ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย

ตอน: ตอนที่ 3 ความลับของมาร์ลิค

ตอนที่ 3

รถยนต์ประจำตำแหน่งของธรณ์พร้อมสารถีส่วนตัวกำลังพาเขากลับไปส่งที่บ้านพักริมทะเลเพียงลำพังเพราะมาร์ลิคมีงานสำคัญต้องกลับไปที่บาตูฮานภายในคืนนี้ รถยนต์ยังคงเคลื่อนที่ไปตามถนนเลียบชายหาดด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ภาพความทรงจำเมื่อช่วงค่ำตอนที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับองค์หญิงชารีด้าโดยไม่รู้เลยว่าเป็นพระองค์ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด สลับกับภาพแววพระเนตรสงบนิ่งเยือกเย็นตอนที่เกือบจะชนกับมาร์ลิคแล้วก็เสด็จจากไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มถอนใจยาวในความเงียบก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยกับสารถีหนุ่ม

“ซาฮิน ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้รึเปล่า”

“ครับ”

อีกฝ่ายรับคำแบบงุนงงเล็กน้อย เพราะตลอดทางก็เห็นเขานั่งเงียบมาตลอด

“คุณเคยเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงชารีด้าหรือไม่ ตลอดเวลาที่ประทับอยู่ที่นี่จะทรงสวมพระภูษาคลุมพระพักตร์แบบนี้ตลอดหรือ”

“เท่าที่ผมทราบ องค์หญิงไม่ค่อยเปิดเผยพระพักตร์ต่อหน้าสาธารณะบ่อยนักนอกจากงานสำคัญระหว่างประเทศแต่ ถ้าเป็นตำหนักฝ่ายในก็อีกเรื่องหนึ่ง ในนั้นนอกจะพระราชาธิบดีกับพระบรมวงศานุวงศ์ก็ไม่มีผู้ชายอื่นที่ไหนอยู่แล้ว ผมทราบมาว่าถ้าเป็นช่วงที่ไปศึกษาอยู่ต่างประเทศ ก็ฉลองพระองค์แบบสากลทั่วไป มีข่าวลือหนาหูว่า มาร์ลิค เพื่อนของคุณ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและได้เห็นพระพักตร์ขององค์หญิงครั้งแรกที่อเมริกา ทำเอาเขาถึงกับตะลึงในความงามจนถึงกับเก็บเอามาฝันเลยทีเดียว จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ คุณลองถามเขาดูสิ”

“ไว้ผมจะลองถามเขาดู ขอบคุณมากครับ”

ธรณ์บอกยิ้มๆ เมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจ และนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่เขาเรียนจบกลับไปอยู่เมืองไทย ซึ่งทั้งเขาและมาร์ลิคกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคนก็ยังติดต่อกันอยู่เป็นประจำ เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีมาร์ลิคเคยบอกในอีเมล์เกี่ยวกับเรื่องที่ได้รับมอบหทายจากเจ้าชายฟารินอสให้ไปถวายการดูแลรับใช้พระขนิษฐาก็คือเจ้าหญิงชารีด้าซึ่งต้องเดินทางไปอีกรัฐหนึ่งบ่อยๆ นี่คือข้อมูลเพียงน้อยนิดที่เคยได้รับรู้ เพราะมาร์ลิคก็ไม่เคยเล่าหรือกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิงชารีด้าให้ฟังอีกเลย

ธรณ์เดินทางมาถึงบ้านพักของเขาในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มเดินลงจากรถยนต์ก้าวเข้าไปในบ้านปูนสองชั้นทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องสีน้ำตาลเข้ม ห้องนอนของเขาเป็นพื้นไม้ขัดมันขนาดกว้างกว่าห้องนอนในคอนโดมิเนียมที่เมืองไทยเกือบสองเท่า หน้าต่างเป็นบานพับกรุด้วยกระจกหลากสีสะท้อนกับแสงไฟสลัวจากโคมไฟรูปคบเพลิงตรงผนังห้อง

เสียงลมและเสียงคลื่นซัดสาดดังแว่วมาเป็นระยะ อากาศเริ่มเย็นยะเยือกจนเขาต้องหาเสื้อกันหนาวแบบสวมมาใส่ทับชุดนอนอีกชั้น ก่อนจะหอบเอาแผนที่ หนังสือ และโน้ตบุ๊คมาวางบนพื้นกลางห้อง เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีสมาธิ ขณะกำลังดูร่างแบบโครงสร้างของท่าเรือน้ำลึกจากกรณีศึกษาของหลายๆแห่งทั่วโลก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายเดือนของเมืองไซเบิ้ลเข้า ชายหนุ่มเดาว่าน่าจะเป็นของมาร์ลิคที่ติดมากับหนังสือและเอกสารอื่นๆ หน้าปกภาพชายคนหนึ่งค่อนข้างคุ้นตา คล้ายเคยเห็นตามข่าวในสำนักข่าวต่างประเทศ และสื่ออินเตอร์เนตตอนที่เขาหาข้อมูลของเกาะออสเตคินก่อนจะเดินทางมา ทำให้ชายหนุ่มต้องคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่านอย่างสนใจ


'บทบาทใหม่ของอดีตผู้นำฝ่ายค้าน คาจาร์ วัย 50 ปีกับการเป็นผู้นำสมัชชาประชาชนแห่งเมืองไซเบิ้ล บ้านเกิดเมืองนอนที่เขารักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต'

ธรณ์อ่านข้อความใต้ภาพตรงหน้าปกและมองภาพถ่ายของคาร์จาอย่างพินิจพิจารณา ถ้าไม่บอกว่าชายคนนี้อายุ 50 เขาต้องคิดว่า คาจาร์ อายุไม่เกิน 40 แน่ๆ ด้วยสีหน้าและแววตาที่ยังดูเต็มไปด้วยพลังความมีชีวิตชีวิต แม้เป็นเพียงภาพนิ่งก็ตาม หากก็รู้สึกถึงความเป็นผู้นำที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ธรณ์พลิกไปอ่านเนื้อหาด้านใน พบว่านอกจากมีบทสัมภาษณ์เรื่องบทบาทของสมัชชาประชาชนแห่งเมืองไซเบิ้ลแล้ว ก็ยังมีประวัติชีวิตสั้นๆของอดีตผู้นำฝ่ายค้านผู้นี้ด้วย


'คาจาร์ก้าวมาทำงานในรัฐบาลตั้งแต่อายุเพียง 25 โดยเริ่มจากตำแหน่งโฆษกรัฐสภา ก่อนจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆจนมีตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาลคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไท ช่วงสิบปีที่ผ่านมาเขาก้าวข้ามฟากมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านถึงสองสมัย ในยุคของพระราชาธิบดีอัลวาเรส โอซาน ดามิเรล ก่อนจะลาออกโดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้ผู้อื่นที่มีความสามรถได้ทำหน้าที่นี้บ้าง คาจาร์เคยแต่งงานครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน แต่โชคร้ายที่ภรรยาของเขาต้องเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวในอีกหนึ่งปีต่อมา ปัจจุบัน คาจาร์มีบุตรบุญธรรมในอุปการะสองคนเป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน ซึ่งถือเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มีก้าวเข้ามามีส่วนสำคัญในสมัชชาฯ ของบิดาบุญธรรม ราวกับเป็นมือซ้ายกับมือขวาที่คาจาร์ให้ความไว้วางใจกว่าใครทั้งหมด'

ในเนื้อหามีเรื่องของคาจาร์มากกกว่านี้ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ธรณ์พอจะเคยทราบมาบ้างแล้ว เขาจึงเปิดอ่านเรื่องราวอื่นๆในหนังสือพิมพ์ และเรื่องที่น่าสนใจในความรู้สึกของเขาก็อยู่ที่หน้าสุดท้าย “อาหารเช้าแสนอร่อยในไซเบิ้ลที่คุณไม่ควรพลาด” ธรณ์มองภาพประกอบซึ่งเป็นภาพอาหารมื้อเช้ากับบรรยากาศแบบสบายๆในตลาดกลางเมืองแล้วก็อมยิ้ม คิดในใจว่า พรุ่งนี้เขาจะต้องไปลองชิมสักร้านให้ได้ ที่สำคัญ เขาอยากสัมผัสกับบรรยากาศและวิถีชีวิตชาวเมืองๆนี้ในทุกแง่มุมให้มากที่สุดด้วย

ระหว่างนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกคล้ายได้ยินเสียงเพลงที่ดังแว่วมาพร้อมกับเสียงลมและเสียงคลื่น เหมือนเสียงเครื่องเป่าอะไรสักอย่าง ธรณ์บอกตัวเองพลางลุกขึ้นเดินตรงไปยังบานหน้าต่าง ภายนอกมีเพียงความมืดมิดในยามราตรีกับสายลมหนาวที่พัดโชยมาปะทะใบหน้า เป็นเสียงเพลงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหงาและอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่มั่นใจว่าเขาจะอยู่ที่นี่ได้ และไม่มีอาการของโรคคิดถึงบ้านแน่นอน แต่เสียงคล้ายขลุ่ยไทย กับแสงดาววิบวับบนฟ้า ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านกับครอบครัวเล็กๆอันแสนอบอุ่นที่เมืองไทย





ในเวลาเดียวกัน มาร์ลิคก็เพิ่งขับรถมาถึงเพนท์เฮาส์ส่วนตัวของเขาซึ่งตั้งอยู่ย่านชานเมืองบาตูฮานพอดี บิดาของเขาซื้อที่พำนักอันเป็นส่วนตัวและอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองหลวงแห่งนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อน และทุกครั้งที่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ องคมนตรีหนุ่มก็จะแวะมาที่นี่ สถานที่ที่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัวของเขา ชายหนุ่มไม่ได้เปิดไฟให้สว่างไปทั้งห้อง เขาเปิดเพียงโคมไฟให้มีแสงสีส้มรำไรแล้วเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกไปตรงระเบียงด้านนอก มุมพักผ่อนที่โปรดปรานมากที่สุด

เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ผ้าใบเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ สายลมหนาวยามดึกกับภาพหมู่ดาวกระพริบวิบวับในความมืดของท้องฟ้ายามราตรี ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจนเกือบจะเคลิ้มหลับไป ถ้าไม่มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน มาร์ลิคสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามีแขนเรียวและอบอุ่นโอบรอบคอของเขาจากทางเบื้องหลัง ขณะกำลังสงสัยว่าตัวเองฝันไปรึเปล่านั้น ก็มีริมฝีปากนุ่ม แตะสัมผัสเบาๆตรงข้างแก้ม พร้อมกับเสียงกระซิบที่คุ้นเคยเป็นที่สุด

“คิดถึงเหลือเกิน มาร์กี้ของฉัน”

“องค์หญิง…”

มาร์ลิคครางเสียงแผ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสได้ในตอนนี้ คือความจริงอย่างที่สุด ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนจะลงไปคุกเข่าที่พื้นเบื้องหน้าเจ้าหญิงชารีด้า ความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปกันไปหมด ทั้งตกใจ ตื่นเต้น และดีใจ

“เสด็จมาได้อย่างไรกระหม่อม แล้วทรงทราบได้อย่างไรว่าคืนนี้กระหม่อมมานอนค้างที่นี่”

เจ้าหญิงชารีด้าแย้มพระสรวลเล็กน้อย แววพระเนตรเป็นประกายไม่ต่างจากหมู่ดาวบน้องฟ้า

“ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร เรื่องแค่นี้เอง ถ้าฉันอยากรู้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิดเดียว นี่เจ้าพี่ของเราใช้งานเธอหนักมากเหรอ ถึงไม่มีเวลากลับไปที่อเมริกาเกือบสามเดือนแล้ว แถมข่าวคราวก็แทบไม่ส่งไป เธอทำให้ฉันกังวลใจมากนะ รู้บ้างรึเปล่า”

มาร์ลิคเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันอัดแน่นอยู่ในใจของเขา แล้วเอื้อมมือไปประคองร่างงามให้ลุกขึ้นไปประทับที่เก้าอี้ในขณะที่ตัวเขาก็นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นดังเดิม

“กระหม่อมยอมรับผิดทุกอย่าง ฝ่าบาท แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ความรู้สึกของกระหม่อมยังคงเหมือนเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กระหม่อมคิดถึงองค์หญิงแทบทุกลมหายใจเข้าออก คิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต ตอนที่ได้รับใช้ใกล้ชิดองค์หญิงเมื่อครั้งยังอยู่อเมริกา อยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นที่สุดเลยพะยะค่ะ”

“ฉันก็เหมือนกัน มาร์ลิค”

ชายหนุ่มมองสบสายพระเนตรนิ่งนาน ก่อนจะยกแขนโอบกอดพระวรกายไว้แนบแน่น รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับองค์หญิงชารีด้าในช่วงเวลาสั้นๆที่อเมริกา เป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ แต่เขาก็ไม่อาจห้ามความปรารถนาลึกซึ้งในหัวใจได้เลย เขาหลงรักองค์หญิงชารีด้าตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ที่แท้จริงครั้งแรก อาจจะเรียกว่าเป็นรักแรกพบ ทั้งรักและเทิดทูนสุดหัวใจ ในขณะที่องค์หญิงชารีด้าเอง ก็ไม่เคยพบปะใกล้ชิดกับชายหนุ่มคนใดนอกจากพระราชบิดา และพระเชษฐา อีกทั้งความช่วยเหลือในทุกๆครั้งที่พระองค์ต้องการ เพียงแค่เรียกหาเขา เขาก็จะมาช่วยราวกับเป็นฮีโร่ในทุกครั้ง ก่อเกิดเป็นความใกล้ชิด ผูกพัน จนยากจะต่อต้านความรู้สึกที่ค่อยๆก่อตัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคืนวันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อรถยนต์ส่วนพระองค์เกิดขัดข้องอยู่ระหว่างทางอย่างไม่ทราบสาเหตุในคืนที่พายุหิมะกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เขา ทำให้พระองค์ได้ตระหนักว่า การมีใครสักคนให้นึกถึง เป็นที่พึ่งพาได้ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข และจะไม่มีวันทอดทิ้งไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม เป็นสิ่งมีคุณค่ากับชีวิตและหัวใจอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้ เป็นตัวตนอีกด้านที่ทรงค้นพบ ตัวตนที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ยามเมื่อได้อยู่กับเขา ชายหนุ่มที่ทำให้องค์หญิงชารีด้า เป็นเพียงสาวน้อยที่กำลังมีความรักครั้งแรก ไม่ใช่เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ที่ไม่มีใครเอื้อมถึงได้เลยแม้แต่คนเดียว

“เธอผอมลงรึเปล่า มาร์กี้ อย่าเครียดกับงานมากเกินไปสิ รู้จักดูแลตัวเองบ้าง พรุ่งนี้เช้า ฉันจะเตรียมอาหารเช้าให้เธอเองนะ”

องค์หญิงชารีด้ารับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน เมื่อชายหนุ่มคลายอ้อมกอด

“ยอดดวงใจของกระหม่อม ขอบพระทัยพะยะค่ะ แต่องค์หญิงเองก็ทรงผอมลงเช่นกัน จะกลับอเมริกาเมื่อไหร่หรือกระหม่อม”

“อย่าเพิ่งถามเรื่องนี้ได้รึเปล่า ฉันได้ยินว่าพรุ่งนี้เธอจะพาเพื่อนชาวไทยไปฟังไฮด์ปาร์ค ฉันว่าฉันอาจจะแอบไปฟังด้วยเหมือนกัน”

“อย่าไปเลยองค์หญิง กระหม่อมไม่ไว้ไจ้เรื่องความปลอดภัย”

มาร์ลิคเอ่ยทักท้วงอย่างเป็นกังวลไม่น้อย แต่องค์หญิงชารีด้ากลับแย้มพระสรวล

“ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วงเลย ก็แค่การชุมนุม และปราศัยเท่านั้นเอง เธอก็รู้ว่าไม่มีใครเคยรู้สักคนว่าฉันเป็นใคร เวลาไปไหนมาไหน พอสวมใส่ผ้าคลุมมิดชิด ก็ดูเหมือนๆกันไปหมดจนแยกไม่ออก ไม่มีใครมาสนใจฉันหรอกน่า แล้วก็อย่ามาพูดจาหว่านล้อมหรือห้ามไม่ให้ไปนะ เธอก็รู้ว่าเธอไม่เคยทำสำเร็จ”

ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆอย่างยอมรับ ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่าเขาไม่เคยห้ามหรือขัดพระทัยองค์หญิงชารีด้าได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม

“แค่กระหม่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์ ให้เอลลี่ไปด้วยเถอะ อย่าไปตามลำพังเลย”

มาร์ลิคหมายถึง นางในคนหนึ่งซึ่งเป็นข้ารับใช้ส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงชารีด้าตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

“เอลลี่น่ะ ขี้ขลาดตาขาวจะตายไป นอกจากนางจะไม่ยอมไปกับฉันแล้ว ยังอาจจะห้ามและไปฟ้องเสด็จแม่ก็ได้ จะให้นางรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ มาร์ลิค”

องค์หญิงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาด คิ้วของมาร์ลิคยังคงขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล บางที เขาอาจจะต้องโทรไปบอกให้ธรณ์ไปที่สวนสาธารณะคนเดียว และเขาก็จะคอยตามอารักขาองค์หญิงอยู่ห่างๆด้วยตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงพะวงและเป็นห่วงพระองค์จนไม่เป็นอันทำอะไรแน่




จากที่ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวชมบรรยากาศตลาดตอนเช้าและหาโอกาสรับประมานมื้อเช้าไปด้วย ในยามรุ่งอรุณของวันใหม่ในการเริ่มต้นใช้ชีวิตในต่างแดนของวิศวกรหนุ่มชาวไทย ครึ่งวันตอนเช้าวันนี้เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนแล้วในตอนบ่ายมาร์ลิคจะมารับเขาไปร่วมรับฟังคำปราศัยของกลุ่มสมัชชาฯ ที่สวนสาธารณะกลางเมือง หากเมื่อรถยนต์ประจำตำแหน่งแล่นผ่านถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำเมืองไซเบิ้ล ธรณ์ก็รีบเอ่ยปากบอกให้สารถีหนุ่มหยุดรถทันที

“พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้กี่โมง”

“ประมาณแปดโมงตรงครับ ตอนนี้ก็เจ็ดโมงครึ่งแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอลงไปเดินเล่นแถวๆนี้แล้วก็รอเวลาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อยแล้วกัน คุณจะไปหาอาหารเช้าทานหรือไปทำอะไรก่อนก็ได้ แล้วผมจะโทรตามให้กลับมารับเอง”

ธรณ์สั่งความกับสารถีของเขาเรียบร้อยแล้วก็คว้าเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับเสื้อยืดคอปกเปิดประตูลงจากรถไป สายลมยามเช้าที่มีละอองความชื้นจากอากาศพัดผ่านไปเบาๆ ชวนให้รู้สึกสดชื่น หมอกบางๆที่ปกคลุมไปทั่วเมืองเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ กลายเป็นแสงแดดอ่อนๆเข้ามาแทนที่แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คลายความหนาวเย็นลงเท่าใดนักในความรู้สึกของธรณ์ ชายหนุ่มยังคงเดินอ้อยอ่งไปตามทางเท้าและกวาดตามองไปรอบๆตัวอย่างให้ความสนใจกับองค์ประกอบทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองนี้

ผู้คนท้องถิ่นเริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เดินสวนไปมาตามทางเท้า และที่ใช้จักรยานในช่องทางพิเศษของรถจักรยานโดยเฉพาะ ส่วนรถสาธารณะ เท่าที่เห็นผ่านตา ก็มีรถดมล์ปรับอากาศแบบโทรลลี่บัส ซึ่งจะจอดตามป้ายและค่อนข้างตรงเวลามาก ตามที่เขาได้เคยอ่านข้อมูลมา นอกจากนั้นก็ยังมีรถรับจ้างที่มีลักษณะคล้ายรถตุ๊กตุ๊กของเมืองไทย แต่จะเป็นแบบสี่ล้อ และมีพื้นที่สำหรับนั่งกับวางของที่กว้างกว่า ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ และแหงนหน้ามองตัวอาคารสูงรูปทรงแปดเหลี่บม มียอดหลังคาเป็นรูปโดม ซึ่งเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ เท่าที่หาข้อมูลจากอินเตอร์เนตมาตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้เขาทราบว่า สถานที่แห่งนี้ เมื่อครั้งอดีตราวสองร้อยปีที่แล้วสถานที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังมาก่อน ด้านในประกอบด้วยโถงแสดงภาพศิลปะมีชื่อเสียง กับห้องแสดงวัตถุหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และมีห้องสมุดอยู่บนชั้นสองของอาคารด้วย เปิดให้บริการแก่ประชาชนมายาวนานเกือบ 50 ปีแล้ว

ระหว่างทางเดินจากทางเท้าเข้าไปถึงทางเข้าด้านหน้าจะมีลานรูปวงกลมเนื้อที่ราว 500 ตารางเมตรและอัฒจรรย์เตี้ยๆอยู่ริมทางเดินฝั่งซ้ายและขวา และลานตรงนั้น ทุกๆวันหยุดสัปดาห์จะมีการแสดง ร้องเล่น เต้นรำ เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาชมอยู่บ่อยๆ โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ธรณ์เดินผ่านบริเวณนี้ไปจนถึงทางเข้าประตูซุ้มโค้งที่ยังปิดสนิท ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ รออีกไม่เกินสิบนาทีเท่านั้น เขาก็จะได้เข้าไปชมด้านในของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว ทว่า ในทันใดนั้นเองก็มีเสียงเปืดประตูจากด้านในและบานประตูก็ถูกเปิดออกช้าๆพร้อมกับหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ท่าทางทะมัดทะแงก็ก้าวเดินออกมาและมองมายังชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ด้านตรงกันข้ามกับเธอ

“สวัสดีครับ พิพิธภัณฑ์เปิดแล้วใช่มั้ยครับ ผมเข้าไปได้เลยรึเปล่า”

ธรณ์เอ่ยถามอย่างเป็นมิตร ในขณะที่หญิงสาวยังนิ่งและมองเขาเขม็งด้วยแววตาบ่งบอกความไม่ไว้ใจ จนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกราวกับตัวเองกำลังคุยอยู่กับตุ๊กตาปูนปั้นมากกว่าจะอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่มีชีวิต หรือว่า เธอจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ขณะใช้ความคิด เสียงของหญิงสาวก็ดังแทรกขึ้นมา

“คุณเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเหรอคะ หน้าตาท่าทางของคุณ คงไม่ใช่ชาวออสเตคินแน่ๆ”

น้ำเสียงและสายตาของเธอดูไม่ค่อยเป็นมิตรเอาเสียเลย ธรณ์ถอนใจยาวอย่างไม่เข้าใจ

“ขอโทษครับ การที่ผมจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ ต้องตอบคำถามของคุณก่อน หรือว่า ต้องเป็นชาวเมืองเมืองนี้เท่านั้นหรือ ผมคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ใครๆก็มีสิทธิ์เข้าไปเที่ยวชมได้เหมือนกันซะอีก”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

หญิงสาวตวัดเสียงตอบทันที

“เพียงแต่ตอนนี้ ส่วนที่เป็นห้องแสดงวัตถุหลักฐานทางประวัติศาสตร์กำลังปิดปรับปรุง ส่วนห้องแสดงภาพศิลปะ ก็จะเปิดวันเว้นวัน และวันนี้ก็เป็นวันที่ไม่ได้เปิด ซึ่งข้อมูลพวกนี้ ชาวเมืองหรือคนท้องถิ่นก็จะทราบดี แต่พอเห็นคุณมายืนรอประตูเปิดตั้งแต่เช้าเหมือนไม่ได้รู้อะไรเลย ฉันก็มิสิทธิ์ที่จะสงสัยว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศได้ไม่ใช่รึไง”

ธรณ์มองท่าทางที่มองเขาอย่างเอาเรื่องกับเหตุผลที่ได้รับฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ อย่างยอมรับ

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว สรุปว่าผมต้องมาใหม่พรุ่งนี้สินะ อ้อ ผมไม่ใช่ชาวออสเตคินหรอก แต่ผมก็ไม่ใช่นักท่องเที่ยวด้วย ผมเป็นคนไทยที่มาทำงานที่นี่ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินกลับไป แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ถ้าคุณสนใจจะเข้าด้านใน เรายังมีส่วนของห้องสมุดที่เปิดบริการอยู่ชั้นสอง”
ธรณ์หันกลับมาทันที

“แหม นึกว่าจะมาเสียเที่ยวซะแล้ว ขอบคุณนะครับ คุณเจ้าหน้าที่ เอ๊ะ หรือว่าเป็นนักศึกษาฝึกงาน ท่าทางยังดูเด็กๆอยู่เลย”

ถ้อยคำที่เขาเรียก ทำให้เธอจ้องมองเขาอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก

“ฉันเป็นภัณฑารักษ์ของที่นี่ และฉันก็มีชื่อของฉัน”

“พูดขนาดนี้แล้ว จะไม่บอกหน่อยเหรอครับ ว่าคุณชื่ออะไร ถ้ากลัวเสียเปรียบผมบอกชื่อผมก่อนก็ได้ ผม ธรณ์ ครับ“

ชายหนุ่มบอกพลางมองใบหน้าของเธอแบบเต็มตาอีกครั้ง รู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นหญิงสาวที่แต่งตัวธรรมดาๆ ไม่มีผ้าคลุมมิดชิดจนเหลือแค่ลูกตาอย่างที่ได้เห็นอยู่ตลอดตั้งแต่เดินทางมาที่นี่ ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ดัดเป็นลอนกับนัยต์ตากลมโตสีน้ำเงินแกมเขียวคล้ายตาของตุ๊กตาและสร้อยคอไม้กางเขน บ่งบอกชัดเจนว่าเธอน่าจะมีเชื้อสายทางยุโรปไม่มากก็น้อย แล้วเธอก็หันหลังเดินหายเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์โดยไม่พูดอะไรกับเขาอีกเลย ธรณ์ยักไหล่อย่างไม่ถือสากับกิริยาไม่ค่อยเป็นมิตรของเธอ และเดินตามเข้าไป ในห้องโถงรูปครึ่งวงกลมซึ่งมีเคาน์เตอร์ไม้อยู่ทางขวามือ ส่วนทางซ้ายมือก็เป็นเก้าอี้ยาวแบบไม่มีพนักวางเรียงชิดผนังก่ออิฐ และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาคือ แผนภูมิแสดงโครงสร้างการทำงานของบุคลากรแห่งพิพิธภัณฑ์ ชายหนุ่มไม่รอช้าปราดเข้าไปอ่านดูใกล้ๆและมองหาภาพของหญิงสาวที่เขาเพิ่งได้พบเมื่อครู่ แล้วก็ไม่ผิดหวัง มีภาพถ่ายกับชื่อและตำแหน่งของเธอติดอยู่มุมหนึ่งของแผนภูมิ

“เนเนสต์…”

ชายหนุ่มอ่านชื่อคล้ายพยายามจะจดจำเอาไว้ ก่อนจะเดินตรงไปที่บันไดเวียนเพื่อขึ้นไปบนห้องสมุดชั้นสอง ตามที่ภัณฑารักษ์สาวได้บอกไว้ว่า เหลือส่วนนี้เปิดให้บริการเพียงส่วนเดียว ห้องสมุดบนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเขาได้ก้าวเข้ามาในปราสาทสมัยโบราณที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังอย่างแท้จริง ชายหนุ่มมองไปทั่วห้องรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ผนังทุกด้านเป็นชั้นหนังสือความสูงจรดเพดานรูปโดม ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้และเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งอ่านและมีบริการให้ยืมหนังสือกลับบ้านได้ แต่ต้องสมัครสมาชิกและเสียค่าธรรมเนียมเป็นรายปี รายได้ก็เพื่อทำนุบำรุงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ธรณ์ได้ยินเสียงงฝีเท้าตัวเองกระทบกับพื้นไม้เป็นมันปลาบขณะเดินตรงไปยังชั้นหนังสือประเภทหนึ่ง อ่านชื่อหนังสือหลายเล่มจากสันปก ก็ทำให้พอเดาได้ว่าเป็นวรรณคดีในยุคสมัยต่างๆ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยส่วนใหญ่จะเป็นวรรณคดีอังกฤษ

“อันตราย กลับไปซะ”

เสียงดังคล้ายเสียงกระซิบที่ได้ยินเล่นเอาชายหนุ่มตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ เพราะเสียงนั้นเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนที่สุด

“ใครน่ะ คุณเป็นใคร ต้องการอะไร”

ชายหนุ่มตวาดกร้าวพลางหมุนตัวมองหาต้นเสียงอย่างระมัดระวัง และภาพผ้าคลุมสีดำที่ผ่านหางตาไปก็ทำให้เขาพุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นทันที ในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเขาอยู่ตามลำพังแน่ๆ ธรณ์วิ่งลงบันไดเวียนแล้วออกไปยังประตูหลังอย่างมั่นใจว่า จะได้พบกับใครสักคนอย่างแน่นอนและก็เป็นไปตามที่คาดจริงๆ เขาวิ่งเข้าไปจนเกือบถึงร่างในชุดคลุมสีดำแล้วก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปกระชากแขนข้างหนึ่งให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบกับดวงตาข้างเดียวที่เต็มไปด้วยความดุดัน แข็งกร้าว เหมือนที่เขาได้พบในวันแรกที่โรงแรมแอร์พอร์ตไม่มีผิด ใช่ ต้องเป็นคนๆเดียว กันแน่ๆ

“คุณทำแบบนี้ทำไม คุณต้องการอะไร”

เขาถามพลางจับต้นแขนทั้งสองข้างเหวี่ยงร่างนั้นไปพิงกำแพงเต็มแรง

“บอกมาสิ ว่าคุณเป็นใคร ทำไมถึงพูดภาษาไทยได้ คุณเป็นใครกันแน่”

ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าคลุมสีดำออกมา ประสานสายตาเขาตอบอย่างไม่ลดละ หากก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย วินาทีนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาผลักร่างของชายหนุ่มจนกระเด็นออกไป

“เนเนสต์ ช่วยด้วย ฉันกลัว”

“ทำอะไรของคุณ รังแกผู้หญิงเหรอ อย่าบังอาจมาแตะต้องเพื่อนของฉัน แล้วก็ออกไปจากพิพิธภัณฑ์เดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว แล้วจัดการคุณด้วยตัวของฉันเอง”

เนเนสต์ก้าวมายืนขวางตรงกลางระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวและพูดเสียงเข้มกับเขาอย่างไม่กลัวเกรง พลางเอื้อมมือไปจับมือคนข้างหลังไว้อย่างปกป้อง ธรณ์เหมือนจะไม่ได้สนใจฟังคำขู่ของภัณฑารักษ์สาวเลยสักนิด สายตาคมลึกของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของหญิงสาวในชุดคลุมสีดำที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง ด้วยท่าทางหวาดกลัว แต่เขารู้ว่าเธอไม่ได้กลัวเขาจริงๆหรอก เพราะก่อนหน้าที่เนเนสต์จะมาเธอยังจ้องมองเขาด้วยแววตาลุกโชนราวกับมีเปลวไฟอยู่ในนั้น จนคนที่เป็นฝ่ายรู้สึกกลัวและหวาดผวาน่าจะเป็นเขามากกว่าด้วยซ้ำ

……………………………………………………………………………………………………

จบตอนที่ 3


** จากตอนที่แล้ว ขอบคุณ คุณหมีสีชมพู กับ คุณอนัญชนินทร์ มากๆนะคะ
รวมถึงทุกคนที่แวะเข้ามาด้วยค่ะ



TheMoonsea
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ย. 2555, 07:42:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ย. 2555, 07:42:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1179





<< ตอนที่ 2 เจ้าชายฟารินอสกับเจ้าหญิงชารีด้า   ตอนที่ 4 'No Deep Sea port ,No Pollution' >>
หมีสีชมพู 13 พ.ย. 2555, 10:35:40 น.
ความลับของมาร์ลิคถ้ามีใครรู้หัวขาดแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account