล่อนเลยไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาเหมือนกัน นอกจากสนใจต้นไม้ใบหญ้าไปตามประสา

ปณาลีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลิ่นไอธรรมชาติช่วยให้หญิงสาวผ่อนคลายจนลืมเรื่องเครียดๆ ในหัวสมองไปได้บ้าง

“เฮ้อ...นานทีได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ สดชื่นกว่าอยู่ในห้องแคบๆ ในบริษัทตั้งเยอะ”

“ว่างๆ คุณน่าจะหาเวลาออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างนะปณาลี”

“ฉันก็อยากออกมาใช้ชี้วิตแบบนี้ทุกวันอยู่เหมือนกันแหละค่ะ แต่คุณก็รู้ว่าช่วงนี้ฉันสุขภาพไม่ค่อยดี พอทำงานเสร็จก็กลับบ้านนอนเลย ไม่ค่อยได้มาทำอะไรแบบวันนี้หรอกค่ะ”

“ผมอยากให้คุณเลิกทานยาจะได้มั้ย” จู่ๆ รชานนท์ก็โพล่งขึ้นมา

“ยา ?” คนที่กำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติต้องตั้งหลักอยู่ครู่ “ยาแก้ปวดหัวน่ะเหรอคะ”

“ครับ คุณมนต์เล่าให้ผมฟังหมดแล้ว...เรื่องของคุณ ผมรู้ว่าตั้งแต่คุณฟื้นจากอุบัติเหตุคุณต้องจมอยู่กับความเลือนรางมาทั้งชีวิต ผมไม่อยากให้คุณหาทางออกด้วยการทานยาแก้ปวดหัวพวกนั้น”

คราวนี้เป็นปณาลีที่แค่นหัวเราะ มองเขาด้วยหางตา “คุณไม่รู้เรื่องอะไรอย่าพูดดีกว่า เอาไว้เมื่อไหร่คุณเป็นฉัน วันนั้นคุณจะรู้เองว่าคนที่ต้องจมอยู่กับช่วงชีวิตที่ขาดหายไป มันทรมานและเจ็บปวดมากแค่ไหน”

“แต่คุณไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการทานยา”

“แต่ยานั้นทำให้ฉันหายปวดหัว”

“แต่มันก็ทำให้คุณปวดหัวหนักกว่าเดิมไม่ใช่เหรอปณาลี”

คนที่ค้านมาตลอดนิ่วหน้ามองเขาอย่างไม่เชื่อหู “คุณรู้ได้ยังไง”

รชานนท์ถอนใจให้กับเสียงแผ่วเบาแทบกลืนหายไปในอากาศนั้น ก่อนลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังไม่ยอมสบตาหญิงสาวข้างกาย “ใกล้เที่ยงแล้ว ผมนัดกับคุณมนต์ไว้ว่าจะไปชิมอาหารร้านของเธอ ถ้าคุณไปด้วยคุณมนต์เธอคงดีใจ”

“คุณจะไปร้านมนต์เหรอคะ” ชื่อของเพื่อนสาวทำให้คนขี้สงสัยลุกตาม

รชานนท์ทิ้งให้หล่อนอยู่ตรงนั้นส่วนเขาเดินนำไปยังถนนด้านนอกโดยไม่รอฟังคำตอบ ร้อนถึงปณาลีต้องร้องเรียกพลางสาวเท้าตามหลังเขามา แต่แล้วอีกฝ่ายกลับหยุดเดินดื้อๆ สาวที่กำลังเร่งฝีเท้าตามมาติดๆ จึงหยุดกึก

“ผมจอดรถไว้ชั้นใต้ดิน คุณเอารถมารึเปล่า”

เขาหันมาถามหล่อนถึงได้สบตากับนัยน์ตาสีนิลคู่สวยตรงหน้าเต็มตา ปณาลีถึงกับอ้ำอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะราวกับโดนร่ายมนต์สะกดจากดวงตาคู่นั้น

แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นฝ่ายกระแอมขัดทำให้หล่อนหลุดจากภวังค์

“เอ่อ...ฉัน ไม่สิ คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอกค่ะ วันนี้ฉันเอารถมา”

ตั้งสติได้ก็ชี้บุ้ยใบ้ไปยังรถตัวเองซึ่งจอดอยู่ริมฟุตปาธหน้าบริษัท

รชานนท์มองตามองศาการชี้บอกของหญิงสาวก่อนครางรับในลำคอตามเคย หล่อนตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นมุมปากของเขาเชิดขึ้นคล้ายยิ้ม เล่นเอาปณาลีหน้าร้อนผ่าว ต้องเสมองไปทางอื่นแก้เขิน

หวังว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงไม่คิดว่าหล่อนหลงเสน่ห์เขาให้หรอกนะ



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:54:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:54:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1097





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account