คุณชายร้ายเหลือ
บริษัทแอล.ที.อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทผลิตเครื่องประดับชื่อดังที่ทุกคนก็ใฝ่ฝันอยากจะเข้าทำงานที่นี่ แต่สำหรับชานนท์(แชมป์) ผู้บริหารหนุ่มคนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องเลขาส่วนตัวมากที่สุดในบรรดาผู้บริหารทั้งหมด เขาจึงต้องคัดเลือเลขาส่วนตัวด้วยตัวเอง จนได้มาเจอกับเวณิกา(ตาว) สาวสวยสุดมั่นใจที่เพิ่งจบจากอเมริกาหมาดๆ ชานนท์ตกลงรับเวณิกาเป็นเลขาส่วนตัว นั่นทำให้ความใกล้ชิดระหว่างชานนท์และเวณิกามีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชายหนุ่มที่หมายปองเวณิกาไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีชวิน พี่ชายผู้ร่าเริงของชานนท์ และคิมดงอุน นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อชาวเกาหลีที่ตั้งใจจะใช้ความเป็นผู้ชายอบอุ่นพิชิตใจเวณิการ่วมเข้าแข็งขันด้วย ชานนท์จะทำอย่างไร? เขาจะบอกรักเวณิกาหรือไม่
Tags: น่ารัก โรแมนติค
ตอน: ตอนที่ 1
ไร่คำปันในช่วงเวลาหัวค่ำ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เสื้อผ้ากันหนาวที่เวณิกาขนมาจากอเมริกาจึงไม่ได้เสียเปล่า แม้จะหนาวไม่เท่าอเมริกาแต่ก็ยังถือว่าพอจะเอามาใช้ได้บ้าง หญิงสาวออกมาตากน้ำค้างที่ระเบียงกว้างหน้าบ้าน มองฝ่าความมืดออกไปยังไร่ส้มที่ตอนนี้กลายเป็นเงาดำตะคุ่ม
“อ้าว ยัยตาว ออกมาตากน้ำค้างเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก แม่ว่ากลับเข้าบ้านดีกว่า คืนนี้อากาศเย็นกว่าปกติด้วย”
“หืม ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ตาวเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ค่ะที่อเมริกาหนาวกว่านี้เยอะ ตาวยังไม่เคยป่วยเลย” หญิงสาวยิ้มเห็นฟันขาวเรียงกันเหมือนไข่มุก ศรีมาจึงนั่งลงข้างๆ ลูกสาว
“อยู่ที่โน่นมีพวกฝรั่งมาติดพันบ้างรึเปล่า ฮึ”
“โอ๊ย แม่ถามอะไรเนี่ย ถามเรื่องอื่นยังพอจะตอบได้ แต่แม่เล่นถามเรื่องนี้หนูไม่รู้จะตอบยังไงดี”
“คนมาจีบลูกสาวแม่เยอะเหรอ” ศรีมาถาม
“ใครบอกล่ะ ไม่มีเลยสักคนค่ะ” เวณิกาหัวเราะร่วน
“เอ้า แล้วกัน ลูกสาวแม่ออกจะสวย เก่งขนาดนี้...แต่ก็ดีแล้วล่ะ เรื่องแบบนี้ถ้ามันจะมาก็มาเองไม่ต้องรีบร้อน” หล่อนลูบหัวลูกสาวอย่างแสนรัก
“เอ้อ แล้วเรื่องงานหลังเรียนจบจะว่ายังไงล่ะตาว”
“หนูสมัครงานที่กรุงเทพไว้แล้วค่ะ เหลือแค่รอเวลาให้เขาเรียก ระหว่างนี้ก็ขอเป็นลูกจ้างพ่อกับแม่ไปก่อนนะคะ”
“เอาสิ แม่ไม่ไล่ออกหรอก แถมจะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเจ้าของสวนด้วย”
ทุกเช้าเวณิกาจะต้องเข้าไปในไร่กับคำปันเพื่อดูแลการเก็บผลผลิตของไร่ แล้วนำส่วนหนึ่งไปส่งยังโรงงานแปรรูปของตนเอง แล้วจึงจะไปไร่ชาในตอนบ่าย แต่วันนี้ทำงานเสร็จเร็ว คำปันจึงอาสาไปไร่ชาแทน เวณิกาจึงได้กลับบ้านตั้งแต่บ่าย แก้มขาวใสของเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพูเพราะไอแดดร้อน หญิงสาวถอดหมวกสานออกมาพัดลมให้ตัวเอง
“โอ๊ย ร้อนจังเลย”
“ตาว เมื่อกี้มีคนโทรมาแน่ะ แม่รับให้แล้วบอกว่าหนูไปธุระข้างนอก เขาบอกว่าจะโทรเข้ามาใหม่ เอาไปดูสิ” ศรีมายื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูกสาว เธอรับมาเปิดดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้จึงไม่ได้สนใจนัก เวณิกากลับเข้าไปอาบน้ำแล้วมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับศรีมา เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เวณิกาจึงปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ตามลำพัง
“สวัสดีค่ะ คุณเวณิการึเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครคะ”
“ดิฉันโทรมาจากฝ่ายบุคคลสัมพันธ์ บริษัทแอลที.อินเตอร์เนชั่นแนลค่ะ จะโทรมานัดสัมภาษณ์งานไม่ทราบว่าคุณเวณิกาสะดวกวันไหนคะ”
เวณิกาใจเต้นทันทีเมื่อได้ยินว่าเสียงปลายสายระบุว่าโทรมาจากที่ไหน แทบจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง สติกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสียงปลายสายพูดว่า
“เอาเป็นว่าวันจันทร์หน้าตอน 9 โมงเช้านะคะ มาถึงแล้วบอกรปภ.ข้างล่างว่ามาติดต่อแผนกคุณชานนท์ชั้น 10 นะคะ”
“แผนกคุณชานนท์ชั้น 10” เวณิกาท่องไว้จนขึ้นใจ
‘เอ๊ะ แล้วคุณชานนท์นี่ใครกัน? ช่างเถอะ คงเป็นหัวหน้าสักคนล่ะมั้ง’ เวณิกาจินตนาการคุณชานนท์ว่าจะต้องเป็นผู้ชายวัยกลางคน ลงพุง ศีรษะเริ่มล้าน อันเป็นลักษณะทั่วไปของหัวหน้าแผนก
คำปันและศรีมาดีใจจนเนื้อเต้น เมื่อรู้ว่าบริษัทผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอันดับต้นๆ ของประเทศติดต่อลูกสาวเพื่อของสัมภาษณ์งาน คำปันบอกคนงานในไร่ทุกคนว่าวันนี้จะเลิกงานเร็ว เพื่อเตรียมฉลองที่เวณิกาจะได้งานทำ ศรีมาและสายใจเองก็เตรียมเกณฑ์คนงานผู้หญิงให้มาช่วยทำอาหารเลี้ยงฉลองในตอนเย็น
“พ่อกับแม่อย่าเพิ่งเวอร์เลย เขาแค่ขอนัดสัมภาษณ์เองยังไม่ตอบรับหนูเข้าทำงานซะหน่อย”
“ฮึ่ย ลูกสาวพ่อเก่งอยู่แล้ว ยังไงบริษัทนั่นต้องรับลูกเข้าทำงานแน่นอน” คำปันพูดอย่างมั่นใจ
“ตาวจะกลับกรุงเทพวันไหนล่ะลูก แม่จะได้เตรียมทำน้ำพริกอ่องแคปหมูให้หนูเอาไปกินด้วย” ศรีมาหันมาถาม
“คงต้องรีบไปก่อนวันนัดสัก 2-3 วันแหละแม่ ต้องไปดูด้วยว่าไอ้คอนโดที่เคยซื้อไว้ปิดไปตั้งสองปีไม่รู้จะมีอะไรชำรุดต้องซ่อมรึเปล่า”
“เออ แล้วอีแก่รถเก๋งที่พ่อเคยให้ไปใช้ยังดีอยู่ใช่มั้ย ไม่ได้ขับเสียนานไม่รู้ว่าจะพยศรึเปล่า” คำปันถามถึงรถเก๋งเก่าๆ โปเกที่เขาเคยให้เวณิกาใช้ขับขี่ในกรุงเทพ แต่เมื่อเวณิกาไปเรียนต่อที่อเมริกา รถคันนั้นก็จอดทิ้งไว้ที่ใต้ตึกคอนโด
ชวินเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังห้องทำงานของชานนท์ พนักงานทุกคนยกมือไหว้เขาเมื่อเดินผ่าน
“เฮ้ย ไม่ต้องวงต้องไหว้หรอก แค่ยิ้มทักทายผมก็พอ ผมไม่ถือ เอ...ที่นี่เงียบดีจริงเลยนะ แผนกผมนี่เสียงดังยังกะงานวัด” ชวินหัวเราะร่า
“คุณชวินมีธุระอะไรรึเปล่าคะ” สมพิศเดินมาถามเขา
“ผมมาเยี่ยมน้องชายผมบ้างไม่ได้รึไงคุณสมพิศ เออ เจ้าแชมป์อยู่ในห้องใช่มั้ย” เขาพูดแต่สายตาชำเลืองไปทางโต๊ะเลขาหน้าห้องน้องชายที่ว่างเปล่า
“ถ้ามาหาคุณชานนท์ก็เชิญเลยค่ะ แต่ถ้ามาหาเลขาคุณชานนท์ล่ะก็...ไม่มีหรอกค่ะ” สมพิศพูดเสียงเรียบแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ทุกคนก้มหน้าทำงานโดยไม่สนใจชานนท์ เขายักไหล่อย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องทำงานประตูไม้โอ๊คสีเข้ม
ชานนท์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาจับจ้องที่ร่างสันทัดของพี่ชายที่เดินเข้ามาในห้อง ชวินเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมไม่สูงมากนัก ผิดกับชานนท์ที่สูงโปร่งผึ่งผาย แต่ผิวพรรณของชวินขาวนวลและใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดเวลาทำให้เขาดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง
“มีธุระอะไร” ชานนท์ถามพี่ชายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“เฮ้ย ทำไมทำหน้าอย่างนั้น นิกข์บอกว่าแกโกรธฉันเหรอ” ชวินนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือของเขาหยิบของบนโต๊ะมาเล่น
“เมื่อคืนฉันไปงานวันเกิดเพื่อนมาก็เลยกลับดึกไปหน่อย แกคงนอนไปแล้วก็เลยไม่ได้คุยกัน”
“พี่นิกข์เขาบอกพี่รึเปล่าว่าผมโกรธพี่เรื่องอะไร” ชานนท์ถามโดยไม่สนใจว่าชวินกำลังพูดเรื่องอะไร
“อ่า...ไม่บอกฉันก็พอจะเดาออก เรื่องดุจดาวใช่ม้า” ชานนท์ถอนหายใจกับนิสัยขี้เล่นของพี่ชาย
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะ ฉันคิดเล่นๆ แต่ยัยนั่นกลับมาจริงจังกับฉันเองนี่หว่า” ชวินแก้ตัว
“ถ้าพี่ไม่ได้จริงจังกับเขาจะไปให้ความหวังเขาทำไม ไม่สิ! พี่ไม่ควรจะมายุ่งกับเลขาของผมตั้งแต่แรกแล้ว” ชานนท์พูดอย่างเหลืออด
“ก้อ...เลขาแกทั้งสวย น่ารัก เซ็กซี่ เป็นใครจะอดใจไม่ไหววะ ยัยจรุงจิตเลขาฉันทั้งแก่ ทึนทึก หงำเหงือก ไม่เจริญหูเจริญตาสักเท่าไหร่เล้ย ดีอย่างเดียวว่าทำงานเก่งกับชอบเล่าเรื่องตลก แต่ก็นั่นแหละ...ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย ยังไงก็ชอบอะไรที่มันสวยๆ งามๆ”
“แต่ดุจดาวเป็นเลขาของผม เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนแล้วนี่ลาออกไปผมก็ต้องหาเลขาคนใหม่ ภายในเวลา2ปีนี้ผมเปลี่ยนเลขาไป 3 คนแล้วนะ”
“แกเอาเลขาฉันไปก่อนมั้ยล่ะ” ชวินหัวเราะก๊าก
“เอ้อ แกมามั่วนะ เลขาแกคนก่อนดุจดาวเขาลาออกไปเพราะทนความเจ้าระเบียบของแกไม่ไหวตะหาก แกจำไม่ได้รึไง” ชวินตอกกลับ ชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายนิ่งเงียบนึกทบทวนเรื่องราวแล้วก็พูดในใจว่า จริงด้วย
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพี่ก็ทำให้ดุจดาว เลขาที่ดีที่สุดของผมต้องลาออก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่เป็นคนผิด” ชานนท์ชี้หน้าพี่ชาย
“โอเค๊ ฉันยอมรับผิดก็ได้...” ชวินยกมือยอมแพ้
“งั้นฉันจะชดใช้ความผิดด้วยการพาแกผ่อนคลายความเครียดดีมั้ย เย็นนี้มีงานปาร์ตี้ฉลองครบรอบ 3 ปีของนิตยสาร His ที่ไอ้ป๊อดเพื่อนฉันเป็นเจ้าของอยู่ไง นางแบบสวยๆ หุ่นแจ่มๆ เพียบ แกถูกใจคนไหนบอกพี่มาได้เลย” ชวินยิ้มร่าแต่ชานนท์กลับส่ายหน้า
“เฮ้ย ไม่เอาน่า ฉันรู้นะว่าแกไม่ชอบงานแบบนี้หรอก แต่ฉันอยากจะขอโทษแกจริงๆ นะ เอางี้ ถ้าแกไปแล้วเบื่อแกบอกฉันแค่คำเดียว ฉันจะกลับบ้านทันที” ชวินรับปาก
“อื้ม”
แค่คำเดียวที่ออกมาจากลำคอของชานนท์ ชวินก็ถือว่าเป็นการตอบตกลง เขาลุกขึ้นดีดนิ้ว
“เป็นอันว่าตกลงนะ งั้นฉันไปทำงานก่อนล่ะ เอ้อ...ขอถามแกสักคำถามนึง เวลาแกอยู่กับดุจดาว...แกอดใจไหวเหรอวะ หุ่นซี้ดขนาดนั้น”
ชานนท์ลงจากรถแท็กซี่เดินเข้าบ้านช้าๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดนอนเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นห้องหนึ่ง
“ยังไม่นอนอีกเหรอพี่นิกข์” ชานนท์ทักชมพูนิกข์พี่สาว
“ถ้าฉันนอนแล้วแกจะเห็นฉันยืนตรงนี้มั้ย” เธอกวนกลับ
“อ้าว นี่แกกลับมาคนเดียวเหรอ ไหนว่าจะไปปาร์ตี้กับนายวินไง”
“น่าเบื่อ ปาร์ตี้อะไรก็ไม่รู้ ทุเรศจริงๆ มีแต่ผู้หญิงใส่บิกินี่มาเดินในงาน ส่วนพี่วินน่ะเหรอ ป่านนี้คงสนุกอยู่กับสาวๆ ริมสระน้ำแล้วมั้ง” ชานนท์พูดนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่เขาจะหนีกลับมาก่อน ชวินนั่งอยู่ริมสระน้ำท่ามกลางสาวสวยนับสิบคน
“เอ้อ ปล่อยไปเถอะ แกไม่เป็นอย่างมันก็ดีแล้ว จะขึ้นไปนอนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะดูซีรี่ส์เกาหลีต่ออีกหน่อยนึง” ชมพูนิกข์บอกแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องดูทีวี
รถยนต์โฟร์วีลของคำปันขับมาจนถึงคอนโดของเวณิกาที่กรุงเทพ คำปันต้องรีบขับรถกลับเชียงใหม่ก่อนที่จะค่ำมืดไปกว่านี้ เขาลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยนรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย
“พ่อไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะตาว” เวริกาสวมกอดคำปันจูบที่แก้มเบาๆ เธอยืนมองผู้เป็นพ่อจนลับตาก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่ลานจอดรถที่เธอจอดรถเก๋งอีแก่เอาไว้ รถเก๋งสีเขียวแก่ฝุ่นจับหนาเขลอะจอดนิ่งสนิทเหมือนเศษเหล็กไม่มีค่า เวณิกาลองบิดกุญแจสตาร์ทรถก็พบว่าไม่สามารถสตาร์ทติดได้ เวณิกายกให้เป็นหน้าที่ของช่างจากอู่ซ่อมรถเมื่อพบว่าแบตเตอรี่เสื่อม
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะอีแก่” หญิงสาวพึมพำในลำคอ
หลังจากซ่อมเสร็จเรียบร้อย เวณิกานำรถออกไปลองเครื่องยนต์ด้วยการขับไปหาพนิตาเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่เปิดร้านตัดเสื้อแถวถนนเพชรบุรี อีแก่ยังขับได้คล่องเหมือนเดิม เสียงประตูดังกรุ๋งกริ๋งเมื่อเธอผลักเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่ะ ห้องเสื้อพนิตาค่ะ...” หญิงสาวผมซอยสั้น แต่งตัวทะมัดทะแมงเอ่ยทักขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือนก็เบิกตากว้างแล้วโผเข้ากอด
“ไอ้ตาว!”
“ไอ้แป๋ม!” สองสาวกอดกันแน่นด้วยความคิดถึง
“เฮ้ย กลับมาจากอเมริกาทำไมไม่บอกันเลยวะ อีเพื่อนบ้า”
“หืม ลงเครื่องปุ๊บก็ต่อเครื่องกลับไปเชียงใหม่ปั๊บเลยจ๊ะ ฉันยังไม่เจอหน้าเพื่อนเลยสักคน นี่เจอแกเป็นคนแรกเลยนะเนี่ย” พูดจบเวณิกาก็นั่งลงที่เก้าอี้นวมในร้าน
“โอ้โห ร้านเก๋ดีว่ะ ขายดีมั้ยเนี่ย” เวณิกาถาม
“ขายดีกะบ้านแกสิ ทุกวันนี้อยู่ได้โดยไม่เจ๊งก็บุญโขเท่าไหร่แล้ว ไอ้ร้านที่แต่งสวยน่ะก็แต่งไปงั้นๆแหละ ให้คนภายนอกคิดว่าดูดี” พนิตาหัวเราะคิกคัก
“เฮ้ย เอาน่า สินค้าเราคุณภาพดีซะอย่าง เดี๋ยวนี้เสื้อผ้าแฮนด์เมดหายากจะตาย คนชอบแห่กันไปใส่เสื้อโรงงาน” พนิตาพยักหน้าไปด้วย พลางถีบจักรเย็บผ้าทำงานไปด้วย เวณิกาเดินดูเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเสร็จแล้วก็สะดุดตากับเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งที่อยู่ในหุ่นโชว์
“นี่แกตัดเสื้อผ้าผู้ชายด้วยเหรอ สวยดีนี่” เธอลูบเสื้อเชิ้ตที่ตัดเย็บด้วยผ้าคอตตอนเนื้อดี คัตติ้งสวย
“แน่นอนจ้ะ อันนั้นลูกค้าสั่งเอาไว้น่ะ มีกางเกงเข้าชุดกันด้วยนะ ใส่กับสูทอาร์มานี่เข้ากันดีเชียว” พนิตาอวด
“เอ้อตาว แล้วนี่แกลงมากรุงเทพนานรึเปล่า แกจะทำงานอะไรต่อล่ะถ้ายังไม่มีงานล่ะก็มาเป็นดีไซน์เนอร์ที่ร้านฉันมั้ย” หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง
“ฉันกำลังจะไปสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้จ้ะ บริษัท แอล.ที. อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกตัวเลยนะจ๊ะ”
“ฮ้า บริษัทออกแบบเครื่องประดับน่ะเหรอ โฮ้ย น่าอิจฉา ว่าแต่ว่าแกจบดีไซน์เนอร์แล้วจะไปออกแบบเครื่องประดับเนี่ยนะ”
“ฉันไม่ได้ทำงานออกแบบหรอก แต่จะไปเป็นเลขาผู้บริหารน่ะ”
“อ๋อ ก็ดีนะเว้ย เผลอๆ อาจจะได้สามีเป็นผู้บริหารก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ฮึ่ย! ไม่เอาหรอก พวกผู้บริหารก็ต้องรุ่นลุง แก่ๆ หัวล้าน โอ๊ย แค่คิดชีวิตวัยสาวของฉันก็หมดลงแล้ว” สองสาวหัวเราะกันคิกคัก
วันต่อมาเวณิกาตื่นตั้งแต่เช้า หมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่เพื่อสำรวจการแต่งกาย
“หน้าเป๊ะ ผมเป๊ะ อื้ม...โอเคแล้ว” เธอพูดกับตัวเองแล้วคว้ากระเป๋าสะพายเดินตัวปลิวออกไป
รถเก๋งอีแก่เลี้ยวเข้าไปยังตึกสูงใหญ่ใจกลางกรุงเทพ ที่ตั้งของบริษัท แอล.ที อินเตอร์เนชั่นแนล ยามโบกมือให้เลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถในตึก ที่จอดรถส่วนใหญ่ในชั้นแรกถูกจับจองเกือบหมดแล้วแต่ยังมีที่ว่างอยู่ที่หนึ่งที่รถทุกคันต่างก็ขับเลยกันไป เวณิกาเห็นที่ตรงนี้ว่างจึงถอยเข้าซองจอดทันที
“วันนี้ทางสะดวกโล่งจริงๆ ท่าทางจะเป็นวันดีนะเนี่ย” หญิงสาวพูดกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในตึกอย่างมั่นใจ
ผู้คนนับร้อยเดินพลุกพล่านที่ชั้น 1 เสียงพูดคุยของพนักงานดังจ้อกแจ้กอย่างน่ารำคาญ
“ติดต่อแผนกคุณชานนท์ชั้น 10 ค่ะ”
ลิฟต์พามาถึงชั้น 10 ตามที่ต้องการ เวณิกาเดินไปตามทางเดิน พนักงานมาทำงานกันบ้างประปราย เวณิกาเริ่มรู้สึกอบอุ่นอยากจะร่วมงานกับที่นี่มากขึ้น
“มาติดต่อใครคะ” สมพิศที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอีก 4-5 คนถามขึ้น
“มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
“อ้อ เชิญนั่งรอทางนี้ก่อนค่ะ” เธอพาหญิงสาวมานั่งรอที่โต๊ะทำงานของเลขาที่อยู่หน้าห้องทำงานประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ แล้วก็กลับไปสมทบกับเพื่อนตามเดิมอย่างไม่สนใจหญิงสาวผู้มาใหม่
“เออ เล่าต่อนะ...”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ท่าทางดูภูมิฐาน แม้ว่าศีรษะจะเริ่มล้านตรงกับจินตนาการของเวณิกาเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวรีบลุกขึ้นยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณชานนท์ใช่มั้ยคะ” ชายคนนั้นท่าทางอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ
“ผมชื่อตือครับ เป็นพนักงานในแผนกนี้ล่ะครับ ไม่ใช่คุณชานนท์หรอกครับ” เวณิกายิ้มเจื่อนๆ ยิ้มให้เขาอย่างเสียไม่ได้
“ใครวะเจ๊” ชายที่ชื่อตือเดินไปถามสมพิศ
“เด็กมาสัมภาษณ์งานไง”
“อ้อ มาเรียกผมว่าคุณชานนท์ ตกใจหมดเลย หัวจะขาดเอา”
รถเก๋งเยอรมันสีดำมันวับเลี้ยวเข้ามาในที่จอดรถของบริษัท แอล.ที. แต่แล้วก็หยุดกึกทันที
“อ้าว หยุดทำไมล่ะ ทำไมไม่เข้าไปจอด” ชานนท์ที่นั่งอยู่ในที่นั่งตอนหลังถามคนขับรถประจำตัว
“เอ่อ...มีรถใครก็ไม่ทราบจอดอยู่ตรงที่จอดรถของคุณชานนท์ครับ” คนขับรถตอบ
“ว่าไงนะ” ชานนท์รีบลงจากรถเมื่อเห็นรถเก๋งสีเขียวฝุ่นจับเขลอะจอดนิ่งสนิทในที่จอดรถประจำของเขาความโกรธก็พุ่งปรี๊ดทันที
“ใครบังอาจมาจอดรถในที่ของฉัน”
บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ทุกคนได้เห็นแก่สายตาแล้วว่าชานนท์เคยไล่พนักงานที่จอดรถในที่ของเขาไปแล้วถึง 18 คน ทุกคนในบริษัทจึงรู้ดีว่าที่จอดรถตรงนี้เป็นที่ประจำของชานนท์
“ผม...ผมไม่ทราบครับ ผมออกไปดูรถข้างนอก ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครมาจอด” ยามโบกรถตอบปากสั่น
“ถ้าคุณยังจัดการกับไอ้รถคันนี้ไม่ได้ล่ะก็ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานนะ ผมจะเซ็นใบลาออกให้เอง” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในตัวตึก พนักงานทุกคนที่เห็นรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากดวงตาเรียวคมคู่นั้นก็ต้องหลีกทางและโค้งให้เขาอย่างสุภาพ
“พวกเรา! ยามที่ชั้น 1 โทรมาบอกว่าคุณชานนท์มาแล้ว วันนี้อารมณ์ไม่ดีด้วย” พนักงานสาวคนหนึ่งบอกหลังจากที่รับโทรศัพท์ภายในบริษัท คนที่กำลังจับกลุ่มคุยก็รีบแตกวงไปนั่งประจำโต๊ะของตัวเองทันที เวณิกามองเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างสงสัย
ตึก..ตึก...ตึก
เสียงเดินของใครบางคนกำลังเดินมาที่ห้องนี้ แล้วเวณิกาก็ได้พบกับชายร่างสูงโปร่ง คิ้วเข้มบนในหน้าขาวผ่องนั้นขมวดเข้าเป็นปม แววตาก็บ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นมัว เขาก้าวฉับๆ โดยไม่สบตากับใคร
“คุณชานนท์คะ คนที่จะมาสัมภาษณ์งานมาถึงแล้วค่ะ” สมพิศเป็นหน่วยกล้าตายคนแรกที่เข้าไปคุยกับเขา ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าชานนท์หันขวับมาที่สมพิศ ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพูดด้วยเสียงห้วนๆ ว่า
“ผมนัดตอน 9 โมง นี่มันเพิ่งจะ 8 โมงครึ่ง ให้นั่งรอไปก่อนนั่นแหละ”
เวณิกาได้ยินดังนั้นก็นึกในใจว่า ‘เอ๊ะ ไอ้นี่กวนส้นนี่หว่า’
“อ้าว ยัยตาว ออกมาตากน้ำค้างเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก แม่ว่ากลับเข้าบ้านดีกว่า คืนนี้อากาศเย็นกว่าปกติด้วย”
“หืม ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ตาวเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ค่ะที่อเมริกาหนาวกว่านี้เยอะ ตาวยังไม่เคยป่วยเลย” หญิงสาวยิ้มเห็นฟันขาวเรียงกันเหมือนไข่มุก ศรีมาจึงนั่งลงข้างๆ ลูกสาว
“อยู่ที่โน่นมีพวกฝรั่งมาติดพันบ้างรึเปล่า ฮึ”
“โอ๊ย แม่ถามอะไรเนี่ย ถามเรื่องอื่นยังพอจะตอบได้ แต่แม่เล่นถามเรื่องนี้หนูไม่รู้จะตอบยังไงดี”
“คนมาจีบลูกสาวแม่เยอะเหรอ” ศรีมาถาม
“ใครบอกล่ะ ไม่มีเลยสักคนค่ะ” เวณิกาหัวเราะร่วน
“เอ้า แล้วกัน ลูกสาวแม่ออกจะสวย เก่งขนาดนี้...แต่ก็ดีแล้วล่ะ เรื่องแบบนี้ถ้ามันจะมาก็มาเองไม่ต้องรีบร้อน” หล่อนลูบหัวลูกสาวอย่างแสนรัก
“เอ้อ แล้วเรื่องงานหลังเรียนจบจะว่ายังไงล่ะตาว”
“หนูสมัครงานที่กรุงเทพไว้แล้วค่ะ เหลือแค่รอเวลาให้เขาเรียก ระหว่างนี้ก็ขอเป็นลูกจ้างพ่อกับแม่ไปก่อนนะคะ”
“เอาสิ แม่ไม่ไล่ออกหรอก แถมจะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเจ้าของสวนด้วย”
ทุกเช้าเวณิกาจะต้องเข้าไปในไร่กับคำปันเพื่อดูแลการเก็บผลผลิตของไร่ แล้วนำส่วนหนึ่งไปส่งยังโรงงานแปรรูปของตนเอง แล้วจึงจะไปไร่ชาในตอนบ่าย แต่วันนี้ทำงานเสร็จเร็ว คำปันจึงอาสาไปไร่ชาแทน เวณิกาจึงได้กลับบ้านตั้งแต่บ่าย แก้มขาวใสของเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพูเพราะไอแดดร้อน หญิงสาวถอดหมวกสานออกมาพัดลมให้ตัวเอง
“โอ๊ย ร้อนจังเลย”
“ตาว เมื่อกี้มีคนโทรมาแน่ะ แม่รับให้แล้วบอกว่าหนูไปธุระข้างนอก เขาบอกว่าจะโทรเข้ามาใหม่ เอาไปดูสิ” ศรีมายื่นโทรศัพท์มือถือให้ลูกสาว เธอรับมาเปิดดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้จึงไม่ได้สนใจนัก เวณิกากลับเข้าไปอาบน้ำแล้วมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับศรีมา เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เวณิกาจึงปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ตามลำพัง
“สวัสดีค่ะ คุณเวณิการึเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครคะ”
“ดิฉันโทรมาจากฝ่ายบุคคลสัมพันธ์ บริษัทแอลที.อินเตอร์เนชั่นแนลค่ะ จะโทรมานัดสัมภาษณ์งานไม่ทราบว่าคุณเวณิกาสะดวกวันไหนคะ”
เวณิกาใจเต้นทันทีเมื่อได้ยินว่าเสียงปลายสายระบุว่าโทรมาจากที่ไหน แทบจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง สติกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสียงปลายสายพูดว่า
“เอาเป็นว่าวันจันทร์หน้าตอน 9 โมงเช้านะคะ มาถึงแล้วบอกรปภ.ข้างล่างว่ามาติดต่อแผนกคุณชานนท์ชั้น 10 นะคะ”
“แผนกคุณชานนท์ชั้น 10” เวณิกาท่องไว้จนขึ้นใจ
‘เอ๊ะ แล้วคุณชานนท์นี่ใครกัน? ช่างเถอะ คงเป็นหัวหน้าสักคนล่ะมั้ง’ เวณิกาจินตนาการคุณชานนท์ว่าจะต้องเป็นผู้ชายวัยกลางคน ลงพุง ศีรษะเริ่มล้าน อันเป็นลักษณะทั่วไปของหัวหน้าแผนก
คำปันและศรีมาดีใจจนเนื้อเต้น เมื่อรู้ว่าบริษัทผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอันดับต้นๆ ของประเทศติดต่อลูกสาวเพื่อของสัมภาษณ์งาน คำปันบอกคนงานในไร่ทุกคนว่าวันนี้จะเลิกงานเร็ว เพื่อเตรียมฉลองที่เวณิกาจะได้งานทำ ศรีมาและสายใจเองก็เตรียมเกณฑ์คนงานผู้หญิงให้มาช่วยทำอาหารเลี้ยงฉลองในตอนเย็น
“พ่อกับแม่อย่าเพิ่งเวอร์เลย เขาแค่ขอนัดสัมภาษณ์เองยังไม่ตอบรับหนูเข้าทำงานซะหน่อย”
“ฮึ่ย ลูกสาวพ่อเก่งอยู่แล้ว ยังไงบริษัทนั่นต้องรับลูกเข้าทำงานแน่นอน” คำปันพูดอย่างมั่นใจ
“ตาวจะกลับกรุงเทพวันไหนล่ะลูก แม่จะได้เตรียมทำน้ำพริกอ่องแคปหมูให้หนูเอาไปกินด้วย” ศรีมาหันมาถาม
“คงต้องรีบไปก่อนวันนัดสัก 2-3 วันแหละแม่ ต้องไปดูด้วยว่าไอ้คอนโดที่เคยซื้อไว้ปิดไปตั้งสองปีไม่รู้จะมีอะไรชำรุดต้องซ่อมรึเปล่า”
“เออ แล้วอีแก่รถเก๋งที่พ่อเคยให้ไปใช้ยังดีอยู่ใช่มั้ย ไม่ได้ขับเสียนานไม่รู้ว่าจะพยศรึเปล่า” คำปันถามถึงรถเก๋งเก่าๆ โปเกที่เขาเคยให้เวณิกาใช้ขับขี่ในกรุงเทพ แต่เมื่อเวณิกาไปเรียนต่อที่อเมริกา รถคันนั้นก็จอดทิ้งไว้ที่ใต้ตึกคอนโด
ชวินเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังห้องทำงานของชานนท์ พนักงานทุกคนยกมือไหว้เขาเมื่อเดินผ่าน
“เฮ้ย ไม่ต้องวงต้องไหว้หรอก แค่ยิ้มทักทายผมก็พอ ผมไม่ถือ เอ...ที่นี่เงียบดีจริงเลยนะ แผนกผมนี่เสียงดังยังกะงานวัด” ชวินหัวเราะร่า
“คุณชวินมีธุระอะไรรึเปล่าคะ” สมพิศเดินมาถามเขา
“ผมมาเยี่ยมน้องชายผมบ้างไม่ได้รึไงคุณสมพิศ เออ เจ้าแชมป์อยู่ในห้องใช่มั้ย” เขาพูดแต่สายตาชำเลืองไปทางโต๊ะเลขาหน้าห้องน้องชายที่ว่างเปล่า
“ถ้ามาหาคุณชานนท์ก็เชิญเลยค่ะ แต่ถ้ามาหาเลขาคุณชานนท์ล่ะก็...ไม่มีหรอกค่ะ” สมพิศพูดเสียงเรียบแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ทุกคนก้มหน้าทำงานโดยไม่สนใจชานนท์ เขายักไหล่อย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องทำงานประตูไม้โอ๊คสีเข้ม
ชานนท์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาจับจ้องที่ร่างสันทัดของพี่ชายที่เดินเข้ามาในห้อง ชวินเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมไม่สูงมากนัก ผิดกับชานนท์ที่สูงโปร่งผึ่งผาย แต่ผิวพรรณของชวินขาวนวลและใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดเวลาทำให้เขาดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง
“มีธุระอะไร” ชานนท์ถามพี่ชายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“เฮ้ย ทำไมทำหน้าอย่างนั้น นิกข์บอกว่าแกโกรธฉันเหรอ” ชวินนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือของเขาหยิบของบนโต๊ะมาเล่น
“เมื่อคืนฉันไปงานวันเกิดเพื่อนมาก็เลยกลับดึกไปหน่อย แกคงนอนไปแล้วก็เลยไม่ได้คุยกัน”
“พี่นิกข์เขาบอกพี่รึเปล่าว่าผมโกรธพี่เรื่องอะไร” ชานนท์ถามโดยไม่สนใจว่าชวินกำลังพูดเรื่องอะไร
“อ่า...ไม่บอกฉันก็พอจะเดาออก เรื่องดุจดาวใช่ม้า” ชานนท์ถอนหายใจกับนิสัยขี้เล่นของพี่ชาย
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะ ฉันคิดเล่นๆ แต่ยัยนั่นกลับมาจริงจังกับฉันเองนี่หว่า” ชวินแก้ตัว
“ถ้าพี่ไม่ได้จริงจังกับเขาจะไปให้ความหวังเขาทำไม ไม่สิ! พี่ไม่ควรจะมายุ่งกับเลขาของผมตั้งแต่แรกแล้ว” ชานนท์พูดอย่างเหลืออด
“ก้อ...เลขาแกทั้งสวย น่ารัก เซ็กซี่ เป็นใครจะอดใจไม่ไหววะ ยัยจรุงจิตเลขาฉันทั้งแก่ ทึนทึก หงำเหงือก ไม่เจริญหูเจริญตาสักเท่าไหร่เล้ย ดีอย่างเดียวว่าทำงานเก่งกับชอบเล่าเรื่องตลก แต่ก็นั่นแหละ...ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย ยังไงก็ชอบอะไรที่มันสวยๆ งามๆ”
“แต่ดุจดาวเป็นเลขาของผม เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนแล้วนี่ลาออกไปผมก็ต้องหาเลขาคนใหม่ ภายในเวลา2ปีนี้ผมเปลี่ยนเลขาไป 3 คนแล้วนะ”
“แกเอาเลขาฉันไปก่อนมั้ยล่ะ” ชวินหัวเราะก๊าก
“เอ้อ แกมามั่วนะ เลขาแกคนก่อนดุจดาวเขาลาออกไปเพราะทนความเจ้าระเบียบของแกไม่ไหวตะหาก แกจำไม่ได้รึไง” ชวินตอกกลับ ชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายนิ่งเงียบนึกทบทวนเรื่องราวแล้วก็พูดในใจว่า จริงด้วย
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพี่ก็ทำให้ดุจดาว เลขาที่ดีที่สุดของผมต้องลาออก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่เป็นคนผิด” ชานนท์ชี้หน้าพี่ชาย
“โอเค๊ ฉันยอมรับผิดก็ได้...” ชวินยกมือยอมแพ้
“งั้นฉันจะชดใช้ความผิดด้วยการพาแกผ่อนคลายความเครียดดีมั้ย เย็นนี้มีงานปาร์ตี้ฉลองครบรอบ 3 ปีของนิตยสาร His ที่ไอ้ป๊อดเพื่อนฉันเป็นเจ้าของอยู่ไง นางแบบสวยๆ หุ่นแจ่มๆ เพียบ แกถูกใจคนไหนบอกพี่มาได้เลย” ชวินยิ้มร่าแต่ชานนท์กลับส่ายหน้า
“เฮ้ย ไม่เอาน่า ฉันรู้นะว่าแกไม่ชอบงานแบบนี้หรอก แต่ฉันอยากจะขอโทษแกจริงๆ นะ เอางี้ ถ้าแกไปแล้วเบื่อแกบอกฉันแค่คำเดียว ฉันจะกลับบ้านทันที” ชวินรับปาก
“อื้ม”
แค่คำเดียวที่ออกมาจากลำคอของชานนท์ ชวินก็ถือว่าเป็นการตอบตกลง เขาลุกขึ้นดีดนิ้ว
“เป็นอันว่าตกลงนะ งั้นฉันไปทำงานก่อนล่ะ เอ้อ...ขอถามแกสักคำถามนึง เวลาแกอยู่กับดุจดาว...แกอดใจไหวเหรอวะ หุ่นซี้ดขนาดนั้น”
ชานนท์ลงจากรถแท็กซี่เดินเข้าบ้านช้าๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดนอนเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นห้องหนึ่ง
“ยังไม่นอนอีกเหรอพี่นิกข์” ชานนท์ทักชมพูนิกข์พี่สาว
“ถ้าฉันนอนแล้วแกจะเห็นฉันยืนตรงนี้มั้ย” เธอกวนกลับ
“อ้าว นี่แกกลับมาคนเดียวเหรอ ไหนว่าจะไปปาร์ตี้กับนายวินไง”
“น่าเบื่อ ปาร์ตี้อะไรก็ไม่รู้ ทุเรศจริงๆ มีแต่ผู้หญิงใส่บิกินี่มาเดินในงาน ส่วนพี่วินน่ะเหรอ ป่านนี้คงสนุกอยู่กับสาวๆ ริมสระน้ำแล้วมั้ง” ชานนท์พูดนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่เขาจะหนีกลับมาก่อน ชวินนั่งอยู่ริมสระน้ำท่ามกลางสาวสวยนับสิบคน
“เอ้อ ปล่อยไปเถอะ แกไม่เป็นอย่างมันก็ดีแล้ว จะขึ้นไปนอนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะดูซีรี่ส์เกาหลีต่ออีกหน่อยนึง” ชมพูนิกข์บอกแล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องดูทีวี
รถยนต์โฟร์วีลของคำปันขับมาจนถึงคอนโดของเวณิกาที่กรุงเทพ คำปันต้องรีบขับรถกลับเชียงใหม่ก่อนที่จะค่ำมืดไปกว่านี้ เขาลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยนรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย
“พ่อไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะตาว” เวริกาสวมกอดคำปันจูบที่แก้มเบาๆ เธอยืนมองผู้เป็นพ่อจนลับตาก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่ลานจอดรถที่เธอจอดรถเก๋งอีแก่เอาไว้ รถเก๋งสีเขียวแก่ฝุ่นจับหนาเขลอะจอดนิ่งสนิทเหมือนเศษเหล็กไม่มีค่า เวณิกาลองบิดกุญแจสตาร์ทรถก็พบว่าไม่สามารถสตาร์ทติดได้ เวณิกายกให้เป็นหน้าที่ของช่างจากอู่ซ่อมรถเมื่อพบว่าแบตเตอรี่เสื่อม
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะอีแก่” หญิงสาวพึมพำในลำคอ
หลังจากซ่อมเสร็จเรียบร้อย เวณิกานำรถออกไปลองเครื่องยนต์ด้วยการขับไปหาพนิตาเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่เปิดร้านตัดเสื้อแถวถนนเพชรบุรี อีแก่ยังขับได้คล่องเหมือนเดิม เสียงประตูดังกรุ๋งกริ๋งเมื่อเธอผลักเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่ะ ห้องเสื้อพนิตาค่ะ...” หญิงสาวผมซอยสั้น แต่งตัวทะมัดทะแมงเอ่ยทักขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือนก็เบิกตากว้างแล้วโผเข้ากอด
“ไอ้ตาว!”
“ไอ้แป๋ม!” สองสาวกอดกันแน่นด้วยความคิดถึง
“เฮ้ย กลับมาจากอเมริกาทำไมไม่บอกันเลยวะ อีเพื่อนบ้า”
“หืม ลงเครื่องปุ๊บก็ต่อเครื่องกลับไปเชียงใหม่ปั๊บเลยจ๊ะ ฉันยังไม่เจอหน้าเพื่อนเลยสักคน นี่เจอแกเป็นคนแรกเลยนะเนี่ย” พูดจบเวณิกาก็นั่งลงที่เก้าอี้นวมในร้าน
“โอ้โห ร้านเก๋ดีว่ะ ขายดีมั้ยเนี่ย” เวณิกาถาม
“ขายดีกะบ้านแกสิ ทุกวันนี้อยู่ได้โดยไม่เจ๊งก็บุญโขเท่าไหร่แล้ว ไอ้ร้านที่แต่งสวยน่ะก็แต่งไปงั้นๆแหละ ให้คนภายนอกคิดว่าดูดี” พนิตาหัวเราะคิกคัก
“เฮ้ย เอาน่า สินค้าเราคุณภาพดีซะอย่าง เดี๋ยวนี้เสื้อผ้าแฮนด์เมดหายากจะตาย คนชอบแห่กันไปใส่เสื้อโรงงาน” พนิตาพยักหน้าไปด้วย พลางถีบจักรเย็บผ้าทำงานไปด้วย เวณิกาเดินดูเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเสร็จแล้วก็สะดุดตากับเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งที่อยู่ในหุ่นโชว์
“นี่แกตัดเสื้อผ้าผู้ชายด้วยเหรอ สวยดีนี่” เธอลูบเสื้อเชิ้ตที่ตัดเย็บด้วยผ้าคอตตอนเนื้อดี คัตติ้งสวย
“แน่นอนจ้ะ อันนั้นลูกค้าสั่งเอาไว้น่ะ มีกางเกงเข้าชุดกันด้วยนะ ใส่กับสูทอาร์มานี่เข้ากันดีเชียว” พนิตาอวด
“เอ้อตาว แล้วนี่แกลงมากรุงเทพนานรึเปล่า แกจะทำงานอะไรต่อล่ะถ้ายังไม่มีงานล่ะก็มาเป็นดีไซน์เนอร์ที่ร้านฉันมั้ย” หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง
“ฉันกำลังจะไปสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้จ้ะ บริษัท แอล.ที. อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกตัวเลยนะจ๊ะ”
“ฮ้า บริษัทออกแบบเครื่องประดับน่ะเหรอ โฮ้ย น่าอิจฉา ว่าแต่ว่าแกจบดีไซน์เนอร์แล้วจะไปออกแบบเครื่องประดับเนี่ยนะ”
“ฉันไม่ได้ทำงานออกแบบหรอก แต่จะไปเป็นเลขาผู้บริหารน่ะ”
“อ๋อ ก็ดีนะเว้ย เผลอๆ อาจจะได้สามีเป็นผู้บริหารก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ฮึ่ย! ไม่เอาหรอก พวกผู้บริหารก็ต้องรุ่นลุง แก่ๆ หัวล้าน โอ๊ย แค่คิดชีวิตวัยสาวของฉันก็หมดลงแล้ว” สองสาวหัวเราะกันคิกคัก
วันต่อมาเวณิกาตื่นตั้งแต่เช้า หมุนตัวไปมาหน้ากระจกบานใหญ่เพื่อสำรวจการแต่งกาย
“หน้าเป๊ะ ผมเป๊ะ อื้ม...โอเคแล้ว” เธอพูดกับตัวเองแล้วคว้ากระเป๋าสะพายเดินตัวปลิวออกไป
รถเก๋งอีแก่เลี้ยวเข้าไปยังตึกสูงใหญ่ใจกลางกรุงเทพ ที่ตั้งของบริษัท แอล.ที อินเตอร์เนชั่นแนล ยามโบกมือให้เลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถในตึก ที่จอดรถส่วนใหญ่ในชั้นแรกถูกจับจองเกือบหมดแล้วแต่ยังมีที่ว่างอยู่ที่หนึ่งที่รถทุกคันต่างก็ขับเลยกันไป เวณิกาเห็นที่ตรงนี้ว่างจึงถอยเข้าซองจอดทันที
“วันนี้ทางสะดวกโล่งจริงๆ ท่าทางจะเป็นวันดีนะเนี่ย” หญิงสาวพูดกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในตึกอย่างมั่นใจ
ผู้คนนับร้อยเดินพลุกพล่านที่ชั้น 1 เสียงพูดคุยของพนักงานดังจ้อกแจ้กอย่างน่ารำคาญ
“ติดต่อแผนกคุณชานนท์ชั้น 10 ค่ะ”
ลิฟต์พามาถึงชั้น 10 ตามที่ต้องการ เวณิกาเดินไปตามทางเดิน พนักงานมาทำงานกันบ้างประปราย เวณิกาเริ่มรู้สึกอบอุ่นอยากจะร่วมงานกับที่นี่มากขึ้น
“มาติดต่อใครคะ” สมพิศที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอีก 4-5 คนถามขึ้น
“มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
“อ้อ เชิญนั่งรอทางนี้ก่อนค่ะ” เธอพาหญิงสาวมานั่งรอที่โต๊ะทำงานของเลขาที่อยู่หน้าห้องทำงานประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ แล้วก็กลับไปสมทบกับเพื่อนตามเดิมอย่างไม่สนใจหญิงสาวผู้มาใหม่
“เออ เล่าต่อนะ...”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ท่าทางดูภูมิฐาน แม้ว่าศีรษะจะเริ่มล้านตรงกับจินตนาการของเวณิกาเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวรีบลุกขึ้นยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณชานนท์ใช่มั้ยคะ” ชายคนนั้นท่าทางอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ
“ผมชื่อตือครับ เป็นพนักงานในแผนกนี้ล่ะครับ ไม่ใช่คุณชานนท์หรอกครับ” เวณิกายิ้มเจื่อนๆ ยิ้มให้เขาอย่างเสียไม่ได้
“ใครวะเจ๊” ชายที่ชื่อตือเดินไปถามสมพิศ
“เด็กมาสัมภาษณ์งานไง”
“อ้อ มาเรียกผมว่าคุณชานนท์ ตกใจหมดเลย หัวจะขาดเอา”
รถเก๋งเยอรมันสีดำมันวับเลี้ยวเข้ามาในที่จอดรถของบริษัท แอล.ที. แต่แล้วก็หยุดกึกทันที
“อ้าว หยุดทำไมล่ะ ทำไมไม่เข้าไปจอด” ชานนท์ที่นั่งอยู่ในที่นั่งตอนหลังถามคนขับรถประจำตัว
“เอ่อ...มีรถใครก็ไม่ทราบจอดอยู่ตรงที่จอดรถของคุณชานนท์ครับ” คนขับรถตอบ
“ว่าไงนะ” ชานนท์รีบลงจากรถเมื่อเห็นรถเก๋งสีเขียวฝุ่นจับเขลอะจอดนิ่งสนิทในที่จอดรถประจำของเขาความโกรธก็พุ่งปรี๊ดทันที
“ใครบังอาจมาจอดรถในที่ของฉัน”
บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ทุกคนได้เห็นแก่สายตาแล้วว่าชานนท์เคยไล่พนักงานที่จอดรถในที่ของเขาไปแล้วถึง 18 คน ทุกคนในบริษัทจึงรู้ดีว่าที่จอดรถตรงนี้เป็นที่ประจำของชานนท์
“ผม...ผมไม่ทราบครับ ผมออกไปดูรถข้างนอก ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครมาจอด” ยามโบกรถตอบปากสั่น
“ถ้าคุณยังจัดการกับไอ้รถคันนี้ไม่ได้ล่ะก็ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานนะ ผมจะเซ็นใบลาออกให้เอง” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในตัวตึก พนักงานทุกคนที่เห็นรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากดวงตาเรียวคมคู่นั้นก็ต้องหลีกทางและโค้งให้เขาอย่างสุภาพ
“พวกเรา! ยามที่ชั้น 1 โทรมาบอกว่าคุณชานนท์มาแล้ว วันนี้อารมณ์ไม่ดีด้วย” พนักงานสาวคนหนึ่งบอกหลังจากที่รับโทรศัพท์ภายในบริษัท คนที่กำลังจับกลุ่มคุยก็รีบแตกวงไปนั่งประจำโต๊ะของตัวเองทันที เวณิกามองเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างสงสัย
ตึก..ตึก...ตึก
เสียงเดินของใครบางคนกำลังเดินมาที่ห้องนี้ แล้วเวณิกาก็ได้พบกับชายร่างสูงโปร่ง คิ้วเข้มบนในหน้าขาวผ่องนั้นขมวดเข้าเป็นปม แววตาก็บ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นมัว เขาก้าวฉับๆ โดยไม่สบตากับใคร
“คุณชานนท์คะ คนที่จะมาสัมภาษณ์งานมาถึงแล้วค่ะ” สมพิศเป็นหน่วยกล้าตายคนแรกที่เข้าไปคุยกับเขา ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าชานนท์หันขวับมาที่สมพิศ ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพูดด้วยเสียงห้วนๆ ว่า
“ผมนัดตอน 9 โมง นี่มันเพิ่งจะ 8 โมงครึ่ง ให้นั่งรอไปก่อนนั่นแหละ”
เวณิกาได้ยินดังนั้นก็นึกในใจว่า ‘เอ๊ะ ไอ้นี่กวนส้นนี่หว่า’
sharpee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2555, 21:02:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2555, 21:02:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 1376
<< ปฐมบท |