ร้อยเวลาไว้ด้วยรัก: ฉบับปรับปรุง
ความรักของหนุ่มสาวมักลงเอยด้วยการแต่งงาน หากทว่า...สำหรับ ‘ลลนา’สาวแล้วกลับได้เรียนรู้ว่าการแต่งงานเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น ‘นที’...สามีที่หล่อนรักสุดหัวใจถึงได้แอบไปมีหญิงอื่น


หากลลนาเข้าใจดีว่าเขาคงเบื่อเต็มทนกับนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจไม่เข้าท่าอย่างเด็กๆ ของหล่อน และเพราะความรั้น เอาแต่ใจของหล่อนนั่นเองที่ทำให้นทีต้องเกือบสิ้นใจ เพราะช่วยหล่อนไว้จากอุบัติเหตุในกลางดึกคืนหนึ่ง


เมื่อสวรรค์เบื้องบนยื่นข้อเสนอให้ลลนาได้มีโอกาสกลับไปแก้ตัวในอดีตกาลอีกครั้ง

หล่อนจะทำเช่นไร...เพื่อยื้อชีวิตเขาไว้ให้นานที่สุด ตอบแทนความรักที่เขาอดทนมีให้หล่อนเสมอมา

หล่อนจะทำเช่นไร....เมื่อฟื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของ'จอมใจ'...หลานสาวตัวน้อยของเขา !

(เรื่องนี้เคยได้รับตีพิมพ์มาแล้ว แต่รันเห็นว่าเริ่มหาอ่านตามแผงหนังสือยากแล้วด้วยความเสียดายเลยนำมาให้อ่านกันอีกครั้งค่ะ ระหว่างรอเรื่องใหม่ของรันน้า....ติชมได้เช่นเคยค่ะ)
Tags: ย้อนเวลา,รัก,สวรรค์,เด็ก,แก้ไข,สามี,ภรรยา,ปม,แต่งงาน,อบอุ่น,น่ารัก

ตอน: บทที่ 3

บทที่ 3



สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักไม่ได้ช่วยชะลออัตราความเร็วของรถลลนาลงได้เลย หล่อนขับรถไปบนถนนใหญ่มุ่งตรงไปยังบ้านนรินทร์พร

หลังจากที่นทีขับรถหายออกไปลลนาจึงโทรศัพท์ไปที่บ้านหลังนั้น

ก็เบอร์โทรศัพท์สุดท้ายที่โทร.มาหาสามีของหล่อนเป็นเบอร์บ้านเขาไม่ใช่เหรอ

วินาทีแรกที่เนตรดาวรับสาย เสียงของพี่สะใภ้สามีฟังดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย หล่อนว่าจอมใจหายตัวไปจากบ้านเมื่อช่วงเย็นเพราะเหตุนี้เองนทีถึงพุ่งทะยานออกมาจากบ้านโดยไม่คิดจะบอกหล่อนสักคำ เขาคงห่วงกลัวหล่อนจะผิดใจกับเขาเรื่องของหลานสาวอีกก็เป็นได้

ลลนาเปิดไฟเลี้ยวเมื่อเห็นป้ายหมู่บ้านคุ้นตา หากยังไม่ทันที่จะเลี้ยวรถเข้าไปกลับมีรถของใครบางคนสวนทางออกมา แค่เพียงแวบเดียวหล่อนก็จำได้แล้วว่ารถขับเคลื่อนสีน้ำเงินคันนั้นเป็นรถของนที !

แปลกใจเหมือนกันที่เห็นรถของสามีออกมาจากหมู่บ้าน ทั้งที่ในเวลาเช่นนี้เขาควรขับรถไปหาเนตรดาวเพื่อช่วยกันออกตามหาหลานสาวของเขา มือข้างหนึ่งควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายมือข้างที่ว่างจับพวงมาลัยหักเลี้ยวขับตามสามีไป

จะกดเบอร์โทรศัพท์โทร.หาเขาเพื่อถามให้รู้เรื่อง แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับทำให้ลลนาเปลี่ยนใจโทร.หาคนที่บ้านนรินทร์พรแทน

“ว่าไงที มาถึงบ้านพี่แล้วใช่มั้ย” เนตรดาวนั่นเองที่รับสาย

เสียงเอ่ยร้อนรนของพี่สะใภ้สามีที่กรอกเสียงผ่านสายโทรศัพท์มาทำให้ลลนาต้องตั้งหลักเล็กน้อย “เออ...นี่นานะคะพี่เนตร ระ...รอทีไปรับอยู่เหรอคะ” ประโยคท้ายถามไม่ค่อยเต็มเสียง เห็นอยู่ว่านทีเพิ่งขับรถออกมาจากหมู่บ้าน

“ค่ะน้องนา พี่ตกลงกับทีไว้ว่าจะให้เขามารับแล้วออกไปตามหายัยจอมด้วยกัน น้องนา...เออ...แน่ใจนะคะว่าทีออกมาจากบ้านแล้ว คือ...พี่ไม่ได้ไม่เชื่อน้องนานะคะ เพียงแต่พี่คิดว่าระยะทางระหว่างบ้านของน้องนากับบ้านพี่ ทีไม่น่าใช้เวลาเดินทางนานขนาดนี้น่ะค่ะ”

ลลนาอึกอักขึ้นมาทันที จริงอย่างที่เนตรดาวว่ามา หมู่บ้านของหล่อนกับพี่สะใภ้สามีห่างกันไม่มากนักขับรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง แต่จะบอกคนในสายยังไงให้เข้าใจในเมื่อตอนนี้หล่อนเองยังไม่รู้เลยว่านทีคิดอะไรถึงได้เลี้ยวรถออกมาจากหมู่บ้านแทนที่จะไปรับพี่สะใภ้ของเขาตามที่ตกลงไว้ “พี่เนตรใจเย็นๆ นะคะ เอาเป็นว่าตอนนี้นากำลังจะไปบ้านพี่เนตร แต่...เออ...อาจช้าหน่อยนะคะ พี่เนตรพอจะรอ...”

“ไม่เป็นไรค่ะน้องนา เดี๋ยวพี่จะลองโทร.หาทีอีกที สงสัยป่านนี้รายนั้นออกไปตามหาหลานด้วยตัวเองเสียแล้วก็ไม่รู้ ถ้าเขายังมัวแต่โอ้เอ้พี่คงให้คนที่บ้านขับรถพาพี่ไปตระเวนหายัยจอมเอง” สิ้นเสียงเนตรดาวก็วางสายทันที

การที่พี่สะใภ้สามีตัดบทเร็วทำให้ลลนารู้สึกเหมือนตัวเองถูกปล่อยให้ลอยเคว้งอีกครั้ง

ถอดหูฟังโทรศัพท์ไว้บนตักกลับมาสนใจรถตรงหน้าที่ยังคงมุ่งตรงไปข้างหน้า แปลกใจไม่น้อยที่เห็นนทีเลี้ยวรถกลับไปยังเส้นทางเดิมที่เพิ่งจากมา ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นเส้นทางกลับหมู่บ้านของหล่อน ?

หากไม่ปล่อยให้ลลนาสงสัยนานรถขับเคลื่อนสีน้ำเงินก็เทียบจอดริมฟุตปาธใกล้ๆ คนที่ขับรถตามเขามาต้องชะลอความเร็วกะทันหัน ตัดสินใจเทียบจอดห่างจากเขาไปมากพอสมควร รีบก้มต่ำเมื่อเห็นสามีก้าวลงจากรถในเวลาถัดมา โชคดีที่ฟ้ามืดลงแล้วบวกกับฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจึงช่วยอำพรางรถสีดำของลลนาได้ดี มีเพียงแสงไฟริมถนนสองข้างทางให้ความสว่างแก่นที ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม

ลลนามองตามสามีไปแล้วต้องพบว่าเขากำลังเข้าไปในร้านสตูดิโอของเขาเอง

แปลกจัง...ไหนเนตรดาวบอกว่าน้องชายของหล่อนออกมาตามหาหลานไง

เสียงโทรศัพท์กรีดร้องทำลายความเงียบภายในรถ ลลนาสะดุ้งเล็กน้อยเห็นชื่อเพื่อนสาวปรากฏบนหน้าจอจึงกดรับ “ว่าไงฟ้า ถึงบ้านแล้วเหรอ”

ฟ้าใหม่ครางรับในลำคอ “ว่าแต่แกเถอะ ดินเนอร์ไปถึงไหนแล้วจ๊ะ งานนี้ต้องยกความดีให้ฉันนะ อ๊ะ! แต่ฉันไม่ขออะไรมากหรอกแค่แกยอมเล่าเรื่องสวีทหวานระหว่างแกกับทีให้ฉันฟังพรุ่งนี้ก็พอ”

“พอเลยยัยฟ้า เลิกเพ้อได้แล้ว” ลลนาเริ่มรำคาญ ชะเง้อมองหาคนในร้านผ่านบานกระจกรถ แต่ด้วยความที่จอดรถอยู่คนละฝั่งถนนหน้าร้านสตูดิโอทำให้สาวเจ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเสียดื้อๆ “ถ้าแกไม่มีอะไรงั้นวางสายล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังสะกดรอยตามสามีฉันอยู่ไม่มีอารมณ์มาฝันหวานด้วยกับแก”

“หา ! สะกดรอยตาม !” ฟ้าใหม่ถึงกับร้องเสียงหลงเล่นเอาลลนาต้องเอาโทรศัพท์มือถือออกห่าง

เสียงเล็กแหลมของเพื่อนดังทะลุโสตประสาทหู “เบาๆ สิแก เดี๋ยวฉันได้หูหนวกกันพอดี”

“โอ๊ย! ฉันไม่เข้าใจเรื่องระหว่างแกกับทีจริงๆ ตอนก่อนฉันผละจากแกมายังเห็นเขากอดแกแน่นหนึบอยู่เลยคล้อยหลังทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ หรือว่าแกเล่นตัวจนเขาหมั่นไส้หนีไปอีก”

เจอเพื่อนร่ายยาวเป็นน้ำหลากไม่ต่างจากเมื่อช่วงเย็นลลนาจึงกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ กดตัดสายทิ้งเสียเอง เวลานี้ลลนาไม่มีอารมณ์จะมาโต้เถียงคนในสาย หล่อนยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ !

ว่าแล้วก็ควานหาร่มที่เบาะหลัง หันซ้ายหันขวาแน่ใจว่าไม่มีรถวิ่งผ่านแล้วถึงก้าวลงจากรถพร้อมกางร่มบังฝนเดินข้ามถนนดุ่ยๆ ไปยังสตูดิโอถ่ายภาพของสามี หยุดยืนหน้าร้านชั่วครู่คล้ายรวบรวมความกล้า ด้วยความที่เจ้าของร้านไม่ได้ล็อคประตูไว้ลลนาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย มองภายในร้านผ่านประตูบานใสอีกครั้งให้แน่ใจว่าสามีไม่ได้อยู่แถวนั้นจึงก้าวขึ้นบันไดขั้นเล็กอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ผลักบานประตูเข้าไป

ไม่ลืมพักร่มไว้ใต้ชายคาหน้าร้าน ก่อนพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ในร้านเพียงลำพัง

น่าแปลกที่นทีไม่เปิดไฟเหมือนอย่างเคย ทำให้หล่อนต้องเพ่งมองฝ่าความมืดรอบกาย สัมผัสได้ถึงความเงียบที่ปกคลุมทั่วบริเวณ

ลลนาคลำหาที่ยึดเพื่อพาตัวเองเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดมิด ด้วยความที่เลนส์สายตาเริ่มปรับชินกับความมืดทำให้ลลนาเห็นภายในร้านชัดขึ้น โซฟาต้อนรับลูกค้ามุมหนึ่งของร้านกับโต๊ะที่มีนิตยสารวางตั้งอย่างเป็นระเบียบไว้ใต้โต๊ะไร้ซึ่งเงาของคนที่หล่อนตามหา

ลลนามองตามบันไดเวียนกลางร้านที่เชื่อมต่อไปยังชั้นสองแล้วเปลี่ยนใจ ปิดไฟมืดแบบนี้นทีไม่น่าจะขึ้นบันไดไปได้

หุ่นในชุดเจ้าสาวทำให้ลลนาผละมือออกห่าง แล้วลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เพิ่งรู้ตัวว่ามาหยุดยืนอยู่ในส่วนตัดเย็บเสื้อผ้า เห็นได้จากม้วนผ้าที่สุมรวมตั้งวางพิงกำแพงห้องกับโต๊ะทำงานสำหรับตัดเย็บโดยเฉพาะ แต่แล้วแสงสว่างที่พาดเป็นทางยาวฝ่าความมืดมาจากหลังร้านทำให้ลลนาหยุดนิ่ง ได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันดังมาจากมุมนั้น

หล่อนจำได้ขึ้นใจว่าเป็นทางเข้าสตูดิโอถ่ายภาพสำหรับลูกค้า ที่ถูกกั้นเป็นห้องแยกต่างหากด้วยบานประตูโปร่ง

“แต่คุณก็รู้ว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมมีนาอยู่แล้วทั้งคน จะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไง”

เสียงทุ้มที่ดังเล็ดรอดออกมาทำให้ลลนาชะงักฝีเท้า คนที่อยู่ในสตูดิโอไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นสามีของหล่อนอยู่แล้ว และนั่นทำให้ลลนาใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก อยากก้าวต่อไปข้างหน้าแต่ขากลับก้าวไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงเล็กแหลมนั้น “ฉันเข้าใจ และฉันไม่ได้หวังให้คุณเชื่อฉันเช่นกัน แต่มันถึงเวลาแล้วค่ะที...ถึงเวลาของฉันแล้ว...”

ลลนาถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ ทะ...ที่นทีผละจากหล่อนมาดื้อๆ เพื่อมาหาผู้หญิงอีกคนอย่างนั้นเหรอ

ต้องยึดกำแพงไว้ไม่ให้ร่างที่อ่อนแรงทรุดลงกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น ภาพวันที่เขาคุกเข่าขอหล่อนแต่งงานในสตูดิโอหวนเข้ามาในห้วงคำนึง และนั่นทำให้ไหล่บางคุ้มงออย่างคนหมดกำลังหากใช้เรี่ยวแรงที่เหลือพาตัวเองเข้าไปในสตูดิโอ ลลนารู้สึกได้ถึงไอร้อนบริเวณขอบตาและน้ำใสๆ ที่เริ่มระรื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หากทว่า...ลลนากลับหยุดกึกเพียงปากประตู เพราะคนในห้องคือนทีอย่างที่หล่อนคาดไว้ไม่มีผิด แต่เขาไม่ได้คุยกับสาวอีกคนอย่างที่คิด สามีของหล่อน...กำลังกอดหญิงสาวผู้หนึ่งไว้ในอ้อมแขน

“นา !” ดูเหมือนนทีจะตกใจไม่น้อยที่เห็นภรรยายืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงหน้า

หากเขายังคงประคองร่างของสาวบนพื้นไว้ไม่ยอมปล่อย และลลนาเองไม่คิดจะยืนมองภาพบาดตาตรงหน้านานนักหรอก เรี่ยวแรงที่ว่าไม่เหลือแม้แต่พยุงร่างตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคงไม่รู้ฟื้นคืนกลับมาแต่เมื่อไหร่ หนีเขาออกมาจากสตูดิโอเร็วราววิ่ง

เช่นเดียวกับนทีที่วิ่งตามภรรยาออกมาเช่นกัน “นา ! มันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นนะนา ฟังผมก่อน !”

“คุณ...คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้วค่ะที สะ...สิ่งที่ฉันเห็นฟ้องชัดแทนคำพูดทั้งหมดของคุณอยู่แล้ว” ลลนาตะโกนใส่เขาทั้งเสียงสะอื้น ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าเขา นทีน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าสตูดิโอแห่งนี้มีความทรงจำดีๆ ระหว่างเขากับหล่อน เป็นที่ที่เขา...ขอหล่อนแต่งงานไม่ใช่เหรอ ทำไม...ทำไมเขาถึงทำกับหล่อนได้ลงคอ !

ปาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มแต่น้ำตาเจ้ากรรมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลแม้แต่น้อย ภาพเบื้องหน้าจึงพร่ามัวเพราะมองผ่านม่านน้ำตา นทีคว้าแขนหล่อนไว้คล้ายต้องการอธิบายให้ภรรยาเข้าใจหากลลนาไม่ฟังเสียง ปัดมือเขาออกจากการเกาะกุมของเขา ผลักบานประตูร้านออกไป ไม่สนว่านทีจะตะโกนเรียกกี่พันครั้ง ลืมเรื่องเปียกฝนไปเสียสนิท

เวลานี้หล่อนอยากไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่ไม่ต้องเจอหน้าคนใจร้ายอย่างเขา ! ตายจากกันไปเสียได้ยิ่งดี !

“แต่คุณกำลังเข้าใจผมผิด สิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่อย่างที่คุณ...นา ! ระวัง !” จู่ๆ คนที่วิ่งตามหล่อนออกมาตะโกนฝ่าสายฝนเสียงหลง

ลลนาตั้งท่าจะหันกลับมาตะวาดใส่เขา แต่แล้วแสงไฟหน้ารถที่สว่างจ้ามาแต่ไกลทำให้ลลนากรีดร้องลั่น คราเดียวกับที่นทีถลาเข้ามาคว้าตัวภรรยาไว้ จะกระโจนหลบให้พ้นทางหากไม่ทันเสียแล้ว ด้วยสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีทำให้รถตรงหน้าไม่อาจเบรกได้ดังใจ พุ่งเข้าชนร่างของทั้งสองเต็มแรง !

ลลนาและนทีลอยไปอีกฟากหนึ่งของถนน กระเด็นหลุดจากกัน

ล้มลงกับพื้นขณะที่ศีรษะลลนากระแทกพื้นถนนอย่างจัง ยังมีสติพอเหลือบมองสามีที่บัดนี้...นอนแน่นิ่งอยู่ข้างกาย สัมผัสสุดท้ายที่เขากอดหล่อนไว้ก่อนถูกรถชนคือภาพสุดท้ายที่ลลนาจดจำ...ก่อนสิ้นสติไปด้วยกันทั้งคู่






**************************





นี่ฉันอยู่ที่ไหนกัน ?

ลลนาครางถามกับตัวเอง เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน สิ่งที่เห็นคือความเวิ้งว้างว่างเปล่า หากหล่อนกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังงึมงำอยู่รอบกาย คาดว่าเป็นเสียงคนพูดคุยกันสลับกับเสียงแหลมแสบแก้วหูดังเป็นระยะ...คล้ายคลื่นเสียงความถี่ของหัวใจในห้องฉุกเฉิน

“250 จูน !”

“ยังไม่มาเลยค่ะคุณหมอ”

“ขออีกครั้ง ! หนึ่ง สอง สาม เคลียร์ !”

ลูบแขนที่ขนลุกชัน สัมผัสได้ถึงไอเย็นของเมฆหมอกซึ่งปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณจนขาวโพลน น่าแปลก...ที่หล่อนกลับรู้สึกว่าตัวเองเบาหวิวราวนุ่น เท้าสัมผัสถึงความว่างเปล่า มีเพียงอากาศที่ประคองร่างบางให้สามารถทรงตัวอยู่ได้

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังก้องสะท้อนอยู่รอบกายทำให้ลลนาสะดุ้งโหยง เพิ่งรู้สึกว่าเสียงงึมงำเมื่อครู่เงียบหายไปแล้ว

“นั่นเสียงใคร” ลลนาถามเสียงหวั่นอยู่ในทีพลางกวาดตามองไปรอบๆ หวังว่าจะเห็นเจ้าของเสียงปรากฏกายให้เห็นตรงไหนสักแห่งในบริเวณนั้น หากสิ่งที่พบมีแต่กลุ่มหมอกหนาสีขาวกับความว่างเปล่าเช่นเคย

“เราถามว่าเจ้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างไร”

“ฉะ...ฉันไม่รู้” ลลนาตอบได้เท่านั้น พยายามนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เท่าที่จำได้...ครั้งสุดท้ายหล่อนสะกดรอยตามสามีไปยังร้านสตูดิโอถ่ายภาพ ละ...แล้วหลังจากนั้นหล่อนก็เห็นนทีกำลังกอดกับผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ใช่...หล่อนวิ่งหนีนทีออกมาจากร้าน เขาเข้ามาช่วยหล่อนไว้เลยถูกรถชนหมดสติไปด้วยกัน

“ฉันอยากไปหาสามีของฉันแต่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง...เออ...ฉะ...ฉันยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน”

“สวรรค์”

“สวรรค์ ?” ลลนาทวนคำเสียงหลง “อะ...อะไรนะคะ ฉันได้ยินไม่ถนัด”

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ตอนนี้เจ้าอยู่บนสวรรค์ในส่วนที่ชอบมีวิญญาณเร่ร่อนหลงมาบ่อยๆ น่ะ”

“วิญญาณเร่ร่อน ?” ยิ่งฟังลลนาก็ยิ่งงง ต้องก้มมองสารรูปตัวเองให้แน่ใจว่ายังอยู่ครบสามสิบสองหากสัมผัสเบาหวิวใต้เท้าที่ไม่ต่างจากวินาทีแรกที่รู้สึกตัวทำให้ลลนาใจหายวาบ ยะ...อย่าบอกว่านะว่าหล่อนตะ...ตายแล้ว

“ยังหรอก ชะตาเจ้ายังไม่ถึงคาด” การที่คนไร้ตัวตนตอบกลับมาทำให้ลลนาตกใจไม่น้อย

เผลอถอยห่างไปก้าวหนึ่ง แต่เสียงทุ้มที่ดังก้องอยู่รอบกายช่วยเตือนสติเปลี่ยนเป็นยืนแข็งทื่อมองหาต้นเสียงเลิกลั่ก “เออ...หมายความว่ายังไงคะที่ฉันยังไม่ถึงคาด”

“ไม่ต้องตกใจไปลลนา ที่เจ้ามายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้เป็นเพราะดวงจิตของเจ้าหลุดออกจากร่างชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้คนบนโลกมนุษย์กำลังช่วยชีวิตเจ้าอยู่ ถ้าเราส่งเจ้ากลับไปตอนนี้ยังทันเวลา”

“แล้วสามีของฉันล่ะคะ เขาอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า” ในเมื่อหล่อนหลุดออกจากร่างมาได้เขาก็ต้องหลุดออกมาเช่นกัน

“อีกไม่นาน”

คำตอบแสนสั้นของอีกฝ่ายทำให้คนฟังงงงวยเข้าไปใหญ่ ไม่แปลกที่เห็นเครื่องหมายคำถามปรากฏบนดวงหน้าหญิงสาว หากไม่รอให้หล่อนถามเหมือนเคยแสงสว่างสีทองจากไหนไม่รู้ก็สาดส่องลงมายังร่างของหล่อน ต้องยกมือป้องแสงสว่างจ้านั้น แค่เพียงชั่วพริบตาภาพสีขาวโพลนที่เคยรายล้อมอยูรอยกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง

ตั้งสติเล็กน้อยเริ่มตามความเปลี่ยนแปลงที่เบื้องบนนำพาไม่ทัน แต่แล้วลลนากลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างของตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย หากทว่า...ไม่เพียงหล่อนที่กำลังถูกช่วยชีวิต นทีสามีของหล่อนซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคียงข้างทำให้ลลนานิ่งงัน

หมอชุดขาวกับนางพยาบาลกำลังช่วยกันปั้มหัวใจนที ขณะที่คลื่นเสียงหัวใจดังถี่จนแสบแก้วหู

สภาพของสามีที่นอนไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ บนเตียงนั้นอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ใจตกไปที่ตาตุ่มแล้วตั้งแต่เห็นบริเวณศีรษะของเขามีเลือดซึมออกมา

“กลับเข้าร่างของเจ้าไปเสีย” เสียงทุ้มเสียงเดิมดังมาจากเบื้องบนฉุดลลนาตื่นจากภวังค์

เงยหน้าละล่ำละลักเอ่ยทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พูดด้วยนั้นอยู่แห่งหนใด “ทีจะรอดมั้ยคะ ขะ...เขาต้องรอดใช่มั้ย”

“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมลลนา ถึงวันนี้เขาไม่ตายวันหน้าวันหลังเขาก็ต้องจากเจ้าไปอยู่ดี”

“แต่ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะฉัน ฉันทำให้เขาต้องเจ็บปางตาย” ลลนายังคงมองร่างของตัวเองสลับกับร่างของนทีที่กระตุกตามจังหวะการปั้มหัวใจของผู้เป็นหมอ แต่ภาพตรงหน้าช่างพร่ามัวเหลือเกิน เห็นรางๆ เพียงสภาพที่ไร้ซึ่งการตอบสนองของสามี

‘พูดตามตรงนะนา บางทีแกก็ทำตัวไม่น่ารัก ชอบงอนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง...ทางที่ดีฉันว่าแกเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ นิสัยเอาแต่ใจชอบทำตัวเป็นเด็กหัวรั้นให้เลิกเสีย ถ้าแกทำตัวน่ารักขึ้นทีเขาอาจจะกลับมาสนใจแกมากขึ้นก็เป็นได้’ จู่ๆ คำพูดของฟ้าใหม่ในรถเมื่อเย็นก็หวนกลับมาในห้วงคำนึง

ใช่...หล่อนมันทั้งงี่เงา เอาแต่ใจ และยังชอบทำตัวเป็นเด็กหัวรั้นไม่รู้จักโตให้เขาต้องรำคาญอยู่เสมอ

ถ้าวันนี้หล่อนไม่วิ่งหนีเขาออกมาแบบนั้น เรื่องทั้งหมดตอนนี้...คงไม่เกิดขึ้น “ช่วยชีวิตเขาด้วยนะคะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉันเอง ถ้ามีคนต้องตาย...ขอให้เป็นฉันแทนได้มั้ยคะ ฉันขอร้อง”

“ไม่มีมนุษย์ผู้ใดบนโลกใบนี้สามารถฝืนชะตาชีวิตของตนได้ คนทุกคนที่เกิดมาชดใช้กรรมล้วนถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว เจ้าจะตายแทนเขาได้อย่างไร”

“แต่โชคชะตาไม่ยุติธรรม...” ลลนาค้านเช่นเคยหากต้องตกใจเสียงตัวเองที่แหบพร่าแทบเลือนหาย ไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ น้ำตาหยดแหมะนั่นแหละถึงรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบแก้มอยู่อย่างนั้น รู้ตัวว่าสภาพตัวเองยามนี้ย่ำแย่ไม่ต่างจากสามี

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา...สองปีที่คบกัน นทีไม่เคยทำหน้าที่คู่รักได้บกพร่องเลยแม้แต่น้อย เขาคอยเอาใจใส่ดูแล เป็นห่วงหล่อนสารพัด กระทั่งเฮือกสุดท้ายของชีวิต...สัมผัสจากอ้อมกอดของเขายังจดจำ...

นทีกระโจนเข้ามาปกป้องหล่อนจากรถบ้าคันนั้นทั้งที่หล่อนกำลังวิ่งหนีเขามาทั้งน้ำตา

ที่นทีต้องนอนรอการตัดสินชะตากรรมบ้าบอจากเบื้องบนอยู่แบบนี้...เป็นเพราะหล่อนคนเดียว

บางที...หล่อนอาจเป็นภรรยาที่ไม่ดีพอสำหรับเขา ไม่แปลกใจเลยที่นทีจะนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่น อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่คบกันมา...ก็นับว่าเขาอดทนเพื่อหล่อนมามากพอแล้ว...ถ้าไม่มีหล่อนสักคน ชีวิตเขาอาจไม่ต้องจบลงเช่นนี้

“เทวดาคะ ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องท่านค่ะ”

“เจ้าจะขอร้องอะไรเรา”

ลลนามองร่างของสามี นทีกำลังนอนรอความตายในขณะที่หล่อนต้องทนยืนมองเขาจากไป...โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “ฉันขอย้อนเวลากลับไปแก้ตัวในสิ่งที่ฉันทำผิดพลาดไว้ในอดีตได้มั้ยคะ”

“เจ้าจะแก้ตัวเรื่องใด”

“ฉัน...” ลลนาเงียบไปอึดใจหนึ่งคล้ายไม่แน่ใจว่าสิ่งต่อไปนี้ที่จะบอกให้เบื้องบนทราบจะได้รับการยอมรับ “ฉันอยากกลับไปในช่วงเวลาที่นทียังไม่เจอกับฉันค่ะ ฉะ...ฉันแค่คิดว่าบางทีถ้าเขาไม่ต้องมาเจอฉัน ชีวิตของเขาอาจไม่จบลงแบบนี้”

“แต่เราบอกเจ้าไปแล้วว่าทุกคนได้ถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว”

“แต่คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้ไม่ใช่เหรอคะ เออ...ฉันเคยได้ยินมาว่าถ้าเราเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในอดีตได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้าต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกันค่ะ และถ้านทีไม่มีโอกาสได้มาเจอผู้หญิงที่ชื่อลลนา เขาคงมีความสุขมากกว่านี้”

“ทำไมเจ้าถึงมองตัวเองในแง่ร้ายเช่นนั้น ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่เขานอกใจเป็นเพราะความไม่รู้จักพอของผู้ชาย”

“ทีไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่นอนค่ะ” ลลนายังคงยืนกราน

เมื่อได้ยินหญิงสาวยืนยันหนักแน่นเช่นนั้นเบื้องบนจึงถามย้ำว่า “ตกลงเจ้าจะไม่ยอมกลับเข้าร่างจริงๆ ใช่มั้ย”

“ค่ะ” ลลนาตอบรับเสียงแข็ง

กลัวไม่เชื่อจึงถอยห่างออกมาจากร่างตัวเองที่ยังคงนอนนิ่งบนเตียงเป็นการยืนยัน และนั่นทำให้เบื้องบนถอนใจหนักหน่วงออกมาคล้ายหนักใจอยู่ในทีที่ต้องตัดสินถึงคำขอร้องของหญิงสาวครั้งนี้ “เราทำงานบนสวรรค์มาก็นมนาน ยังไม่เคยมีดวงจิตดวงไหนดื้อรั้นเท่าเจ้ามาก่อนเลย ถ้าเจ้ายังคงยืนยันเช่นนั้นเราจะให้โอกาสเจ้าแต่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะลลนา เราจะให้เจ้ากลับไปยังโลกในอดีตเมื่อสองปีก่อนหน้าที่เจ้าจะได้แต่งงานกับนที”

“ขอบคุณค่ะท่าน” ลลนายิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยดีใจอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต

หากเบื้องบนไม่ปล่อยให้สาวเจ้าดีใจนานนักหรอก กระแอมขัดเอ่ยต่อว่า “อย่าเพิ่งดีใจไปลลนา เรายังไม่ได้บอกเจ้าเลยว่าเจ้าจะได้กลับไปเช่นไร”

“คะ ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ

“เราส่งเจ้ากลับไปแน่ แต่เจ้าสามารถกลับไปได้เพียงดวงจิตของเจ้าเท่านั้น”

“กลับไปได้แค่ดวงจิต ?” ฟังแล้วใจแป้ว ยะ...อย่าบอกนะว่าหล่อนจะต้องล่องลอยกลายเป็นวิญาณเร่ร่อนไม่มีที่สิงสถิตน่ะ

ดูเหมือนเบื้องบนจะอ่านความคิดลลนาออกจึงเอ่ยเสียงขุ่นอยู่ในที “หรือว่าเจ้าจะไม่เอา”

“อะ...เอา...เอาสิคะ ฉันพร้อมแล้ว”

“ใจเย็นๆ การกลับไปคราวนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกนะ เราจะส่งดวงจิตของเจ้าไปสถิตในร่างของลูกสาวที่กำลังรอการฟื้นคืนกลับสู่โลกมนุษย์ด้วยแรงภาวนาของผู้เป็นแม่ หากอย่าลืม...ว่าเจ้ากลับไปด้วยดวงจิตขณะที่ดวงจิตที่แท้จริงของเจ้ายังอยู่ในร่างของเจ้าในอดีต ฉะนั้นเมื่อใดที่ดวงจิตของเจ้าทั้งสองมาเจอกันหรืออยู่ใกล้กันนานๆ...นานวันดวงจิตที่แท้จริงจะมีพลังมากกว่า และอาจทำลายดวงจิตของเจ้าที่มาจากปัจจุบันสูญสลายไปในพริบตา”

“หมายความว่าฉันไม่สามารถอยู่ใกล้ตัวเองในอดีตได้อย่างนั้นเหรอคะ”

“ไม่ใช่ทั้งหมด เราแค่จะเตือนเจ้าว่าการกลับไปด้วยดวงจิตของเจ้าครั้งนี้ เป็นเพียงการยืมดวงจิต ณ ช่วงเวลาหนึ่งของเจ้ามาเพียงบางส่วนเท่านั้น พลังของดวงจิตที่มาจากปัจจุบันจึงไม่อาจต้านทานพลังของดวงจิตในร่างที่แท้จริงของเจ้าในอดีตได้”

ลลนาพยายามลำดับไล่เรียงสิ่งที่เบื้องบนอธิบาย ยิ้มรับแม้ยังตีความไม่ออกอยู่บ้างบางเรื่อง ซึ่งเบื้องบนรู้ดีถึงข้อนี้แต่ไม่มีสิ่งใดทำให้หญิงสาวกระจ่างได้มากเท่าเผชิญกับตัว

วินาทีนั้นเองที่ลลนาต้องหรี่ตาเป็นเส้นตรงเมื่อมีแสงสว่างส่องทางมาจากเบื้องหน้า

“ได้เวลาแล้ว เจ้าจงเดินเข้าไปในแสงนั่นและอย่าหันกลับมาอีกเป็นอันขาด”

“แต่ฉัน...”

“ไม่มีเวลาแล้วลลนา สามีของเจ้ากำลังจะหมดลมหายใจ” เบื้องบนเป็นฝ่ายเร่งเสียเองทำให้คนที่กล้าๆ กลัวๆ สะดุ้งเล็กน้อย อยากเห็นสามีเป็นครั้งสุดท้าย อยากมองให้แน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่กระทั่งหล่อนหายลับไป แต่คำขาดของเบื้องบนทำให้ลลนาไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่านสามีออกไป

เห็นอยู่ว่าภายใต้แสงสีทองสว่างจ้านั้นมีวังวนคล้ายไอหมอกสีขาวล่องลอยอยู่เต็มไปหมด สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมความกล้า ก่อนเดินหายเข้าไปในแสงประหลาดนั้น !







*******************************






ลลนาลืมตาตื่นจากความฝันอันแสนประหลาด แสงไฟนีออนบนเพดานห้องทำให้หล่อนกระพริบตาถี่เพื่อปรับเลนส์สายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนกวาดตามองไปรอบกาย ที่มีเพียงเพดานห้องสีขาวกับโคมไฟกลางห้องที่สว่างจ้าไม่ต่างจากแสงที่หล่อนเพิ่งผ่านพ้นมา

พยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อครู่หล่อนยังพูดคุยกับเบื้องบนอยู่เลย หล่อนยังเห็นตัวเองนอนรอการช่วยชีวิตอยู่ในห้องฉุกเฉิน...รวมถึงสามีของหล่อน

หันมองไปข้างกายให้แน่ใจว่าไม่มีร่างของสามีนอนสิ้นใจอยู่ตรงนั้น แต่แล้วลลนาต้องลอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขยี้ตาตัวเองให้แน่ใจว่าหล่อนไม่ได้ฝันไป หากทว่า...ลลนากลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสะดุดตากับมือขนาดเล็กที่กำลังขยับเขยื้อนตามการสั่งการของหล่อน !

สัมผัสได้ถึงความนุ่มของเตียง เลิกผ้าห่มที่ห่มกายให้ความอบอุ่นแล้วต้องพบว่าไม่เพียงมือของหล่อนที่เล็กจนผิดแปลก แต่ร่างกายของหล่อนยังกลายเป็นตัวเล็กจนดูผอมแห้ง สูงเท่าเอวผู้ใหญ่ก็ว่าได้

สูงเท่าเอวผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ ?

“ลูกจอมฟื้นแล้วเหรอลูก” จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นเครือของใครบางคนโพล่งขึ้นมา ตามมาด้วยการถลาเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงของหล่อน

ลลนามองแปลกมาที่เจ้าของเสียง ตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อคนที่ร้องเรียกนั้นเป็นเนตรดาว...พี่สะใภ้ของสามี !

“พะ...พี่...”

“ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะลูก เพิ่งฟื้นขึ้นมาเก็บแรงไว้ดีกว่า” เนตรดาวลูบศีรษะหล่อนอย่างแผ่วเบา ลลนาสัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรณ์ของหญิงสาวตรงหน้าผ่านแววตาบวมช้ำคู่นั้น คล้ายพี่สะใภ้ของสามีเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

ลลนายังคงมองตาปริบๆ มายังคนที่เรียกหล่อนว่า ‘ลูก’ แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างบอกหล่อนว่าเรื่องเริ่มทะแม่งๆ ถ้าจำไม่ผิดหล่อนขอร้องเบื้องบนให้ส่งหล่อนย้อนกลับมาในอดีตไม่ใช่เหรอ ละ...แล้วเท่าที่หล่อนจำได้ เนตรดาวมีลูกสาวอยู่แล้วชื่อจอมใจ หลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของนทีที่ฟ้าใหม่ชอบเรียกว่าจอมเกเรอยู่เรื่อย

หรือว่า...!

“เออ...พี่...เออ...ไม่ใช่สิ แม่เนตรคะ หนูอยากส่องกระจกค่ะ”

“ส่องกระจกเหรอจ๊ะ” ประโยคแรกที่ลูกสาวเอื้อนเอ่ยออกมาสร้างความประหลาดใจแก่ผู้เป็นแม่ไม่น้อย “ได้สิลูก แต่หนูอยากส่องกระจกทำไม”

“เออ...” ลลนาอ้ำอึ้งไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คนตรงหน้าเข้าใจ หล่อนแค่อยากเห็นตัวเองให้เจนตาเท่านั้น อย่างน้อย...ก็ทำให้หล่อนมั่นใจว่าตัวเองเป็นใคร และดูเหมือนเนตรดาวไม่ต้องการฟังคำตอบจากลูกสาวนักหรอก เพราะเพียงแค่ลูกสาวเอ่ยปากหล่อนก็หายไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพาย ขณะที่ลลนาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง แต่แค่เพียงยันตัวเองขึ้นนั่งกลับรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณขมับเผลอร้องโอยออกมา

เสียงร้องนั้นแหบพร่าและแสนเบาหวิวเพราะเพิ่งฟื้นตัว หากผู้เป็นแม่ได้ยินชัดเจน รีบเข้ามาประคองลูกสาวขึ้นนั่งในท่าที่สบาย “เจ็บแผลใช่มั้ยลูก”

“ค่ะแม่” ลลนากุมศีรษะบริเวณที่เจ็บ เพิ่งรู้ตัวว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่ปิดทับแผลบนขมับตัวเอง

เนตรดาวส่งแป้งพับตลับเล็กให้ลูกสาว ลลนาคว้ามาถือไว้ในมือหมับลืมเจ็บไปชั่วขณะ ใจได้แต่ภาวนาหวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่หล่อนคิด ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเนตรดาวเอาแต่ลูบศีรษะลูกสาวพลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาปลอบว่า “หนูสลบไปวันนึงเต็มคงจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้หนูตกบันไดเพราะอาการหอบกำเริบ ที่จริง...แม่ไม่น่าปล่อยให้หนูขยับเขยื้อนเลย เพิ่งฟื้นขึ้นมาแท้ๆ”

“ไม่จริง !” ลลนาถึงกับร้องเสียงหลงออกมา ร้อนถึงคนที่กำลังเอ่ยปลอบใจหายวาบ

ละล่ำลักเอ่ย “มะ...ไม่ต้องตกใจไปนะลูก แค่หัวแตกเท่านั้น คะ...คุณหมอเย็บแผลให้หนูแล้วจ้ะ”

ลลนาได้แต่นิ่งงัน หันซ้ายหันขวามองตัวเองผ่านบานกระจกเล็กตรงหน้าเผื่อหวังว่าตัวเองจะตาฝาด หากไม่ว่าหล่อนจะมองมุมไหน สิ่งที่เห็นคือ ดวงตากลมโตใสซื่อกับผมยาวหยิกหยอยถึงกลางหลังอย่างคนผมหยักศก แก้มยุ้ยๆ ปากนิดจมูกหน่อยที่เชิดขึ้นอย่างรั้นๆ บนดวงหน้ากลมนั้นทำให้ลลนาแทบกรี๊ด

หยิกแขนตัวเองแล้วร้องโอยออกมา นี่หล่อนไม่ได้ฝันไปเหรอเนี่ย

“ตายแล้วยัยจอม หยิกแขนตัวเองทำไม” เนตรดาวจับมือลูกสาวเป็นพัลวัน ตกใจไม่น้อยที่ลูกสาวแสดงอาการแปลกๆ ให้เห็น “มีอะไรรึเปล่าลูกจอม หรือว่าเจ็บแผล”

“หนูไม่ใช่จอม !” ลลนาเสียงแข็งขึ้นมาทันที

แต่ยังไม่ทันที่เนตรดาวจะเข้ามาปลอบลูกสาวอย่างเคย ลลนาก็ส่งตลับแป้งพับคืนเจ้าของไม่ต่างจากยัดใส่มือ ล้มตัวลงนอนเอาหน้าซุกหมอนปิดหูแน่น รู้สึกได้ถึงแรงเขย่าของเนตรดาวที่พยายามฉุดลูกสาวขึ้นมาหากเวลานี้ลลนาไม่สนใจใครทั้งนั้น ภาพที่เห็นเมื่อครู่ยังติดตาจนหล่อนต้องหลับตาปี๋

เงาสะท้อนบนกระจก...ฟ้องชัดว่าหล่อนคือ จอมใจ ! #





สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2555, 18:16:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2555, 18:16:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1303





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
สรัน 12 พ.ย. 2555, 18:18:57 น.
วันนี้อัพให้เท่านี้ก่อนจ้า เริ่มปวดตา แก่แล้ว 555555


Edelweiss 12 พ.ย. 2555, 19:38:39 น.
ผู้หญิงคนปริศนาคนนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วร่างเดิมของลลนากะดวงจิตของจอมใจจะเป็นยังไงต่อไปนะ


lovemuay 12 พ.ย. 2555, 19:45:49 น.
พอจะเข้าใจเนื้อเรื่องแล้วหล่ะค่ะ นางเอกย้อนอดีตกลับไป แถมอยู่ในร่างจอมใจอีก
แถมผู้หญิงที่นางเอกเห็นพระเอกกอดอาจจะเป็นตัวนาเองก็ได้ แต่เป็นคนจากในอนาคต
ท่าทางพระเอกรักนางเอกออก ไม่น่าจะนอกใจได้
จะรออ่านนะคะ ว่านางเอกจะเปลี่ยนอดีตได้มั๊ย หรือสุดท้ายก็กลับอีกหรอกเดิม และเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องในปัจจุบัน
ทั้งหมดเกิดจากการเดาค่ะ อิอิ


สรัน 12 พ.ย. 2555, 20:11:29 น.
Edelweiss - งานนี้ต้องดูกันต่อไป ฮี่ๆ อ่านแล้วอาจหลงรักน้องจอมโดยไม่รู้ตัวค่ะ :)อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อคนข้างล่างนะคะ เดาตล๊อด ชอบๆ 5555555555
lovemuay - หลังจากจบ the promise ไปน้องสาวคนนี้ก็ยังคงเดาได้โดนใจเค้าตลอด หุๆ อยากให้น้อง lovemuay อ่านเรื่องศิลารักจังจ้ะ >< ได้ไปสอยมารึยังจ๊ะ ถ้าสอยมาแล้วเล่าสู่กันฟ้าบ้างน้า อยากรู้ว่าเดาฆาตกรถูกป่าว^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account