ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย

ตอน: ตอนที่ 4 'No Deep Sea port ,No Pollution'

ตอนที่ 4

“ขอโทษ ที่ผมอาจจะเสียมารยาทกับเพื่อนของคุณไปหน่อย ผมแต่ตื่นเต้นที่ได้เจอคนที่พูดภาษาไทยของผมได้ ก็เลยอยากทำความรู้จักด้วย ก็แค่นั้นเอง”

ธรณ์พูดกับเนเนสต์ทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวอีกคนซึ่งยืนแอบอยู่ด้านหลังด้วยความรู้สึกว่ากำลังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นั้นเยอะแยะเต็มไปหมด ในขณะที่เนเนสต์ก็พอได้ยินสิ่งที่ชายหหนุ่มพูดแล้วก็รีบหันไปกระซิบถามมีมี่ด้วยความแปลกใจ

“ผู้ชายคนนี้บอกว่ามีมี่พูดภาษาไทยได้ จริงเหรอ?”

“อะไรนะ ฉันน่ะเหรอ พูดภาษาไทยได้ เขาคงเข้าใจผิดหรือไม่ก็คงคิดอยากจะหาเรื่องฉันแน่ๆเลย เนเนสต์ แล้วรู้รึเปล่า ว่าผู้ชายคนนี้น่ะเป็นวิศวกรจากเมืองไทย แล้วก็เป็นเพื่อนกับประธานองคมนตรีมาร์ลิคด้วยล่ะ น่าจะมาช่วยงานโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอีกคน”

“รู้ได้ไง”

เนเนสต์ย้อนถามเสียงเข้ม

“ก็เห็นภาพข่าวงานเลี้ยงต้อนรับเขาเมื่อคืนนี้จากหนังสือพิมพ์ฉบับที่ฉันอ่านก่อนออกมาจากบ้านกับคุณเมื่อเช้าไงคะ เพิ่งเห็นภาพมา เลยจำได้”

ธรณ์ดูมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยขณะมองปฏิกิริยาของหญิงสาวทั้งสองเพราะ เนเนสต์กับมีมี่พูดคุยกันด้วยภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจ ราวกับว่าเขาถูกกันให้เป็นคนอื่น เป็นอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตน และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาซะเลย ทว่า ยังไม่ทันได้พูดหรือทักท้วงอะไร เนเนสต์ก็หันมามองสบตาเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างชัดเจน ชัดเจนซะจนเขาทำหน้าไม่ถูกและนึกอยากถามว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เรื่องในแง่ดีเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดในสายตาของหญิงสาวทั้งสองอย่างไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงเลย

“เพื่อนฉันจะพูดภาษาไทยได้ยังไง คุณคงหูหาเรื่องมากกว่า แค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูแตกต่างจากคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะมาทำอะไรเพื่อนฉันก็ได้นะ ”

เนเนสต์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะคว้าแขนมีมี่ให้เดินกลับเข้าไปด้านในปราสาท โดยที่ธรณ์ได้แต่มองตามแล้วก็ถอนใจยาว ด้วยความงุนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป เขาไม่เข้าใจหญิงสาวในชุดคลุมสีดำผู้นั้นจริงๆว่าทำไมต้องทำตัวแปลกๆ คลุมหน้าจนมองเห็นดวงตาเพียงข้างเดียว แถมยังเดินหลังค่อมเหมือนคนแก่ ทั้งที่นัยน์ตาและน้ำเสียงที่เขาได้ยิน เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเธอไม่น่าจะมีอายุเกิน 25 แน่นอน และที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือสาวน้อยหน้าตาเหมือนลูกครึ่งสองทวีป ที่เพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับแสดงอาการรังเกียจและไม่ชอบเขาอย่างไม่มีสาเหตุรุนแรงอะไรเลย ชายหนุ่มมองไปรอบๆตัวแล้วเดินเลาะตัวปราสาทออกไปไปยังทางเท้า และขณะที่เดินผ่านทางหน้าต่างห้องจัดแสดงวัตถุหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สายตาก็พลันมองไปเห็นป้ายที่เป็นตัวหนังสือเขียนว่า “หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการประดิษฐ์ดอกไม้ไฟตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน” ก็หยุดยืนมองอยู่ครู่หนึ่งตั้งใจแน่วแน่ว่า เขาจะต้องแวะมาที่นี่อีกแน่นอน ไม่ว่าภัณฑารักษ์สาวคนนั้นจะยินดีต้อนรับหรือไม่ก็ตาม ธรณ์เดินเล่นไปเรื่อยๆจากทางเท้าหน้าพิพิธภัณฑ์ สายตาเริ่มมองหาร้านอาหารมื้อเช้านั่งพักผ่อนสบายๆเพราะเริ่มหิว ผู้คนก็เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆในระหว่างทางที่เดิน เขาสังเกตว่าคนที่สัญจรไปมาทั้งบนทางเท้า ทางจักรยาน หรือทางรถโดยสารสาธารณะส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น นานๆ จะเดินสวนกับผู้หญิงสักคน และผู้หญิงที่ได้พบก็มีทั้งหญิงสาวที่ใช้ผ้าคลุมทั้งใบหน้าจนเห็นแค่ดวงตา กับ หญิงที่ใช้ผ้าคลุมเพียงศีรษะแต่ยังเปิดเผยให้เห็นใบหน้าได้ ตลอดจนหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดธรรมดาทั่วไป ธรณ์นึกถึงบทความที่ได้อ่านเมื่อคืน เมืองไซเบิ้ล เป็นเมืองที่รวมความหลากหลายทางศาสนา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่ผสมผสานกันกับความงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว ที่สำคัญเขารู้สึกได้ถึงความสงบ ความเรียบง่ายและน่าอยู่ของเมืองที่เต็มไปสิ่งที่น่าสนใจแห่งนี้

กลิ่นขนมปังหอมกรุ่นจากร้านริมถนนที่ธรณ์เดินผ่าน ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มได้ไม่น้อย ยิ่งหันไปมองร้านที่ลักษณะคล้ายร้านน้ำชาเล็กๆ มีโต๊ะไม้กลมๆสองตัว อยู่หน้าร้าน เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งทันที และก็ได้เห็นที่มาของกลิ่นหอมยั่วน้ำลายว่าที่แท้มาจากถาดใส่ขนมปังก้อนกลมๆหน้าตาคล้ายเบเกิ้ลเคลือบน้ำตาลที่เพิ่งออกมาจากเตาอบร้อนๆตรงหน้าร้านนั่นเอง

“รับอะไรดีครับ”

ชายหนุ่มซึ่งกำลังง่วงกับการผสมเครื่องดื่มส่งเสียงมาถามอย่างอารมณ์ดี

“ขอชาร้อนสักถ้วย แล้วก็ขนมปังหอมๆในถาดนั่นสักชิ้นแล้วกันครับ”

ธรณ์บอกพลางมองไปรอบๆร้านอย่างสนใจ ตรงหน้าร้านที่ชายหนุ่มยืนชงชาคือโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับประตูบ้าน ซึ่งเป็นลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายห้องแถวที่เขาคุ้นตาในเมืองไทย หากห้องแถวของที่นี่ ไม่ได้อยู่ติดกันหลายห้อง แต่ตั้งอยู่ห่างจากเพื่อนบ้านพอสมควร คล้ายเป็นกล่องที่วางเรียงกัน ด้านในบ้านที่พอมองเห็นก็คือเตาอบขนมปังขนาดใหญ่ และมีหญิงสาว ซึ่งธรณ์เดาเอาเองว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าของร้าน กำลังวุ่นวายกับการทำขนมปังอยู่เงียบๆ

ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณเบาๆเมื่อถาดใส่ขนมปังก้อนกลมหอมกรุ่นกับน้ำชาถูกยกมาวางบนโต๊ะ ร้านนี้เสิร์ฟน้ำชาให้เขาเป็นในกาแบบสแตนเลสและมีถ้วยชาให้รินเอง ธรณ์รินน้ำชาแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบขนมปังมาลองชิม รู้สึกได้ถึงความหวานของเนื้อแป้งและใส้ซึ่งเป็นน้ำเชื่อมเหนียวๆข้างใน หวานจนเขารู้สึกแสบคอ ต้องรีบดื่มชาตามจนเกือบหมดแก้ว น่าแปลกที่พอดื่มน้ำชาตามเข้าไปแล้วกลับรู้สึกชุ่มคอและสดชื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอาหารเช้าที่เข้ากันได้อย่างลงตัวมากทีเดียว นอกจากในขนมปังจะมีใส้เป็นน้ำเชื่อมแล้ว กัดกินไปเรื่อยๆก็พบว่ามีเนื้อผลไม้เช่น องุ่นดำ กับ เนื้อแอปเปิ้ลสดผสมอยู่ด้วย ชายหนุ่มรู้สึกติดใจในรสชาติจนต้องสั่งมาเพิ่มอีกชิ้น

“คุณคงเป็นนักท่องเที่ยว ใช่มั้ยครับ ดูท่าทางคุณคงไม่ใช่คนเมืองนี้”

“ครับ ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก”

ธรณ์ตอบคำพูดชวนคุยอย่างเป็นมิตรของชายหนุ่มเจ้าของร้าน ด้วยสีหน้าเป็นมิตรเช่นกัน

“ใส้ขนมปังนี้หวานมากเลยนะครับ หวานจนผมรู้สึกแสบคอ แต่พอได้ดื่มชาตามเข้าไปแล้ว กลับรู้สึกดีมาก”

“อาหารและขนมของออสเตคิน ส่วนใหญ่จะให้รสหวานจัดครับ เรียกว่ากลายเป็นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเราไปแล้ว เพราะพวกเรานิยมดื่มชาและกาแฟกับของหวาน จนกลายเป็นของคู่กันไม่ว่าจะมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็น ขนมปังนี้ ก็มีหลากหลายใส้ แล้วแต่ใครจะชอบผสมอะไรลงไป ชิ้นที่นำมาเสิร์ฟนี้ มีส่วนผสมของอินทผลัมด้วยนะครับ สำหรับเมืองไซเบิ้ล เรามีผลิตผลทางเกษตรกรรมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดสามอย่างก็คือ ชา องุ่น และอินทผลัม ผมหวังว่าคุณคงจะชอบรสชาติของมัน”

ฟังหนุ่มเจ้าถิ่นอธิบายอย่างคล่องแคล่ว เหมือนได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาอุดหนุนร้านน้ำชาของเขาฟังมานักต่อนักแล้ว ธรณ์ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เขานั่งดื่มชาและจัดการกับขนมปังอีกชิ้นจนหมดแล้ว ก็ชำระเงินและเดินออกมาพลางกดโทรศัพท์มือถือไปหาซาฮินเพื่อตามให้สารถีส่วนตัวนำรถยนต์มารับได้แล้ว และระหว่างกำลังยืนรอ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นและเป็นมาร์ลิคที่โทรมาหา

“สวัสดีมาร์ลิค”

“ธรณ์ บ่ายวันนี้คุณคงต้องไปฟังการปราศัยคนเดียวแล้วล่ะ ผมมีธุระต้องทำกระทันหัน อาจจะตามไปทีหลัง ถ้าโชคดีเราคงได้เจอกัน”

มาร์ลิคบอกกล่าวถึงความต้องการของเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้จะงงๆนิดหน่อย แต่ธรณ์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วกับการไปฟังการปราศัยโดยไม่มีมาร์ลิคไปด้วย

“ได้สิ ผมไปได้สบายมาก ไม่ต้องห่วงนะ แล้วค่อยเจอกันตอนค่ำๆแล้วกัน”

เขาบอกเพียงแค่นั้น แล้วมาร์ลิคก็กล่าวลาก่อนจะวางสายโทรศัพท์ไป




นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงตรง มีมี่กำลังยืนพิงผนังมองเนเนสต์ที่ยืนหันหลังอยู่ตรงประตูทางออกจากพิพิธภัณฑ์และกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับใครสักคนได้สักพักแล้ว ทั้งที่รู้ดีว่าการแอบฟังเรื่องของผู้อื่นเป็นมารยาทที่ไม่ดี แต่เธอก็บอกตัวเองว่าที่ทำไปเพราะความจำเป็นจริงๆ ใบหูข้างหนึ่งของมีมี่แนบชิดติดผนังฝั่งเดียวกับที่เนเนสต์ยืนอยู่ห่างออกไปหลายเมตรและความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาก็ทำให้เธอได้ยินบทสนาทุกอย่างทางโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เดยันคือคนที่โทรมาเพื่อบอกเรื่องสำคัญที่จะเป็นหัวข้อในการปราศัยของสมัชชาประชาชนฯ ในบ่ายวันนี้ นั่นก็คือเรื่องที่คาจาร์ บิดาบุญธรรมจะเปิดตัว เครือข่ายติดตามโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกอย่างเป็นทางการ และเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธาน โดยมีน้องสาวเป็นเลขานุการ แล้วเมื่อเสียงพูดคุยเงียบลง มีมี่ก็รีบเดินกลับด้านหลังเคาน์เตอร์แสร้งทำว่ากำลังอ่านหนังสือของพิพิธภัณฑ์ระหว่างรอเนเนสต์ กลับมา

“เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย หิวรึยังมีมี่ เดี๋ยวทานข้าวแล้วฉันคงต้องไปที่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อช่วยงานชุมนุมปราศัยของสมัชชาฯ คุณคงต้องอยู่ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่นี่คนเดียวจนกว่าจะถึงสี่โมงเย็น แล้วฉันจะรีบกลับมารับให้เร็วที่สุด”

มีมี่ทั้งแปลกใจและผิดหวังกับสิ่งที่เนเนสต์บอก เพราะเธอคิดว่า จะถูกชวนให้ไปร่วมฟังปราศัยด้วยกันเสียอีก

“ได้เลย ฉันจะทำหน้าที่แทนเนเนสต์ให้ดีที่สุด แต่ถ้าสี่โมงแล้วการชุมนุมปราศัยยังไม่เลิก ฉันจะขอตามไปฟังด้วยคนได้รึเปล่า”

เนเนสต์พยักหน้าแทนคำตอบ แววตาของเธอดูเคร่งขรึมกว่าปกติตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากพี่ชาย แล้วเธอก็คว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไปเงียบๆ โดยมีสายตาข้างเดียวของมีมี่คอยมองตามจนลับตาไป





บริเวณสวนสาธารณะที่เป็นจัตุรัสใจกลางเมืองไซเบิ้ลขนาดเทียบได้กับสนามฟุตบอลดูคับแคบลงไปถนัดตา เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากทั้งชาวไซเบิ้ลเองและชาวเมืองอื่นๆ รวมทั้งจากเมืองหลวงได้เดินทางมารอฟังคำปราศัยของแกนนำสมัชชาประชาชนฯ ในประเด็นร้อนซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันไปทั้วเกาะออสเตคินในเวลานี้ นั่นก็คือ โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ของรัฐบาล เมกะโปรเจคที่ได้รับเสียงสนับสนุนพอๆกับเสียงต่อต้านอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชาวเมืองเจ้าของพื้นที่โดยตรง

ธรณ์เปิดประตูลงจากรถตั้งแต่ยังไม่ถึงบริเวณพื้นที่ชุมนุม เพราะผู้คนมากมายที่เดินมุ่งหน้าไปในสถานที่เดียวกัน ทำให้การจราจรต้องติดขัดไม่น้อย แม้จะมีตำรวจจราจรมาคอยอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษก็ตาม บรรยากาศรอบๆตัว สร้างความรู้สึกหลากหลายให้กับชายหนุ่มต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่า เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามกับพลังมวลชนแบบที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน บนเวทีขนาดใหญ่ความสูงประมาณหนึ่งเมตร มีป้ายคัทเอาท์เขียนตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษว่า “No Deep Sea port ,No Pollution”

นอกจากนั้นก็ยังมีป้ายผ้าที่แขวนอยู่รอบๆเป็นข้อความในทำนองเดียวกันอยู่หลายข้อความ ซึ่งธรณ์ก็มองเห็นและอ่านได้เป็นบางข้อความเท่านั้น เพราะบริเวณที่แขวนป้ายผ้า ตัวหนังสือค่อนข้างเล็กกว่าบนเวที และก็อยู่ไกลกว่าระดับสายตาของเขา แล้วเสียงรอบตัวที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นเสียงฮือฮา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนแบบเป็นเสียงเดียวกันของประชาชนด้านล่างเวที เมื่อบุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นไปปรากฏตัว ราวกับว่าทุกคนกำลังรอคอยการมาของเขา

คาจาร์ คาจาร์ คาจาร์ คาจาร์ คาจาร์

ธรณ์รู้สึกขนลุกเกรียวกับเสียงเรียกอันดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วบริเวณ จนกระทั่งบุรุษผู้นั้นยกมือขวาขึ้นโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร เสียงเรียกชื่อเขาก็พลันเงียบลง แปรเปลี่ยนเป็นเสียงปรบมือต้อนรับ ธรณ์จ้องมองบุรุษผู้เป็นศูนย์กลางการชุมนุมครั้งนี้อย่างไม่วางตา รู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง ความน่าเลื่อมใสศรัทธา จากบนเวทีใหญ่ คาจาร์ในวัย 50 ปี เพียงแค่ออกมาปรากฏตัวก็ดูจะมีอิทธิพลกับประชาชนทุกคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องยอมรับว่าขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้ มีเสน่ห์ของความเป็นผู้นำและยังมีร่องรอยความหล่อและคมเข้มจากสมัยยังเป็นหนุ่มอยู่ไม่น้อย แม้ปัจจุบันจะอายุมากแล้วก็ตาม

“สวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักของผมทุกๆท่าน”

เพียงแค่คำทักทายแบบสั้นๆง่ายๆ ก็ดูทรงอำนาจและสะกดผู้คนให้เงียบและตั้งใจฟังได้ราวกับต้องมนตร์ แม้แต่ธรณ์เองก็ยอมรับว่ากำลังมีสมาธิและรอฟังในสิ่งที่คาจาร์กำลังจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ

“เป็นอีกครั้ง ที่ผมดีใจเหลือเกินกับการได้มีโอกาสมาพบปะกับทุกๆท่าน ไซเบิ้ลเป็นบ้านเกิดของผม ผมรักทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านของผม และรักพ่อแม่พี่น้องทุกๆท่าน จนไม่อาจจะทนนิ่งเฉยได้ เมื่อรับรู้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้บ้านของพวกเราไม่เหมือนเดิม และผมก็รู้ดีว่า ทุกคนที่พร้อมใจกันมา ณ ที่แห่งนี้ ก็คิดและรู้สึกเหมือนผม ใช่หรือไม่”

เสียงตะโกนตอบพร้อมเพรียงกันว่า “ใช่” ดังกระหึ่มทั่วพื้นที่อีกครั้ง

“ถ้าใครได้มาร่วมรับฟังในครั้งแรกที่ผมเปิดเวทีสมัชชาประชาชนเพื่อพวกเราชาวไซเบิ้ลเมื่อเดือนที่แล้ว ก็คงจำได้ดีถึงเจตนารมย์อันแน่วแน่ของผม ที่มีต่อโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ผมหวงแหนทรัยพากรและความสมดุลของธรรมชาติเกินกว่าจะยอมให้มีการก่อสร้างอะไรต่อมิอะไรในบ้านของเรา จนทำให้บ้านเราพังทลายไม่เหลืออะไรเลย การถมทะเลเป็นพื้นที่พันๆไร่ จะส่งผลกระไรบ้าง ผมเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่า สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์ คงจะกลายเป็นแค่เรื่องเล่าในอดีต และที่ผมเศร้าใจที่สุดก็คือ เทศกาลทะเลดอกไม้ไฟ ของพวกเราที่มีมาหลายร้อยปี ก็อาจจะสูญสิ้นไป เพราะระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ระบบส่งท่อน้ำมันและก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ พวกเราจะยอมรับได้หรือครับ ”

อีกครั้ง ที่มีเสียงตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่ยอม”

“ผมก็ไม่ยอม ผมยอมไม่ได้ ถ้ายังสงสัยว่า เดี๋ยวในช่วงท้าย ผมจะมาอธิบายและตอบข้อข้องใจเรื่องนี้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ ผมมีอีกเรื่องที่เป็นหัวข้อสำคัญในการพบปะกันครั้งนี้ นั่นก็คือ เรื่องที่ผมกับคณะกรรมการสมัชชาได้ประชุมปรึกษาหารือกันมาแล้ว หลังจากนักสังคมและการมีส่วนร่วมของประชาชน ตัวแทนทางฝ่ายโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ได้ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนมาสักระยะหนึ่ง ทำให้ทางสมัชชาเกิดแนวคิดว่า จะแต่งตั้งตัวแทนเพื่อคอยประสานงานกับผู้ทำงานกลุ่มนี้โดยตรง พวกเราเลยได้สร้างกลุ่มเครือข่ายติดตามโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ขึ้นมา และผมจะขอแนะนำให้รู้จักพวกเขา โดยเริ่มจากประธานเครือข่าย ก็คือลูกชายบุญธรรมของผมเองครับ”

ทันทีที่คาจาร์พูดจบ เสียงตะโกนเรียกชื่อ เดยัน เดยัน เดยัน ก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างผู้เป็นบิดาบุญธรรมอย่างสง่างาม

“ทุกคนคงรู้จักเดยัน เป็นอย่างดีแล้ว ลูกชายของผมเรียนจบปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์ และเคยเป็นอาจารย์สอนด้านเคมีกับสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัยบาตูฮานอยู่ปีหนึ่ง ก่อนจะออกมาเป็นผู้ช่วยผมอย่างเต็มตัว เดยันกับคณะทำงานของเขา จะทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่เพื่อชาวเมืองไซเบิ้ลทุกคน”

เสียงปรบมือดังลั่นเป็นเวลายาวนาน และคาจาร์ก็เปิดโอกาสให้ลูกชายของเขาได้กล่าวความรู้สึกกับประชาชน

“ขอบคุณทุกเสียงปรบมือ ทุกเสียงที่เรียกชื่อผม และทุกๆความไว้เนื้อเชื่อใจ ผมเองก็เป็นชาวไซเบิ้ลมาแต่กำเนิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นมาตั้งแต่จำความได้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและจิตวิญญาณของผม ตอนที่ผมได้ทราบข่าวว่า จะมีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ที่ชายทะเลของบ้านเรา ผมอึ้ง และแทบจินตนาการไม่ออกว่าจะยอมรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั้นได้มั้ย วันนั้นน้องสาวของผม ตั้งคำถามกับผมว่า ระหว่างเป็นเมืองมรดกโลก กับเมืองท่าขนาดยักษ์ เป็นฮับแห่งใหม่ของภูมิภาค ผมจะเลือกอะไร คำถามนี้พ่อของผมเคยถามทุกๆท่านแล้วในการชุมนุมครั้งก่อน และผมก็เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบในใจที่ยังไม่เปลี่ยนไป ใช่มั้ยครับ ใครที่อยากให้บ้านเราเป็นเมืองมรดกโลก ยกมือขึ้นครับ”

แน่นอนว่าภาพที่ธรณ์มองเห็นในทุกทิศทางรอบตัวก็คือประชาชนทุกคนพร้อมใจกันยกแขนและชูไม้ชูมือพร้อมกับส่งเสียงร้องสนับสนุน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องยกมือเมื่อสายตาหลายคู่เริ่มมองมาทางเขาอย่างสงสัย

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณทุกคน นี่คือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเสมอกับการได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ คสามรัก ความสามัคคี ความหวงแหนในทรัพยากรอันมีคุณค่า มากกว่าจะหลงไปกับสิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีและโลกของวัตถุนิยม ที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน แล้วคนที่ได้ก็ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นพวกนายทุนต่างหาก พวกเราต้องเสียพื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นพันๆไร่ ภูเขาจะถูกระเบิดกี่ลูกก็ยังประเมินไม่ได้ แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ปะการัง แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ ไหนจะต้องถูกเวนคืนหมู่บ้านเพื่อขยายถนนบ้าง ทำรถไฟรางคู่บ้าง โดยเฉพาะหมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟ ที่อยู่ในพื้นที่โครงการแบบเต็มๆ แล้วเราจะได้อะไรกลับคืนมาบ้าง เราก็ยังเป็นชาวบ้านจนๆ เหมือนเดิม คนที่ได้กับได้คือพวกนายทุนต่างหาก …”

ธรณ์ฟังถึงประโยคนี้แล้ว ก็ถูกดึงความสนใจไปที่เรื่องอื่นเมื่อสายตามองไปเห็นร่างที่คุ้นตาของมาร์ลิคที่เดินผ่านหน้าเขาไปในระยะห่างประมาณสามเมตร ด้วยท่าทางรีบร้อน ตอนแรกเขาก็เกือบลืมตัวจะตะโกนเรียก แต่พอนึกขึ้นได้ว่า ท่ามกลางเสียงดังของเครื่องขยายเสียงและผู้คนมากมายขนาดนี้เรียกเสียงแค่ไหนก็คงจากจะให้อีกฝ่ายได้ยินหรือหันมา จึงตัดสินใจเดินตามไป หากก็ไม่ง่ายนักกับการเดินฝ่าฝูงชนที่ยืนตั้งใจฟังคำปราศัยกันอยู่ขณะนี้ แล้วเขาก็ตามไม่ทันจนได้ ร่างของมาร์ลิคหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วราวกับหายตัวได้ ขณะกำลังถอนใจยาวอย่างเหนื่อยๆ ชื่อที่ได้ยินบนเวทีก็สะดุดหูของธรณ์เข้าอย่างจัง

“เนเนสต์ ใช่แล้วครับ ถ้าใครชอบไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาตร์ของเมืองไซเบิ้ล คงจำน้องสาวของผมได้ นอกจากทำงานเป็นภัณฑารักษ์แล้ว เนเนสต์ยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานเพื่อขอเสนอให้เมืองไซเบิ้ลเป็นเมืองมรดกโลก ร่วมกับเพื่อนนักวิชาการด้านผังเมือง และศาตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งมหาวิทยาลัยบาตูฮานอีก 2-3 ท่าน ทีมงานของเครือข่ายคนต่อไป เป็นเพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผมและเพิ่งจบปริญญาเอกสาขาภูมิศาสตร์มาจากประเทศญี่ปุ่น และ จะเดินทางมาทำงานให้กับพวกเราภายในสัปดาห์หน้านี้….”

ธรณ์แทบจะฟังอะไรไม่รู้เรื่องตั้งแต่จับใจความได้ว่า น้องสาวของเดยันก็คือเนเนสต์ ภัณฑารักษ์สาวที่เขาเพิ่งมีโอกาสได้พบเป็นครั้งแรกเมื่อเช้าวันนี้ แม้จะไม่ค่อยน่าประทับใจนัก แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึ้งมากไปกว่า การได้รับรู้ว่า เธอคือลูกสาวบุญธรรมของคาจาร์ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเพื่อต่อต้านโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ซึ่งเมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด ทว่า ไม่รู้ทำไมข้อเท็จจริงข้อนี้มันถึงทำให้ธรณ์รู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าเธอรู้ว่า เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านตรงข้ามกับเธอ อยู่คนละฝั่งความคิด จากที่ไม่ค่อยอยากจะเป็นมิตรอยู่แล้ว ไม่ต้องกลายเป็นเหมือนศัตรูไปเลยหรือ แล้วเขาจะเข้าไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นได้อีกครั้งหรือเปล่านะ

ธรณ์เลิกความคิดที่จะตามหามาร์ลิคอีก เขาเหนื่อย และกระหายน้ำจนต้องตัดสินใจเดินออกมาจากพื้นที่ชุมนุมโดยไม่มีอารมณ์อยากฟังคำปราศัยรอบที่สองของคาจาร์อีกเลย ชายหนุ่มซื้อน้ำขวดจากพ่อค้าที่ถือถุงน้ำเดินขายและเดินเลาะไปหาซาฮินที่จุดนัดพบ แล้วก็พบสารถีหนุ่มกำลังยืนพิงประตูรถพร้อมกับสูบบุหรี่เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอเขาอยู่

“จะกลับแล้วเหรอคุณ คิดว่าจะอยู่ฟังจนจบซะอีก”

“ผมเหนื่อยน่ะ รู้สึกเหมือนวันนี้ ผมเดินทั้งวันจนขาแทบก้าวไม่ออกแล้วล่ะ แล้วผมก็ได้ฟังในสิ่งที่ผมอยากฟังมากพอแล้วล่ะ”

ธรณ์ตอบเสียงเนือยก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในรถยนต์ และก็พบกับกระดาษปึกหนึ่งที่วางอยู่เบาะข้างๆ

“ขอโทษครับ พอดีมีคนเดินมาแจกแล้วผมลืมเก็บ”

ซาฮินหันมาบอกพลางจะเอื้อมมือมาหยิบ แต่ธรณ์ก็คว้ามาก่อน

“ไม่ต้องหรอก ผมกำลังสนใจอยู่พอดี ดีเหมือนกันจะได้ถามคุณด้วย”

เขาบอกขณะกวาดสายตาอ่านข้อความเชิญชวนให้ร่วมประกวดออกแบบดอกไม้ไฟ ในเทศกาลทะเลดอกไม้ไฟประจำปีที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้านี้

“ตอนฟังลูกชายของคาจาร์พูด ผมได้ยินว่า ที่นี่มีหมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟด้วยเหรอ”

“ครับ หมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟ เป็นชื่อหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติกับครูผู้ริเริ่มสอนวิชาทำดอกไม้ไฟจากเมืองจีนที่อพยพมาอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ และวิชาประดิษฐ์ดอกไม้ไฟ ก็ยังได้รับการบรรจุให้เป็นวิชาบังคับของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เรียนทางสายวิทยาศาตร์อีกด้วย เป็นศิลปะและวิชาชีพที่มีชื่อเสียงมากของเมืองไซเบิ้ลเลยนะครับ”

ธรณ์นิ่งฟังที่ซาฮินบอกเล่าด้วยความสนใจ และคิดไปถึงพรุ่งนี้ว่า นอกจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่เขาอยากกลับไปอีกครั้ง ก็มีหมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟอีกแห่งที่เขาจะไม่พลาดในการเป็นเยือนเด็ดขาด

“จริงสิ เมื่อกี้ผมเจอมาร์ลิคด้วย แต่เขาเดินเร็วมากผมพยายามเดินตามแล้วก็ไม่ไม่ทัน ไม่รู้ว่าหายไปไหน”

“คุณจะลองโทรหามั้ยครับ ผมว่าคุณมาร์ลิคก็คงไปตามหาคุณนั่นแหละ ปกติ ไม่เคยเห็นคุณมาร์ลิคจะสนใจเข้าไปฟังการชุมนุมของพวกสมัชชาฯเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

ธรณ์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหามาร์ลิคตามคำแนะนำของซาฮิน แล้วก็ต้องวางลงที่เดิม เพราะเขาปิดเครื่อง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเดี๋ยวคงติดต่อกลับมาเอง หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องเจอกันพรุ่งนี้อยู่ดี

……………………………………………………………………………………………………

จบตอนที่ 4


** ตอบคุณหมีสีชมพู จากตอนที่แล้วนะคะ ความลับนี้ต้องรักษายิ่งชีวิตเลยค่ะ ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด

ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ



TheMoonsea
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ย. 2555, 08:01:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ย. 2555, 08:01:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1201





<< ตอนที่ 3 ความลับของมาร์ลิค   ตอนที่ 5 แม่มด?? >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account