เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 3. บทเรียนแรก

3.

บีเอ็มดับบลิวสีดำแล่นเข้ามาจอดในที่สำหรับผู้มาติดต่องาน ภัทรนรินทร์หัวเราะ นี่ถ้าไอ้แก่ของเธอมันพูดได้คงถามว่าทำไมปกติจอดที่ผู้บริหาร แต่คราวนี้ถึงมาจอดที่ผู้มาติดต่อแทน

เฮ้อ...ก็วันนี้ไม่ได้มาในฐานะเพื่อนสนิทมันนี่นา

มือเรียวผลักประตูใสเข้าไป ชื่อ ‘เดอะรอยัล’ เด่นหลา ท่ามกลางพื้นที่ชั้นล๊อบบี้โอ่โถ่ง ประดับด้วยเครื่องตกแต่งราคาสูงมากมาย แขกที่มาพักล้วนแล้วแต่เป็นฝรั่งภูมิฐาน

“สวัสดีค่ะ เดอะรอยัลยินดีต้อนรับ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ”

พนักงานที่อยู่ในชุดไทยประยุกต์ส่งยิ้มหวานให้ ภัทรนรินทร์ยิ้มกลับ ไม่ได้จงใจหว่านเสน่ห์แต่เห็นสีแดงระเรื่อบนผิวแก้มของประชาสัมพันธ์คนงาม

“มาพบคุณวินธัย พิพัฒน์กำธรฮะ”

“ไม่ทราบว่านัดไว้หรือเปล่าคะ”

“เปล่าฮะ”

“รอสักครู่ค่ะ จะให้เรียนว่าใครมาพบคะ” ประชาสัมพันธ์คนงามถาม เธอจึงบอกชื่อพร้อมบริษัท พนักงานสาวจึงต่อสายตรงถึงเลขาเจ้านาย พูดสองสามประโยคแล้วจึงวางสายลง

“ตอนนี้ท่านกำลังมีแขกอยู่น่ะค่ะ ไม่ทราบว่าจะรอหรือว่า...”

“งั้นขอขึ้นไปรอข้างบนแล้วกันฮะ”

“ได้ค่ะ ขึ้นลิฟต์ตัวด้านซ้ายกดชั้น 34 แล้วจะมีพนักงานมารอรับนะคะ”

“ขอบคุณนะฮะ” ภัทรนรินทร์บอกพร้อมส่งสายตาเจ้าชู้ ก่อนจะเดินผิวปากตรงไปยังลิฟต์ตัวที่เจ้าหล่อนว่า





“อ้าวคุณภัทร” ชนิสาเลขาของวินธัยทัก เมื่อเห็นเธอเดินออกมาจากลิฟต์ผู้มาติดต่องาน
“สายังนึกว่าแขกมาติดต่องานของท่านเสียอีกค่ะ ถ้ารู้ว่าเป็นคุณภัทรคงไม่ต้องรอ ยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมชื่อเหมือนคุณภัทร แล้วทำไมไม่ขึ้นมาหาสาเลยล่ะคะ มัวแต่ติดต่อแม่ประชาสัมพันธ์เสียเวลาคุณภัทรแย่เลย”

“ไม่เป็นไรฮะคุณสา วันนี้ภัทรมาติดต่อเรื่องงาน รอคิวดีกว่า จะได้นั่งคุยกับคุณสาด้วย” ปลายประโยคแอบกระเซ้าเลขาวัยสามสิบต้น ก่อนจะถูกตีที่ต้นแขนเบาๆ “จริงๆ นะฮะ”

“แหม คุณภัทร อยากคุยกับสาหรือประชาสัมพันธ์สาวๆ สวยๆ กันแน่คะ”

“โถ่...ก็ต้องคุณสาคนสวยสิฮะ”

ชนิสาหัวเราะกับลูกต้อนลูกอ้อนของคนข้างๆ ที่เดินเคียงกันมา ตอนแรกเธอก็ยังคิดว่าเพื่อนเจ้านายคนนี้เป็นผู้ชาย ที่ไหนได้เป็นผู้หญิงซะอย่างนั้น เล่นเอาเธอเคลิ้มไปพักหนึ่งเชียว

“เจ้านายคุณสานี่มีแขกทั้งวันหรือเปล่าฮะ” เธอถาม เพราะเมื่อวันนั้นก็ต้องมานั่งรอวินธัยเช่นกัน

“ไม่หรอกค่ะ แขกที่มาติดต่อธุรกิจก็ส่วนหนึ่ง ธุระใจก็ส่วนหนึ่ง” ว่าแล้วก็หัวเราะคิก ปล่อยให้ภัทรนรินทร์ตาโต

“อย่าบอกนะฮะว่าในห้องนั้นมีสาวๆ อยู่”

“ไม่ผิดหรอกค่ะ เจ้านายสาน่ะเสน่ห์แรงนะคะ คุณภัทรไม่รู้หรอ”

ภัทรนรินทร์หน้าเหวอ รู้อยู่หรอกว่าหน้าตา ฐานะมันไม่เป็นรองใคร แต่นิสัยถามคำตอบคำเนี่ยสิ จะมีผู้หญิงที่ไหนรับมันได้บ้างเนี่ย!





เกือบครึ่งชั่วโมงที่ภัทรนรินทร์นั่งรอไป ช่วยชนิสาพิมพ์งานไป ในที่สุดแขก ‘ธุระใจ’ ของวินธัยก็เดินออกมา ภัทรนรินทร์มองหญิงสาวผิวขาวผมยาวเหยียดตรง เครื่องหน้าลงตัวไม่จัดจ้านจนเกินงาม เสื้อผ้าเรียบๆ แต่ทันสมัยและไม่หวือหวา แล้วสรุปในใจว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่พ้นสวยหวานเรียบร้อย

เธอถอนหายใจ...คนเรียบร้อยกับเรียบร้อยมาเจอกัน อย่างนี้เมื่อไหร่จะสปาร์ควะ!

“เดี๋ยวภัทรไปคุยงานกับนายวินก่อนนะฮะคุณสา”

“เชิญเลยค่ะ เดี๋ยวสาไปเอาโกโก้ร้อนๆ มาให้คุณภัทรเพิ่มนะคะ”

“น่ารักจัง ไม่มีใครรู้ใจภัทรเท่าคุณสาแล้วนะเนี่ย”

เลขาสาวหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า “ไม่ล้อแล้วค่ะคุณภัทร รีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวเจ้านายจะรอนาน”

ประตูบานหนักถูกผลักเข้าไป ไม่มีเงาของเจ้าของห้องอยู่สักที่ ภัทรนรินทร์วางแฟ้มไว้บนโต๊ะ มองไปรอบๆ ห้องแล้วสะดุดที่ชุดน้ำชาบนโต๊ะแก้วรับแขก

เหอะ...คุยธุระที่โต๊ะรับแขก ไม่ใช่เล่นนะเนี่ยไอ้วิน

ภัทรนรินทร์คิดขำๆ ก่อนที่สายตาจะสะดุดอีกครั้งกับลิ้นชักที่ปิดไม่สนิท อะไรบางอย่างที่คล้ายกรอบรูปยื่นออกมาเย้ายวนความอยากรู้อยากเห็น

กรอบรูปอะไรทำไมเอาไปซุกไว้ในลิ้นชักแทนที่จะตั้งบนโต๊ะ

ดู...ไม่ดู...ดู...ไม่ดู...ดู

“ภัทร”

เสียงทุ้มที่เรียกจากด้านหลังทำให้การต่อสู้ระหว่างความคิดฝ่ายธรรมะและอธรรมในใจเธอดับไป ไม่รู้ว่าวินธัยมายืนข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาประสานดวงตาและไม่มีทีท่าว่าคนเป็นแขกจะหลบก่อน วินธัยปลายตาไปที่ลิ้นชักของเขาก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ภัทรนรินทร์ทำเพียงไหวไหล่เท่านั้น

“เอางานมาให้ดู” เธอบอกก่อนจะนั่งอย่างไม่รอให้เชื้อเชิญ เมื่อสงครามสายตาจบลง

“เมื่อวานเอาให้ป๋าดูผ่านแล้ว แต่อยากได้รายละเอียดมากกว่านี้สักหน่อย”

วินธัยรับเอกสารมาเปิดดูคร่าวๆ ภัทรนรินทร์นั่งเอนหลังพิงพนักมองคนที่กำลังใช้ความคิด ดวงตาสีดำสนิทไล่ไปตามตัวอักษรอย่างรวดเร็ว

ความจริงเธอไม่ต้องเป็นคนเอาเอกสารฉบับนี้มาให้วินธัยด้วยตัวเองก็ได้ แค่ใช้ให้แมสเสนเจอร์ประจำบริษัทบึ่งรถมาแป๊บเดียวก็ถึง เพียงแต่อยากจะหาเวลาออกมาเจอเพื่อนฝูงบ้าง

“เดี๋ยวฉันให้ฝ่ายจัดงานดูให้สักสามแบบ คงจะได้วันศุกร์เพราะตอนนี้เร่งทำอีกงานอยู่ รีบหรือเปล่า?”

“ไมรีบ สบายมาก”

“งั้นฉันจะให้แฟกซ์ไปให้ที่บริษัท”

ภัทรนรินทร์หน้าคว่ำ แอบแช่งคนที่รู้ๆ อยู่ว่าเธอไม่ชอบนั่งออฟฟิศ แต่ก็ยังหาเรื่องกีดกันไม่ให้เธอออกมาจนได้

“จะขับรถเทียวไปเทียวมาทำไมให้เหนื่อย” วินธัยว่าอย่างรู้ความคิด “แล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งรอเผื่อฉันติดธุระ”

“อ๋อ...” หล่อนลากเสียงกวน “ที่แท้ก็กลัวเราจะมาขัดจังหวะธุระใจนี่เอง”

“ธุระอะไร?”

“ไม่ต้องมาไขสือ มีแฟนแล้วลืมเพื่อน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกคุยอะไรกับผู้หญิงคนเมื่อกี้”

“แล้วฉันคุยอะไร” เจ้าของห้องถามน้ำเสียงเรียบ

“ก็คุยธุระใจไง” เพื่อนตอนก่อนยักคิ้วแผล๊บให้อย่างเป็นต่อ “คอยดูเถอะฉันจะเอาไปเล่าให้เก้งกวางบ่างชะนีที่เคยหลงแกฟัง คราวนี้แหละบริษัทแกลิฟต์ไม่แห้งแน่ ใครๆ ก็อยากเห็นแฟนแกกันทั้งนั้น”

“นั่นคุณเตย เขาเป็น...”

“นี่จะแนะนำเลยหรอ รอให้ฉันเจอเจ้าตัวด้วยเลยดีกว่า เอ๊ะหรือว่าจะรอไอ้ต้นกับวีต้าด้วย”

“คุณเตยเขาเป็นลูกสาวเพื่อนพ่อ” ชายหนุ่มยังคงพยายามอธิบายด้วยความใจเย็น แต่ดูเหมือนตอนนี้ภัทรนรินทร์จะหยุดความคิดตัวเองไม่ได้แล้ว

“อ๋อ ความผูกพันทางธุรกิจ เดี๋ยวนี้แกขี้เหนียวใช่ย่อยนะเนี่ย สงสารก็แต่...”

“วินขาาา”

เสียงแหลมดังมาก่อนที่วินธัยจะสติแตก ชายหนุ่มมองแขกผู้มาใหม่และเพื่อนสนิทที่ยืนไม่รู้ไม่ชี้ แต่สายตาวาวของภัทรนรินทร์จับจ้องแขกของเขาไม่วางตา

หญิงสาวหุ่นนางแบบ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวเข้ามาในห้อง ริมฝีปากอิ่มสีแดงเป็นมันวาวส่งยิ้มหวานให้เจ้าของห้อง ก่อนจะมอง ‘แขก’ อีกคนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“คุณเกรท...นี่เพื่อนผมเองภัทร”

กัญญารัตน์มอง ‘เพื่อน’ ของวินธัยแล้วยิ้มให้แต่ปาก หากดวงตาคล้ายประเมิน หล่อนรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ได้ว่าคืออะไรในตัวผู้ชายคนนี้ ที่สำคัญเธอไม่ชอบแววตาสื่อความหมายที่อีกฝ่ายส่งมาเลยแม้แต่น้อย ใช่ว่าเพื่อนของวินธัยหน้าตาไม่ดี แต่เพราะหล่อนไม่นิยมผู้ชายหน้าหวานนัยน์ตาเจ้าชู้ก็เท่านั้น

“สวัสดีค่ะ” หล่อนทักอย่างเสียไม่ได้

“ยินดีที่ได้รู้จักสาวสวยอย่างคุณเกรทฮะ” ภัทรนรินทร์ค้อมตัวเล็กน้อย

ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอนหายใจให้กับสายตาหมายมาดของเพื่อนสนิทและ ‘แขกคนสำคัญ’ ที่เดินตรงเข้ามากอดแขนพลางพูดจาฉอเลาะ

“วินคะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วเราไปทานอาหารอิตาลีที่โรงแรมเกรทนะ”

“เอ้อ...”

“ห้ามปฏิเสธนะคะ วินเลื่อนเกรทหลายรอบแล้วนะ อีกอย่างเกรทให้คุณพ่อจัดห้องไว้ให้เราแล้วด้วย”

อุแม่เจ้า...ห้องอาหารหรือห้องสวีทล่ะนี่?!?

ภัทรนรินทร์นั่งมองละครหลังข่าวขำๆ อยากอัดวิดีโอกลับไปให้เก้งกวางที่เคยตามตื้อวินธัยดูให้เต้น

...คราวนี้ล่ะสนุกแน่ๆ

“งั้นเดี๋ยวผมขอคุยงานกับเพื่อนสักครู่” วินธัยตัดบท

ภัทรนรินทร์มองหญิงสาวที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่แม้แต่จะปล่อยแขนออกจากวินธัย เธอสบตาเพื่อนก่อนจะเอ่ยทีเล่นทีจริง “เรื่องที่เราจะคุยนี่คุณเกรทอยู่ฟังด้วยได้ใช่มั้ยวิน”

“ได้สิคะ” กัญญารัตน์ชิงตอบเสียก่อน นัยน์ตาตวัดค้อนคนที่เธอไม่ชอบตั้งแต่แรกพบ

“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อเกรทกับวินก็เหมือนคนๆ เดียวกันอยู่แล้ว”

แม่เจ้าโว้ย...ภัทรนรินทร์อุทานในใจ

“งั้น...ถ้าคุณเกรทอยากฟังผมก็คงห้ามอะไรคุณไม่ได้” เธอปั้นหน้าเครียดแล้วหันไปทางเพื่อนสนิท “วิน...นายจะเอาอย่างไรกับเรื่องของเรา”

วินธัยนิ่งอึ้ง แต่สาวข้างกายนั้นอึ้งกว่า “คุณหมายความว่ายังไง”

“วิน ฉันรู้ว่านายหนักใจในสถานภาพของเรา” ใช่สิ ก็เธอกับวินธัยเป็นเพื่อนกัน อยู่ดีๆ จะให้มาเป็นแฟนกำมะลอ มันก็คงหนักใจเหมือนกัน “ฉันรู้ว่าสังคมของนายอาจยอมรับเรื่องของเราไม่ได้”

“นี่มันอะไรกันคะ!”

“แต่นายรู้มั้ย ฉันพยายามจะอยู่ให้ห่างนายมาตลอด จนกระทั่งวันนั้น” วันที่ต้นน้ำยื่นข้อเสนอบ้าๆ นั่นให้เธอ “นายก็มาทำให้ฉันหวั่นไหว ที่สำคัญ...”

ร่างโปร่งบางของภัทรนรินทร์เคลื่อนเข้ามาใกล้ มือเรียวกอดที่แขนแข็งแรงอีกข้างของเพื่อน นัยน์ตาหวานฉ่ำช้อนขึ้นสบตา ไม่ใยว่าหญิงสาวอีกคนจะมองเหตุการณ์อย่างไม่เข้าใจ

“นายต้องรับผิดชอบที่เมื่อคืน...นายทำฉันอารมณ์ค้าง”

“กรี๊ด!!!”

ประตูห้องทำงานเปิดออก ชนิสาหน้าตาตื่นเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือกัญญารัตน์ลูกสาวบริษัทคู่ค้าคนสำคัญกระทืบเท้าร้องเหมือนชะนีตื่นกรง ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม เจ้านายก็สั่งเสียงดัง

“คุณสาส่งแขกด้วย วันนี้ผมไม่เข้าบริษัทแล้ว” ก่อนที่จะฉุดข้อมือเพื่อนสนิทแล้ว ‘ลาก’ ออกไปอย่างเร็ว ทิ้งให้เธอต้องรับชะตากรรมส่งชะนีกลับคืนสู่ป่าเพียงลำพัง





แฮ่กๆๆ

ภัทรนรินทร์บิดข้อมือออกจากการจับกุมของมือใหญ่ก่อนจะพิงรถไว้อย่างอ่อนแรง ถึงเธอจะขายาวแค่ไหน แต่ยังไงก็ยังสั้นกว่าวินธัยอยู่ดี แล้วไม่รู้เมื่อครู่ผีบ้าอะไรเข้าสิง มันถึงลากถูลู่ถูกังเธอลงมาท่ามกลางสายตาชาวประชาชีที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย”

วินธัยยืนกอดอกสงบสติอารมณ์มองคนที่กำลังหอบเหนื่อย อยากถามว่าใครกันแน่ที่บ้า กล้าพูดออกไปอย่างนั้น แล้วก็อยากจะถามภัทรนรินทร์ด้วยว่าเขาไปทำให้เธอ ‘อารมณ์ค้าง’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

“ขึ้นรถ”

เขาสั่งก่อนจะเปิดประตูแล้วยัดร่างบางเข้าไป เสียงปิดประตูดังโครมทำให้เธอตวัดค้อน นึกดีใจแทนไอ้แก่ที่เธอไม่เคยทำรุนแรงกับมันอย่างนี้สักครั้ง

“จะไปไหน”

ไม่มีคำตอบนอกจากการออกตัวที่เร็วจนเธอต้องรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดทันที





“มาห้างทำไม ว่างหรอ” ภัทรนรินทร์รวน เมื่อตลอดทางวินธัยไม่พูดกับเธอสักคำ ทั้งที่เธอก็ขอโทษมันไปแล้วหลายรอบ “ถ้าไม่บอกฉันไม่ลง”

“เรื่องแฟนกำมะลอบ้าบอนั่น” วินธัยว่า

“อย่าบอกนะว่าแกจะไม่ช่วยฉัน” ภัทรนรินทร์ขัด แล้วชี้หน้า “แต่แกสัญญาแล้ว ถ้าผิดสัญญาแกต้องเป็นตุ๊ด ฉันจะไปบอกเก้งกวางที่คณะให้หมดว่าแกเป็นเหมือนพวกมันแล้ว”

เธอขู่ ในเมื่อวินธัยเป็นความหวังเดียวของเธอในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะหาเก้งกวางที่ไหนมารับหน้าที่แทน ต้นน้ำก็ต้องรู้จัก เพื่อนเธอก็คือเพื่อนมันมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

“ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยกเลิกใช่มั้ย?” ชายหนุ่มถาม

“ใช่!”

“ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธใช่มั้ย?”

“ใช่!”

“ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม?” เขาถามครั้งสุดท้าย

“ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันจะทำให้แกช่วยฉันให้ได้รู้ไว้ซะด้วย!” ภัทรนรินทร์โพล่งอย่างเหลืออด ไม่รู้ว่าตาฟาดไปหรือเปล่าที่เธอเห็นมุมปากของมันยกขึ้นคล้ายกำลังยิ้ม

อยากจะขยี้ตามองอีกครั้ง แต่วินธัยไม่เปิดโอกาส ชายหนุ่มเดินอ้อมมาเปิดประตูรถ แล้วดึงมือเพื่อนสนิทลงมา

“โอ๊ย! ฉันเดินเองได้หรอกไม่ใช่เด็กห้าขวบ” เธอปลดมือเพื่อนสนิทออก แต่คราวนี้วินธัยไม่ยอมปล่อย เสียงเรียบเอ่ยดุๆ

“ถ้าจะเป็นแฟนฉัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ห้ามขัดเด็ดขาดภัทรนรินทร์”





เป็นเพราะไม่ใช่วันหยุดและเป็นช่วงเวลาทำงาน ทำให้ห้างสรรพสินค้าในตอนบ่ายแก่แบบนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนัก

แต่กระนั้นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มเนี้ยบเรียบกริบผูกเนคไทสีเข้ากัน เจ้าของโครงหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มพาดได้ระดับรับให้ดวงตาสีดำสนิทดูโดดเด่นที่เดินจูงมือมากับร่างโปร่งบางอ้อนแอ้นที่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนผู้ชายหน้าหวานวันยังค่ำ เรียกสายตาสงสัยกับเสียงซุบซิบนินทาได้ไม่น้อย

“ดูสิเธอ สังคมเราสมัยนี้ผู้ชายหาได้น้อยแล้วแหละ”

“เสียดายนะหล่อน หน้าตาดีทั้งคู่ซะด้วย”

“ที่เหลือๆ อยู่ไม่แก่คราวพ่อก็มีลูกมีสามีไปหมดแล้วนะเธอ”

“ไม่น่าเลย...”

ภัทรนรินทร์หลุดขำเพื่อนสนิทที่ซ่อนความไม่พอใจไว้ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งที่ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันคงไม่รู้ พลางเหลือบไปมองมือตัวเองที่ถูกเกาะกุมอยู่

ก็บอกแล้วว่าเดินเองได้...

เธอน่ะไม่สนใจอยู่แล้วเสียงนกเสียงกา แต่คนข้างๆ หน้าบางขนาดนั้น จะคอยดูว่าจะทนได้สักกี่น้ำ

“มาที่นี่ทำไม?” หญิงสาวถามหน้าตาตื่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอแผนกเสื้อผ้าสตรี

“ฉันไม่อยากมีแฟนเป็นเกย์”

“เฮ้ย! มันก็แค่ขำๆ น่า” ภัทรนรินทร์รีบสวน นึกแช่งชักหักกระดูกแม่ผู้หญิงพวกนั้นขึ้นมาทันใด “...ไม่เห็นต้องสนใจคนพวกนั้นเลย”

“งั้นบอกหน่อยสิว่าเธอจะรับผิดชอบเรื่องเมื่อกี้ยังไง”

“เมื่อกี้ เรื่องไหน?”

“เรื่องคุณเกรท”

“ก็ค่อยกลับไปอธิบายให้เขาฟังก็ได้นี่”

วินธัยมองคนอยากอธิบายแล้วส่ายหน้า ใครจะเชื่อว่าคนตรงหน้าเขาเป็นผู้หญิง! “ฉันไม่ชอบให้ใครเอาไปนินทาเสียๆ หายๆ”

“ก็บอกแล้วว่าเสียงนกเสียงกา” หล่อนเถียง พยายามบิดมือออกจากเพื่อนจอมเผด็จการ

“แกคงไม่บ้าให้ฉันแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรอกนะ”

“เมื่อกี้เธอบอกเองว่ายอมทุกอย่าง”

“ฉันไม่...”

“งั้นยกเลิก” เขาบอกแล้วปล่อยมือบางทันที กลายเป็นว่าภัทรนรินทร์ต้องผวาเข้าไปใกล้ แล้วเขย่าต้นแขนเพื่อนเหมือนเด็กๆ

“นายจะทิ้งฉันตอนนี้ไม่ได้นะวิน แล้วศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของฉันล่ะ”

“เจอกันครึ่งทาง” เขาต่อรอง

“แต่ไม่เอากระโปรง” หล่อนสวน วินธัยโคลงศีรษะคล้ายเอือมระอา แต่นัยน์ตาฉายแววเอ็นดู ต้นน้ำเคยบอกเขาว่าในบรรดาเพื่อน ภัทรนรินทร์ฟังเขามากที่สุด และเจ้าหล่อนที่ปกติจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลานั้น จะแปลงร่างกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจมากที่สุดถ้าอยู่กับเขา มันว่าๆ เขาเหมือน ‘พ่อ’ ไม่ใช่เพื่อน

ชายหนุ่มสบดวงตาคล้ายเว้าวอนแล้วก็ใจอ่อน ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวคลี่ยิ้มเมื่อเขาเอ่ยว่า

“ตามใจสิ”





ใบหน้าหวานแอบงอนิดๆ กับชุดทำงานและชุดลำลองหลายชุดที่เพิ่งซื้อมา ขณะที่วินธัยกำลังทักทายเพื่อนเก่า

“เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้วินช้อปปิ้งด้วย” หญิงสาวท่าทางเปรี้ยวจี๊ดทักพลางปรายสายตามองถุงหลายใบในมือชายหนุ่มด้วยสายตาจับผิดนิดๆ

“มากับเพื่อนน่ะ”

“หืม? แน่ใจหรอจ๊ะว่าเพื่อน” หล่อนกระเซ้า

ภัทรนรินทร์ยิ้มจืดเจื่อน รู้สึกผิดนิดๆ ที่กำลังเป็นสาเหตุให้วินธัยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แม้ว่าคนกระเซ้าดูไม่ได้รังเกียจเพศที่สามแต่อย่างไร

“เดียร์...ภัทรเป็นเพื่อนเราสมัยเรียนมหา’ลัย”

อาทิตยายิ้มล้อ แล้วหันไปพิจารณา ‘เพื่อนของเพื่อน’ อย่างเต็มๆ ตา ก่อนจะเอื้อมมือไประดับอก ทำให้ภัทรนรินทร์ผงะหนีแทบไม่ทัน

ดูเหมือนสาวเปรี้ยวจะรู้สึกตัว หล่อนชะงักมือค้างแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม “ขอโทษค่ะคุณภัทร เดียร์เป็นพวกมือไวใจเร็ว เห็นคุณภัทรหน้าหวานขนาดนี้เลยนึกว่าเป็นผู้หญิง เดียร์เดาไม่ผิดใช่มั้ยคะ?”

ภัทรนรินทร์เหวอ เกิดมาเพิ่งจะเกือบโดนผู้หญิงลวนลามก็วันนี้ มีอย่างที่ไหนจะมาจับหน้าอกเธอ!

“เดียร์” วินธัยเรียกเสียงดุ ทำเอาอาทิตยาหัวเราะคิก

“ก็แหม...เดียร์ก็อยากรู้นี่นาว่าสเป็กวินเป็นยังไงกันแน่” หล่อนเย้า “แต่ถ้าไม่ไช่ดีไซเนอร์ก็ไม่มั่นใจว่าจะดูออกมั้ยนะ คุณภัทรเหมือนผู้ชายจริงๆ”

“เดียร์ทานข้าวหรือยัง ทานด้วยกันมั้ย?” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“เดี๋ยวนี้มีเฉไฉ ร้ายนักนะวิน หรือว่าหวงแฟนกันแน่จ๊ะ”

“เอ่อคือ...” ภัทรนรินทร์อึกอักกับสายตายิ้มได้ของอีกฝ่าย “เราเป็นแค่เพื่อนกันฮะคุณเดียร์”

“ค่า...เพื่อนที่มาช้อปปิ้งด้วยกัน แถมยังถือของให้อีก” แถมสายตายังบ่งบอกความนัยอีก

“...แต่ก็เอาเถอะค่ะ เดียร์ไม่ล้อแล้วล่ะ อ้อ นี่ค่ะคุณภัทร นามบัตรเดียร์”

ภัทรนรินทร์รับนามบัตรเธอมางงๆ สายตาส่งคำถามให้วินธัย แต่อาทิตยายิ้มแล้วตอบแทน

“เดียร์กำลังจะมีคอลเลคชั่นใหม่ สนใจนางแบบหุ่นดีๆ อย่างคุณภัทรค่ะ อ๊ะๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธเดียร์นะ” หล่อนดักคอ แล้วหันไปทางเพื่อนเก่า “...ว่างๆ ก็พาคุณภัทรไปห้องเสื้อเรานะ รับรองจะลดให้เป็นพิเศษเลยแฟนวินทั้งที

“เดียร์...”

“โอเคๆ งั้นเดียร์ไปล่ะ ไปแล้วนะคะคุณภัทรไว้เจอกันค่ะ หวังว่าจะเก็บข้อเสนอเดียร์ไว้พิจารณานะ”

ภัทรนรินทร์มองสาวเปรี้ยวผิวสีแทนที่เยื้องกรายจากไป ในความรู้สึกของเธอตอนนี้อาทิตยาเป็นผู้หญิงแปลกถึงแปลกที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดพิเรนที่ทำเอาเธอแทบช๊อค มิหนำซ้ำ...

ดวงตาเรียวมองนามบัตรในมือตัวเอง

“สนใจหรอ”

“จะบ้าหรือไง!” เธอตอบฉุนๆ แล้วยัดนามบัตรใส่กระเป๋าเสื้อเพื่อน วินธัยได้แต่ยิ้มไม่แหย่ต่อ

“หิวหรือยัง?”

แทนคำตอบ มือเรียววางบนหน้าท้องตัวเองก่อนจะพยักหน้าให้หลายๆ ที เรียกสายตาเอ็นดูจากคนข้างกายได้มาก ร่างสูงใหญ่เดินนำ ก่อนที่หญิงสาวจะเดินตาม แต่คราวนี้มือเรียวบิดออกจากการจับกุมโดยให้เหตุผลว่า

“ไหนว่าไม่อยากมีแฟนเป็นเกย์”

วินธัยส่ายหน้าขำๆ เห็นทีคราวนี้คงต้องสอนกันยาว

“เฮ้ย! นั่นมัน...” ภัทรนรินทร์ร้อง ชี้มือไปที่ร้านอาหารไทยขึ้นชื่อ “ไอ้ต้นกับวีต้านี่นา ทำไมมากันสองคนได้ล่ะ”

วินธัยมองตาม เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ จึงหันมาสบตาคนข้างๆ ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป

หญิงสาวขมวดคิ้ว ปกติเวลาทำงานไม่ว่าเธอหรือเพื่อนก็ไม่ค่อยมีใครออกมาเตร็ดเตร่ยกเว้นมาพบลูกค้า ที่สำคัญถ้าจะนัดเจอกันจริงๆ ทำไมไม่มีใครโทรมาชวนเธอกับวินธัยสักคน

เรื่องราวหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวที่แล่นด้วยความเร็วเพื่อพยายามประติดประต่อพิรุธบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ต้นน้ำโกรธเธอคืนนั้น จนทำให้เกิดข้อตกลงบ้าๆ ระหว่างเธอกับมัน

หรือว่ามันจะ...

“ฮ้า...” เธอโพล่งขึ้น “นี่ฉันมองข้ามอะไรๆ ไปได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”

“หืม?”

“ไปเถอะ เจอเพื่อนก็ต้องทักสิจริงมั้ย?”

ไม่รอคำตอบ มือบางก็ดึงคนตัวโตกว่าตรงไปที่ร้านเป้าหมายทันที





ไม่มีเสียงอุทาน ไม่มีแววตาตกใจ ไม่มีพิรุธใดๆ ให้เห็น

ภัทรนรินทร์พยายามจับสังเกตเพื่อนรักทั้งสองที่หันมามองเธอเป็นตาเดียว แต่ไม่มีซัมติ้งรองใดๆ เกิดขึ้น

หรือว่ามันจะเก็บอาการเก่ง...จริงด้วย ไม่งั้นจะหลุดรอดสายตาเธอมาได้ถึงสี่ปีเชียวหรือ

“ไง...วันนี้ทำไมว่างมากินข้าวด้วยกันล่ะ” เธอหยั่งเชิง

“อ๋อ วีต้ามาช้อปน่ะ พอดีวันนี้เครียดๆ ...ก็บังเอิญเจอต้นพอดี”

“แล้วแกมาทำไมไอ้ต้น อย่าบอกนะว่ามาช้อปปิ้ง”

“ฉันก็ต้องมาพบลูกค้าสิแก ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาช้อปปิ้งวะ” ต้นน้ำตอบยียวน พลางปรายตาไปที่ถุงห้างสรรพสินค้าหลายใบในมือวินธัย “...หรือนายว่าไงวิน”

“ของภัทร” วินธับตอบเสียงเรียบ

“ห๊า! เดี๋ยวนี้นอกจากจะเป็นขาช้อปแล้วยังจับมือผู้ชายด้วยนะ รสนิยมเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเพื่อน” เพื่อนหนุ่มผิวปากหวือ

ภัทรนรินทร์รีบปล่อยมือจากข้อมือเพื่อนสนิทราวกับโดนของร้อน ก่อนที่ฝ่ามือเล็กแต่ไม่เบาฟาดลงอย่างถนัดถนี่กลางศีรษะคนพูดมากแทน

“โอ๊ย!”

“พอเถอะภัทร” ศวิตาปรามขำๆ “สองคนกินอะไรมาหรือยัง ต้นกับวีต้าเพิ่งสั่งไป นั่งกินด้วยกันสิ”

ร่างโปร่งของภัทรนรินทร์กระแทกตัวนั่งข้างๆ ศวิตา แต่อดหงุดหงิดกับดวงตาพราวระยับของต้นน้ำไม่ได้จนต้องเตะเท้าอีกฝ่ายใต้โต๊ะ เรียกเสียงซูดปากจากหนุ่มแว่นทีหนึ่ง

“สม...” ศวิตาเอ่ยแทน ต้นน้ำนี่ก็ประหลาด ชอบยั่วให้คนอื่นโกรธ แล้วสุดท้ายตัวเองก็เจ็บตัวทุกครั้งไป สาวสวยหันไปทางวินธัยแล้วปรายตาไปยังถุงหลายใบ “วิน...วีต้าขอดูหน่อยสิ”

“ไม่ได้!”

เสียงห้ามของภัทรนรินทร์ไม่ได้ผล เมื่อวินธัยส่งมันข้ามฝั่งมาและศวิตาก็รับมันอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดดูเสื้อผ้าที่ภัทรนรินทร์เพิ่งถูก ‘ลาก’ ไปซื้อมา

“ว้าว...” ศวิตาหยิบเสื้อสีดำแขนยาวคอวีที่เย็บติดกับเชิ้ตสีขาวตัวในออกมาดูแล้วอุทานล้อๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ชุดกระโปรงแบบที่เธอหวัง แต่อย่างน้อยพอภัทรนรินทร์ใส่ชุดนี้ คงไม่มีใครตาถั่วเห็นว่าหญิงสาวเป็นชายหนุ่มหน้าหวานแน่ๆ

“เก็บเลยๆ อาหารมาแล้ว” ภัทรนรินทร์ว่า แล้วฉกชุดในมือเพื่อนสาวมา

“แหม แค่นี้ก็ต้องหวงด้วยนะ” ต้นน้ำกระเซ้า “ไม่ดูวันนี้ ทีหลังฉันจะบุกไปบริษัทแกเลยไอ้ภัทร ฮ่าๆ”

ภัทรนรินทร์เข่นเขี้ยว หมายมาดเอาไว้ในใจว่ากลับไปจะหารูปเพื่อนแบบชัดๆ เอาไปขยายเป็นโปสเตอร์แล้วตราด้วยคำว่า WANTED ตัวโตๆ ไปแปะที่หน้าบริษัท เอาให้รู้กันไปเลยว่ามันจะกล้ามาอีกซ้ำสอง!





พอทานข้าวเสร็จต้นน้ำกับศวิตาก็ขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทต่อ ส่วนเธอกับวินธัยก็คิดว่าจะกลับบ้านเหมือนกัน แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ที่ตั้งตารอมาตั้งแต่ปีที่แล้วเสียก่อน

มือเรียวดึงเสื้อวินธัย นัยน์ตาเป็นประกายน่าเอ็นดู “ไว้วันหลังเราซื้อแผ่นไปดูกันนะ”

“อยากดูหรือ”

“อื้อ”

“เอาสิ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันก็กวนเวลานายมาเยอะแล้ว กลับไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปลุยงานต่อ”

“ฉันยังไหว”

“จริงหรือเปล่า” ดวงตากลมโตลุ้นกับคำตอบ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเพื่อนสนิทพยักหน้า ภัทรนรินทร์จูงมือคนตัวสูงกว่าไปที่ช่องซื้อตั๋ว วินธัยมองมือเล็กที่จับจูงมือของเขาแล้วพลันความอบอุ่นก็ซึมซาบเข้ามาในหัวใจ

โชคดีที่รอบล่าสุดเพิ่งฉายไปไม่ถึงสิบนาทีและยังไม่เต็ม

“เฮ้ย...นี่มันเรื่องที่นายเคยอ่านแล้วบอกว่าสนุกใช่ไหม”

ชายหนุ่มหันไปมองชื่อเรื่อง ก่อนจะรับคำเบาๆ “อืม”

“มาทำหนังแล้ว อยากดูไหมล่ะ”

“เธอไม่ชอบหนังรัก”

“แล้วใครบอกจะมาดูด้วย” เธอถามกวนๆ เรียกสายตาเอือมระอาอย่างที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำจากวินธัย “โอ๋...ล้อเล่นน่า อยากดูก็ซื้อรอบต่อไปสิ เดี๋ยวฉันดูด้วย”

“ไว้คราวหน้า”

“แล้วถ้ามันออกโรง”

“ก็ซื้อแผ่นมาดู”

เพราะขี้เกียจเถียงคนเจ้าเหตุผล ภัทรนรินทร์เลยได้แต่ไหวไหล่แล้วเดินนำเข้าโรงภาพยนตร์ไป

แม้จะไม่ชื่นชอบภาพยนตร์แอคชั่นที่เสียงเอฟเฟคดังรบกวนหูแต่วินธัยก็ตั้งใจดูจนจบได้ เพราะสัญญากับคนข้างๆ ไว้แล้วว่าจะดูเป็นเพื่อน

จนกระทั่งภาพยนตร์จบนั่นแหละ เขาถึงได้หันไปมองคนอยากดูที่บัดนี้นอนคอพับคออ่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับสภาพของคนที่ตาหลับแต่มือยังอยู่ในกระป๋องข้าวโพดคั่วอันโต

“ภัทร...” มือใหญ่แตะพวงแก้มนิ่มไร้เครื่องสำอางค์เบาๆ “ตื่นได้แล้ว”

“หืม”

“หนังจบแล้ว กลับกันเถอะ”

“น่าเบื่อมาก” คนงัวเงียบ่นอุบ “รู้งี้ซื้อแผ่นไปดูที่บ้านดีกว่า เสียดายเงิน”

วินธัยส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจูงคนเพิ่งตื่นให้ออกจากโรงภาพยนตร์ ซึ่งคนที่ตอนนี้กำลังถูกความง่วงเข้าครอบงำก็ยอมให้มือใหญ่นำทางไปอย่างว่าง่าย





ถนนสายกลางเมืองที่รถติดเป็นประจำเป็นภาพที่ชินตาสำหรับภัทรนรินทร์ หญิงสาวมองแสงไฟข้างทางที่มาจากตึกสูงระฟ้า เสาไฟข้างทาง และรถยนต์รอบๆ กาย ความง่วงที่เคยมีหายไปเพราะดวงไฟหลากสีที่เธอชอบนักหนา

...แสงสีแห่งมหานครกรุงเทพยามค่ำคืน

คนขับรถละสายตาจากความติดขัดเบื้องหน้าแล้วหันมองคนข้างกายที่ยังคงเหม่อมองออกไปนอกรถตลอดทาง ความเงียบเกิดขึ้นคล้ายภัทรนรินทร์กำลังคิดอะไรในใจ และวินธัยก็โกรธตัวเองเหลือเกินที่ความอยากรู้อย่างที่ไม่เคยเป็นกระทุ้งให้หลุดปากถามออกไป

“คิดอะไรอยู่”

“หืม...” ภัทรนรินทร์หันมาสบตาเพื่อน “เปล่านี่ แค่แสงไฟมันสวยดี ปกติไม่ค่อยได้มีเวลามอง” เพราะปกติเธอเองก็ต้องเป็นคนขับรถเหมือนกัน จะเห็นก็แต่ไฟสีเขียวสีแดงเท่านั้น

“ชอบหรือ?”

“ก็สวยดี” เธอตอบ ก่อนพูดกลั้วหัวเราะ “แต่หวังว่าจะไม่ได้เห็นบ่อยๆ”

วินธัยยิ้มบางๆ รู้ดีว่าเธอหมายถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมานั่งมองไฟในรถเขาตอนนี้

หลังออกจากโรงภาพยนตร์ เขาจำต้องกลับมาเคลียร์งานด่วนที่บริษัท ภัทรนรินทร์จึงกลับมาด้วย แต่โชคร้ายของเธอที่ ‘ไอ้แก่’ บีเอ็มดับบลิวรุ่นเก่าเก็บกลับนอนแน่นิ่งอยู่ในลานจอดรถบริษัทเขา

ชายหนุ่มเสนอตัวมาส่งเธอที่บ้าน และจะเรียกช่างมาดูให้ แต่ภัทรนรินทร์ดึงดันว่าจะกลับเอง เพราะไม่อยากกวนเวลาทำงานของเขาไปมากกว่านี้ วินธัยเลยตัดบทว่าเขาจะรีบเคลียร์งานบางส่วน แล้วกลับพร้อมเธอ

“อยากดูบ่อยๆ ก็บอก”

หญิงสาวหันกลับมาเลิกคิ้วให้คนพูด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นความนัยในดวงตาคู่นั้น

เธอว่าหมู่นี้วินธัยแปลกๆ แต่ก็บอกไมได้ว่าแปลกอย่างไร

“แล้วมีรถใช้หรือเปล่า” เขาถาม

“อย่าไปถามให้ป๋าได้ยินเชียว” เธอขู่ “เดี๋ยวได้ถอยคันใหม่ให้แน่ๆ” ก็พ่อเธอร่ำๆ หลายครั้งว่าอยากซื้อรถคันใหม่ให้

“ไม่ชอบ?”

“ก็ไม่เชิง แต่ยังไม่ถึงเวลา” เธอตอบ “ไม่ใช่เกลียดการเปลี่ยนแปลง บางทีฉันก็เป็นพวกขี้เบื่อเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่รู้สึกผูกพันเกินกว่าจะเปลี่ยน”

“...”

“แล้วนายล่ะ ไม่ชอบหรอ”

“ฉัน?”

“อืม...นายเองก็ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยล่ะ”

“แล้วแต่เรื่อง ฉันไม่เคยจำกัดอะไรให้ตัวเอง”

“แต่ก็ไม่พร้อมจะเปิดใจยอมรับอะไรใหม่ๆ ที่เข้ามา” เธอต่อให้ แล้วตอบสายตาสงสัยของเพื่อน “...ไม่งั้นป่านนี้จะยังเป็นโสดหรอกหรอ มีสองอย่าง ถ้าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน”

“ไม้ป่าเดียวกัน?”

“อย่าบอกนะว่าใช่” ภัทรนรินทร์ล้อ ก็มันน่าคิดน้อยเสียเมื่อไหร่ หน้าตาออกจะดี ยังไม่มีแฟนเสียที “ถ้าเป็นงั้นจริงสาวๆ คงอกหักไปตามๆ กัน”

“รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามขึ้นกลางความเงียบ และรอคำตอบด้วยท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจ

แต่คนต้องตอบกลับชะงักกึก จังหวะการเต้นหัวใจคล้ายผิดเพี้ยนไป แต่ก็เพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะยิ้มร่า

“อย่างฉันก็สบายน่ะสิ คอยตามปลอบใจสาวไปวันๆ รู้มั้ยช่วงหวั่นไหวนี่จีบง่ายนะผู้หญิงน่ะ”

วินธัยลอบถอนหายใจกับคนที่กำลังจะสอนเขาจีบสาวอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ช่วงนี้เพลาๆ ได้มั้ย เรื่องผู้หญิง”

“ฉันไม่หาเหาใส่หัวแล้ว คราวเชอร์รี่ก็ทำขยาด ฝ่ามือพิฆาตของแม่คุณทำฉันเข้าหน้าหม่าม้าไม่ติดไปหลายวัน” เธอบ่น “...แต่ถ้าชั่วครั้งชั่วคราวล่ะก็พอไหว”

“ภัทร...” เสียงทุ้มเรียกดุๆ “รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นผู้หญิง”

“รู้สิ หม่าม้าย้ำทุกวันเวลาเจอหน้านั่นแหละ” ไม่รู้ว่าถ้าเห็นชุดทำงานใหม่พวกนี้แล้วจะยังย้ำนักหนาเหมือนเดิมหรือเปล่า

“ถามหน่อยได้มั้ย” วินธัยเอ่ย ก่อนจะหันไปให้มองไฟที่เปลี่ยนสีแล้วตรงหน้า “ถ้าเมื่อคืนฉันไม่พาออกมาจะเกิดอะไรขึ้น”

ภัทรนรินทร์ขมวดคิ้ว ก่อนจะร้องอ๋อในใจ “ในผับที่นายทำฉันอารมณ์ค้างน่ะนะ?”

คิ้วเข้มขมวด “ฉันทำอะไรที่ไหน”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” เธอว่า “...ไม่งั้นก็เรียบร้อยโรงเรียนภัทรนรินทร์ไปแล้ว พูดแล้วยังเสียดายไม่หาย”

“ไหนว่าเป็นผู้หญิง” เขาถามเสียงดุ แต่มีหรือที่เธอจะกลัว ภัทรนรินทร์ลอยหน้าลอยตาตอบ

“ก็ผู้หญิงน่ะสิ ถ้าเป็นผู้ชายฉันก็ไม่เสี่ยงหรอกน่า มีหวังแม่คุณท้องขึ้นมา ป๋าได้เอาเลือดหัวฉันออกแน่ๆ”

รถคันหรูของวินธัยค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลงก่อนจะจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่คาดว่าอีกสักครู่คงมีคนรับใช้มาเปิดประตู ภัทรนรินทร์เอื้อมไปหยิบของที่เบาะหลังจังหวะเดียวกับที่วินธัยเองก็เช่นกัน

ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างเพียงคืบ ดวงตาที่เธอพยายามหาร่องรอยความผิดปกติเด่นชัดสุกสกาวท่ามกลางความมืดในรถ ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดข้างแก้มเรียกตะกอนบางอย่างให้ปั่นป่วน

“รู้ไหม...” เขากระซิบเสียงเบา “หนึ่งเดือนนับจากนี้...เธอเป็นแฟนฉัน”

ภัทรนรินทร์หลับตาลงช้าๆ หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รับรู้ถึงลมหายใจที่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“เข้าบ้านเถอะดึกแล้ว”





หญิงสาวคงเข้าบ้านไปแล้ว ทิ้งไว้แต่วินธัยที่อมยิ้มในความมืด กับบทเรียนแรกที่เขาเรียกมันว่า

...ความเขินอาย



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:36:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 11:30:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1830





<< 2. คนที่เมา   4. หว่านเสน่ห์ และ หวั่นไหว >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account