ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย

ตอน: ตอนที่ 1 'กลับไป ถ้าไม่อยากตาย'

ตอนที่ 1

“Suite 2A”

สายตาคมลึกของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำแบบเป็นทางการหยุดยืนมองแผ่นป้ายเล็กๆหน้าประตูห้องโดยสารบนเครื่องบินของสายการบินที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของโลก ด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย ก็ตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะได้เดินทางด้วยเที่ยวบินชั้นหนึ่งที่หรูหรามีระดับขนาดนี้ และที่ตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เดินทางไปนครรัฐออสเตคิน ปะเทศเล็กๆบนเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

“ขอประทานโทษค่ะ คุณธรณ์”

น้ำเสียงนุ่มของแอร์โฮสเตทสาวที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ

“มีอะไรเหรอครับ”

“เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารชั้นหนึ่งสองคน และผู้โดยสารอีกท่าน มีความประสงค์จะนั่งในห้อง 2A เท่านั้น ดิฉันจึงอยากจะขอรบกวนคุณธรณ์ให้ย้ายไปนั่งที่ห้อง 1B แทนค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณลำบาก”

ธรณ์ขมวดคิ้วมองแอร์โฮสเตทสาวสัญชาติยุโรปอย่างพิจารณา ท่าทางและวิธีพูดของหญิงสาวดูสุภาพนุ่มนวลก็จริง หากในน้ำเสียงและสายตานั้น มีรอยของการขอร้องแกมบังคับด้วยความลำบากใจไม่น้อย ชายหนุ่มเดาได้ทันทีว่า ผู้โดยสารวีไอพีอีกคนของเที่ยวบิน คงจะเป็นบุคคลสำคัญหรือไม่ก็มีอำนาจและบารมีในระดับที่สามารถทำอะไรตามความปรารถนาของตนได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ของผู้อื่นใดๆทั้งสิ้น

“แล้วถ้าผมไม่อยากย้ายล่ะ ตั๋วเครื่องบินก็บ่งบอกชัดว่าที่นี่เป็นที่นั่งของผม ทำไมผมต้องยอมเปลี่ยนด้วย”

ความจริงแล้ว ธรณ์ไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไรนัก และเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเปลี่ยนห้องโดยสารตอนก่อนออกเดินทาง เพียงแต่เขาอยากรู้ว่าถ้าตอบไปแบบนี้ แอร์โฮสเตทสาวจะแก้ปัญหาอย่างไร และเธอก็ทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น เธอร้องไห้ออกมาอย่างหนักใจ

“ขอร้องเถอะค่ะคุณ ถ้าคุณไม่ยอมย้าย ดิฉันอาจจะมีโทษถึงขั้นโดนไล่ออกเลยนะคะ ที่นั่งสองที่นี้ ด้านในก็ไม่มีอะไรต่างกันเลยจริงๆ คุณยอมทำตามที่ฉันขอสักครั้งเถอะนะคะ”

ชายหนุ่มหน้าเหวอไปครู่หนึ่งกับน้ำตาของหญิงสาว นึกไม่ถึงว่าแค่คำตอบแบบหยั่งเชิงของเขาจะทำให้เธอถึงกับเสียน้ำตา

“โอเคๆ ผมยอมก็ได้ แต่คุณบอกผมหน่อยได้รึเปล่า ว่าคนที่ต้องการเปลี่ยนที่นั่งกับผม เป็นใคร”

ทว่า ยังไม่ทันดั้งคำตอบ ก็มีลูกเรือชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับหญิงสาว แล้วทั้งสองคนก็รีบออกไปจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเขาอีกเลย ธรณ์มองตามแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะหันไปมองห้อง Suit 1B ที่อยู่ด้านตรงข้ามกับห้อง 1A อย่างจนใจ เห็นว่าเพราะเพิ่งขึ้นมาบนเครื่องบินโดยสายและยังไม่ได้ออกเดินทางหรอกนะ ถึงยอมทำตามคำขอ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เขาเข้าไปนั่งและออกเดินทางแล้วหรืออยู่ระหว่างการเดินทางก็อย่าได้หวังเลยว่าจะยอมกันง่ายๆ ไปถึงออสเตคินเมื่อไหร่ คงต้องถามมาร์ลิค เพื่อนรักสักหน่อยแล้วว่า ผู้โดยสารวีไอพีอีกคนที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากซะจน ต้องเอาอกเอาใจมากมายขนาดนี้คือใครกันแน่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วเคบินส่วนตัวอันโอ่โถง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยการเดินทางอีกหลายชั่วโมงนับจากนี้ ก็คงไม่น่าเบื่อเท่าไหร่นัก เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะนุ่มด้วยท่าทางสบายๆ พลางเปิดอ่านหนังสือท่องเที่ยวออสเตคิน ที่ตระเวนซื้อมาเมื่อวานก่อนออกเดินทาง แต่ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งรู้สึกผิดสังเกตที่ทุกอย่างยังคงหยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องสวีทในโรงแรม ไม่ได้เหมือนคนกำลังเตรียมตัวออกเดินทางด้วยเครื่องบินเลยสักนิด ธรณ์ขยับตัวลุกขึ้นและเปิดแง้มบานประตูมองออกไปภายนอกห้องส่วนตัว ทว่า ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ระหว่างนั้น เสียงปะกาศจากกัปตันก็ดังขึ้น จับใจความได้ว่าขออภัยในความล่าช้า และขอให้ผู้โดยสารอดทนรออีกสักครู่ ทำเอาคนฟังถึงกับงง เพราะนอกจากจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงล่าช้าแล้ว ยังจะต้องรอต่อไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ ธรณ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตนก็พบว่า จนถึงขณะนี้ ได้ล่วงเลยเวลาออกเดินทางที่กำหนดไว้ในตั๋วเครื่องบินถึงหนึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเอื้อมมือไปเปิดโทรทัศน์และเลือกดีวีดีหนังแผ่นหนึ่งจากชั้นวางด้านล่างเพื่อนอนดูเป็นการฆ่าเวลา แล้วไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เผลอหลับไปด้วยความง่วงในที่สุด

“คุณคะ อาหารว่างกับชุดนอนและหูฟังค่ะ”

เสียงพูดคล้ายดังแว่วมาจากที่ไกลๆบวกกับกลิ่นหอมยั่วยวนของอาหารคาวหวานที่ถูกนำมาวางภายในห้อง ทำให้ธรณ์เริ่มรู้สึกตัวและค่อยๆกระพริบตาขึ้นมอง แต่แอร์โฮสเตทสาวคนนี้ก็ไม่ใช่คนเดิมที่เขาได้พบก่อนหน้านี้

“ขอบคุณครับ ผมหลับไปนานเท่าไหร่เนี่ย เครื่องออกเดินทางนานรึยังครับ”

“ประมาณ 15 นาทีแล้วค่ะ ถ้าคุณต้องการอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรเพิ่มเติมก็เรียกได้ตลอดเวลาเลยนะคะ
คุณมาร์ลิคสั่งเอาไว้ว่าให้ดูแลคุณอย่างดีที่สุด”

ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ

“ด้วยการสลับที่นั่งเป็นอันดับแรกเลยใช่มั้ยครับ”

แอร์โฮสเตทสาวทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มตอบคล้ายไม่รู้จะพูดอะไร

“ผมล้อเล่นน่ะครับ เชิญคุณไปทำหน้าที่ของคุณต่อเถอะ”

จังหวะที่แอร์โฮสเตทสาวเปิดประตูก้าวออกไป ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองไปยังอีกห้อง ทว่า ก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดีนอกจากประตูบานเลื่อนที่ปิดสนิทเท่านั้น



และการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลอันยาวนานก็ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างกับความล่าช้าในตอนก่อนออกเดินทาง แล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าบุคคลสำคัญคนนั้นที่ขอสลับที่นั่งกับเขาเป็นใคร หากธรณ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาประทับใจในกับความสะดวกสบาย ที่ได้รับในฐานะแขกพิเศษของมาร์ลิค ประธานองคมนตรีและที่ปรึกษาของเจ้าชายฟารินอส โอซาน ดามิเรล องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์โอซาน ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศขณะนี้ ตามข้อมูลที่ได้ศึกษามา

ภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานานชาติแห่งเดียวในประเทศ สิ่งแรกที่ธรณ์สัมผัสได้คือความเย็นยะเยือกของอากาศที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เมืองบาตูฮาน เมืองหลวงของออสเตคิน มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี และเป็นสภาพอากาศแบบเย็นและชื้น ไม่ได้หนาวเย็นและอากาศแห้งแบบหน้าหนาวในเมืองไทยที่เขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิด ชายหนุ่มกระชับเสื้อโอเวอร์โค้ทที่สวมทับเสื้อสูทแน่น สายตาก็คอยมองหา คนที่มาร์ลิคจะส่งมารับ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบใครที่เข้าข่าย แม้แต่ป้ายชื่อที่ชูกันสลอนตรงทางออกก็ไม่มี นาฬิกาของที่นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนเท่านั้น ภูมิภาคแห่งนี้ เวลาช้ากว่ากรุงเทพฯราว ห้าชั่วโมง ธรณ์ยังคงเดินไปท่ามกลางผู้คนหลากหลายเชื้อชาติศาสนา ในใจกำลังคิดว่าถ้าไม่พบคนที่มาร์ลิคส่งมารับ ก็คงต้องเรียกแท็กซี่ไปหาโรงแรมสักแห่งใกล้ๆสนามบินเพื่อพักแรมชั่วคราว และความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ก็ทำให้เขาต้องทำแบบนั้นจริงๆ เพราะไม่อาจรออย่างไร้จุดหมายได้อีกต่อไป นับเป็นความโชคดีที่ภาษาราชการภาษาที่สองซึ่งใช้ควบคู่กับภาษาอารบิกในประเทศออสเตคินก็คือภาษาอังกฤษ ทำให้การสื่อสารไม่เป็นอุปสรรคมากนัก

“รถติดหน่อยนะคุณ ต้องรอให้ขบวนเสด็จฯผ่านไปก่อนน่ะ”

คนขับแท็กซี่บอกเขาเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำนวนแปร่งหู

“ใครเสด็จฯเหรอครับ ดึกขนาดนี้”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะเป็นราชนิกูลสักพระองค์”

ธรณ์พยักหน้ารับรู้และไม่ได้ซักถามอะไรอีก จนกระทั่งมาถึงโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ชายหนุ่มจ่ายค่าโดยสารและเดินตามพนักงานโรงแรมที่เดินมาช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางเข้าไปในลอบบี้อย่างรู้หน้าที่ ทว่า ขณะกำลังเดินอยู่ดีๆ ธรณ์ก็รู้สึกเหมือนมีมือใครสักคนมากระชากหัวไหล่เขาจากทางเบื้องหลังเต็มแรง พอหันไปมองก็พบว่าเป็นร่างของใครสักคนที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นผู้หญิง เพราะร่างนั้นสวมชุดสีดำแบบคลุมไปทั้งร่างจนถึงเท้า แม้แต่ดวงตาก็เผยให้เห็นแค่ดวงตาข้างเดียวที่กำลังจ้องมองเขาอย่างน่ากลัว พร้อมกับตวาดด้วยคำพูดภาษาที่ชายหนุ่มไม่คุ้นหูเสียงดังลั่น เล่นเอาผู้คนที่อยู่บริเวณลอบบี้ ทั้งนักท่องเที่ยวรวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องวิ่งเข้ามากันร่างหญิงสาคนนั้นออกไป โดยที่เธอก็ยังเปล่งเสียงตวาดพร้อมชี้มือมาทางเขาไม่หยุด

“ต้องขอโทษจริงๆครับ ที่ปล่อยให้มีคนเร่ร่อนเข้ามาสร้างความเดือดร้อน คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ”

พนักงานต้อนรับพูดอย่างสุภาพพร้อมก้มหัวเป็นการขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมสงสัย ผู้หญิงคนนั้นพูดกับผมว่าอะไร”

“เป็นภาษาท้องถิ่นของเราน่ะครับ ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า ให้คุณกลับไป กลับไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตาย แต่คุณอย่าสนใจเลยครับ ผู้หญิงท่าทางเหมือนคนสติไม่สมประกอบคนนั้นน่ะ เดี๋ยวนี้คนเราหากินแบบแปลกๆกันเยอะ เชิญเข้าห้องพักดีกว่า”

‘กลับไป ถ้าไม่อยากตาย’ ธรณ์นึกทวนคำพูดนั้นในใจขณะเดินไปที่ลิฟท์ไปยังห้องพัก ภาพลูกตาข้างเดียวในผ้าคลุมสีดำที่จ้องมองเขา ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกอย่างแจ่มชัด แม้พยายามจะสลัดมันออกไปจากความคิด หากก็ทำได้ยากเต็มที การตัดสินใจมาที่นี่ของเขา เริ่มต้นได้ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย นับตั้งแต่การเดินทาง จนมาถึงตอนนี้ นี่เขาตัดสินใจถูกหรือเปล่านะ ที่ยอมมาตามคำชักชวนของมาร์ลิค แต่ จะเปลี่ยนใจตอนนี้ ก็คงจะไม่ทันแล้ว ชายหนุ่มบอกตัวเองอย่างเหนื่อยๆ และได้แต่หวังว่า ตื่นมาในวันพรุ่งนี้ จะได้พบกับอะไรดีๆบ้าง




เสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้นแต่เช้าตรู่หลังจากธรณ์เพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังแต่งตัว ชายหนุ่มเดินตรงไปยังประตูและมองตรงช่องตาแมวให้แน่ใจก่อนจะเปิดออก

“ผมมาขอโทษ เมื่อวานคนของผมกว่าจะหาคุณเจอก็เป็นตอนที่คุณก้าวขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว พอเดาถูกเผงว่าแท็กซี่ต้องพาคุณมาส่งโรงแรมนี้ ตื่นเช้าก็เลยรีบมาเลย”

“ไม่เป็นไร มาร์ลิค เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิ”

มาร์ลิคก้าวเท้าเข้ามาเพียงหน้าประตูและบอกเสียงเครียด

“เรามีเวลาไม่มาก คุณรีบแต่งตัว เก็บของ แล้วเราจะเดินทางไปที่ไซเบิ้ลเดี่ยวนี้เลย เจ้าชายทรงรออยู่ที่นั่น เราจะ ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ราวสองชั่วโมงก็คงถึง อาหารเช้ากับเครื่องดื่มเตรียมพร้อมไว้ในรถอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”

แม้จะยังงุนงงในความรีบร้อนของเพื่อนแต่ธรณ์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเขาโดยไม่ซักถามอะไร บุคลิกภายนอกที่ได้เห็นในยามนี้ มาร์ลิคดูแตกต่างจากหนุ่มเจ้าสำราญคนเดิมที่เขารู้จักเมื่อสมัยเรียนปริญญาโทที่สหรัฐอเมริการาวกับเป็นคนละคน เครื่องแต่งกายก็อาจเป็นส่วนหนึ่ง มาร์ลิคในชุดแต่งกายประจำชาติแบบลำลองประกอบด้วยกางเกงขาพองสีน้ำตาล เสื้อเชิ้ตแบบไม่มีปกสีขาวและสวมทับด้วยเสื้อกั๊กอีกชั้น เป็นภาพที่แปลกตามากสำหรับธรณ์ ทั้งสองเรียนจบปริญญาโทสาขาวิศวกรรมโยธา ในปีเดียวกัน แต่มาร์ลิคอยู่ศึกษาเรื่องทรัพยากรน้ำต่ออีกหนึ่งปี ในขณะที่ธรณ์ก็กลับไปทำงานที่เมืองไทยตั้งแต่นั้น ช่วงก่อนหน้านี้ประมาณหกเดือน ธรณ์ได้เห็นข่าวที่น่ายินดี ทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆว่า เจ้าชายฟารินอส มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์โอซานของประเทศออสเตคิน ภายใต้การปกครองประเทศโดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีคณะองคมนตรีที่เป็นที่ปรึกษาและมีสภาแห่งชาติ ทำหน้าที่ในการบริหารราชการ ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกึ่งหนึ่ง และแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์อีกกึ่งหนึ่ง ทรงได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยพระชันษาเพียง 24 ปี เท่านั้น ทว่า ที่ฮือฮาไปทั่วโลกยิ่งกว่า ก็คือ การแต่งตั้งคณะองคมนตรีชุดใหม่แทนชุดเดิมทั้งหมด และผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานที่ปรึกษาก็คือ มาร์ลิค บุตรชายคนเดียวของประธานสภาแห่งชาติคนปัจจุบัน ในวัยเพียง 26 ปี และเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาไม่นาน ระบบการเมืองการปกครองภายในประเทศเริ่มสั่นคลอน เมื่อเจ้าชายฟารินอสก้าวเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มพระองค์ ตามมาด้วยกระแสต่อต้านจากประชาชนบางกลุ่มด้วยเหตุผลที่ว่า พระองค์ยังทรงพระเยาว์และขาดประสบการณ์ในการปกครองประเทศ ควรจะเป็นผู้ติดตามและศึกษาจากพระราชบิดาต่อไปมากกว่า

“คุณดูเปลี่ยนไปจากตอนอยู่อเมริกามากเลยนะ มาร์ลิค”

ธรณ์เอ่ยขึ้นตรงๆ ระหว่างเดินทางในรถยนต์หรูของสำนักพระราชวังไปเมืองไซเบิ้ล เมืองท่าที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่งในประเทศ โดยมีมาร์ลิคนั่งก้มหน้ามองแต่โน้ตบุ๊คบนตักด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปด้วย เรื่องที่สงสัยอยากถามตั้งแต่ก่อนออกเดินทางถูกลืมไปหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อคืนหลังได้นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่ม

“อาจเป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ได้รับล่ะมั้ง ได้ยินคุณพูดถึงอเมริกาแล้ว ก็ทำให้ผมคิดถึงชีวิตตอนอยู่ที่นั่นมากๆเหมือนกัน ไม่นึกไม่ฝันว่า กลับมา จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนี้”

“แล้วทำไม คุณถึงมั่นใจนักล่ะ ว่าผมจะช่วยคุณทำงานได้สำเร็จ เท่าที่ติดตามข่าวและสถานการณ์ในเมืองไซเบิ้ล ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“คุณถามคำถามนี้กับผมเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง ธรณ์ เอาเถอะน่า ผมคิดว่าผมมองคนไม่ผิดแล้วกัน อีกอย่างนะ ปัญหาในเมืองไซเบิ้ลน่ะ มันไม่ใช่อย่างที่สำนักข่าวนำเสนอหรอก มันมีอะไรมากมายที่คุณยังไม่รู้”

“แล้วขนาดคุณ ที่เป็นคนของที่นี่ ยังหาทางรับมือกับปัญหาไม่ได้ แล้วกับผมที่เป็นคนนอก เป็นคนอื่น จะไม่ย่ำแย่ไปกว่าคุณเหรอ”

“ผมไม่ได้ชวนคุณมาแก้ปัญหาความขัดแย้งหรือปัญหาการเมืองในประเทศของผมนะธรณ์ หน้าที่ของคุณคือ ร่วมมือร่วมใจกับสถาปนิก ทีมงานนักวิจัย นักอนุรักษ์ ศึกษาผลกระทบและออกแบบท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัยที่สุด เพื่อเปิดประตูโลจิสติกส์ให้กับประเทศของเราตามพระประสงค์ของเจ้าชายรัชทายาทให้สำเร็จก็พอ”

ธรณ์นิ่งฟังเงียบๆ ไม่พูดหรือนึกอยากถามอะไรอีก ทั้งที่ในใจมีข้อสงสัยอีกมากมายนัก ชายหนุ่มหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สภาพภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์ของข้างทางที่เต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อนกับป่าไม้เขียวขจีช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด และเมื่อเริ่มเข้าถึงชุมชนและตัวเมือง สถาปัตยกรรมเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ก็ยิ่งทำให้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมประชาชนในเมืองนี้ ถึงต้องออกมาต่อต้านการสร้างท่าเรือน้ำลึก รถยนต์เคลื่อนที่ผ่านอาคารไม้เก่าแก่แห่งหนึ่งไปช้าๆ ป้ายภาษาอังกฤษคู่กับภาษาท้องถิ่นที่เขียนว่า พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสต์แห่งเมืองไซเบิ้ล ที่ผ่านสายตาของธรณ์ไปนั้น คล้ายมีอำนาจอะไรบางอย่างดึงดูดให้เข้าต้องเหลียวหลังตามไปมองอย่างสนใจ นึกถึงข้อความที่ได้อ่านจากหนังสือตอนอยู่บนเครื่องว่า ศิลปกรรมของสิ่งปลูกสร้างในเมืองเล็กๆเมืองนี้ มีเอกลักษณ์อยู่ที่การแกะสลักลวดลายและการทำภาพโมเสกประดับบนกระจกหน้าต่างของสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือมัสยิด ในขณะเดียวกัน ป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ที่มีข้อความต่อต้านโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกของรัฐบาลก็มีให้เห็นประปรายทั้งข้อความภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น ซึ่งไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับผู้มาเยือนเท่าใดนักเพราะเขาเห็นภาพพวกนี้ตามรายการข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มาก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่แล้ว

“คุณสนใจพิพิธภัณฑ์นั่นเหรอนั่นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศของผมเลยนะ เดี๋ยวพอเริ่มคุ้นเคยกับที่นี่ จะเข้าไปเที่ยวชมบ้างก็ได้”

เสียงของมาร์ลิคดังขึ้น หลังจากเงียบอยู่นาน

“เมืองนี้ดูมีเอกลักษณ์และดูมีมนต์ขลังแบบเมืองสมัยโบราณดีนะมาร์ลิค สิ่งก่อสร้าง บ้านเรือน ก็ดูสวยงาม สะอาดตา น่าอยู่”

“เพราะแบบนี้ไง เจ้าชายถึงมีรับสั่งให้มาเข้าเฝ้าที่พระราชวังที่ตั้งอยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ท่านก็รักเมืองนี้มากเช่นกัน แต่ที่นี่อากาศจะแปรปรวนกว่าที่บาตูฮานมากนะ ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนกลางวันมีแดดและร้อนจัด แต่พอกลางคืนก็หนาวจับขั้วหัวใจเลยล่ะแถมอากาศยังชื้นอีกด้วย แล้วพอเข้าหน้าหนาวคุณจะเจอทั้งลมแรงจัดทั้งหมอกกับช่วงที่เวลากลางคืนยาวนานกว่าเวลากลางวัน ”

ทั้งสองคนพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าพระตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายฟารีนอส เป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมสูงราวตึกสามชั้นทาสีขาวล้วนดูเรียบง่าย แต่ก็แฝงความสง่างามแบบย้อนยุค ตั้งอยู่ติดกับชายหาดเซมซึ่งเป็นหาดทรายสีขาวสะอาด เงียบ สงบ ปราศจากผู้คน ทอดเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตารับกับน้ำทะเลสีฟ้าสดใสสะท้อนประกายแสงแดดระยิบระยับ และความสวยงามตามธรรมชาติของมัน ก็ชวนให้ผู้มาเยือนได้แต่เหม่อมองอย่างหลงใหลในความงาม เคยไปเที่ยวทะเล หรือ เกาะสวยๆมาก็มาก แต่ความเป็นธรรมชาติของที่นี่ก็ทำให้ธรณ์ต้องบอกตัวเองว่า ไม่เคยเห็นทะเลที่ไหนสวยงามน่าประทับใจขนาดนี้มาก่อน

“เจ้าหญิงชารีด้าเพิ่งเสด็จมาถึงก่อนหน้าคุณประมาณ 15 นาที เจ้าชายมีรับสั่งว่าถ้าคุณมาถึง ให้พาแขกไปที่บ้านพักก่อน แล้วช่วงค่ำค่อยพามาร่วมโต๊ะเสวย”

พ่อบ้านประจำพระตำหนักเดินเข้ามาบอกอย่างสุภาพ เมื่อมาร์ลิคกับธรณ์เปิดประตูรั้วเดินเข้ามา

“ขอบใจนะ”

มาร์ลิคตอบอย่างเข้าใจก่อนหันไปบอกธรณ์ที่มองตอบเขาแบบงงๆ เพราะฟังภาษาท้องถิ่นไม่เข้าใจ

“สงสัยเราต้องมาใหม่ตอนเย็นๆแล้วล่ะ พ่อบ้านบอกว่า เจ้าหญิงชารีด้ามาเข้าเฝ้าพระเชษฐาก่อนหน้าเราไม่กี่นาที คาดว่าคงอีกนานกว่าเจ้าชายจะมีเวลาว่าง”

ชื่อเจ้าหญิงชารีด้าคุ้นหูธรณ์อย่างมากทีเดียว เขาจำได้ว่าเจ้าชายฟารีนอสมีพระขนิษฐาสองพระองค์ จากคนละพระมารดาทั้งสิ้น และองค์เล็กสุดก็อาศัยอยู่กับพระมารดาในต่างประเทศหลังจากเลือกที่อดีตพระชายาเลือกจะหันหลังให้กับพระราชาธิบดีและราชวงศ์จนเป็นข่าวใหญ่โตเมื่อหลายปีก่อนแล้วหลังจากนั้นก็เงียบหายไปจนแทบไม่ได้ยินข่าวคราวอีกเลย ส่วนเจ้าหญิงอีกพระองค์ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหญิงชารีด้า จากข่าวคราวต่างๆ ที่ได้อ่านและรับรู้มา ชายหนุ่มทราบแต่เพียงว่า ทรงไปศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่คนละรัฐกับที่เขาและมาร์ลิคไปศึกษาอยู่

“เจ้าหญิงชารีด้า ที่ทรงศึกษาอยู่สหรัฐอเมริกาน่ะหรือ”

เขาอยากจะถามถึงเจ้าหญิงอีกพระองค์ แต่ก็ไม่กล้าพอ ราวกับรับรู้ได้โดยมอัตโนมัติว่าการพูดคุยหรือซักถามถึงเรื่องของพระชายาและเจ้าหญิงที่เลือกหันหลังให้กับราชวงศ์โอซาน เป็นเรื่องต้องห้ามของทุกคนที่นี่

“ใช่ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน เลยเสด็จกลับมาพักผ่อน และทรงชอบเสด็จเยือนที่นี่เป็นพิเศษ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปดูบ้านพัก เอาของไปเก็บ แล้วพาเที่ยวรอบเมืองนี้สักหน่อย ดีมั้ย”

“ยังไงก็ได้ ผมแล้วแต่คุณเลยมาร์ลิค”

ธรณ์บอกอย่างคิดอะไรไม่ออก เขาเหนื่อยและอยากพักผ่อนเต็มที แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากจะเที่ยวชมเมืองนี้ให้ทั่ว เพราะอยากเห็นว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่จริงว่า ผลกระทบจากการสร้างท่าเรือน้ำลึกจะมีผลหรือก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับเมืองนี้ได้เพียงใด




ขณะที่ริมถนนเลียบชายหาดเซม ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนท้องถิ่น ที่มาทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าจากเมืองหลวงเป็นปกติเหมือนเช่นทุกวัน หญิงสาวกับชายหนุ่มคู่หนึ่ง กำลังเดินแจกใบปลิวที่เขียนด้วยลายมือ เนื้อหาเกี่ยวกับต่อต้านการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองแห่งนี้ให้กับชาวบ้านตามท้องถนนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าจะเดินมานานเกือบชั่วโมงแล้ว

“นั่น ชาวบ้านมุงดูอะไรกัน”

ชายหนุ่มถามขึ้นลอยๆ และทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆต้องมองตามสายตาของเขาอย่างสงสัย ก่อนจะโบกมือเรียกเด็กชายคนหนึ่งที่วิ่งออกมาจากบริเวณนั้นเพื่อถาม

“ตรงนั้นมีอะไร คนมุงเยอะแยะเชียว”

“นักมายากลตาเดียวน่ะสิพี่สาว เปล่าขลุ่ยทำให้คนนอนหลับได้ มหัศจรรย์มากๆ ค่าดูก็ถูกแสนถูก”

เด็กชายตอบก่อนจะวิ่งหายไปอีกครั้ง ในขณะที่สองหนุ่มสาวก็หันมามองสบตากันอย่างสงสัยใคร่รู้

“ไม่เห็นเคยได้ยินว่า เมืองเรามีใครทำอาชีพนักมายากล จะเป็นพวกมิจฉาชีพมาหลอกลวงต้มตุ๋นชาวบ้านซะมากกว่ามั้ง หรือน้องว่าอย่างไร เนเนสต์”

หญิงสาวผู้มีนามว่า เนเนสต์ ส่ายหน้าช้าๆ

“ฉันก็ไม่เคยรู้เหมือนกันจ้ะพี่ เราลองเข้าไปดูใกล้ๆกันดีมั้ย”

พูดพลางเอื้อมมือไปดึงแขนชายหนุ่มให้เดินตามไปด้วยกัน บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยืนต่อเกาะกลุ่มมุงดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าทางเข้าตลาดสด เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของขลุ่ยไอริชดังแว่วเข้ามาให้ได้ยินเมื่อทั้งสองเข้าใกล้บริเวณนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเขย่งเท้าชะโงกหน้าไปมองคนที่อยู่ในวงล้อมอึดใจหนึ่ง ก่อนหันมาบอกน้องสาว

“มิน่าล่ะ ทำไมถึงเรียกนักมายากลตาเดียว เล่นคลุมผ้าทั้งหน้าทั้งตัวจนเหลือแต่ลูกตาข้างเดียวแบบนี้ น้องว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติรึเปล่า หรือการคลุมผ้าแบบนี้มีเหตุผลทางศาสนาอะไรที่เราไม่รู้”

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ด้วยความที่เป็นประชาชนส่วนน้อยที่ศรัทธาในคริสต์ศาสนาท่ามกลางบ้านเมืองที่ ประชากรเกินกึ่งหนึ่งนับถือศาสนาอิสลาม และมองเห็นภาพการการแต่งการที่เคร่งครัดของบรรดาหญิงสาวด้วยการคลุมผ้าที่เรียกว่า ฮิญาบ[1] จนชินตา ทว่า ทุกคน ก็เปิดเผยดวงตาทั้งสองดวงไม่ใช่หรือ ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นใครคลุมผ้าจนปิดเหลือดวงตาข้างเดียวสักคน จึงไม่สามารถให้คำตอบกับผู้เป็นพี่ชายได้เลย

“พี่เดยัน นั่นรถยนต์ของสำนักพระราชวัง”

เดยันหันไปมองที่ถนนเลียบชายหาดตามที่น้องสาวบอกทันที

“รถของประธานองคมนตรีมาร์ลิค พี่จำทะเบียนรถได้ขึ้นใจเลยล่ะ”

เขาตอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สายตายังคงตาจับจ้องอยู่ทื่รถยนต์คันสีดำสนิทจนพ้นระยะสายตาไป และในวินาทีนั้นเอง เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ สลับกับเสียงร้องว่า ขโมย ไอ้หัวขโมย !! ก็ดังขึ้นจากใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าทางเข้าตลาดสดพร้อมๆกับกลุ่มคนที่แตกฮือกันไปคนละทิศคนละทาง

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

จบตอนที่ 1

[1] ฮิญาบ คือผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิม ซึ่งศาสนาอิสลามระบุให้ผู้หญิงสวมผ้าคลุมผมจนปิดหน้าอก เพื่อเป็นการปกปิดร่างกายให้มิดชิด เป็นการสำรวม การคลุมผ้า (ฮิญาบ )ของสตรีมุสลิมนั้นไม่ใช่ประเพณีของอาหรับ แต่เป็นบทบัญญัติของศาสนา ฮิญาบ แปลว่า ปิดกั้น (ข้อมูลจาก wikipedia)


ฝากนิยายแนวที่เรียกว่า "จินตนิยาย" เรื่องนี้ด้วยนะคะ อาจจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างเพราะปกติจะโพสอยู่ที่ถนนนักเขียนของพันทิปตามอ่านนิยายที่นี่อยู่นานแล้วอยากลองโพสของตัวเองดูบ้าง อ่านแล้วมีความคิดเห็นยังไงหรือมีอะไรแนะนำติชมก็แสดงความเห็นได้เต็มที่เลยค่ะ



TheMoonsea
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ย. 2555, 22:58:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ย. 2555, 22:58:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1215





   ตอนที่ 2 เจ้าชายฟารินอสกับเจ้าหญิงชารีด้า >>
อนัญชนินทร์ 11 พ.ย. 2555, 01:39:51 น.
รออ่านอยู่นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account