ร้อยเวลาไว้ด้วยรัก: ฉบับปรับปรุง
ความรักของหนุ่มสาวมักลงเอยด้วยการแต่งงาน หากทว่า...สำหรับ ‘ลลนา’สาวแล้วกลับได้เรียนรู้ว่าการแต่งงานเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น ‘นที’...สามีที่หล่อนรักสุดหัวใจถึงได้แอบไปมีหญิงอื่น


หากลลนาเข้าใจดีว่าเขาคงเบื่อเต็มทนกับนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจไม่เข้าท่าอย่างเด็กๆ ของหล่อน และเพราะความรั้น เอาแต่ใจของหล่อนนั่นเองที่ทำให้นทีต้องเกือบสิ้นใจ เพราะช่วยหล่อนไว้จากอุบัติเหตุในกลางดึกคืนหนึ่ง


เมื่อสวรรค์เบื้องบนยื่นข้อเสนอให้ลลนาได้มีโอกาสกลับไปแก้ตัวในอดีตกาลอีกครั้ง

หล่อนจะทำเช่นไร...เพื่อยื้อชีวิตเขาไว้ให้นานที่สุด ตอบแทนความรักที่เขาอดทนมีให้หล่อนเสมอมา

หล่อนจะทำเช่นไร....เมื่อฟื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของ'จอมใจ'...หลานสาวตัวน้อยของเขา !

(เรื่องนี้เคยได้รับตีพิมพ์มาแล้ว แต่รันเห็นว่าเริ่มหาอ่านตามแผงหนังสือยากแล้วด้วยความเสียดายเลยนำมาให้อ่านกันอีกครั้งค่ะ ระหว่างรอเรื่องใหม่ของรันน้า....ติชมได้เช่นเคยค่ะ)
Tags: ย้อนเวลา,รัก,สวรรค์,เด็ก,แก้ไข,สามี,ภรรยา,ปม,แต่งงาน,อบอุ่น,น่ารัก

ตอน: บทที่ 2

บทที่ 2



“บ้านนรินทร์พรค่ะ”

เสียงสาวใช้ที่กรอกเสียงผ่านสายโทรศัพท์ทำให้ลลนาเงียบไปอึดใจหนึ่ง หล่อนไม่ค่อยได้โทรศัพท์หาคนที่บ้านสามีเสียเท่าไหร่ อย่างมากเพียงไปเยี่ยมมารดาของนทีที่บ้านเป็นครั้งคราวตามมารยาท ถ้าเดาไม่ผิด นทีคงอยู่บ้านนรินทร์พรกับเนตรดาวและหลานสาวของเขา “เออ...ขอสายคุณเนตรดาวหน่อยค่ะ”

“คุณเนตรยังไม่กลับค่ะ ไม่ทราบว่าโทร.มาจากไหนคะ ดิฉันจะได้เรียนคุณเนตรถูก”

“ไม่เป็นไรค่ะ เออ...ฉันแค่อยากทราบอาการน้องจอม เห็นคุณนทีบอกว่าน้องจอมป่วย ฉัน...ลลนาค่ะ” นึกขึ้นได้เลยรีบแนะนำตัว

“อ๋อ! คุณนานี่เอง” คนอีกฟากถึงบางอ้อ “น้องจอมเพิ่งขึ้นไปนอนเล่นในห้องนอนเมื่อครู่นี้เองค่ะ”

“นอนเล่น ?” คำรายงานของสาวใช้ทำให้ลลนานิ่วหน้า “เออ...ละ...แล้วทีล่ะคะ เขายังอยู่ในบ้านรึเปล่า”

“เอ...ดิฉันไม่เห็นคุณทีมาที่นี่เลยนะคะ คุณนาจะให้ดิฉันขึ้นไปตามน้องจอมให้มั้ยคะ น้องจอมคงดีใจถ้ารู้ว่าคุณโทร.มา”

“ยะ...อย่าดีกว่าค่ะ” ลลนาละล่ำละลักเอ่ย เสียศูนย์ตั้งแต่รู้อาการของหลานสาวแล้ว

อยากถามสาวใช้ให้รู้เรื่องมากกว่านี้ หากน้ำเสียงงงงวยของคนในสายทำให้ลลนาตัดบทวางสายในเวลาถัดมา

...รู้ตัวดีว่าถามไปมีแต่พาลรู้สึกแย่ลงเปล่าๆ

เขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งบนโซฟาแถวนั้น ทรุดตัวลงนั่งอย่างคนหมดกำลังมองเลยผ่านบานหน้าต่างไปยังสายฝนด้านนอกที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ต้นไม้สูงใหญ่ที่เคยให้ความร่มรื่นแก่ผู้อาศัยกำลังยืนหยัดต้านแรงลม ตรงข้ามกับกิ่งไม้ที่ไหวเอนไปมาคล้ายจะหักโค่นลงมาเสียเดี๋ยวนั้น

ใบไม้ที่ปลิดปลิวไปตามสายฝน...มองดูแล้วไม่ต่างจากหล่อนในยามนี้

หลังจากกลับจากบริษัท ลลนาพยายามโทรศัพท์หาสามีมือเป็นระวิงแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายว่าง หลายครั้งที่ภรรยารอสายนานจนเข้าสู่ระบบฝากข้อความอัตโนมัติแล้วต้องกดตัดสายทิ้งอยู่ร่ำไป ทีแรกหล่อนนึกว่ากลับมาบ้านจะเจอสามีรออยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว หากผิดคาดที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา กระทั่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดใหม่ ลงมารอเขาที่ชั้นล่างก็ยังไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของสามีปรากฏกายออกมาให้เห็น

นทีหายไปไหนของเขานะ

‘แกก็รู้ว่าเด็กนั่นหวงอาชายอย่างกับอะไรดี หรือไม่...สามีแกแอบไปมีกิ๊กที่ไหนแล้วเอาหลานมาอ้างรึเปล่า ระวังเถอะ ไอ้ที่บอกว่างานเยอะงานแยะเนี่ย แอบไปมีเมียลับอยู่นอกบ้านโดยไม่รู้ตัว เจอมาหลายรายแล้ว’ คำพูดของฟ้าใหม่หวนเข้ามาในห้วงคำนึง

พิงกายกับพนักเก้าอี้หวังให้ใจที่ร้อนรุ่มเย็นลงได้บ้าง ที่โทรศัพท์ไปบ้านนรินทร์พรเพื่อแค่ต้องการยืนยันกับตัวเองเท่านั้นว่านทียังอยู่กับหลานสาว...ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางอย่างที่กลัว

หากคำรายงานของสาวใช้เมื่อครู่ขัดแย้งกับสิ่งที่รับรู้มาจากสามีอย่างสิ้นเชิง และนั่นยิ่งทำให้ลลนาหัวเสียมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งที่รู้ว่านทีต้องพาออกไปทานข้าวนอกบ้านตามที่นัดกันไว้ตอนเช้า แต่ตอนนี้หล่อนไม่มีอารมณ์จะออกไปไหนทั้งนั้น ชุดที่ใส่จึงเป็นเพียงเสื้อยืดสบายตัวกับกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ ถึงเขาจะห่วงหลานสาวมากแค่ไหนแต่เขาคงไม่ลืมนัดมื้อค่ำในคืนวันเกิดของหล่อนหรอกนะ ถ้าอยากเลี้ยงข้าวก็เลี้ยงกันในบ้านเนี่ยแหละ !

มองออกไปนอกบ้านอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นสามีโผล่มาจึงสปริงตัวลุกขึ้นยืน จะเดินปึงปังกลับขึ้นไปชั้นบน ล็อคประตูห้องนอนปล่อยให้เขานอนหง่าวที่ชั้นล่างให้รู้แล้วรู้รอด

แค่คิดเสียงแตรรถก็ดังฝ่าสายฝนทะลุโสตประสาทหู หันขวับไปมองแล้วต้องแยกเขี้ยวออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นรถของสามี ผิดนัดแถมยังโกหกกันอีกยังหวังจะให้หล่อนออกไปเปิดประตูรั้วให้เหรอ ฝันไปเถอะ !

ว่าแล้วลลนาก็ซอยเท้าขึ้นบันไดหายเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงเอาหมอนอุดหูทั้งสองข้าง ไม่สนใจว่านทีจะบีบแตรเรียกดังไล่หลังมาอีกกี่พันครั้ง เวลานี้หล่อนโกรธและไม่แม้แต่จะอยากเห็นหน้าเขา ต่อให้นทีขับรถพุ่งชนประตูรั้วเข้ามาหล่อนก็จะนอนอุดหูอยู่บนเตียงเนี่ยแหละ

เสียงแตรรถเงียบไปแล้ว คาดว่าเขาคงตัดใจลงมาเปิดประตูรั้วด้วยตัวเอง ได้ยินเสียงรถเขาขับเคลื่อนเข้ามาในบ้าน

สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูรถปิดดังปัง เขาคงโมโหหล่อนเหมือนกันที่ไม่ยอมออกไปเปิดประตูรั้วให้

คาดการณ์ผิดเสียที่ไหน เพราะไม่ถึงนาทีคนด้านนอกก็ตรงรี่มาเคาะประตูห้องเรียก “นา ! คุณอยู่ในห้องรึเปล่า นา !”

ลลนาได้แต่เอาหมอนอุดหู ทำเหมือนเสียงเขาเป็นเสียงแมงหวี่แมงวัน หากนทีไม่ยอมลดละเช่นกัน ยังคงเคาะประตูอยู่อย่างนั้น แต่แล้วคนบนเตียงกลับเด้งตัวผางเมื่อได้ยินเสียงกุญแจดังมาจากนอกห้อง ลืมไปเสียสนิทว่าทั้งเขาและหล่อนมีกุญแจบ้านกันคนละพวง เขาใช้กุญแจไขเข้าห้องนอนได้สบายๆ อยู่แล้ว

ประตูถูกกระชากเปิดออก คราเดียวกับที่ลลนากำลังจะก้าวลงจากเตียงไปผลักประตูกันเขาเข้ามา

“ลลนา...” นทีเรียกชื่อภรรยาอย่างอ่อนใจ

เห็นเขาพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด “หลบมาอยู่ในห้องนอนนี่เอง ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่นึกว่าเย็นป่านนี้แล้วคุณยังไม่กลับถึงบ้าน”

ลลนามองตาขวางมาที่สามี สภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัวกับผมลีบไม่เป็นทรงนั้น เข้าใจว่าเขาโดนฝนตอนวิ่งฝ่าสายฝนมาเปิดประตูรั้วเองนั่นแหละ แต่ยามนี้ความสงสารไม่มีให้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงลลนาทำท่าจะแทรกตัวผ่านหน้าเขาออกจากห้องไปเสียดื้อๆ ร้อนถึงสามีรั้งแขนไว้ แต่กลับถูกลลนาสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุมของเขา เลี่ยงไปยืนหลบหน้าระเบียงชั้นสอง

อาการงอนเป็นเด็กนั้นทำให้นทีถอนใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ เข้ามาโอบเอวภรรยาจากด้านหลังง้อ “ผมขอโทษที่ไปรับคุณไม่ได้ เผอิญยัยจอมเป็นลมผมเลยพาแกไปหาหมอ”

“เป็นลม ?” ลลนาทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “แน่ใจเหรอคะทีว่าเป็นเพราะน้องจอมที่ทำให้คุณไปรับฉันไม่ได้”

ลลนาพยายามดึงมือสามีออกจากเอวแต่อีกฝ่ายแรงเยอะกว่ามากจึงได้แต่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดเขา ตัวเปียกแล้วยังมาแตะต้องหล่อนอีก !

คำถามแปลกๆ นั้นทำให้นทีนิ่งไปชั่วขณะคล้ายทบทวนสิ่งที่ภรรยาพูด แต่ก็กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ยอมปล่อยลลนาเป็นอิสระ ได้ทีสาวเจ้าจึงตั้งท่าจะเดินหนีลงบันไดแต่กลับถูกเขารั้งไว้ตามเคย “คุณพูดอะไรของคุณ ผมไม่เห็นเข้าใจ”

ลลนายิ้มขื่นออกมาพยายามรวบรวมสติ หันมาเผชิญหน้ากับเขา คำรายงานของสาวใช้ยังดังก้องในหัวสมอง “เมื่อเย็นคุณหายไปไหนมาคะที”

“เมื่อเย็น ?” คราวนี้เป็นเขาที่ทวนคำหล่อน “ผมบอกคุณแล้วไงว่าพายัยจอมไปหาหมอ เออ...หลังจากผมส่งคุณที่บริษัทตอนเช้า ผมก็พายัยจอมไปที่สตูดิโอด้วยกันน่ะ ทีแรกตั้งใจว่าหลังจากเสร็จงานแล้วจะพาแกไปทานไอศกรีมฉลองวันเกิด...แต่เผอิญเราสองคนมีปัญหากันนิดหน่อยเลยต้องไปส่งแกที่บ้าน” ประโยคท้ายนทีคล้ายงึมงำกับตัวเองมากกว่าบอกภรรยา

ปล่อยให้ความเงียบครอบงำได้ไม่นาน เป็นนทีที่เหลือบมองภรรยาเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ “คุณถามผมทำไมเหรอ”

สิ่งที่เขาเล่ามาทำให้ลลนาเริ่มเขว ไม่ยอมสบตาสามี “ฉัน...เออ...ฉันโทร.ไปถามอาการน้องจอมที่บ้านคุณมาน่ะค่ะ ละ...แล้วเผอิญคนที่บ้านคุณบอกฉันว่าไม่เห็นคุณไปที่บ้านนั้น น้องจอมเองก็นอนเล่นอยู่ในห้อง ฉันเลยนึกว่าคุณ...”

“โธ่นา...” ได้ยินภรรยาสารภาพเสียงอ่อยสามีเลยยิ้มออก “ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร คนที่บ้านนั้นไม่รู้หรอกว่าผมมาเพราะผมส่งยัยจอมแค่หน้าบ้าน”

“แต่ยังไงฉันก็ยังไม่ไว้ใจคุณอยู่ดี” ลลนายังคงค้าน

เลยถูกสามีเขกศีรษะเข้าให้อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู เรียกเสียงโอยจากภรรยา “อะไรกันคะที นาเจ็บนะ”

“ก็เขกให้เจ็บน่ะสิ คุณนี่ชอบคิดมากไม่เข้าเรื่อง ผมแต่งงานกับคุณแล้วนะ จะไปมีใครที่ไหนมาเพิ่มให้ปวดหัวอีกทำไม ไปเลยกลับไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วนทีก็โอบร่างเล็กเป็นนัยบังคับให้กลับเข้าห้องนอนไปด้วยกัน “วันนี้เรามีนัดทานข้าวมื้อค่ำด้วยกัน คุณลืมไปแล้วรึไง”

ลลนาหัวเราะเล็กน้อยรับแววตาคาดโทษของสามี ยอมตามเข้าห้องนอนไปอย่างว่าง่าย






***************************






ใช้เวลาไม่นาน ร่างบางที่เคยอยู่ในชุดลำลองบัดนี้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาอยู่ในชุดเดรสน่ารักด้วยแขนตุ๊กตาผ้าชีฟองสีหวานลายดอกไม้ เสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมพร้อมออกไปทานข้าวมื้อค่ำ ขณะที่สามีเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ มีเพียงผ้าขนหนูผืนใหญ่พันกาย นทีต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพราะพิษรักแรงหึงของภรรยานั่นแหละที่งอนไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้เขาเลยต้องเปียกฝนเข้าบ้าน

นทีจูบไหล่เนียนซึ่งมีเพียงสายผ้าเส้นเล็กๆ พาดผ่านเปลือยไหล่พอชมเล็กน้อย “วันนี้คุณแต่งตัวน่ารักจัง จะยั่วผมเหรอ”

ลลนาเพียงยิ้มๆ ยังคงนั่งแปรงผมยาวสลวยหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ครางค้านเมื่อจมูกซนของเขาซุกไซ้ที่ซอกคอและทำท่าจะบรรเลงบทรักอีกครั้ง ลุกหนีมาที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกเสื้อกับกางเกงให้เขา ภาพของชายหนุ่มข้างกายที่มองมาด้วยแววตาละห้อยเรียกรอยยิ้มขันจากภรรยา ก่อนหยิบเสื้อเชิ้ตลายทางตัวใหม่ล่าสุดที่หล่อนเพิ่งซื้อให้เขาออกมาแขวนไว้หน้าตู้

นทีไม่เกี่ยงงอน เขายอมใส่เสื้อที่หล่อนเลือกให้อย่างว่าง่าย บางครั้งเขาก็ทำตัวเป็นสามีที่น่ารักเกินเหตุ !

รถขับเคลื่อนสีน้ำเงินเคลื่อนตัวออกจากบ้านจัดสรรสองชั้นในเวลาถัดมา ภายในรถสามีของหล่อนไม่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมนานนักหรอก เขาหยิบแผ่นเพลงสากลรวมเพลงนักร้องดังใส่ในเครื่องเล่นซีดี ตลอดทางจึงได้ยินเสียงภรรยาฮัมเพลงอย่างมีความสุข กระทั่งถึงจุดเลี้ยวบนถนนใหญ่

“เอ...นี่ไม่ใช่ทางที่จะไปร้านริมแม่น้ำร้านนั้นนี่คะที” ลลนาถามเมื่อเห็นสามีเลี้ยวรถไปคนละทิศกับร้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านที่เขาเคยพาหล่อนไปทานมื้อกลางวันด้วยกันตอนที่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ

นทีมีสีหน้ายุ่งเล็กน้อย เพราะเขากำลังกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ใครบางคนในโทรศัพท์มือถือ “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมแฟ้มบัญชีรายรับรายจ่ายเดือนนี้ไว้ที่สตูดิโอน่ะ”

“แต่นี่ดึกมากแล้วนะคะ ฉันหิวแล้วด้วย” ลลนากลัวเขาไม่เชื่อ ลูบท้องยืนยัน “เราทานกันเสร็จแล้วค่อยมาเอาไม่ได้เหรอคะ”

“แป๊บเดียวเองนา ดีกว่าขับย้อนไปย้อนมาให้เสียเวลา” สามีตอบพลางกดเบอร์ที่ต้องการ รอสาย

“แต่ฉันเป็นเจ้าของวันเกิดนะคะที” ภรรยาเริ่มเสียงเข้มเหมือนทุกคราวยามที่ไม่พอใจเขา

หากนทีไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เขาทำเหมือนเสียงของหล่อนเป็นลมพัดผ่านหูทันทีที่ได้ยินคนในสายตอบกลับมา เขาคงคุยกับลูกจ้างคนใดคนหนึ่งถึงเรื่องแฟ้มที่เขาจะกลับไปเอา และนั่นทำให้ลลนาหน้าบูดสนิท กอดอกมองออกไปนอกรถแทนหน้าคนขับ

แป๊บเดียวอย่างที่เขาว่า พอนทีวางสายรถก็เทียบจอดริมฟุตปาธหน้าร้าน จะก้าวลงจากรถแต่ไม่ลืมหันมาบอกภรรยาว่า “เดี๋ยวผมมา คุณอย่าลืมล็อคประตูล่ะ”

ลลนาไม่ตอบนอกจากมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับเขาเป็นธาตุอากาศ อาการงอนขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำให้สามีถอนใจเอือม พอเห็นเขาปิดประตูรถเท่านั้นแหละลลนาถึงกับใจหายวาบ โกรธที่เขาไม่ง้อเหมือนกันแต่เงาสะท้อนในกระจกเมื่อครู่ทำให้หล่อนเปลี่ยนใจ รีบลงรถตามเขาออกมา

เอ่ยอึกอักเล็กน้อย เพราะภาพของสามีที่ส่ายหน้าระอาในเงาสะท้อนยังติดตา “คะ...ใครบอกว่าฉันจะนั่งรอคุณในรถล่ะคะ ฉะ...ฉันจะตามไปด้วยต่างหาก ถ้าฉันเห็นคุณซ่อนสาวไว้ในร้านล่ะก็น่าดู !” ว่าแล้วลลนาก็สะบัดหน้าใส่สามี

นทีส่ายหน้าระอาให้กับอาการงอนไม่เข้าเรื่องของภรรยาก่อนเดินผ่านลลนาขึ้นบันไดขั้นเล็กๆ ไปยังหน้าประตูร้าน แปลกใจที่เห็นสามีงมหาอะไรบางอย่างในกระถางต้นไม้ข้างประตูร้าน ด้วยความที่ฝนเพิ่งหยุดตกทำให้ตามใบสนยังมีหยดน้ำเกาะพราว ดินที่แฉะชื้นนั้นดูจะสร้างความลำบากให้กับนทีอยู่บ้างถึงได้ทุลักทุเลที่จะหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา

เขาคงเห็นว่าภรรยาแอบมองมาจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผมไม่ได้เอากุญแจร้านมาจากบ้านน่ะ”

ลลนาทำเป็นมองฟ้ามองดินไปเรื่อยเปื่อย กระจ่างตั้งแต่เห็นนทีหยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมาไขประตูแล้ว ที่แท้สามีก็ซ่อนกุญแจร้านไว้ใต้โคนต้นสน

เขาหายเข้าไปในร้านปล่อยให้ลลนายืนเคว้ง อยากตามเข้าไปแต่ก็กลัวอีกฝ่ายได้ใจจึงเลือกยืนรออยู่ที่เดิม ยังดีที่คนในร้านเปิดไฟเสียสว่างโร่หล่อนจึงไม่ต้องจมอยู่ในความมืดเพียงลำพัง

โอบกอดตัวเองเมื่อสัมผัสได้ถึงลมเย็นยามค่ำพัดผ่านไป เสียงกรุ๋งกริ๋งที่ดังมาจากหน้าร้านทำให้ลลนาหันมอง

เพิ่งสังเกตเห็นว่าประตูร้านเจ้าของอุตส่าห์แขวนโมบายเล็กๆ เอาไว้ มีภาพถ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวประดับอยู่ตามตัวโมบายหมุนล้อลม

นานมาแล้วที่หล่อนแทบไม่ได้แวะเวียนมาที่ร้านสตูดิโอแห่งนี้เลยตั้งแต่แต่งงานกับนที หน้าร้านสตูดิโอเป็นบานกระจกใสทำให้ลลนาเห็นภายในร้านเจนตา ยอมรับว่านทีจัดร้านได้สวยสะดุดตาไม่น้อย ด้วยทางเข้าที่เป็นบันไดขั้นเล็กกับกระถางต้นสนสองใบตั้งวางขนาบข้างนำเข้าสู่ตัวร้าน กระจกหน้าร้านมีภาพถ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวขนาดใหญ่ที่ถ่ายคู่กันในศาลากลางสวนหย่อมตั้งวางเป็นฉากหลัง

คลี่ยิ้มจางๆ ออกมายามหยุดสายตาที่ชุดเจ้าสาวสีขาวที่สวมใส่บนเรือนร่างของหุ่นหน้ากระจกเคียงข้างภาพถ่ายภาพนั้น...อดหวนนึกถึงวันแต่งงานของหล่อนกับเขาไม่ได้

“ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้ !”

ลลนาสะดุ้งโหยง หันขวับมาหาเจ้าของเสียงด้านหลังที่ทำลายความเงียบพลัน หากทว่า...หล่อนกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หญิงชราจากไหนไม่รู้เข้ามาเขย่าร่างหล่อนอย่างคนบ้าคลั่ง “เจ้ามันตัวซวย ออกไป ! ออกไป !”

“นี่มันอะไรกันคะเนี่ยคุณยาย ปล่อยฉันนะคะ”

ตั้งสติได้จึงพยายามดึงมือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นออกจากการเกาะกุม แต่หญิงชราแปลกหน้าผู้นั้นไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้จับแขนหล่อนไว้มั่น และไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยง่ายๆ จนตอนนี้ลลนารู้สึกเจ็บที่ต้นแขนเพราะแรงบีบของคนคลั่งตรงหน้า

“สามีของเจ้าต้องตาย ต้องตาย”

“เกิดอะไรขึ้นน่ะนา !” เสียงเอะอะโวยวายทำให้คนที่อยู่ในร้านกระโจนพรวดออกมา ช่วยภรรยาหลุดจากพันธนาการของหญิงชราแทบไม่ทัน

หากยังไม่ทันที่นทีจะออกแรงคนคลั่งกลับผละออกห่างพลัน

“คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” นทีสบโอกาสหญิงชราปล่อยมือดึงภรรยามาแนบกาย

ลลนายังคงจับจ้องคนคลั่งด้วยอาการหวาดผวา น่าแปลก...ที่หญิงชราผู้นั้นนิ่งลงถนัดตา อารมณ์เกรี้ยวดั่งพายุเมื่อครู่เหลือเพียงร่างที่สั่นเทาและมีแววตื่นกลัวอยู่ในทียามมองมาที่นที “ไม่จริง ขะ...ข้าเตือนเจ้าแล้ว สะ...สามี...สามีของเจ้าต้องตาย ออกไปจากชีวิตเขาซะ !”

“ยายพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”

จู่ๆ นัยน์ตาหวาดกลัวคู่นั้นกลับจ้องเขม็งมายังลลนา เล่นเอาคนถูกจ้องต้องผลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบมอง

นทีเองคงรับรู้ถึงอาการแปลกของสาวในอ้อมแขนถึงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเป็นเชิงปลอบ พยายามควบคุมอารมณ์โกรธที่พุ่งพล่านในตัวไม่ให้ทำร้ายคนแก่ตรงหน้า แต่ไม่รอให้ถูกไล่กลับเป็นหญิงชราที่หนีห่างออกไปเอง

“เป็นอะไรรึเปล่านา” นทีถามเมื่อเห็นดวงหน้าเรียวได้รูปที่เคยสวยสะดุดตา ยามนี้...ซีดเผือดจนน่าใจหาย

ลลนาส่ายหน้าแทนคำตอบ ยังคงมองตามร่างที่คุ้มงอตามอายุขัยกับท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของหญิงชราที่ยังคงจ้องมองมายังหล่อนด้วยแววตาหวาดกลัวเช่นกัน จนหายลับตาไปยังมุมถนนใกล้ๆ ลลนาถึงกับโล่งอก เพิ่งรู้ตัวว่าเกาะเอวเขาแน่นจึงเขยิบกายออกห่าง ปาดเหงื่อที่เริ่มซึมตามหน้าผาก ตกใจตัวเองเหมือนกันที่มือเย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอเห็นเขายังคงมองมาไม่วางตาลลนาจึงพาเปลี่ยนเรื่อง “ได้เอกสารมาแล้วเหรอคะที”

นทีครางรับในลำคอ เป็นห่วงภรรยาสุดหัวใจแต่เมื่อเห็นว่าหล่อนตั้งหลักได้แล้วถึงยอมปล่อยเป็นอิสระ อดโมโหไม่ได้ “ทำไมคุณไม่ตามผมเข้าไปในร้าน”

“ฉัน...” ได้ยินสามีเอ่ยเสียงเข้มกลับมาภรรยาเลยได้แต่อ้ำอึ้ง “ฉันไม่อยากเข้าไปเกะกะคุณน่ะค่ะ”

“โธ่นา ร้านออกจะกว้างขวางคุณจะเกะกะผมได้ยังไง มืดๆ แบบนี้ดีแค่ไหนที่ไม่มีโจรมาทำร้าย”

“แต่ฉันไม่เป็นอะไรเสียหน่อย” ภรรยาค้านเสียงอ่อย

และนั่นทำให้นทีถอนใจดังพรืด เท้าสะเอวมองกำราบภรรยาอยู่ในที “เมื่อไหร่คุณจะเลิกรั้นเป็นเด็กๆ เสียที ถ้าเมื่อกี้ผมมาช่วยคุณไม่ทัน ป่านนี้ยายแก่คนนั้นไม่บีบคอคุณไปแล้วรึไง”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉะ...ฉันแค่ยืนรอคุณอยู่หน้าร้านเฉยๆ จู่ๆ แกก็เข้ามาอาละวาด” ลลนายังจำแววตาสุดท้ายที่หญิงชราผู้นั้นมองมาได้ติดตา ดวงตาดำที่ขุ่นมัวแทบเป็นเนื้อเดียวกับตาขาวเบิกกว้างจนน่ากลัวทำให้ลลนากลืนน้ำลายลงคออย่างยาก

สิ่งที่หญิงชราพูดมาฟังดูไม่ดีเอาเสียเลย “ว่าแต่คุณเถอะค่ะ ฉันนึกว่าคุณรู้จักยายเขาเสียอีก”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมรู้จักยายสติไม่ดีคนนั้น” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เมื่อครู่ถ้าไม่ติดว่าเด็กสาวผู้นั้นผงกศีรษะปรกๆ ขอโทษเขาอาจพลั้งมือทำร้ายร่างกายคนแก่ไปแล้วก็เป็นได้ !

เรื่องอะไรมาแช่งเขา

สีหน้ายุ่งที่ปรากฏให้เห็นทำให้ลลนายิ้มเหยเกออกมา เป็นนทีที่โบกปัดไปมาในอากาศอย่างไม่ใส่ใจที่จะฟังคำตอบของภรรยา หายเข้าไปในร้านไม่นานก็ออกมาพร้อมแฟ้มเอกสารก่อนจูงมือสาวเจ้าข้ามถนนกลับไปที่รถ






*************************


โทรศัพท์มือถือถูกวางลงบนโต๊ะทำงานเมื่อบทสนทนาจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ลลนายังคงมองโทรศัพท์บนโต๊ะราวกับต้องการมองทะลุผ่านไปถึงคู่สนทนาเมื่อครู่ มีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจช้าแต่หนักหน่วงเลื่อนลอยไปตามอากาศ

ความอึมครึมรอบกายถูกทำลายลงด้วยเสียงใสๆ ของเพื่อนสาวที่เดินมาหาถึงโต๊ะทำงาน “ฉันกลับก่อนนะนา เดี๋ยวฝนตกแล้วรถติดน่ะ”

“เดี๋ยวสิฟ้า”

เสียงเรียกของลลนารั้งคนที่ทำท่าจะก้าวผ่านชะงักงัน ขณะที่คนรั้งมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดครึ้มมาแต่ไกลไม่ต่างจากเมื่อเย็นวานเลย เรียกเสียงถอนใจจากลลนาอีกเฮือกใหญ่เอ่ยเสียงอ่อยอยู่ในที “...ฉันกลับด้วยคนได้มั้ย”

“แล้วคุณทีล่ะ เขาจะมารับแกนี่นา”

ชื่อของคนในสายเมื่อครู่ทำให้ลลนาเงียบไปชั่วขณะ ความน้อยใจที่เพิ่งเลือนหายแล่นผ่านเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง นทีนั้นโทรศัพท์มาบอกหล่อนว่ายังติดงานที่สตูดิโอเลยอยากให้หล่อนกลับไปรอที่บ้าน หากความรู้สึกบางอย่างบอกหล่อนว่า...นั่นเป็นเพียงข้ออ้างของเขาเท่านั้น

ยิ้มให้เพื่อนฝาดเฝื่อนแทนคำตอบ สีหน้าหมองนั้นทำให้ฟ้าใหม่ใจหายอย่างบอกไม่ถูก “ตามใจแกแล้วกัน งั้นฉันไปรอที่หน้าแผนกนะ เร็วๆ ล่ะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”

“ขอบใจนะฟ้า” ลลนายิ้มขอบคุณเพื่อนพลางปาดน้ำตาที่เริ่มระรื้นขึ้นที่ขอบตา

กลัวเพื่อนจะเปลี่ยนใจจึงรีบเก็บงานบนโต๊ะทำงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนคว้ากระเป๋าสะพายตามเพื่อนสาวเข้าลิฟท์ไปยังชั้นใต้ดินของบริษัท ร่างอวบที่เดินพลิ้วจนลืมอ้วนออกมาจากลิฟท์นั้นทำให้ลลนาต้องสาวเท้าไวกว่าปกติ ฟ้าใหม่ท่าทางจะรีบจริงเพราะแม่คุณเล่นก้าวถี่ราวเหาะ

อาการเร่งรีบของเพื่อนทำให้ลลนารู้สึกแย่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าหล่อนอาศัยรถของนทีมาในตอนเช้าก็คงไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนให้เดือดร้อน

ฟ้าใหม่ขับรถออกจากบริษัทในเวลาถัดมา หากเส้นทางที่รถขับเคลื่อนไปนั้นไม่ใช่ถนนไปบ้านของลลนาแต่เป็นบ้านจัดสรรสองชั้นหลังหนึ่งที่นานทีฟ้าใหม่จะได้มีโอกาสแวะเวียนมาสักครั้งด้วยคำเชิญชวนของเพื่อนสาว

“แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” ฟ้าใหม่ถามเมื่อขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วบ้านศิรวิทย์

ลลนาส่ายหน้าเนือยแทนคำตอบพลางทอดมองไปยังตัวบ้าน หล่อนเป็นคนขอร้องให้เพื่อนพามาหาบิดามารดาที่บ้านหลังนี้เอง...อย่างน้อยการได้เห็นหน้าพวกท่านอาจทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง หากลลนาต้องผิดหวัง เพราะภายในบ้านที่มืดสลัวไร้แสงไฟไม่ต่างจากหน้าบ้านที่มืดสนิทบ่งบอกได้ดีว่าดำรงและเกวลิน...บิดาและมารดาของหล่อนยังไม่กลับบ้าน

สีหน้าไม่สู้ดีนั้นทำให้ฟ้าใหม่ต้องบีบมือเพื่อนสาวที่กำลังกุมมือตัวเอง คล้ายให้กำลังใจ “จะรอรึเปล่านา”

“ถ้าแกไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ฉันรอคนเดียวได้”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เห็นลลนาทำท่าจะเปิดประตูรถลงไปเสียเดี๋ยวนั้นร้อนถึงฟ้าใหม่คว้าแขนรั้งไว้ “เป็นอะไรของแกเนี่ย ถามแค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้”

“ฉันไม่ได้น้อยใจ แต่ฉันเกรงใจแกต่างหาก เออ...” ลลนามีสีหน้ากระอักกระอ่วนให้เห็น “...ฉันพูดจริงๆ นะฟ้า ถ้าแกรีบไม่ต้องห่วงฉัน ฉันกลับเองได้จริงๆ” เมื่อก่อนหล่อนยังกลับบ้านเองได้เลย กับแค่ไม่มีสามีคอยมารับมาส่งเหมือนเคยจะเป็นไรไป

ลลนาเอาแต่ค้านเสียงแข็งฟ้าใหม่เลยถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจ “ไม่ต้องมาปิดบังฉันหรอกยัยนา ชีวิตนี้แกทุกข์ใจเป็นอยู่กี่เรื่องกัน ฉันว่าพักหลังมานี้แกมีปัญหากับคุณทีบ่อยขึ้นนะ เป็นเพราะไม่ค่อยมีเวลาให้กันรึเปล่า”

คำถามจี้จุดนั้นไม่ต่างจากฟ้าใหม่เอาเข็มแหลมเล็กมาทิ่มแทงหัวใจของหล่อนที่บอบช้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สร้างบาดแผลให้ฝังลึกในหัวใจอีกครั้ง น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกลับระรื้นขึ้นที่ขอบตาอย่างยากที่จะควบคุม ยามนี้หล่อนอยากระบายให้ใครสักคนได้ฟัง ไม่แปลกที่ลลนาจะเอ่ยพรั่งพรูออกมาจนคนฟังตั้งหลักไม่ทัน “มะ...ไม่รู้สิฟ้า ตอนนี้ฉันสับสนไปหมด บางครั้งทีเขาก็ดูแลฉันดีเสียจนฉันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาคงรักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากฉัน แต่บางครั้ง...บางครั้งเขาก็ทำเหมือนฉันเป็นส่วนเกินในชีวิตของเขา”

“ไม่เอาน่ะนา คิดมากไปแล้ว”

ลลนาส่ายหน้าจนผมลงมาปรกหน้าปรกตา “ฉันไม่ได้คิดมากนะฟ้า อย่างเมื่อวานที่เขานัดกับฉันว่าจะมารับฉันไปดินเนอร์ด้วยกัน ขะ...เขาก็เกิดต้องพาหลานของเขาไปหาหมอ แล้วดูวันนี้สิฟ้า ทั้งๆ ที่เขานัดฉันไว้แท้ๆ ว่าจะแก้ตัวพาฉันไปทานข้าวด้วยกันเย็นนี้ เขาก็กลับเห็นงานสำคัญกว่าฉัน...ฉันไม่เข้าใจทีเลยจริงๆ”

“แกใจเย็นๆ” เห็นน้ำตาเพื่อนไหลพรากคนปลอบเลยพลอยใจเสียไปด้วย “ฉันว่าปัญหาของแกไม่มีอะไรมากหรอก พูดตามตรงนะนา บางทีแกก็ชอบทำตัวงี่เง่า งอนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย...เออ...ฉะ...ฉันขอโทษ” ประโยคท้ายอึกอักเมื่อเห็นคนร้องไห้หน้าเสียหนักกว่าเดิม

ลลนาส่ายหน้าพลางปาดน้ำตาทิ้งทั้งที่ยังสะอื้นไห้ จะว่าไปหล่อนก็ทำตัวงี่เง่าอย่างที่ฟ้าใหม่ว่าจริงนั่นแหละ

เมื่อคืนแค่นทีไม่ยอมพาหล่อนไปทานข้าวก่อนไปเอาแฟ้มเอกสารที่ร้านไม่รู้ทำไมหล่อนถึงต้องหัวเสียมากมายขนาดนั้นด้วย แถมหลังจากที่เขาได้แฟ้มเอกสารในร้านสตูดิโอมาครองเรียบร้อยหล่อนก็กลับเป็นคนปฏิเสธการดินเนอร์กับเขาเสียเอง ส่วนนทีน่ะเหรอ เขาไม่ได้เอ่ยค้านแต่อย่างใด

...ไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะเอือมระอากับนิสัยเอาแต่ใจของหล่อน

เป็นฟ้าใหม่เขย่าร่างบางคล้ายกล่อม “โธ่ไอ้นา...ทางที่ดีฉันว่าแกเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ นิสัยเอาแต่ใจให้เลิกเสีย ถ้าแกทำตัวน่ารักขึ้นทีเขาอาจจะกลับมาสนใจแกมากขึ้นก็เป็นได้”

“แต่ฉันเป็นอย่างนี้ของฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ ถ้าทีเขารับไม่ได้ก็ไม่ควรมาแต่งงานกับฉัน”

“เอาเข้าไป” ได้ยินเพื่อนค้านเสียงแข็งกลับมาเล่นเอาคนปลอบกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ “ก็แกเป็นเสียอย่างนี้แล้วจะให้ทีเขามารักหวานชื่นกับแกเหมือนตอนเพิ่งจีบกันใหม่ๆ ได้ยังไง อย่าลืมนะนาว่าตอนนี้แกกับเขาแต่งงานกันแล้ว

ชีวิตคู่...ไม่ได้หวานชื่นตลอดไปหรอกนะ ข้อนี้แกน่าจะรู้ดีกว่าฉัน ก่อนแต่งงานอาจคบกันแบบคนรัก แต่พออยู่ๆ กันไปความรักแบบหนุ่มสาวมันไม่ได้ช่วยให้แกกับเขาอยู่กันยืด ความเข้าใจกันต่างหากที่ช่วยประคองชีวิตคู่ระหว่างแกกับทีไว้ได้”

เมื่อเห็นลลนานิ่งลงจึงเอ่ยต่อว่า “แกเชื่อฉันสิ หลังจากนี้ไปไม่นานแกกับเขาก็จะไม่ค่อยหวานชื่นกันแล้วล่ะ เผลอๆ อาจกลายเป็นคบกันแบบพี่น้อง แบบเพื่อนรู้ใจกันไปเสียมากกว่า”

ลลนายังคงเงียบ น้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มนั้นถูกเจ้าตัวปาดทิ้งตั้งแต่ได้ยินคำเทศนายาวของเพื่อนแล้ว

ที่เหลืออยู่มีเพียงแรงสะอื้น “ขอบคุณนะฟ้า ฉัน...ฉันจะพยายาม”

“อย่าแค่พยายามจ้ะแต่กรุณาลงมือทำด้วย”

เห็นลลนาคลี่ยิ้มออกมาได้เพื่อนสาวจึงกลับไปสนใจพวงมาลัยตรงหน้า ก่อนออกรถยังอุตส่าห์ส่องกระจกมองหลังดูความสวยของตัวเองแล้วต้องหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางในกระเป๋าสะพายขึ้นมาแปลงโฉมหน้าตัวเองให้ดูผ่อง

คนที่หันหน้าไปมามองตัวเองทุกมุมผ่านกระจกทำให้ลลนายิ้มขันออกมา

แม้ว่าฟ้าใหม่จะเป็นสาวร่างท้วมที่แต่งตัวไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยแม้แต่ผ่านประสบการณ์การแต่งงานมาก่อนด้วยซ้ำ หากไม่นึกว่าเรื่องของชีวิตคู่ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดละอ่อนทางจิตใจเช่นนี้กลับเป็นเพื่อนสาวที่เข้าใจดีกว่าคนที่แต่งงานแล้วอย่างหล่อนเสียอีก

ทันทีที่รถของฟ้าใหม่เทียบจอดหน้าบ้านคุ้นตาลลนาสะดุดตากับรถขับเคลื่อนสีน้ำเงินที่จอดนิ่งอยู่ในโรงจอดรถเคียงข้างรถของหล่อน เข้าใจว่านทีคงกลับมาถึงบ้านก่อนหน้าหล่อนนานแล้ว

เป็นลลนาเองที่ไม่อยากลงจากรถเสียอย่างนั้น “แกพาฉันไปที่อื่นก่อนได้มั้ย”

“นา...” ฟ้าใหม่เสียงเข้มกำราบเพื่อนอยู่ในที “ไหนว่าตกลงกันแล้วไงว่าจะเปลี่ยนตัวเอง”

แต่หล่อนยังไม่พร้อม...ลลนาค้านเพื่อนในใจพลางมองผ่านประตูรั้วเข้าไปยังภายในตัวบ้าน ยอมก้าวลงจากรถทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นนทีเปิดประตูบ้านออกมา สามีของหล่อนดูจะดีใจไม่น้อยถึงได้ตรงรี่มาเปิดประตูรั้วรับ

ขณะที่ฟ้าใหม่ลงจากรถ ย้ายตัวเองมายืนเคียงข้างเพื่อนสาว

ยิ้มทักสามีของลลนา “กลับมาถึงบ้านนานแล้วเหรอคะคุณที”

“เผอิญเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดน่ะครับ” นทีเอ่ยสุภาพตอบหญิงร่างท้วม ก่อนหันมาสนใจภรรยา “ผมขอโทษนะนา ถ้าไม่เรื่องเร่งด่วนจริงผมคงไปรับคุณด้วยตัวเอง ไม่ต้องรบกวนคุณฟ้าแบบนี้ นาไม่ทำให้คุณฟ้าปวดหัวใช่มั้ยครับ” สามีแกล้งหยอกภรรยาเล่นแต่หารู้ไม่ว่าเวลานี้ลลนากำลังพาล

ไม่มีเสียงตอบรับใดจากภรรยา เป็นฟ้าใหม่เอ่ยทีเล่นทีจริงว่า “โอ๊ย ! แม่คนนี้เขาชอบหาเรื่องมาให้ปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวันค่ะ คุณทีเองก็อย่าทิ้งยัยนาไว้ที่ฟ้าบ่อยๆ แล้วกัน อย่าหาว่าฟ้าไม่เตือน”

“คุยกันไปก่อนแล้วกันนะคะ ฉันเข้าบ้านก่อน” จู่ๆ ลลนาก็โพล่งตัดบท

ร้อนถึงฟ้าใหม่ต้องดึงมือเพื่อนไว้เตือนสติ “ฉันบอกไว้ว่ายังไงฮึยัยนา”

“ก็ฉันแค่เห็นว่าแกกับทีคุยกันอยู่ฉันเลยไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกิน” ลลนากัดฟันตอบเลียนแบบเพื่อน

อาการผิดปกติของสองสาวมีเหรอชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่เห็น หากนทีทำเป็นเฉยเสียดึงภรรยามาโอบแนบกายตามวิสัยยามที่เขาชอบแกล้งสาวเจ้า เล่นเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงนั้นมองตาเขียวอย่างเอาเรื่องมาที่สามี

แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมปล่อยหล่อนไปง่ายๆ กันเล่า “ขอบคุณนะครับคุณฟ้าที่มาส่งนาแทนผม”

ฟ้าใหม่ถึงกับนิ่งอึ้ง เห็นภาพสวีทหวานของหนุ่มสาวตรงหน้าเจนตาก็วันนี้เองพาลหน้าแดงหูแดง เขินอายเสียเอง

ละล่ำละลักเอ่ยล่าแทบไม่ทัน ไม่ได้สังเกตเห็นหรอกว่ามีแววตาอ้อนวอนของเพื่อนสาวมองมาอย่างขอความช่วยเหลือ พาตัวเองนั่งประจำที่ในรถขับหายไป คล้อยหลังฟ้าใหม่หายลับตาไปแล้วนั่นแหละลลนาถึงถองเข้าให้ที่ท้องสามีเรียกเสียงโอยจากเขา ปล่อยหล่อนหลุดมือ “คุณมาทำร้ายร่างกายผมทำไม”

“ก็ใครใช้ให้คุณมากอดฉันต่อหน้ายัยฟ้าล่ะคะ” นึกแล้วอดโมโหนทีไม่ได้ พรุ่งนี้มีหวังถูกฟ้าใหม่ล้อตั้งแต่เช้ายันเย็นแน่ๆ

“ไม่เอาน่ะนา คุณโกรธที่ผมไม่ยอมไปรับคุณใช่มั้ย”

“รู้ตัวด้วยเหรอคะ” ลลนาเอ่ยเสียงสะบัด จ้ำอ้าวผ่านหน้าสามีเข้าบ้านไป

นทีสาวเท้าไวเสมอก้าวเล็กๆ นั้น แค่เพียงเท้าแตะพื้นบ้านนทีก็คว้าร่างบางมากอดจากด้านหลัง คราเดียวกับที่เขายื่นช่อดอกไม้ให้หญิงสาว “อย่างอนผมนะนา”

ลลนาหยุดสายตาที่ช่อดอกไม้ตรงหน้า จากตั้งท่าจะอาละวาดใส่กลายเป็นยืนแข็งทื่อให้เขากอดอยู่อย่างนั้น

เป็นนทีที่เอ่ยเบาราวกระซิบที่ข้างหูหญิงสาว “ดอกฟรีเซียแทนคำขอโทษจากผมครับ ผมตั้งใจเอามาให้คุณโดยเฉพาะเลยรู้มั้ย”

“ดอกฟรีเซีย ?” มองด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยรู้จักดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน ดอกฟรีเซียที่เขาว่านั้นมีลักษณะเป็นดอกรูปแตรเรียวโค้งอยู่บนปลายกิ่ง มีสีม่วงปนเหลืองแซมด้วยใบเฟิร์นตัดแต่งรวมเป็นช่อเดียวกัน สะดุดตาเล็กน้อยกับริบบิ้นเส้นเล็กที่ผูกเป็นโบว์สวยสีเข้ากับดอกไม้

จะไม่รับช่อดอกไม้จากเขาหากคำเทศนายาวจนหูชาของเพื่อนในรถเมื่อครู่ทำให้ลลนาเปลี่ยนใจ ยอมรับมาอย่างว่าง่าย รู้สึกจั๊กจี้ยังไงไม่รู้เมื่อมีเสียงทุ้มนั้นครางอ้อนอยู่ข้างหู ไม่นึกว่าสามีจะง้อด้วยวิธีนี้

เห็นภรรยานิ่งลงถนัดตานทีจึงคลายอ้อมกอดเปลี่ยนเป็นหันร่างสาวเจ้าให้กลับมาเผชิญหน้า

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำตัวรั้นเป็นเด็กๆ เสียทีนะลลนา” เขาขยี้ศีรษะหญิงสาวเย้าหล่อนเล่นอย่างเด็กๆ

ลลนามีสีหน้าบูดสนิทแต่ยังยอมให้เขาโยกศีรษะหล่อนเล่นไปมาอยู่อย่างนั้น นับวันสามีชอบมองว่าหล่อนเป็นเด็กอมมืออยู่เรื่อย หล่อนไม่ใช่หลานสาวจอมใจของเขาเสียหน่อย

เบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุมของเขา ยอมรับว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ยามแรกหอมสดชื่นดีอยู่หรอก แต่ถือไปถือมารู้สึกฉุนจนหล่อนเริ่มเวียนหัวเลยวางช่อดอกไม้ไว้บนโต๊ะทานอาหาร หายเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วเผื่อความเย็นของน้ำจะช่วยให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง “จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนรึเปล่าคะที หรือว่าคุณจะไปชุดนี้เลย”

“ผมแต่งอะไรก็หล่อสำหรับคุณอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแต่คุณจะเปลี่ยนรึเปล่า”

ลลนาดื่มน้ำให้พอชื่นใจ ก่อนยิ้มบอกเขาเป็นเชิงขอตัวสามีรู้ดีถึงเข้ามาโอบไหล่ภรรยาพาขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน แต่เพียงแค่ก้าวพ้นบันไดขั้นแรกนทีกลับหยุดกึกสาวในอ้อมแขนเลยพลอยหยุดตามไปด้วย

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แอบเห็นว่ามีเบอร์โทรศัพท์บ้านนรินทร์พรโชว์หราบนหน้าจอ เขาคงเห็นหล่อนมองมาถึงได้ยิ้มเจื่อน ยอมปล่อยภรรยาให้หลุดจากพันธนาการ

ได้ยินนทีคุยอะไรบางอย่างกับคนในสาย ลลนาพยายามไม่ใส่ใจเดินขึ้นบันไดไปหากชื่อของหลานสาวที่โผล่เข้ามาในหัวข้อสนทนาทำให้ลลนาหยุดตัวเองไว้แค่ชานพักบันได สีหน้ายุ่งที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าคมนั้นทำให้ภรรยาอดเป็นห่วงไม่ได้

“มีอะไรรึเปล่าคะที” เอ่ยถามคราเดียวกับที่นทีวางสายจากคนอีกฟาก

สามีไม่ตอบในทันที เท้าสะเอวคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงร้อนรนพิกล “คุณแต่งตัวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมมา”

“ไปไหนคะที” ลลนาจะวิ่งลงบันไดตามเขาออกไป

ทว่าเสียงภรรยาไม่อาจรั้งสามีไว้ได้ นทีหุนหันพลันแล่นออกจากบ้านไปไม่แม้แต่จะหันมองกลับมาหาภรรยาที่ยังคงยืนเคว้งอยู่ด้านหลัง ไม่นานรถขับเคลื่อนสีน้ำเงินก็พุ่งทะยานออกจากบ้านเร็วราวพายุ ปล่อยให้ลลนามองตามสามีไปด้วยแววตาละห้อย #




สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2555, 18:14:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2555, 18:14:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1336





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account