พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 34. “แค่อยากยืนอยู่ด้วยตัวเองเท่านั้น”

34.

เมื่อออกเดินมาถึงหน้าปากซอย มาลีก็เลี้ยวขวาเดินดูร้านรวงสองข้างถนนไปเรื่อยๆ กระแป๋งกระป๋อง ขันน้ำ สำหรับใช้ในห้องน้ำจะซื้อจากร้านไหน เครื่องนอนนั่นอีก มาลีเข้าไปถามราคาแล้วก็ออกมา เพราะคิดว่าจะต้องเอาไปเปรียบกับห้างใหญ่ แต่จะถือมาอย่างไร จนกระทั่งเดินมาถึงห้างบิ๊กซี มาลีจึงตรงดิ่งไปยังแผนกที่อยู่ในใจ จาน ชาม ช้อน แปรงซักผ้า ไม้แขวนเสื้อ สิ่งละอันพันละน้อยนั้นเธอไม่มีสักอย่าง
แม้จะหวนคิดถึงความสะดวกสบายเมื่ออยู่บ้านนันทา แต่เมื่อเลือกเดินทางนี้แล้วเธอก็ต้องเดินให้ถึงที่สุด มาลีเริ่มคำนวณรายจ่ายต่อเดือน สิ้นเดือนนี้เงินเดือนจะออก พี่ศรีวรรณคงโอนเข้าบัญชีให้ ค่ากิน ค่าอยู่ เดือนต่อเดือน ค่าเอกสารการเรียน อย่างไรปีนี้ทั้งปีเธอคงไหว ส่วนของปีหน้า ระหว่างปีนี้คงค่อยๆ เก็บมาเติมไว้ในบัญชี

เมื่อเข็นรถผ่านสินค้าที่ต้องการ มาลีก็หยิบมาเทียบดูราคา เมื่อเห็นว่าของชิ้นใดถูกกว่ามาลีก็หยิบมาใส่รถเข็น มาลีเข็นไปเรื่อยๆ จนผ่านแผนกเครื่องใช้ในครัวเรือน อาหารเป็นปัจจัยสำคัญ มาลีหยิบจานและชามพลาสติกสองใบ ช้อนอีกสองคัน แก้วหนึ่งใบใส่รถเข็น เมื่ออยู่ในรีสอร์ตมีมากมายรู้สึกไม่มีค่าพอ มาวันนี้มาลีเริ่มรู้ค่าของมัน

จนกระทั่งรถเข็นไปหยุดที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า มาลีเดินไปดูราคาหม้อหุงข้าวใบเล็ก เมื่อเห็นราคาแล้วมาลีวางลง ยังไม่ต้องซื้อ เพราะว่าเตารีดสำคัญกว่า แต่ช่วงนี้เธอต้องใส่ผ้ารีดไหม อย่าเพิ่งเลย เก็บเงินไว้ในกระเป๋าก่อน วางเตารีดไว้
มาลีเดินมาที่โทรทัศน์ขนาดเล็กดูราคาลูบๆ คลำๆ แล้วเดินมาที่วิทยุ ถ้ามันคงแก้เหงาได้แต่ใหญ่ไป ย้ายไปไหนมาไหนจะเป็นภาระ คงหาซาวด์อะเบาว์ สำหรับพกพาถูกๆ มาใช้ มาลีเข็นรถออกจากแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้ววกไปหาเครื่องนอนเทียบราคากับข้างนอก แม้จะถูกกว่า แต่ในตอนนี้ หมอนกับผ้าห่มผืนละร้อยกว่าบาทจำเป็นที่สุด

เมื่อชำระเงินเรียบร้อย ของในมือทั้งสองข้างพะรุงพะรัง ซอยที่พักกับห้างไม่ไกลกันนัก มาลีหิ้วถุงเบียดเสียดผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ จนรู้สึกว่าไหล่ทั้งสองข้างเมื่อยล้า พายเรือสองสามชั่วโมงยังเคยทำมาแล้ว ขับรถขึ้นลงเขาก็หนักใช่ย่อย แค่นี้สบายๆ เมื่อนึกถึงความลำบากในอดีต มาลีจึงยิ้มออกมาได้

ชีวิตจริงๆ ของคนบ้านนอกเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นแบบนี้

มันคือรสชาติของชีวิตที่จะไม่มีวันลืม


เมื่อวางของลงบนพื้นแล้วมาลีก็ทรุดนั่งลงหอบแฮกๆ แล้วสายตาของหญิงสาวก็ไปสะดุดที่สวิตช์พัดลม ต่อไปแม้แต่ใช้ไฟฟ้าเธอก็ต้องคิด มาลีหันไปที่หน้าต่าง บานเกร็ด ตัดสินใจลุกขึ้นไปไขกระจกขึ้น แล้วสายลมเย็นๆ ก็พัดเข้ามา พร้อมเสียงยวดยานพาหนะและผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่ในซอย

มีอะไรขาดเหลืออีกหนอ มาลีครุ่นคิดแล้วเดินกลับมาที่สวิตช์พัดลม ตัดสินใจกดปุ่มที่เบาที่สุด หญิงสาวนอนเหยียดยาว ในเวลานี้มาลีคิดถึงแม่จับใจ ความลำบากเป็นเช่นนี้ เมื่อนึกถึงแม่ มาลีก็นึกถึงป้าขึ้นมา มาลีกดโทรศัพท์ไปรายงานในที

“คิดดีแล้วเหรอที่ทำอย่างนี้”

นันทาคงโทรมารายงานเรียบร้อยแล้ว มานิ่งฟัง เมื่อป้ารู้แล้วก็ไม่จำเป็นที่เธอจะเอ่ยอ้างอะไรอีก เพราะถ้าเธอพูดไปนั่นก็คือลูกสาวเขาก็จะกลายเป็นคนไม่ดี ไม่ใช่พี่นันทาไม่ดี เธอเองต่างหากที่ต้องการหนีปัญหาจากพวกเขา แต่จะบอกกับป้าอย่างไรได้

“ค่ะ หนู คิดว่าพอไหวก็เลยไม่อยากรบกวน”

“ตามใจแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็โทรมาบอก อย่างไรเราก็ป้าหลานกันนะ”

ป้าพูดถึงความสำคัญเก่าแก่ ร่ายยาวมาถึงเรื่องของพี่นันทาที่ต้องอยู่คนเดียว แล้วก็วกมาเล่าเรื่องพี่อนันต์ ที่กว่าจะยอมให้คลุมถุงชนก็ต้องปะเหลาะต่างๆ นานา แล้วป้าก็ลงท้ายที่ว่า

“ตัวเองก็ดูให้ดีๆ แล้วกัน ผู้ชายถ้ามันได้แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะกลายเป็นอื่น หรือถ้าพลาดพลั้งไปแล้วก็ให้ระวังเรื่องลูกเต้า ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม จะเป็นภาระให้แม่อีกคน”

ประเด็นที่นันทาพูด คงหมายถึงเธอหนีตามผู้ชายไปด้วย

“งานพี่อนันต์ หนูคงไม่ได้กลับบ้านนะคะ”

มาลีรีบเปลี่ยนเรื่อง ป้าถอนหายใจออกมาพูดเรื่องบ่นเรื่องพี่นันทาไม่ค่อยอยากกลับบ้าน มาลีนิ่งฟังจนกระทั่งต้องขออนุญาตวางสาย


เมื่อหมดปัญหาทางอุ้มผางแล้ว มาลีก็เลื่อนถุงที่ซื้อมาเปิดดูของข้างใน ครุ่นคิดว่ายังขาดเหลืออะไรแล้วมาลีก็นึกถึงโทรทัศน์ ถ้ามีมันความเหงาก็คงไม่มากเท่านี้ ใจที่ห่อเหี่ยวพลอยทำให้น้ำตารื้นขึ้นมา เสียงโทรศัพท์ดังอีกรอบ เป็นแม่ที่โทรมาหา
แม่เล่าว่าป้าเรียกไปคุยให้รับรู้ไว้ว่า มาลีจะไม่ได้อยู่ในอาณัติของนันทาอีกแล้ว แม่บอกกับป้าไปว่ามาลีโทรมาบอกแล้ว มาลีมั่นใจว่าป้าคงพูดอะไรอีกยืดยาว แต่แม่เก็บงำถ้อยคำแสลงหูไว้แต่เพียงผู้เดียว

“ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก อย่าไปเป็นอย่างคำคนอื่นเขา”

“ให้แม่เชื่อใจหนูนะ หนูทำอย่างนี้แล้วหนูมีความสุขกว่าอยู่อย่างนั้นนะแม่”

วางโทรศัพท์จากแม่แล้ว โทรศัพท์เครื่องในห้องก็ดังขึ้น มาลีรีบขยับไปรับสายที่วางอยู่กับพื้น

“หนูมาลีมีคนมาหาจ้ะ ลงมาเลยนะ”

มาลีครุ่นคิดว่าเป็นใคร ถ้าเป็นไอ้วัฒน์ ทำไมมันไม่โทรเข้ามือถือ หรือว่าเงินมันหมด

เมื่อลงมาข้างล่าง พบป้าเจ้าของหอยืนอยู่กับกองสัมภาระตรงประตูทางเข้า ที่ต้องใช้คีย์การ์ดเฉพาะคนภายใน

“มีคนเอาของมาฝากไว้ แต่เขาออกไปแล้ว”

มาลีก้มมองของกับพื้น ที่เห็นสะดุดตาก็มีที่นอนปิกนิกในถุงพลาสติก พร้อมกับถุงพลาสติกระบุว่าเป็นของในห้างบิ๊กซีอีกหลายถุงทีเดียว

ใจของมาลีเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ผู้ชายหน้าขาวๆ ใส่หมวกแก๊ปตัวสูงๆ จมูกโด่งหน้าตาดีๆ”

มาลีกล่าวขอบคุณป้าเจ้าของหอ ที่แนะนำตัวเองว่าชื่อป้าเหนาะ แล้วรีบยกของเข้าห้องไปนั่งมอง เมื่อมองจนอิ่มเอมใจแล้ว มาลีก็ค่อยๆ รื้อของออกจากถุง สิ่งแรกที่ทำให้มาลีมือสั่นก็คือ โทรทัศน์เครื่องที่เธอลูบคลำมันเมื่อตอนอยู่ในห้าง อีกถุงมีกล่องเตารีดพร้อมน้ำยารีดผ้าเรียบ อีกถุงมีผ้าห่มผืนที่มันหนาและอุ่นกว่าผืนที่เธอซื้อมา มาลีจำราคาได้ว่ามันราคาถึง 350 บาท อีกถุงมาลีพบว่า มันเป็นกระติกน้ำร้อนใบเล็กกับแก้วเซรามิคสำหรับชงโอวัลติน นมข้นหวานแบบกระป๋องที่มีมาด้วย และถุงสุดท้ายเป็นหม้อหุงข้าวใบจิ๋วพร้อมกับข้าวสารหนึ่งถุง

ใจของมาลีจะขาดลงเสียให้ได้

เสียงโทรศัพท์ของมาลีดังขึ้นอีกรอบ มาลีรีบหยิบมาพลิกดู แม้ไม่ได้กดหน่วยความจำเก็บเบอร์ไว้ มาลีก็รู้ว่าเป็นเบอร์ของใคร มาลีตัดสินใจไม่รับ สายเงียบไป เงียบไปนาน จนกระทั่งมาลีไปหยิบถุงใส่ที่นอนปิกนิกสีชมพูมาดู จึงได้เห็นกระดาษสีขาวเสียบอยู่ด้านใน มาลีรีบรูดซิป หยิบกระดาษออกมาแล้วสายตาของเธอก็ไล่ไปตามตัวอักษร พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้น

‘อยากบอกให้รู้ว่ามาลียังมีผม (อยู่ทั้งคน)’

มาลีอยากจะยิ้มแต่น้ำตามันไหลลงมาแทน แล้วมาลีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเชื่อมสัญญาณไปหา เธอภาวนาว่าอย่าให้เขารับสาย เธออยากฟังเพลงรอสาย เพราะมันบอกทุกอย่างที่รู้สึกกับเธออยู่แล้ว และเหมือนเขาจะรู้ใจ

‘อยากบอกให้รู้ฉันยังอยู่ ตรงนี้ฉันยังอยู่ จะคอยดูแลหัวใจของเธอให้เข้มแข็ง’ มาลีร้องคลอเบาๆ ไปด้วย

‘อยากบอกให้รู้ ฉันยังอยู่ วันนี้หรือเมื่อไร อย่ากลัวอะไรขอให้มั่นใจ จับมือกันไว้แล้วเดินไป พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะพร้อมเคียงข้างเธอ’

“พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรจะพร้อมเคียงข้างเธอ”

“มาลี” น้ำเสียงของชัชชัยดูอบอุ่นเมื่อรับสาย

“คุณชัช” มาลียังสะอื้นฮักๆ อย่างไม่ได้นึกอาย

“ลงมาคุยกันหน่อยได้ไหม ผมรออยู่ข้างล่าง”

มาลีรีบเช็ดน้ำตาแล้วเปิดประตูห้อง พร้อมกับซอยเท้าลงบันไดจากชั้นสอง พอเท้าแตะพื้น มาลีก็เห็นชัชชัยยืนรอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเกลื่อนไว้กับความสงสัย
มาลีชะงักฝีเท้า แต่สายตาของเขาก็มีพลังดึงให้เธออยู่กับที่ไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีมือทั้งสองข้างของเธอก็อยู่ในมืออุ้งมืออุ่นของเขาเสียแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมทำแบบนี้”

มาลีร้องไห้ออกมาอีก จะบอกเขาได้อย่างไรว่าเธออยากหนีเขา แต่สุดท้ายเธอก็รู้ว่าเธอหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น เธอไม่ได้รักเขาสองคนเท่ากันอย่างที่บอกกับพี่ศรีวรรณ แต่เธอรักเขาคนละแบบต่างหาก

สำหรับคุณกลยุทธนั้นเรียกว่า หลงรูปผสมกับความเปลี่ยวเหงา

ส่วนคุณชัชชัย เขาอยู่ลึกสุดใจ ซ่อนเขาไว้เพราะความกลัว ด้วยเธอเชื่อเสมอว่าเขาคือคนรักของนันทา และเขาจะเห็นค่าของเธอเพียงแค่ของเล่น แต่ยิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า หากเธอเหน็บหนาวเหนื่อยล้า เขาพร้อมจะยังความอบอุ่นและประคองเธอไว้

“มันร้ายแรงมากเลยหรือ” ชัชชัยยังต้องการคำตอบ

“แค่อยากยืนอยู่ด้วยตัวเองเท่านั้น”

“นันทาพูดอะไรให้เจ็บใจ หรือใครทำให้เจ็บใจ”

มาลีเงยหน้ามองเขา

“คิดหรือว่าการมีชีวิตในกรุงเทพฯเป็นเรื่องง่าย”

เมื่อได้ยินมาลีนึกถึงวันที่เขาพาเธอไปตะลอนหัดขึ้นรถทุกชนิด

“มีเงินเก็บเท่าไหร่ถึงตัดสินใจทำอย่างนี้ รู้ไหมว่ามีผู้หญิงมากมายที่เดินหลงทางเพราะสังคมมันบีบให้ต้องเป็นไป หากมันขาดแคลนขึ้นมา คนเรามันก็พร้อมหน้ามืดตามัว”

เขาเตือนสติคล้ายต่อว่า ทำให้ควันเริ่มออกหูมาลีคนดื้ออีกแล้ว

“แล้วร้องไห้ทำไม นับบ้างหรือเปล่าว่าตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ นี่ ร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ว”

คำพูดของเขาเริ่มกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ มาลีจึงค้อนไปพร้อมกับดึงมือทั้งสองข้างของตัวเองออกมาจากมือคนฉวยโอกาส

“ยังขาดอะไรอีก เดี๋ยวจะออกไปซื้อให้”

“ขอบคุณนะคะ”

“พูดเพราะๆ ก็เป็นนี่ หรือพูดเป็นเฉพาะตอนอยากได้ของฟรี”

เมื่อได้ยินอย่างนี้มาลีจึงกำมือขวาหลวมๆ แล้วต่อยไปที่หน้าอกเป็นการแก้เขิน

-----------------------

ตรีทศขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านเมื่อเวลา 15 นาฬิกา วิจักษ์ที่หลับเพราะความอ่อนเพลียจากการนอนดึกผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ค่อยๆ ปรือตาขึ้นด้วยมีมือนุ่มๆ ของคนขับตีเบาๆ ที่พวงแก้มด้านซ้าย

“ถึงบ้านแล้วจักษ์” น้ำเสียงตรีทศผะแผ่วดูเอาอกเอาใจ

วิจักษ์ลุกนั่งปรับเบาะขึ้นแล้วหาวออกมา

“ไปขึ้นเข้าบ้าน ถ้ายังไม่ไหวก็เข้าไปนอนในห้องพี่ เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ นอนให้สบาย”

วิจักษ์ไม่พูดตอบโต้ เขาเปิดประตูรถลงไปแล้วไขกุญแจรั้ว เดินไปไขประตูบ้าน เดินเข้าห้องน้ำครู่เดียวก็เดินขึ้นชั้นบน

ตรีทศถอนหายใจออกมา เมื่อตัววิจักษ์เป็นของเขา อีกอารมณ์หนึ่งก็แล่นเข้ามาหา มันเป็นความลุ่มหลงที่จะพาไปสู่หายนะ วิจักษ์รู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนนี้พี่ตรีทศคนนี้ไม่ได้ต้องการแค่เป็นพี่ แต่กล้าหาญที่จะก้าวเข้าไปขอเป็นคนในหัวใจ ด้วยมีประสบการณ์ แม้อีกคนจะหลับลึก มันก็ไม่ยากที่จะให้ลมจากธรรมชาติพัดพาไปจนถึงจุดหมาย

ตรีทศถอนหายใจออกมาอีก อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด เมื่อก่อนนี้เขามีเพียงแต่หลงรูปจูบเงา แล้วเป็นไง อยู่กับความเจ็บแปลบตลอดมา พี่วิทยาก็ดี แม้แต่ตรงสิทธิก็ดี คนทั้งคู่รับไมตรีเขาไว้แค่น้องชายและเพื่อนสนิท เรือนกายกำยำนั้นเขาได้แตะต้องแค่เพียงปลายนิ้ว ยอมรับว่าไม่กล้าขยับมากไปกว่านั้นก็เนื่องด้วยเขาไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะไปรั้งพวกเขาไว้ได้

แต่วันนี้กับวิจักษ์ หากความจริงถูกเปิดเผยขึ้นมา นอกจากความรักที่เขามอบให้แล้ว มันก็ยังมีอำนาจของเงินที่จะซื้อตัววิจักษ์ไว้ด้วย


วิจักษ์นอนลืมตาโพลงและเริ่มลำดับเรื่องราวที่ชวนให้สงสัย เมื่อเช้าเขางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ เมื่อรับสายจึงได้รู้ว่าเวลาล่วงผ่านไปจนสามโมงเช้า หัวหน้าในที่ทำงานโทรมาด่าเรื่องที่เขาไม่ยอมไปทำงาน และไม่โทรไปแจ้งว่าหายไปไหน เขาอยากจะแก้ตัว แต่ก็ทำได้เพียงแต่ฟังเสียงด่าจนกระทั่งสายตัดไป
เมื่อเขาวางโทรศัพท์ลง พี่ตรีทศซึ่งนอนเปลือยกายท่อนบนอยู่ข้างๆ ก็หยิบโทรศัพท์ไปกดปิดสัญญาณ วางลงแล้วดึงหมอนขึ้นมาเทินหัว เขาขยับตัวจึงได้รู้ว่าร่างใต้ผ้าห่มของตนนั้นมีเพียงกางเกงในตัวจิ๋วสีขาวที่พี่ตรีทศซื้อให้ ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พี่ตรีทศที่นอนคว่ำนิ่งๆ ก็มีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์

วิจักษ์นึกเขินที่ผู้ชายสองคนทำตัวเหมือนผัวกับเมีย แบบผู้หญิงกับผู้ชาย แต่ลึกๆ วิจักษ์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงโรงแรมได้อย่างไร และหลังจากที่เสื้อผ้าของเขาหลุดไปแล้วมีอะไรเกิดขึ้น

จนกระทั่งสิบเอ็ดนาฬิกา ทางโรงแรมโทรมาปลุก เขาจึงลืมตางัวเงียด้วยยังรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งสมอง เสียงพี่ตรีทศอาบน้ำในห้องน้ำ เขาจึงเปิดกางเกงตัวจิ๋วดูด้วยรู้สึกผิดปกติที่ ‘วิจักษ์น้อย’ เขาไม่อยากจะคิดว่าพี่ตรีทศรุกล้ำอธิปไตย แต่เมื่อมันพลาดไปแล้ว เขาจะทำอย่างไรได้ เมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกมา เขาจึงทำเป็นหลับตาพร้อมกับทำเสียงงัวเงียชวนคุยแก้เขินไปว่า

“ทางโรงแรมโทรมาให้เช็กเอ้าท์”

“งั้นจักษ์ลุกขึ้นอาบน้ำซิ ลุก ไหวไหม เมื่อคืนหนักมากเลยนะ”

ไม่พูดเปล่า พี่ตรีทศที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายเดินมาที่ข้างเตียง แล้วเลิกผ้าห่มออกพร้อมกับใช้มือดึงแขนเพื่อให้เขาลุกนั่ง

“ผมกลับมาได้อย่างไร” วิจักษ์เริ่มซักเอาความ

“ก็เดินมาด้วยกัน พี่ให้ไอ้น้องผู้หญิงช่วยประคองมาขึ้นสองแถว พอถึงหน้าโรงแรมยามก็ช่วยประคองมาอีกทอด”

“หลังจากนั้น”

วิจักษ์เริ่มนึกอายปากตัวเอง เมื่อถามไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาคำตอบใดๆ เหตุมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อตอบแทนบุญคุณกันเขาก็ไม่ควรที่จะฟื้นฝอย แต่ต้องระวังไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

“อยากเล่นน้ำทะเลจังเลยพี่ เขาจะไล่เราออกจากห้องแล้วเหรอ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“เคยมาทะเลหรือเปล่า”

“ไม่เคยครับ ครั้งแรก”

“ถึงว่า”

“ถึงว่าอะไร”

“เปล่าซิ จะไปก็ไป เอากางเกงขาสั้นมาหรือเปล่า เอาของพี่ใส่ก่อนก็ได้ กางเกงว่ายน้ำก็มีใส่ไหม”

“ใช้ของร่วมกันได้ด้วยหรือ”

“พี่ไม่ถือหรอก เอาไปซิ”

ไม่พูดเปล่า พี่ตรีทศเดินไปรื้อกระเป๋า แล้วหยิบกางเกงว่ายน้ำพร้อมกับกางเกงขาสั้นของตนเองมาวางไว้ให้

“เร็วเลยรีบเปลี่ยน รีบวิ่งไปทะเล พี่หิวข้าวแล้ว”

เขาทำท่าจะเข้าไปในห้องน้ำ

“เปลี่ยนตรงนี้แหละผู้ชายเหมือนกันอายอะไร”

“ก็เมื่อคืนพี่เห็นของผมแล้วนี่”

“เปลี่ยนเลยอย่ามัวคุย”

เมื่อได้ลูกยุ เมื่อมันไม่มีอะไรจะต้องอาย เขาเลยถอดกางเกงในออกแล้วนุ่งกางเกงว่ายน้ำ และตามด้วยกางเกงขาสั้น ด้วยยังอายหากจะใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวลงทะเลสาธารณะ

“ทำไมไม่ใส่กางเกงว่ายน้ำแค่ตัวเดียว”

“อายเขา ผมไม่เคย”

พูดไปแล้วก็นึกถึงวันที่ประกวดชายงาม แล้ววิจักษ์ก็ฉุกคิดได้ว่า เสียให้พี่ตรีทศก็ยังดีกว่าเสียให้กับพี่จุ๋มกับพวก

ทำไมเขาถึงนึกแบบนี้ วิจักษ์ยกมือมาก่ายที่หน้าผาก แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงพี่ตรีทศที่กำลังเดินขึ้นมาชั้นบน

“บ่ายๆ อย่างนี้ห้องจักษ์ร้อนจะตาย ไปนอนห้องพี่ดีกว่าเปิดแอร์เย็นๆ พี่เองก็ง่วงนอน เมื่อคืนหนักไปหน่อย ไปลุก”

น้ำเสียงนั้นดูเอาใจใส่จนวิจักษ์ชักเริ่มเกรงใจ ไปเที่ยวกันคราวนี้ ทั้งค่าน้ำมัน ค่าโรงแรม ไหนจะค่าเข้าไนต์คลับ ค่าอาหารทะเลสดๆ มื้อกลางวันที่ย่านเขาสามมุขอีก

“เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว พี่ว่าจักษ์เข้าไปนอนห้องพี่ก็ได้นะจะได้สบายตัว พี่เองก็เดี๋ยวอยู่เดี๋ยวไม่อยู่” ตรีทศยังชวนคุย จนกระทั่งวิจักษ์ต้องลุกขึ้นแล้วหอบผ้าห่มติดมือไปด้วย

แต่เมื่อไปถึงห้องพี่ตรีทศแล้ว ด้วยการจัดแต่งห้องที่ลงตัวแบบในหนังสือแต่งบ้านที่วิจักษ์เคยฝันถึง ทำให้วิจักษ์ข่มตาหลับไม่ลง ตรีทศอาบน้ำจนกลิ่นเครื่องประทินติดตัวหอมฟุ้ง เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ ก่อนดึงผ้าห่มผืนเดียวกันไปคลุมกาย
แล้ววิจักษ์ก็รู้ว่า ลมหายใจที่วิ่งไปไม่ทั่วท้องเป็นอย่างไร

“จักษ์เป็นอะไร”

“ปะปะเปล่าครับพี่” ตรีทศนอนหันหลังให้พร้อมกับชวนคุยเบาๆ

“จักษ์ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ อยู่คนเดียวพี่ก็เหงา มีจักษ์พี่ก็ เอ้อ อย่าลืมปลุกพี่สักตอนสองสามทุ่มนะ คืนนี้พี่มีบินไฟลท์ดึก”

ตรีทศหลับไปแล้วแต่วิจักษ์ยังลืมตาโพลง เขาพยายามนึกถึงมาลีที่เคยอยู่ในหัวใจตลอดมาก็นึกไม่ออก พยายามนึกถึงนันทาก็เห็นเพียงแวบๆ แต่สำหรับคนที่นอนข้างๆ นี้ วิจักษ์พลิกตัวกลับไปหา ทำไมเขาอยากขยับเข้าให้ใกล้พี่ตรีทศกว่านี้ล่ะ ทำไมเขาเป็นอย่างนี้

หากตรีทศบินไฟลท์ดึกแล้ววิจักษ์อยู่บ้าน ที่ผ่านมาวิจักษ์จะเอาใจโดยการมาเปิดประตูรั้วรอให้ตรีทศเอารถออกแล้วปิดลง พร้อมกับยืนคอยให้รถเก๋งคันงามเคลื่อนจากไป

วิจักษ์ยังจำรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากพร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘ดูแลบ้านดีๆ นะ แล้วจะซื้อขนมมาฝาก’ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ วิจักษ์แทบจะได้ของฝากเป็นอะไรสักอย่างเกือบทุกเที่ยวบิน เขานั้นเกรงใจและก็เคยเปรยออกไปว่า “ไม่ต้องก็ได้ครับ” แต่ตรีทศก็แย้งมาว่า

“มีจักษ์มาอยู่ด้วยมันทำให้พี่รู้จักคำว่าห่วงใยเอาใจใส่ อยู่คนเดียวนานชักเริ่มเห็นแต่ตัวเอง จากที่เคยเอาใจใส่คนอื่นมา กลายเป็นว่า เหลือแต่ความรู้สึกตัวเอง สรุปแล้วมันกลายเป็นความเหงาและว้าเหว่”

เหงาและว้าเหว่ ยามที่อยู่ในหน่วยป่าไม้เขาก็รู้สึกเช่นนั้น ในเวลานั้นยิ่งมาลีมีแต่คำว่า ‘ไม่’ วิจักษ์จำได้ดีว่ามันทั้งเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน แต่วันนั้นเขาก็ลืมมาลีไม่ได้ ลืมไม่ได้จึงได้ตัดสินใจมาอย่างนี้ มาจนได้เป็นอย่างนี้ แล้วเสียงโทรศัพท์ของวิจักษ์ก็ดังขึ้น

“หายไปไหนมาจักษ์ เป็นห่วงนะโทรหาตั้งหลายรอบแล้ว”

จริงๆ พอเปิดเครื่องวิจักษ์ก็เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายแสดงอยู่หน้าจอ แต่ตอนนั้นพี่ตรีทศอยู่ด้วยเขาก็เลยไม่โทรกลับ ตั้งใจจะโทรตอนว่างก็ดันมาลืมเสียอีก

“มีอะไรหรือครับ” วิจักษ์รู้สึกว่าอารมณ์อยากคุยกับนันทานั้นเหือดหายไป ผิดวันวาน

“เรื่องเงินจากพี่จุ๋มนั่นแหละ วันนี้ฉันไปถามๆ มาให้ พี่จุ๋มบอกว่าให้จักษ์ไปเอาเอง แล้ววันนี้จักษ์ไม่มาทำงานอีก ก็เลยคิดว่าจักษ์จะออกจากงานตามความต้องการของพี่ต้น แล้วสงสัยเรื่องเงินด้วย แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าจักษ์จะเอาอย่างไร ถ้าทำตามแผนเดิม จักษ์ก็ต้องเชื่อพี่ต้น” นันทาพูดยืดยาว

“ผมปวดหัวก็เลยโทรไปลางานแล้วก็ปิดเครื่อง กินยา นอน” วิจักษ์ตอบไปเสียอีกทาง

“ตกลงจักษ์ยังอยากเป็นดาราหรือเปล่า หรืออยากเป็นแค่ยามเหมือนเดิม”
วิจักษ์อึ้งไปครู่ใหญ่ นันทาจึงถามซ้ำ

“ผมขอให้คำตอบพรุ่งนี้แล้วกันครับ ขอผมคิดดูอีกสักคืน”







จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ย. 2555, 20:32:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ย. 2555, 20:32:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1915





<< 33.“มันทนอยู่ไม่ได้เลยหรือ”   35. “ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 2 พ.ย. 2555, 20:33:26 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ..จุ๊บ ๆ...


loveleklek 2 พ.ย. 2555, 21:13:55 น.
รอเป็นเล่ม


loveleklek 2 พ.ย. 2555, 21:34:07 น.
เย้ ได้ไอค่อนแล้ว ขอบคุณค่ะ คุณยักษ์


nateetip 2 พ.ย. 2555, 22:04:31 น.
ชอบเรื่องนี้นะคะคุณเฟื่อง


Orathai 6 พ.ย. 2555, 16:02:09 น.
ใจเอนเอียงไปแล้วแน่เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account