Knight At Night ... สงครามรัตติกาล
กาลเวลาพลิกกลับอีกครั้ง...ทุกอย่างกำลังจะได้เวลาเริ่มต้นใหม่ หรือว่าความจริงแล้ว...เพียงแค่ซ้ำรอยเดิมเท่านั้นกัน ? นับพันปีที่ผ่านไป ที่รอคอยคือเธอ หรือว่า..?
เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ เสียงกึกก้องคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บ ...ร้าวราน หากก็มากพอที่จะทำให้หักใจผละจากริมฝีปากหวานล้ำมาเคล้าเคลียพวงแก้มเนียนที่เย็นเฉียบนั่นพร้อมพร่ำกระซิบคำข้างหู
“แต่ถึงอย่างนั้น... ผมก็ยัง...” เขาอ้าปาก งับลงบนติ่งหูก่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งไปด้านหลัง ดึงผมที่ท้ายทอยให้วงหน้างามดวงตาสีนิลจับจ้องฟากฟ้าแทน
“ต้องการเธอ”
“ต้องการ...”
".......เธอ"
"........."
"พลังของเธอ!"
เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ เสียงกึกก้องคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บ ...ร้าวราน หากก็มากพอที่จะทำให้หักใจผละจากริมฝีปากหวานล้ำมาเคล้าเคลียพวงแก้มเนียนที่เย็นเฉียบนั่นพร้อมพร่ำกระซิบคำข้างหู
“แต่ถึงอย่างนั้น... ผมก็ยัง...” เขาอ้าปาก งับลงบนติ่งหูก่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งไปด้านหลัง ดึงผมที่ท้ายทอยให้วงหน้างามดวงตาสีนิลจับจ้องฟากฟ้าแทน
“ต้องการเธอ”
“ต้องการ...”
".......เธอ"
"........."
"พลังของเธอ!"
Tags: สงคราม, แฟนตาซี, ไซไฟ, รัตติกาล, ปีศาจ, วิวัฒนาการ, อารยธรรม, รัก, โรแมนติก
ตอน: Ch.4
4/0
เขารับฟังคำนั้นด้วยความสงบ ราวกับฟังเด็กเล็กๆท่องทวนสิ่งที่ตนเองรู้จักดีอยู่แล้วให้ฟัง
ขณะที่จิงเมิ่งกลืนน้ำลายลงลำคออันฝืดเคือง
“นั่นน่าจะเป็นคำที่มีคนรู้จักกันดีที่สุด” เขาไม่ปฏิเสธ
จิงเมิ่งค่อยผ่อนลมหายใจแรง...เฮือกใหญ่ หากมีแต่หล่อนเท่านั้นที่ทราบว่านั่นคือการพยายามข่มสติชองตนเองให้เป็นปกติ เมื่อต้องเผชิญหน้า...
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดจากการล่มสลายเช่นกัน
และยังเป็นสิ่งที่อยู่รอด....มาก่อนหน้านั้น !
“คุณมีคำถามอีกไหม” เขาเอ่ย
หญิงสาวเกือบจะสั่นหน้า ก่อนชะงักเมื่อนึกได้ หล่อนเผลอตวัดดวงตาไปมองวูบ ก่อนรีบเบือนหลบอย่างรวดเร็วเสียเอง
มี “บันทึก” บางเล่มที่ตกทอดมาถึงหล่อนระบุไว้บ้างเหมือนกัน ว่า “ดวงตา” ของพวกเขาจะมีอำนาจประหลาด
“คุณต้องการอะไร” หล่อนถามกลับ บอกให้รู้ชัด...ว่าหล่อนก็จับได้เช่นกันว่าเกมถามตอบของเขา...ยังไม่จบ !
ผู้ต้องตอบประสานนิ้วมือเข้าหากัน เท้าข้อศอกลงบนโต๊ะ ศีรษะก้มลงด้วยท่าทางคล้ายคิดหนัก ทิ้งหญิงสาวไว้กับความเงียบจนเกือบจะตัดใจไปแล้ว
กระทั่ง...
“ผู้หญิง” คำตอบมาในที่สุด เมื่อริมฝีปากเบื้องหลังมือที่กุมประสานเขยื้อนเล็กน้อย เปล่งเสียงโทนทุ้มที่ทั้งคุ้นชินและแปลกแปร่งออกมา
จิงเมิ่งพยายามจะไม่มองเขานัก แต่หล่อนก็ยังหวาดระแวงเกินกว่าจะละสายตาไปได้ ทางเลือกของหล่อนจึงเป็นการหลุบตาหรือใช้วิธีชำเลืองมากกว่าจะมองชายหนุ่มที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของหล่อนเต็มตา
หากมาบัดนี้ วิธีที่เคยคิดว่าเป็นจุดดีและใช้ได้ กลับนำพาข้อผิดพลาดมหันต์มาให้ เพราะมันหมายความว่าหากไม่ใช่ร่างสูงที่นั่งอยู่นั่น แต่เป็นบริเวณข้างๆเขา หล่อนจะมองเห็นได้ชัดเจนกว่า !
หญิงสาวจึงรู้สึกได้แทบจะทันที เมื่อเบื้องหลังของเก้าอี้ตัวใหญ่นั่น ค่อยๆปรากฏเงาเลือนรางของร่างสูงใหญ่ขึ้น
ทว่าก็เป็นการรู้สึก...ที่ช้าเกินกว่าจะหันสายตาหนีได้ !
เงาร่างที่ปรากฏ จึงจ้องหล่อนนิ่งงันด้วยนัยน์ตาสีแดงสดเหมือนอัญมณีน้ำงามลึกล้ำ ราวจะสะกดคนถูกมองให้จมดิ่งลงไป
และเมื่อไม่อาจถอนสายตา ไม่อาจเบือนหน้าหนี เค้าหน้าคมนั้นจึงเหมือนถูกประทับตรึงในห้วงความคิด ไม่ว่าจะเป็นกรอบตาคมโศกได้รูปอันโดดเด่น หรือจมูกโด่งเป็นสันอย่างคมเข้มเช่นชายชาตรี
และเรียวปากบางเฉียบ....ซึ่งเม้มสนิทนิ่งในทีแรก ก่อนเผยอพร้อมคำตอบที่กังวานก้องไปทั้งห้องอันเงียบสงัดนั่น
คำตอบ...ที่เผยให้เห็นปลายแหลมเล็กของคมเขี้ยวที่เขาไม่อาจซ่อนเร้น !
“ผู้หญิง....คนหนึ่ง” น้ำเสียงที่สอดแทรกในเสียงของหยางคล้ายจะชัดเจนขึ้น เมื่อเงาร่างโปร่งเลือนนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้และเริ่มชัดขึ้นทุกขณะ
จนในที่สุด ดวงตาสองคู่ก็ประสานกัน ขณะวงหน้าอยู่ห่างไม่ถึงคืบ
“ผม...ต้องตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง...”
ถ้อยคำนั้นสะท้อนไปมา...ขณะที่จุดสีแดงที่แต่แรกเป็นเพียงมณีเม็ดเล็กสองชิ้นบนวงหน้าคมที่มองมาคล้ายขยายใหญ่ขึ้น
และกลืนกินหญิงสาว....ให้ร่วงหล่นลง...
4/1
อรอินทุเกือบหลุดเสียงร้องออกไป แต่จนแล้วจนรอด สิ่งที่หล่อนทำเป็นอย่างแรกก็คือการถอยกรูดออกห่างให้เร็วที่สุด
และอย่างที่สอง คือเบิกตาจ้องมอง
ภาพเบื้องหน้าคือภาพที่หล่อนเคยเห็น...ในรูปสลักที่เพิ่งมีคนอธิบายกับหล่อนมาหมาดๆว่า ร่างอันอุดมไปด้วยขน ปากยื่นยาว หูตั้งตรงและมีสี่ขานั่นถูกเรียกว่า “หมาป่า”
หมาป่า...เป็นสิ่งมีชีวิตนั้นไม่ผิดแน่ หญิงสาวแน่ใจสายตาของตนเอง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าสิ่งที่น่าจะทำให้พวกนักประวัติศาสตร์หรือสัตววิทยาทั้งหลายแตกตื่นถึงได้โผล่พรวดออกมาจากลิฟต์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่หล่อนแน่ใจ เมื่อมองคมเขี้ยวขาววาววับ ในปากที่อ้ากว้างและคงแทบกลืนหล่อนลงไปได้ทั้งตัว ถ้าเธอไม่โดนเหวี่ยงออกมาเสียก่อน
นี่ไม่ใช่สัตว์ข้อมูลสำหรับศึกษา ไม่ใช่รูปสลักที่ควรมอง แต่มันคือสิ่งดุร้าย ที่พร้อมจะล่าและขย้ำหล่อนให้ถึงแก่ความตาย !!!
ลิ้นสีเข้มตัดกับเขี้ยวขาวของมันตวัดแผลบ ยามชำเลืองนัยน์ตาสีเหลืองเข้มเกือบเป็นสีทองมองเธอ และทำให้ลมหายใจที่เพิ่งรับรู้ว่าหอบกระชั้นแค่ไหนของหญิงสาวติดขัดด้วยความรู้สึกที่บีบรัดให้เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
กลัว...! นั้นแน่ล่ะ... แต่มีอีกอย่าง
เป็นความรู้สึกที่หล่อนไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่มีความคิดจะเข้าใจสักนิด ค่อยสยายมือเข้ามาและเขย่าหล่อนทั้งสภาพนี้จนหัวหมุนคว้าง คล้ายจะอาเจียน
และเมื่อมันถึงขีดสุด หญิงสาวก็เปิดปาก....
หากไม่ใช่เพื่อขย้อนของเก่า
แต่เป็นเพื่อเอ่ยคำ
4/0 P.1
เสียงร้องแหลมที่กังวานเข้ามาในหูทำให้จิงเมิ่ง โหยวขมวดคิ้วเล็กน้อยในทีแรก ก่อนสะดุ้งเฮือกสุดตัว
หญิงสาวกัดริมฝีปาก รับรู้ถึงรสเลือดที่ทะลักด้วยฟันของตัวเองที่ขบลงไป หากหญิงสาวก็นึกขอบใจ ที่มันทั้งช่วยเรียกสติและข่มกลั้นเสียงร้องของตนเองเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
มือข้างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในถุงหนังสีดำยกขึ้นกุมศีรษะตัวเองไว้ ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ช่วยบรรเทาร่องรอยของเสียงหวีดแหลมที่ทะลุทะลวงเข้าไปใต้จิตสำนึกของหล่อนเมื่อกี้แม้แต่นิด
ทว่าก็ยังดีกว่ามืออีกข้าง ที่บัดนี้แม้ไม่ต้องมอง แต่จิงเมิ่งก็รู้ดีว่าใต้หนังสีดำที่ห่อหุ้มปกปิด คงเริ่มปรากฏร่องรอยของอาการบาดเจ็บที่ทำให้หล่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อครู่แล้ว
ระบบป้องกันตัวเองที่เธอตั้งไว้ ทำงานได้....ทันท่วงที !
อย่างน้อยหล่อนก็คิดว่ามันคงพอจะทัน...เมื่อกะพริบตาอีกที เงาร่างที่เคยอยู่ใกล้แทบจะสัมผัสตัวตนได้นั้น บัดนี้หายไปแล้ว
เหลือแต่....”หยาง” ที่ผุดลุกขึ้นกะทันหัน
เขาผละออก หันหลังให้โต๊ะประจำตำแหน่ง ให้หญิงสาวที่อยู่ฟากตรงข้าม และทอดตามองไปยังท้องฟ้าสีขาวพร่างด้วยเมฆและแสงอาทิตย์ของยามบ่าย
บางอย่างคล้ายจะผุดขึ้นมาในความคิดของจิงเมิ่ง
ทว่าการเคลื่อนไหวของหล่อนก็ยังช้าเกินไปอยู่นั่นเอง คล้ายกับว่าเมื่อประจันหน้ากับบุคคลตรงหน้าแล้ว ไม่เคยมีสิ่งที่เป็นไปอย่างใจหล่อนคิดสักครั้ง
แม้ขณะที่ถืออาวุธ และหันปลายไปที่ชายหนุ่มซึ่งค่อยๆเบือนหน้ากลับมา หล่อนก็ยังคิดเช่นนั้น
ในดวงตาของเขาไม่มีแววพ่ายแพ้ หวาดกลัว ไม่มีแม้กระทั่งเค้าไอของความแปลกใจ
“ปืนรังสี” เขาเอ่ยชื่ออาวุธที่อยู่ในมือของหล่อน... อาวุธที่ได้รับเค้าโครงมาตั้งแต่ยุคโบราณ และคงดีไซน์แบบเดิมเอาไว้หลากหลาย ปรับเปลี่ยนแต่พลานุภาพ
มันไม่ใช่สิ่งที่พกพาได้ยากอีกต่อไป เหมือนกับว่าทุกคนสามารถมีติดกระเป๋าติดตัวได้เรื่อยๆด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่สถานที่ที่ต้องเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยหรือขอความร่วมมือพิเศษ กระทั่งเด็กที่เพิ่งจบชั้นพื้นฐานและอายุแค่ 12 ปีก็ยังสามารถพกปืนรังสีได้
เพียงแต่เด็กอายุ 12 จะได้รับอนุญาตให้พกปืนที่สามารถยิงรังสีซึ่งสร้างความเสียหายได้สูงสุดอย่างมากก็แค่ ทำให้ร้อนวูบที่ผิวซึ่งอาจจะมีร่องรอยแดงเล็กน้อย และคันไปสักสามสี่ชั่วโมง
ปัจจัยในการอนุญาตให้ใช้ระดับรังสีเว้นแต่ระดับพื้นฐานแล้ว มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แม้จะมีการดัดแปลง แต่การที่จะใช้มันไม่ให้เตะตาหรือถูกพบก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี
แต่ต่อให้ปรับระดับรังสีสูงสุด จิงเมิ่งก็ไม่แน่ใจสักนิด
“จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของปืนรังสีก็คือการทำลายของมัน” กลับเป็นเป้าหมายเสียเองที่เอ่ยออกมา คล้ายกำลังสั่งสอนเด็กน้อยที่ไม่รู้ความ “เธอก็รู้นี่นะ ว่าถึงแม้จะปรับพลังของมันไปที่ระดับสูงสุด ก็ยังไม่สามารถเป็นอาวุธสังหารได้ในชั่วพริบตาอยู่ดี...เว้นกับมนุษย์”
มือที่กำด้ามปืนกระชับเข้าหากันแน่น ...อย่างที่มีแต่เจ้าตัวที่รู้ว่าหล่อนกำลังจะเตรียมพร้อมในการจู่โจม หรือยึดเอาอาวุธนั้นต่างที่พึ่งเรียกความมั่นใจตนเองให้กลับคืนกันแน่
เขาขยับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปลี่ยนหยางให้กลายเป็นภาพที่ประทับแน่นในความคิดของหญิงสาวแต่เมื่อไรก็สุดรู้ จนข้อมืออีกข้างแสบร้อนวาบขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยต่อ
“จะเรียกว่าข้อเสียในข้อดีก็ได้ สำหรับระบบสั่งการตัดสินใจของพวกเธอ ยิ่งเป็นในตอนนี้ด้วยแล้ว ความเจ็บขนาดแค่เนื้อฉีกขาดหรือกระดูกหัก ก็มากพอที่จะทำให้หมดสติ หัวใจเต้นอ่อน ความดันขึ้นสูง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เสี่ยงกับการเสียชีวิตได้ทั้งนั้น”
เขาเลื่อนมือมาข้างหน้าอย่างสบายๆ ปลายนิ้วออกคำสั่งกับโต๊ะทำงานให้แสดงรูปสลักสัตว์ที่ติดตามผนังของอาคาร
“ผิดกับสัตว์หลายชนิด ที่แม้จะเจ็บปวด แต่สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด จึงทำให้การรับรู้ความเจ็บปวดของพวกมันช่วยกระตุ้นในการดิ้นรนมากกว่าจะหมดสติ ทำให้พวกมันต่อสู้ และที่สำคัญ มีความอดทนกับความเจ็บ กับบาดแผลเพียงแค่นั้นมากกว่ามนุษย์หลายเท่า...”
ดวงตาคมนั้นจับจ้องที่ปากกระบอกปืน ก่อนขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน พร้อมคำสรุป
“ต่อให้เป็นพลังทำลายสูงสุดตอนนี้ อัตราสำเร็จ....ก็แค่ 3 ใน 10 ....”
นั่นเป็นคำบอกที่กระจ่างแจ้ง และเป็นสิ่งที่จิงเมิ่งเองก็รู้ดี แต่ที่ทำให้หล่อนหนักใจที่สุดก็คือการที่ “เขา” รู้ ต่างหาก !
แต่หล่อนก็เชื่อว่าที่เขารู้ยังไม่ใช่ทั้งหมด...และนั่นอาจเป็นหนทางที่จะพลิกได้
และหล่อนไม่มีหน้าที่ทำให้เขา “รู้” ด้วย
หญิงสาวจึงเลือกจะทำสิ่งต้องห้าม อย่างการหลบตาคู่ที่มองมา เพ่งโฟกัสให้อยู่แต่ปากกระบอกปืนที่ค่อยๆลดลงช้าๆ แต่ยังกุมไว้มั่น
หญิงสาวจึงไม่เห็นบางอย่างที่ผุดขึ้นมา...โดยใช้ใบหน้าของเพื่อนเก่าของหล่อนเอง
สิ่งที่หล่อนรับรู้ ...ได้ยิน มีเพียงเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง
จากเบื้องหลัง !
เสียงของประตูที่เปิดอ้า และเสียงต่ำที่เคยสอดแทรกอยู่ในเสียงของหยางที่สนทนากับหล่อนเมื่อสักครู่ ก่อนจางหายไปพร้อมรูปเงา
เสียงที่เอ่ยทวงถาม
“คำถามอีกข้อหนึ่ง...ผมอยากเห็นคำตอบเป็นภาคปฏิบัติมากกว่านะ....”
หญิงสาวไม่แม้แต่จะหันกลับ ไม่ทันแม้แต่จะเผยอปากอุทานใดๆ เมื่ออยู่ๆก็รับรู้ถึงความมืดที่ตวัดวูบลงมา เหมือนสัตว์ร้ายตะปบเหยื่อดุดัน
พร้อมคำสุดท้าย
“ผม...”
4/1 P.1
อรอินทุไม่รู้ว่าหล่อนพูดอะไรออกไป
ไม่รู้แม้แต่ว่าคำพูดพวกนั้นหลั่งไหลออกมาได้อย่างไร
ไม่รู้แม้แต่ว่า....ใครกันที่อยู่ในตัวหล่อน และเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา !
หล่อนรู้แต่ว่าตนเองเป็นผู้เฝ้าดู เป็นคนชมภาพทั้งหมดนั่น
ภาพที่ผุดวาบขึ้นมาในหัว....ที่หล่อนไม่อาจทำความเข้าใจมันได้แม้แต่น้อย !
แต่จนตอนจบ...ของคำพูดทั้งหมดนั่นเอง ที่อรอินทุเพิ่งเข้าใจขึ้นมาหนึ่งอย่าง แม้จะเป็นการเข้าใจอันรางเลือนเต็มทีก็ตาม
หล่อนเห็นเรียวปากบางของผู้หญิงคนหนึ่งขยับ เอ่ยถ้อยคำออกมา และถ้อยคำเหล่านั้นก็ถ่ายทอดออกจากปากของหล่อนอีกที !
และเมื่อหล่อนหายไป อรอินทุก็คล้ายจะกลับเป็นตัวเองอีกครั้ง
กลายเป็นหญิงสาว...ที่นั่งหอบแฮ่ก เนื้อตัวสั่นเทา เหงื่อไหลโทรมกาย และได้แต่เบิกตากว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตนเองที่ไม่เข้าใจอะไรแม้แต่อย่างเดียว !
หล่อนได้แต่ดู... หมาป่าที่ทำให้หล่อนนึกถึงคนที่ทำหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ คล้ายรู้ว่าสิ่งที่มันตามหากำลังอยู่แค่เอื้อม และมันจะสามารถเอื้อมมาคว้าได้ในไม่กี่อึดใจถัดมา
ขอแค่มันจัดการสิ่งที่ขวางทางซะ
อรอินทุกะพริบตา....นึกดีใจที่อย่างน้อยค่าตอบแทนของการเอ่ยคำที่ตนไม่เข้าใจก็ไม่เลว เพราะอาการพะอืดพะอมวิงเวียนของหล่อนหมดสิ้นไปแล้ว ทำให้สติและความคิดของเธอกำลังแจ่มชัดขึ้นทุกขณะ
เธอจึงตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่าเธอรอดจากหมาป่านั่นเพราะแรงเหวี่ยงที่ผลักเธอกระเด็นออกมาไกลถึงนี่ และแรงเหวี่ยงนั้น...เกิดจากการที่มีใครสักคนกระชากเธอออกอย่างรวดเร็ว
แม้ผู้ที่กระชาก จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่น่าจะมีอายุเกิน 15 ก็ตาม !
อรอินทุมองเด็กหนุ่มคนนั้น หากเป็นเวลาปกติ หล่อนคงจะเพลิดเพลินกว่านี้ เพราะเขามีใบหน้าราวกับตุ๊กตาราคาแพง และผิวเนียนละเอียดอย่างที่ผู้หญิงหลายคนคงนึกอิจฉา ขัดกับแววตาดุดันไม่สมรูปร่างของเขาเป็นที่สุด
แต่เมื่อมีผู้ร่วมประกอบฉากเป็นหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์ ที่แค่ขาเดียวของมันก็คงบดร่างเล็กเบื้องหน้าหล่อนให้แหลกเละได้ อรอินทุจึงไม่สามารถชื่นชมใดๆได้ทั้งสิ้น
นอกจากรับชมต่อไป และ....
“ถอยไปซะ” เสียงห้าวหนักแน่น แฝงกังวานคุกคามจนอรอินทุขนลุกซู่ทำให้หล่อนลืมความคิดที่จะหาหนทางใดๆไปในชั่วพริบตา
ไม่ใช่เพราะเพียงความน่ากลัวเท่านั้น
หากเป็นเพราะเสียงนั้น...มาจากร่างที่อุดมไปด้วยขนหยาบรุงรัง มีสี่เท้า...ของหมาป่าต่างหาก !
หมาป่าพูดได้....?
ความคิดของอรอินทุสับสนอลวนไปอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มเบื้องหน้าไม่เพียงไม่เกรงกลัว เขาไม่มีแม้กระทั่งความแปลกใจด้วยซ้ำ
“แกนั่นแหละ” เขาตะคอกกลับพลางแยกเขี้ยว นิ้วทั้งสิบของมือทั้งสองกางออกจนเห็นเส้นเลือด และปลายเล็บที่ค่อยๆงอกยาวอย่างผิดปรกติ “คลานกลับไปหาเจ้านายแกซะ ไอ้ขี้เรื้อน !”
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เมื่อถ้อยคำสุดท้ายที่ไม่เข้าใจนั้นทำให้สัตว์ร้ายสี่ขากระทืบเท้าด้วยความดุดันที่เห็นชัดว่าแฝงความขุ่นเคืองเต็มเปี่ยม ปากที่อ้ากว้างอีกครั้งส่งเสียงคำรามกึกก้องกว่าเดิม
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน !” คำที่ตอบโต้กลับมาทำให้คนฟังพอจะเดาได้ รวมถึงจากท่าทางนั้น ว่าคำที่หล่อนฟังไม่เข้าใจนั้น น่าจะจัดเป็นคำจำพวกไหน “แกจะไม่ต้องคลานกลับไปหาเจ้านายแกแน่ เพราะข้าจะฉีกปีกแกให้เป็นชิ้นๆไม่เหลือแม้แต่ซากทีเดียว”
“สันดานหมา” เด็กหนุ่มขยับยิ้มพราย เล็บที่กางออกทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่คล้ายจะนึกบางอย่างออก แต่ก็จับไม่ได้จนแล้วจนรอด
รู้แต่...ความหวาดกลัวที่ค่อยๆจางลง และแทนที่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกอีกอย่างแทน
มันเป็นคล้ายๆกับเมื่อคนเราเผชิญวิกฤต หลังจากความตกใจไปแล้ว มันอาจจะแทนที่ได้ทั้งความตื่นตระหนกที่พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม หรือความเยือกเย็นและการทำงานอย่างหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวของสมองและสัญชาตญาณที่บางครั้งเจ้าของก็แทบไม่เคยรู้ว่ามีมันอยู่
และด้วยความรู้สึกที่ค่อยๆผุดพรายนั่นมาเอง ที่ทำให้หล่อนรับรู้บางอย่างได้ว่องไวพอที่จะเอ่ยเตือน
ยามสุนัขสี่ขาย่อตัว ก่อนทะยานพุ่งเข้ามาด้วยความมาดร้าย และร่างเล็กที่เคยกระชากหล่อนออกจะพุ่งเข้าใส่ราวส่งกรงเล็บมอบเป็นของขวัญต้อนรับให้เป็นการเปิดเริ่มของลำนำสัประยุทธ์
เพียงเสี้ยววินาที ที่หล่อนตะโกนออกไป !
“ถอยออกมา อย่าเข้าไปใกล้ไอ้หมานั่น !!!”
เพียงชั่วพริบตา ...ที่มากพอให้เด็กหนุ่มถดถอย ก่อนเสียงแตกเปรี้ยงจะดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ !
4/2
มันเป็นเสียงบางอย่างแตกกระจาย แต่กลับไม่มีใครบอกได้ ว่า “อะไร” ที่ถูกทำลาย
แต่ท่ามกลางสายตาทุกผู้ในนั้น มีบางอย่างที่ “แตกออก”
มันคือ สีดำ
สีดำที่โผล่เข้ามากึ่งกลาง กั้นระหว่างหมาป่าและเด็กหนุ่มที่กำลังจะโรมรันกัน สัณฐานคล้ายลูกกลมขนาดยักษ์ในทีแรก ก่อนที่มันจะแตกออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์อันแท้จริง
นั่นกลับเป็นเพียงสัตว์ปีก! ...ปีกเป็นพังผืดสีเข้มจัดเหมือนถูกย้อมด้วยความมืด อย่างยากจะหากสัตว์ใดเทียบเคียงได้ กระพือติดอยู่บนตัวเล็กๆที่มีหูน้อยๆติดอยู่ด้านบน
มันคือ ค้างคาว !
ค้างคาวตัวเล็กๆนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันจนเป็นก้อนกลมที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ขวางกลางการต่อสู้ ก่อนจะแยกตัวออกจากกัน เผยให้เห็นสิ่งที่มันห่อหุ้มไว้ภายใน
4/0 P.1.5
จิงเมิ่ง โหยว รู้สึกว่าหล่อนกำลังลอยขึ้นอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาจนไม่น่าเชื่อ
ที่ใต้ฝ่าเท้าของหล่อนเองก็เป็นสัมผัสที่นุ่มนิ่ม เหมือนที่นอนที่จัดไว้อย่างดี แต่ก็ไม่ได้ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลับแต่ประการใด
มันคล้ายการเดินทาง...โดยอากาศยาน
หญิงสาวรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการขยับเขยื้อนเคลื่อนย้าย แต่รอบด้านของหล่อนล้วนตกอยู่ในความมืดมิด จนไม่อาจบอกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
มีเพียงสัมผัสของอาวุธในมือ...และที่พกพาเท่านั้น ที่พอทำให้อุ่นใจได้
และถ้อยคำสุดท้ายของ “เขา” ทำให้หล่อนตัดสินใจรอเงียบๆ....
มันไม่น่าจะนาน
และมันก็เป็นความจริง
เมื่อในที่สุด พาหนะที่นั่งอยู่เป็นอย่างดีก็คล้ายกับกระแทกบางอย่างรุนแรง จนจิงเมิ่งเซแซ่ดๆ และหญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัวกับจังหวะที่เปลี่ยนไปด้วยซ้ำ รอบด้านก็ส่งความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างมาให้หล่อนอีกครั้ง
ความมืดที่ล้อมรอบตัวแตกออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์แท้จริงของพวกมัน...ที่เป็นเพียงค้างคาว !
ค้างคาวที่เหมือนถูกสร้างมาจากความมืด...จากท้องฟ้าราตรีที่ไม่มีแสงใดๆเลย ค่อยกระพือปีกเล็กๆของมันขยับห่างออกจากกัน และจางหายไปในแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในที่สุด
เหลือไว้แต่หญิงสาวผู้เดียว
4/2 P.1
เขาเบือนหน้าออกจากท้องฟ้าที่ถูกย้อมเป็นสีส้มด้วยเวลาสนธยา หันดวงตาสีแดงไม่ผิดกับดวงอาทิตย์คู่นั้นออกจากฟากฟ้า
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว
เสียงติดต่อดังขึ้น และเขาเอ่ยตอบรับ
“คุณ...” หยางเอ่ย ชายหนุ่มไม่เรียกเขาว่า “ท่าน” เหมือนบริวารอีกหลายคน แต่เลือกจะเรียกเช่นนี้มากกว่า “ทำไม...จิงเมิ่ง ??”
ถ้อยคำนั้นกระท่อนกระแท่น บอกชัดว่าในหัวอีกฝ่ายยังเรียบเรียงเรื่องราวไม่ถนัด แต่ก็คงไม่นานเกินไปสำหรับหยาง กุลนววงศ์ เพราะบันทึกในห้องย่อมพอจะบอกเขาได้คร่าวๆว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง แม้ไม่อาจบันทึกเสียงไว้ได้ก็ตาม
“ผมไม่ได้ทำร้ายเธอ” เขาตอบอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น “ผมเพียงแค่ถามอะไรเธอนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งเธอเองก็ยอมรับ”
หยางเงียบไป แต่จากสีหน้าของเขา คู่สนทนาเดาได้ไม่ยากว่าชายหนุ่มกำลังปะติดปะต่อเรื่องและคิดหาความเป็นไปได้อยู่
คุณสมบัติข้อนี้ของหยางทำให้เขาเข้ามาทำงานได้โดยการยอมรับของทุกฝ่าย และเขาเองก็เช่นกัน ที่ยอมรับคุณสมบัตินี้ ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง
หากเลือกจะป้อนข้อมูลให้เขาอย่างพอเหมาะ
“เธอจะไม่เป็นอันตราย ถ้าหากคุณสามารถ...จะตรวจสอบความปลอดภัยของเธอหลังจากนี้ก็ได้ แต่ผมคิดว่า ควรให้เวลาเธอสักครึ่งชั่วโมงจะดีกว่า”
เขาไม่รอการตอบรับใดๆอีก ชิงตัดสัญญาณเพียงแค่นั้น
ชายหนุ่มละมือจากเครื่องสื่อสาร ใช้มันผลักประตูกระจกบานใหญ่ออก และก้าวออกไปยืนที่ระเบียงที่ยื่นออกไปเบื้องนอก เงยหน้ารับสายลมเย็นที่พัดโชยกล่าวคำทักทาย
อาทิตย์ตกแล้ว...
และรัตติกาลได้เริ่มขึ้น....
+ + + + +
ควรจะโพสตั้งแต่เข้าวันใหม่ แต่พอดีว่าติดธุระ ขอโทษด้วยนะคะ
มาจนถึงตอนนี้แล้ว....
แล้ว.....ยังไงดีหว่า
ไม่รู้จะชวนคนอ่านคุยอะไร เราคุยอะไรกันดีคะ ;w;

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ย. 2555, 14:14:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ย. 2555, 14:14:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1001
<< Ch.3 | Ch.5 >> |