ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 6 [2/2]

ร่างสูงโปร่งก้าวเข้าไปในห้องบรรยาย ในชั่วโมงเรียนตอนบ่ายเริ่มมีคนทยอยกันมามากขึ้น

รุจิรดามองหาที่นั่งว่าง หากวันนี้คนมาฟังบรรยายมากผิดปกติ อาจเป็นเพราะวันนี้อาจารย์ประกาศไว้ก่อนว่าจะมีการให้แนวข้อสอบกลางภาคที่จะถึงนี้ จึงมีคนมาเรียนมากเป็นพิเศษ ที่นั่งว่างๆ ถูกจับจองไว้เกือบหมดแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้ข้างพิมพรเท่านั้นที่ยังพอนั่งได้

หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อนที่จับกลุ่มกับหญิงสาวคนอื่นๆ พูดคุยกันเป็นที่สนุกสนาน หากก็เงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นคนมาใหม่ที่มีสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่รับรู้ถึงการไม่ต้อนรับของคนอื่นๆ ในกลุ่ม

พิมพรเหลือบมองคนนั่งข้างๆ แล้วอึกอักคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าถูกสีหน้าไม่พอใจของเพื่อนห้ามปรามเอาไว้ จึงทำได้เพียงปรายตามองร่างโปร่งบางด้วยแววตาอ่านยากเท่านั้น

หากรุจิรดาไม่ได้เป็นเหมือนอีกฝ่าย หญิงสาวหันไปหาเพื่อนคนเดียวในนั้น แล้วยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้พิมพร

“นี่ข้อมูลที่พิมอยากได้มาประกอบรายงานไม่ใช่เหรอ คราวก่อนเราไปได้มา เลยคิดถึงพิมขึ้นมาได้”

หญิงสาวเอื้อมมือไปรับพลางเอ่ยตะกุกตะกัก “ขอบ...ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไร” รุจิรดายิ้มตอบน้อยๆ ก่อนจะดึงเอาเครื่องเขียนออกมาเตรียมพร้อมที่จะจดบันทึกสิ่งที่อาจารย์สอน เมื่อยังไม่เห็นมีวี่แววว่าอาจารย์จะมา หญิงสาวจึงดึงเอาหนังสือที่ได้จากหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ออกมาด้วยคิดว่าจะเปิดอ่านฆ่าเวลา หากต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงนงนภิศเอ่ยขึ้น

“ขอดูหนังสือเล่มนั้นหน่อยสิรดา”

คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ยามที่ดวงตาสีน้ำตาลใสจ้องมองคนพูดเจือความระแวง ก่อนตอบปฏิเสธนุ่มนวล “เล่มนี้คงไม่ได้หรอกนภิศ เรายืมของคนอื่นมาอีกที ขอโทษด้วยที่ให้ดูไม่ได้”

อากัปกิริยา ‘หวง’ ของที่รุจิรดาแสดงออกมาสะดุดตาอีกฝ่ายอย่างจัง นงนภิศหรี่ตาลงน้อยๆ อย่างมาดหมายพลางเอ่ยเสียงไม่เบานัก

“นี่เธอคิดว่าฉันจะทำหนังสือเล่มนั้นเสียหายหรือ? ฉันขอดูแค่นิดเดียว ไม่ทำให้มันสึกหรอหรอก”

รุจิรดาเม้มปากน้อยๆ เสียงดังจนเกินเหตุและกิริยาตีโพยตีพายของอีกฝ่ายนั้นมีจุดประสงค์อะไรทำไมเธอจะไม่รู้ นงนภิศต้องการให้คนอื่นมองเธอในแง่ร้าย ไร้น้ำใจ ไม่รู้จักแบ่งปันเท่านั้นเอง ถึงลงทุนแสดงละครขนาดนี้

หากเป็นของๆ เธอจริงๆ เธอคงให้เพื่อนดูตั้งแต่การขอครั้งแรกแล้ว เพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไปเสีย แต่นี่ไม่ใช่... รับสั่งของท่านหญิงอรกัญญาที่บอกว่าหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์นั้นทรงหวงหนังสือทุกเล่มดังก้องอยู่ในหู และที่สำคัญ ท่าทางทะนุถนอมยามหยิบจับหนังสือแต่ละเล่มของผู้เป็นเจ้าของต่างหาก ที่ทำให้เธอตระหนักรู้ว่าหนังสือของท่านชายมีคุณค่าทางจิตใจต่อผู้เป็นเจ้าของขนาดไหน

เธอไม่มีทางเต้นไปตามเกมของอีกฝ่ายแน่นอน

“มันไม่ใช่ของเรา เจ้าของเขาบอกให้เรารักษาไว้ให้ดี และอนุญาตเฉพาะเราเท่านั้น เธออย่าทำให้เราลำบากใจเลยนะ”

หญิงสาวตัดสินใจเอ่ยเสียงอ่อน พลางจะเอาหนังสือเจ้าปัญหาเก็บเข้าไปในกระเป๋า แต่ต้องเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายชะโงกตัวจากที่นั่ง ก่อนฉวยหนังสือในมือเธอไปอย่างรวดเร็ว

“ขอดีๆ ไม่ให้เองนะ ฉันอยากดู ฉันก็ต้องได้ดู”

นงนภิศลอยหน้าลอยตาขณะเอ่ยเยาะหยัน ก่อนจะพลิกหน้าหนังสือเสียงดัง หน้ากระดาษเก่าสีเหลืองคร่ำส่งเสียงคล้ายจะฉีกขาดออกจากกันในอีกเสี้ยววินาที

“ไร้มารยาทที่สุด!” หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาวาววับด้วยความโกรธ ร่างโปร่งบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะอีกฝ่าย “ถ้ายังมีความละอายอยู่บ้างก็คืนมาเดี๋ยวนี้นะนภิศ”

หญิงสาวคู่กรณีหลบสายตาวูบ หากยังคงไม่เบือนหน้าหลบด้วยทิฐิส่วนตัว เพื่อนคนอื่นในห้องเริ่มหันไปซุบซิบกันเบาๆ ได้ยินแว่วๆ ทั้งเสียงห้ามและเสียงยุยงที่ลอยมา หลายๆ เสียงอุทานอย่างทึ่ง เพราะทุกคนไม่เคยเห็นคนที่ดูอ่อนหวาน เรียบร้อยอย่างรุจิรดาโกรธเลยแม้แต่ครั้งเดียว

พิมพรรีบลุกขึ้นอย่างร้อนใจก่อนจะจับแขนร่างโปร่งบางเอาไว้เบาๆ “รดา ไม่เอาน่า... นภิศก็เหมือนกัน ถ้ารดาเขาไม่ให้ดูก็ไม่ควรจะทำอย่างนี้นะ”

นงนภิศเชิดหน้าขึ้น ทั้งๆ ที่แววตาเริ่มสั่นระริกด้วยความตระหนก ดวงตาของอีกฝ่ายแหลมคมคล้ายเข็มที่กำลังแทงทะลุร่างของเธอไป หากเพราะกลัวเสียหน้า ทำให้เธอยังคงเถียงต่อทั้งๆ ที่ในใจรู้เต็มอกว่าผิด

“เดี๋ยวนี้เธอเข้าข้างมันหรือพิม?” สรรพนามที่ใช้เรียกอีกฝ่ายบรรจุความหยามหยันไว้เต็มเปี่ยม “มันไม่เคยเห็นเธอเป็นเพื่อนเลยนะ”

“เธอกำลังเถียงผิดประเด็นนภิศ อย่าพาลใส่พิม ถ้าเธอยังมีสำนึกสมกับที่เรียนกฎหมายมาบ้าง ก็น่าจะรู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ต่อให้ไปโพนทะนาบอกใครก็คงไม่มีใครบอกว่าเธอเป็นฝ่ายถูกหรอก คืนของมาให้ฉันได้แล้ว”

รุจิรดาเน้นย้ำทุกคำพูดชัดเจน ดวงตาวาววับบ่งบอกว่าเธอไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน!

นงนภิศถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างโกรธจัด ก่อนเอ่ยเสียงหยัน “หวงนัก ก็เอาคืนไปเลย!”

ไม่ทันที่รุจิรดาจะเอื้อมมือไปหยิบเอาหนังสือจากอีกฝ่าย นงนภิศก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปาหนังสือออกไปนอกประตูห้องสุดแรง

ร่างโปร่งบางใจหายวับเมื่อมองเห็นหนังสือลอยผ่านไป หญิงสาวไม่กล้าที่จะคว้าเอาตอนมันลอยอยู่กลางอากาศเนื่องจากเกรงว่าหากเธอจับหนังสือตอนนั้นแล้วหน้ากระดาษเก่าๆ อาจจะทนแรงกระชากไม่ไหว้แล้วฉีกขาดไป ทำได้แค่เพียงหมุนร่างผละจากที่ตรงนั้นแล้ววิ่งตามหนังสือที่ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว

หนังสือเล่มหนาตกกระทบพื้นหน้าห้องเรียนเสียงดัง เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่รุจิรดาวิ่งมาถึง หญิงสาวย่อตัวลง ยื่นมือสั่นระริกไปหาหนังสือที่ตอนนี้เปิดแผ่คว่ำหน้าไว้ กลัวเหลือเกินว่าพอเธอพลิกกลับมาแล้วกระดาษข้างในจะเสียหาย...

หากมือใหญ่ของใครคนหนึ่งกลับเอื้อมลงไปเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองตามมือนั้น ถ้อยคำต่างๆ ที่เกือบจะเอ่ยออกไปถูกกลืนเก็บไว้ทันควันเมื่อเห็นว่าคนเก็บเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนั้นเอง

เสี้ยวพักตร์คมคายที่ก้มลงทอดพระเนตรเธอนิ่งเรียบดุจเคย หากสายพระเนตรนั้นเย็นยะเยือกเสียจนหญิงสาวอดหวาดไม่ได้

“นี่หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้หนังสือกลายเป็นของเอาไว้โยนเล่นหรอกหรือ?”

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์รับสั่งเรียบเฉย นิลเนตรดำสนิทนั้นกวาดทอดสำรวจความเสียหายคร่าวๆ ก่อนปิดหนังสืออย่างทะนุถนอม เนตรนั้นแลเลยเธอไปคล้ายมิได้ใส่ใจก่อนจะเดินเลยไปโดยทิ้งให้หญิงสาวนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น

รุจิรดาลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันกลับไปนั่งที่โต๊ะเงียบๆ ไม่สนใจกับสายตาใคร่รู้ของเพื่อนร่วมห้อง ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งดวงตาเย้ยหยันของนงนภิศที่ส่งมาให้ ดวงตาและดวงใจในยามนี้จดจ่อไปที่วรองค์สูงตรงหน้าเท่านั้น

...จะกริ้วเราหรือเปล่า... แล้วจะกริ้วมากไหม นานไหม...

หญิงสาวเริ่มกระวนกระวาย ทว่าภายนอกยังนั่งนิ่งดั่งเมื่อครู่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น

“เริ่มเรียนกันเถอะ ต่อจากคราวที่แล้วที่ผมได้ยกตัวอย่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์...”

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์วางหนังสือเอาไว้ที่โต๊ะอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเริ่มการสอนต่อไป ไม่ได้สนใจสายตาวิงวอนขอโทษของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย



“อาจารย์... ฝ่าบาทเพคะ”

รุจิรดารอจนคนอื่นๆ ที่เข้าไปถามคำถามหลังการบรรยายและคนในห้องหายไปเกือบหมดแล้วจึงค่อยเดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปหาหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ หากอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ได้ยิน วรองค์สูงเก็บของเสร็จก็ทำท่าจะดำเนินออกไปจากห้องเรียน จนหญิงสาวต้องตะโกนเรียกพลางวิ่งไปยุดกรแข็งแรงไว้อย่างลืมตัว

“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียใจจริงๆ”

พักตร์คมปรายเนตรมองคนที่เดินตามมาข้างหลังครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมหัตถ์มาปลดมือบางออกแล้วดำเนินต่อไป พลางรับสั่งเรียบเรื่อย

“ขอโทษเรื่องอะไร เรื่องที่เห็นหนังสือของฉันเป็นของเอาไว้โยนเล่นอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่เพคะ” หญิงสาวส่ายศีรษะปฏิเสธ ไม่ปิดบังน้ำเสียงร้อนรนแม้แต่น้อย ขาเรียวพยายามก้าวให้ทันช่วงก้าวบาทของอีกฝ่าย “หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนโยนหนังสือ แต่หม่อมฉันผิดที่ไม่ระวังรักษาของฝ่าบาทเอาไว้ให้ดี ไม่สมกับที่ทรงวางพระทัยให้หม่อมฉันดูแลหนังสือของฝ่าบาทเลย”

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ไม่ได้รับสั่งตอบ หากเพียงดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงห้องพักอาจารย์ หญิงสาวตามไปอย่างไม่ลดละ พยายามที่จะทำให้อีกฝ่ายหายกริ้วให้ได้

...ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รู้เพียงอย่างเดียวว่าอยากให้แย้มสรวลน้อยๆ กับเธออีกครั้งเหมือนเคย ไม่ใช่ทำพักตร์เรียบเฉยเย็นชาใส่อย่างนี้...

รุจิรดาผ่อนระยะฝีเท้าให้ตามหลังวรองค์สูงสง่าเมื่อมีอาจารย์หรือนักศึกษาคนอื่นเดินสวนมา หญิงสาวเดินตามเงียบๆ จนไปถึงหน้าห้องพักอาจารย์จึงคิดจะลองพูดให้พระทัยอ่อนอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านชายอดุลย์เพคะ”

ไม่ทันที่จะได้ร้องเรียก น้ำเสียงหวานรื่นหูก็ดังขัดจังหวะจนหญิงสาวต้องชะงัก เมื่อมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นร่างบอบบางของอาจารย์คนหนึ่งที่รีบเดินตรงเข้ามาพลางยื่นเอกสารบางอย่างให้หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ทอดพระเนตร “นี่เป็นเอกสารที่ท่านคณบดีจะให้ท่านชายลงพระนามรับทราบเพคะ ส่วนนี่...”

เสียงหวานหยุดชะงักเมื่ออาจารย์ท่านนั้นหันมาเห็นร่างโปร่งบางของลูกศิษย์ยืนนิ่งงันจึงเอ่ยทักขึ้น

“เอ่อ... นิสิตมีธุระอะไรกับอาจารย์หรือท่านชายหรือเปล่าคะ?”

ดวงตาสีน้ำตาลใสมองตรงไปยังคนสองคนที่ยืนแทบชิดติดด้วยความสนิทสนม มองเห็นรอยแย้มสรวลน้อยๆ ที่มีให้กับคู่สนทนาก่อนจะเปลี่ยนเป็นดวงพักตร์เรียบเฉยเมื่อมองตรงมายังตัวเธอเอง รุจิรดานิ่งงัน สั่นศีรษะช้าๆ พลางเอ่ย “ไม่มีค่ะ ‘ธุระ’ ของหนูเรียบร้อยแล้วค่ะ”

ร่างโปร่งบางกระพุ่มมือไหว้อาจารย์สาว ก่อนจะหันไปทางวรองค์สูงที่ยังคงสีพระพักตร์ไร้อารมณ์เอาไว้ก่อนทำความเคารพ และเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก



“บ้าที่สุด!”

มือเรียวกำแน่นก่อนคลายออกสลับกันเพื่อระงับความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นฉับพลัน ความโกรธที่แปรเปลี่ยนมาจากความรู้สึกผิด ความน้อยใจรุนแรงเสียจนดวงตาผ่าวร้อนอย่างประหลาด

“จะโกรธอะไรนักหนา คนเขาอุตส่าห์ง้อแล้ว อย่างน้อยก็ฟังเสียหน่อยก็ยังนี่ นี่อะไร...” รุจิรดาขัดเคืองเสียจนต้องจิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือนุ่มเข้าไปอีก “ทีคนอื่นล่ะยิ้มให้ ทีเราหน้าบึ้งใส่ บ้า!”

คนบ่นดูเหมือนจะลืมไปเสียแล้วว่าก่อนหน้านี้รอยแย้มสรวลน้อยๆ นั้นเธอมีโอกาสได้เห็นมากกว่าใครอื่น ยังเคยภูมิใจว่าหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ที่คนร่ำลือกันว่านิ่ง ขรึม แย้มสรวลยากหนักหนานั้นไม่ได้เคร่งครัดใส่เธอ มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น...

แต่วันนี้หญิงสาวก็เข้าใจแล้วว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษในการกระทำเหล่านั้นเลย ทุกอย่าง... เป็นเรื่องที่เธอคิดเองทั้งสิ้น

ร่างโปร่งบางเดินเรื่อยไปจนถึงเก้าอี้นั่งรอที่เป็นจุดนัดพบกับท่านหญิงอรกัญญา หน้าตึกเรียนตอนบ่ายแก่ๆ มีเพียงลมโชยแผ่ว ร่มรื่นเสียจนคนที่กรุ่นโกรธมาจากตึกเรียนของตัวเองเริ่มคลายอารมณ์ลง ดังนั้นเมื่อวรองค์แบบบางดำเนินมาถึงจึงพบกับดวงหน้าเนียนที่คงสีหน้าเรียบเฉยไว้ได้เท่านั้น

“ทำไมหน้าแดงอย่างนั้นล่ะรดา หรือว่ามีไข้จ๊ะ?”

สุรเสียงอ่อนหวานเป็นกังวล เมื่อทรุดองค์ลงนั่งข้างรุจิรดาแล้ว ท่านหญิงอรกัญญาก็ยกหัตถ์ขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบาพลางพึมพำ “ก็ไม่มีไข้นี่... หรือตรงนี้ร้อนไป”

“ไม่ใช่หรอกเพคะ รดาเคืองคนมากกว่า” หญิงสาวตอบเสียงขุ่น หากไม่ได้ต่อว่าคนที่ว่า... ก็เป็นเชษฐาของท่านหญิงนั่นแหละ

ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลอ่อนๆ “รดาอย่าไปโกรธเคืองใครเลย โกรธเขาไปเขาก็ไม่รู้อะไรกับเราหรอก มีแต่ทำให้ใจของเราขุ่นหมองเองต่างหาก”

“ให้ปล่อยว่างน่ะพูดง่าย แต่ทำยากสำหรับหม่อมฉันนะ” รุจิรดาเบือนหน้าไปอีกทาง แต่น้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมมาก...

...ก็ท่านหญิงแสนดีเสียขนาดนี้ ต่อให้ ‘พี่ชาย’ จะทำเรื่องไว้แค่ไหนก็ตาม เพียงเจอยิ้มอ่อนๆ คำพูดรื่นหูจาก ‘น้องสาว’ ที่ว่าโกรธก็คงหายไปพลันทันใด...

...เหลือแต่ความน้อยใจที่ยังคงอยู่ลึกๆ

“โธ่...ไม่ยากหรอก รดาต้องลองทำ แล้วมันจะดีกับรดาเองนะ” อีกฝ่ายยังคงยืนยัน “บางทีเราแค่ต้องยอมรับว่าอีกคนเขาเป็นอย่างนี้ ทำแบบนี้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดหรือการกระทำของเขาได้ แต่เราเปลี่ยนใจเราได้นี่จ๊ะ”

สุรเสียงเจือจริงจังเจือแววเศร้าสร้อยอย่างหนึ่งทำให้รุจิรดาหันกลับไปมองพักตร์คนพูด ก่อนจะแย้มยิ้มสดใสแล้วเอ่ย “สาธุเพคะ... หญิงอรช่างแสนดีอย่างนี้ ใครได้ตุ๊กตาแก้วเจียระไนองค์นี้ไปคงเป็นโชคอันประเสริฐของเขาเป็นแน่”

หญิงสาวเอ่ยชื่นชมอย่างจริงใจ แต่กลับได้เห็นเพียงแววสลดในดวงเนตรงาม ทั้งๆ ที่โอษฐ์บางยังแย้มสรวลอ่อนหวานไม่ต่างไปจากเมื่อครู่

รุจิรดาขมวดคิ้ว หรี่ตาลงน้อยๆ เพื่อจับอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ก่อนเสเปลี่ยนเรื่อง “เลยเวลามาเกือบสิบนาทีแล้ว ทำไมณัฐยังไม่มาอีกนะ”

วรองค์บอบบางคล้ายแข็งขืนขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง ก่อนพักตร์งามจะส่ายไปมาน้อยๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไม่ไหวเลยณัฐเนี่ย” ร่างโปร่งบางยังคงบ่นเบาๆ ไปถึงเพื่อนชายที่ยังมาไม่ถึง “อุตส่าห์นัดให้มาเร็วๆ แล้วแท้ๆ”

“อย่าว่าณัฐเลยนะ เขาอาจจะติดธุระอะไรอยู่ก็ได้ ปกติณัฐไม่ได้เป็นคนผิดเวลาอย่างนี้” รับสั่งอ่อนโยนอย่างพยายามคลายความโกรธให้อีกฝ่าย “ว่าแต่... วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันหรือ หญิงคงไปนานไม่ได้เพราะวันนี้พี่ชายรับสั่งไว้ว่า...”

“อย่างนั้นก็อย่ารอณัฐเลยเพคะ เราไปกันสองคนก็ได้”

ร่างโปร่งบางผุดลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง และก่อนที่ท่านหญิงอรกัญญาจะห้ามทัน รุจิรดาก็เดินแกมวิ่งตรงไปยังสามล้อที่จอดพักรถเพื่อรอให้ผู้โดยสารมาใช้บริการ หญิงสาวพูดคุยกับคนขับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาหาท่านหญิงที่ยังคง ‘ตามไม่ทัน’

“ไปกันเถอะเพคะ” หญิงสาวว่าพลางฉุดกรบางให้ลุกขึ้น “ไม่รอณัฐแล้วดีกว่า ไปกันสองคนนี่แหละดีที่สุด”

“เอ้อ... แต่...”

“ไม่มีแต่เพคะ วันนี้ขอแค่ตามประสาสาวๆ บ้าง หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะถามฝ่าบาทเยอะเลย แต่ติดที่มีอีตาณัฐไปด้วยทุกครั้งนี่แหละ”

ท่านหญิงอรกัญญาปล่อยองค์ให้ถูกฉุดขึ้นไปนั่งบนรถสามล้อ ก่อนคนฉุดจะขึ้นมานั่งข้างๆ พลางร้องบอกคนขับอย่างร่าเริง “ไปเลยค่ะลุง”

สามล้อที่มีคนขับเป็นชายวัยกลางคนค่อยๆ เคลื่อนที่ไปช้าๆ ลมอ่อนโชยนั้นแรงขึ้นเพียงเล็กน้อย หากก็ทำให้ตุ๊กตาแก้วเจียระไนอย่างท่านหญิงอรกัญญาตื่นเต้นได้ ด้วยไม่เคยนั่งสามล้อมาก่อน แววเนตรงามระยับขึ้นด้วยความถูกพระทัย ก่อนจะหันกลับมารับสั่งกับรุจิรดาที่นั่งมองทัศนียภาพสองข้างทางด้วยสุรเสียงสดใสขึ้น

“ลมเย็นดีจัง ค่อยๆ พัดผ่านไปแบบนี้ หญิงชอบนะ”

“ดีใจที่โปรดเพคะ” รุจิรดายิ้มกว้างตอบรอยแย้มสรวลอ่อนหวาน ก่อนเอ่ยติดตลก “นี่แหละพาหนะเดินทางมามหาวิทยาลัยของหม่อมฉัน”

“โอ้!” สุรเสียงแปลกพระทัยจริงๆ “อย่างนี้แสดงว่ารดาต้องตื่นเช้ามากๆ เลยสินะ เพราะสามล้อนี่ค่อยๆ แล่นไปเรื่อยๆ นี่นา กว่าจะถึงจุดหมายคงนาน”

“หม่อมฉันชอบเพคะ บางทีหม่อมฉันก็ไม่อยากให้เวลาหมุนเร็วไปนัก สู้ใช้เวลาดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวดีกว่า ความช้าทำให้เราได้เห็นความสวยงามของดอกไม้ข้างทางได้ชัดขึ้น ทรงว่าจริงหรือเปล่าล่ะเพคะ”

คนถูกถามสรวลน้อยๆ อย่างถูกพระทัย “ก็จริงของรดานะ บางทีการทำอะไรไม่ต้องรีบร้อนก็คงจะดี แต่เราเป็นพวกทำอะไรเชื่องช้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ทำอะไรได้รวดเร็วแล้วอยากให้เวลาเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างรดาสักเท่าใดหรอก”

“แหม... หม่อมฉันก็ใช่ว่าจะชอบอะไรรวดเร็วมากมายนะเพคะ หม่อมฉันชอบแค่บางอย่างที่ความเร็วให้ประโยชน์ อย่างเช่นการถามตรงๆ เลยเนี่ย ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้เราได้คำตอบที่เราต้องการมาเร็วๆ นะเพคะ”

ร่างโปร่งบางแย้มยิ้มแฝงเลศนัย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ก็อย่างที่ตอนนี้ ณัฐก็ไม่อยู่ด้วย เป็นเวลาที่ดีมากสำหรับหม่อมฉันที่กำลังต้องการรู้อะไรบางอย่างจากฝ่าบาทมากๆ และถ้าเป็นคำตอบที่ได้มาเร็วๆ เลยยิ่งดี หม่อมฉันเลยคิดว่าควรจะถามฝ่าบาทตรงๆ เลยดีกว่า”

“รดาอยากถามอะไรหรือจ๊ะ” สุรเสียงอ่อนโยนรับสั่งตอบพลางแย้มสรวล “หวังว่าคงเป็นคำถามที่เรามีคำตอบนะ”

“ทรงมีแน่อยู่แล้วเพคะ เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบจากฝ่าบาทเพียงองค์เดียวเท่านั้น” รุจิรดายืนยันด้วยสีหน้าที่เริ่มจริงจังขึ้น ก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อย พลางจ้องมองด้วยแววตาจริงจัง ไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิง


“ฝ่าบาท... ชอบณัฐใช่ไหมเพคะ?”


................................................
สวัสดีค่ะ ^^

คุณ mhengihy 555+ เรื่องนี้เศร้าได้ไม่นานหรอกค่ะ
คุณ ม่านฟ้า ตบมันเลยค่ะ บางทีพวกความรู้สึกช้านี่ก็น่าหมั่นไส้สุดๆ
คุณ ukkanirut ง่า...เค้าจะยังไม่บอกดีว่าว่าที่คุณทายถูกรึเปล่า 555+ สองคนพี่น้องเค้ามีกันอยู่เท่านี้ค่ะ คงต้องเข้าใจกันให้มากๆ นั่นแหละ
คุณ lovemuay โดนเข้าเต็มๆ เลยล่ะค่ะ 555+
คุณ ใบบัวน่ารัก คิดถึงเพลงซักเพลงเลยอ่ะ แต่เค้าจำไม่ได้ว่าเพลงอะไร 555+

วันนี้มีข่าวมาแจ้งค่ะ ส้มมีเกมให้เล่นด้วย จะแจกนิยายน่ะค่ะ
ลองตามไปอ่านกติกาได้ที่นี่นะคะ

http://hongsamut.com/readniyaidetail.php?NiyaiDetailID=38987&niyaiid=2664

ไปช่วยกันตอบคำถามเน้อ ^^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2555, 03:39:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2555, 03:39:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 2950





<< บทที่ 6 [1/2]   บทที่ 7 [100%] >>
pattisa 16 พ.ย. 2555, 06:57:59 น.
ยัยนงนพิษ ทำให้ท่ายชายโกรธ นิสัยไ่ม่ดี


mhengjhy 16 พ.ย. 2555, 07:56:11 น.
แหม่ ท่านชายเห็นรดาเป็นคนแบนั้นหรอ


ม่านฟ้า 16 พ.ย. 2555, 08:21:36 น.
นังนงนภัศนี่ มารยาททรามมาก ทำลายของคนอื่น
ท่านชายก็วางท่ามากจริง


ukkanirut 16 พ.ย. 2555, 09:03:43 น.
แอบขี้งอนด้วยน้อ ท่านชาย ^^
เอาละ งานเข้าท่านหญิง 555


lovemuay 16 พ.ย. 2555, 10:15:06 น.
โกรธผิดคนรึป่าวคะ? ท่านชาย เดี๋ยวฝ่ายหญิงไม่ง้อ แล้วจะงอนเก้อนะ อิอิ


หนอนฮับ 16 พ.ย. 2555, 23:56:17 น.
ยัยนง...วอนซะแระ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account