ยุ่งนักรักคนเสื้อกาวน์ มาเฟียกับหมอสาวยอดยูโด
เฉินฮ่าวหมิงมาเฟียมหาเศรษฐีฮ่องกงผู้ลึกลับ น้อยคนที่จะเคยเห็นหน้าเขา เขาคือทายาทมหาเศรษฐีชาวจีนอันดับหนึ่ง เฉินกวงหลิน
การบริหารไม่แพ้ผู้เป็นบิดา จนคนตั้งฉายา
พ่อเสือ ลูกพญามังกร
เธอคือสูตินรีแพทย์สาว โก๊ะในบางเวลา แต่เธอก็มีจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์เต็มตัว
แล้วสองคนก็โคจรมาพบกันเมื่อวันที่เธออยู่เวร เกิดเหตุไม่คาดฝันกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินฮ่าวหมิง
แค้นนี้ต้องชำระ หนี้เก่าที่เธอเคยฝากรอยแผลไว้ให้เขา อาถรรพ์รัก ที่เธอลงคาถาเสกไว้ในตัวเขา เขาจะคิดบัญชีคืนพร้อมกันคราวนี้
แต่อย่าหวังว่าหมอนักยูโดสายดำคนนี้จะยอมง่ายๆ


Tags: วงการแพทย์ รักโรแมนติก หมอ มาเฟีย

ตอน: พญามังกรเฉินฮ่าวหมิง vs สูติแพทย์สาวใจเด็ด ตอนที่ 2

ขอบคุณคอมเมนต์ของคุณ ปลาวาฬสีน้ำเงิน กับคุณ หมีสีชมพู
และเพื่อนๆที่ช่วยกด like และเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านทุกๆท่าน
ขอบคุณมากค่ะ
มีข้อตำหนิ ต้องการให้แก้ไข ก็ช่วยติติงแนะนำนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ตอนที่ 2
พญามังกร เฉินฮ่าวหมิง

เมืองซีอาน ประเทศจีน    

รถลิมูซีนคันยาวสีขาวขัดเงามันปลาบแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูทางเข้าของอาคารสูงที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ซีเอ็มกรุ๊ป ทันทีที่ประตูรถเปิดแง้มออก เห็นเพียงรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มมันวับยื่นโผล่ออกมาจากตัวรถ หากคนข้างในยังไม่ทันก้าวลงมายืนเต็มตัว

กลุ่มนักข่าวช่างภาพจากหนังสือพิมพ์ วิทยุและสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศกว่าร้อยคนก็วิ่งกรูกันฝ่าด่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ต่ำกว่ายี่สิบนายที่ยืนเรียงหน้ากระดานเข้าไปเบียดเสียดแออัดอยู่รอบตัวรถจนคนข้างในไม่สามารถผลักประตูออกมา                                                                         

เสียงกดแชตเตอร์ดังถี่รัว แสงแฟลชกระพริบวิบวับสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ ไมโครโฟนนับร้อยถูกยื่นออกไปข้างหน้า ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าคนที่ต้องการสัมภาษณ์เลยด้วยซ้ำ แต่จากข่าวที่รั่วไหลออกมา ทุกคนต่างคาดคะเน และบางคนก็ปักใจเชื่อว่าคนในรถคือ

          เฉินฮ่าวหมิง ประธานกรรมการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ซีเอ็มกรุ๊ปที่มีกิจการครอบคลุมธุรกิจการคมนาคมทั้งบนบก ทางน้ำ ทางอากาศหรือแม้แต่ในอวกาศ และบัดนี้ยิ่งจะครบวงจรมากขึ้น เมื่อมังกรยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศจีน กำลังขยับปีกลงครอบคลุมเหนือกิจการอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินพาณิชย์สายหลักเพื่อกวาดเข้ามาซุกไว้ใต้ปีกของตนอีกหนึ่งอย่าง

          เฉินฮ่าวหมิงบุรุษลึกลับ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และยิ่งน้อยคนนักที่จะรู้ที่มาที่ไปของชายหนุ่ม นอกจากตำแหน่งที่สืบทอดมาจากเฉินกวงหลินผู้เป็นบิดา มาเฟียเศรษฐกิจฮ่องกง มหาเศรษฐีติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกจากนิตยสารฟอร์บและหนังสือไทมส์ทุกปี
 
                แต่ในฮ่องกงหรือแม้แต่ในจีน ชายชราผู้นี้คืออภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง หนึ่งในห้าบุคคลผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในประเทศจีน ที่กำลังเกษียณตัวเองด้วยวัย 65 ปี เพื่อให้ทายาทผู้ไม่เคยปรากฏตัวในวงสังคมมาก่อน หรือแม้แต่จะรู้ว่ามีตัวตนอยู่ในโลกนี้ได้สานต่อเครือข่ายธุรกิจขนาดมหึมา วงเงินสูงที่สามารถกว้านซื้อที่ดินได้ทั้งโลก และเฉินฮ่าวหมิงก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นบิดาผิดหวังแต่อย่างใด จนมีคำกล่าวเปรียบเปรยพ่อลูกคู่นี้ว่า


                                       พ่อเสือ ลูก(พญา)มังกร

                “คุณเฉินฮ่าวหมิงครับ ท่านมีความเชื่อมั่นแค่ไหนว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้จะสำเร็จด้วยดี”

                “คุณเฉินครับ โครงการรวบกิจการครั้งนี้ก็เพราะต้องการขยายฐานผลิตเครื่องบินขนาดใหญ่ร่วมกับรัฐบาลจีนใช่ไหมครับ”

                “คุณเฉินครับ ถ้าการควบรวมกิจการครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ ท่านคิดว่าโอกาสที่เราจะแชร์ตลาดเครื่องบินจากโบอิ้ง แอร์บัสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และต้องใช้เวลาอย่างน้อยกี่ปีครับ”

                “โครงการยักษ์ใหญ่แบบนี้ มีนายทุนต่างชาติเข้าร่วมด้วยไหมครับ”และสารพัดคำถามที่ระดมกันเข้ามาเป็นชุดๆในเวลาพร้อมๆกันจากนักข่าวต่างสำนักต่างภาษา จนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าเฉินฮ่าวหมิงมิใช่บุคคลสำคัญที่หาตัวยากเพียงอย่างเดียว หากการจะพบเขาสักครั้งหนึ่งในชีวิตยังแทบจะไม่มีโอกาสเลย

                                                                
เหล่าพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการทั้งผลักทั้งดันกองทัพนักข่าวที่ยืนออขวางทางประตูรถไว้ ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าให้ขยับออกไปพร้อมกับกางแขนประสานมือกันไว้ เปิดช่องว่างเป็นทางเดินให้บุคคลสำคัญที่เพิ่งจะก้าวขาลงมายืนเต็มตัวได้เดินออกมาอย่างสะดวก
 
                         “ท่านครับ หลังการควบรวมกับฉางเฟยจีอินดัสตรีคอร์เปอเรชั่นแล้ว ต่อไปท่านจะไป...” เสียงในตอนท้ายๆขาดหายไปเมื่อร่างในชุดเสื้อโค้ทหนาสีเขียวขี้ม้าที่เพิ่งหลุดออกมาจากรถอย่างทุลักทุเลเงยหน้าขึ้นมองสบตานักข่าวเต็มตา
 
                “อ้าว คุณหลี่!” เสียงอุทานอย่างผิดหวังพร้อมกับคำทักทายอย่างคุ้นเคยแสดงให้เห็นว่าร่างสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาจากรถหาใช่บุคคลที่พวกตนรอคอยไม่ แต่กระนั้นทุกคนก็รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้ดี

                หลี่เทียนเซิน ไม่ใช่แค่มือขวาของเฉินฮ่าวหมิงแต่เขายังเป็นคนสนิทที่สุดของเฉินกวงหลินผู้เป็นบิดาของเฉินฮ่าวหมิงด้วย

                “ยังไม่ไปไหนหรอกครับ ยังไม่มีที่มา จะมีที่ไปได้อย่างไร พวกคุณเล่นถามคำถามอนาคตอย่างน้อยอีกสิบปีข้างหน้าโน่น ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่วุ้น”

เขาพูดกับนักข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี นั่นอาจเป็นเพราะดีใจที่หลอกนักข่าวให้หันเหมาทางนี้ เปิดโอกาสให้เฉินฮ่าวหมิงตัวจริงเล็ดลอดเข้าไปในตัวอาคารได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่มีใครสนใจก็เป็นได้
 
                "ก็แสดงว่าในอีกสิบปีข้างหน้า โครงการผลิตเครื่องบินพาณิชย์สายหลักที่จะเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับอเมริกาและยุโรป จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆใช่ไหมครับ"
 
                “เฮ้อ" หลี่เทียนเซินถอนหายใจ หากสีหน้าหาได้แสดงความหนักใจเฉกเช่นท่าทีไม่ จึงไม่แปลกใจที่แม้เขาจะไม่ใช่บุคคลที่ทุกคนรอคอย แต่นิสัยเปิดเผยและเป็นมิตรกับนักข่าว ก็ทำให้ชายกลางคนผู้นี้กลายเป็นขวัญใจนักข่าวไปได้โดยไม่ยาก "พวกคุณหูตาไวจริงๆนะ เรื่องการตกลงเจรจาขั้นตอนสุดท้ายนี่ อุตส่าห์ปิดเป็นความลับนะนี่ แต่พวกคุณยังตามกลิ่นมาจนได้”

                “ดูท่าทางของคุณหลี่แล้ว ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นะครับที่ข่าวการควบรวมกิจการกับฉางเฟยจีหลุดออกมาก่อนที่การเจรจาจะสำเร็จ”

                นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นว่าหลี่เทียนเซินยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มอันเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขา
 
                “แล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะ คุกเข่าแล้วขอร้องพวกคุณว่าช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับหน่อยหรือ ในเมื่อพวกคุณมากันมืดฟ้ามัวดินขนาดนี้” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ขอเพียงพวกคุณไม่ลงข่าวลือผิดๆว่าผมนอกใจแม่เสือที่บ้าน ไปมีกิ๊กข้างนอก ไม่ว่าข่าวหนักหนาสาหัสอะไร ผมก็รับได้หมด” ประโยคหลังเรียกเสียงฮือฮาจากนักข่าวได้ทันที
 
                “แล้วคุณเฉินอยู่ไหนครับ เรื่องใหญ่แบบนี้ ให้คุณหลี่เป็นตัวแทนในการเจรจาหรือครับ” นักข่าวหนุ่มผมสีทองจากประเทศทางแถบตะวันตกโพล่งถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะสังหรณ์ว่าคงจะอดได้รูป ได้เรื่องของบุรุษลึกลับนามเฉินฮ่าวหมิงอีกตามเคย

                ชายวัยกลางคนหัวเราะหึๆ ชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า

                ทุกคนมองตาม แล้วต่างก็พากันอ้าปากค้าง ตาเบิ่งโต
 
                สิ่งที่ทุกคนเห็นเหนือน่านฟ้าสูงเบื้องบนเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า
 
                เฉินฮ่าวหมิงนายใหญ่ของซีเอ็มกรุ๊ปอยู่ที่ไหน?
 
                ถึงจะทันได้เห็นเพียงแค่ส่วนหางและบางส่วนของใบพัดที่กำลังหมุนฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้าเบื้องบน เพราะตัวเครื่องส่วนหัวกำลังเบนส่ายเพื่อหาจังหวะลงจอดเหนือยอดตึกของอาคารสูงหนึ่งร้อยสองชั้น เพียงครู่เดียวตัวเครื่องทั้งลำก็ลับหายไปจากสายตาหลายร้อยคู่ที่แหงนมองอยู่ด้านล่าง

                เฮลิคอปเตอร์เก็บเสียง หนึ่งในทรัพย์สินของซีเอ็มกรุ๊ป
 
                “พวกเราพลาดตามเคย”

                นักข่าวสาวหน้าตาดีคนหนึ่งพึมพำอย่างสุดแสนเสียดาย วันนี้หล่อนสู้อุตส่าห์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยเก๋ทันสมัย แต่งหน้าให้ดูสะดุดตา อีกทั้งยังใช้เวลาคิดคำถามอันชาญฉลาดที่จะแสดงถึงสติปัญญาอันเฉียบแหลมของหล่อน ด้วยหวังจะเรียกความสนใจจากมหาเศรษฐีหนุ่ม หากหล่อนมีโอกาสได้ยิงคำถามอันแสนจะเฉียบคมใส่เขา เชื่อว่าเขาจะต้องประทับใจหล่อนในทันทีที่เห็นหน้าเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว แต่แล้วฝันของสาวน้อยก็ดับสลายในพริบตา
 
                “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่เจอ วันหลังก็ต้องได้พบจนได้ เฉินฮ่าวหมิงจะหลบพวกเราไปตลอดไม่ได้หรอก"
 

นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งที่คงรู้จักคุ้นเคยกันดีกล่าวปลอบใจเพื่อนร่วมวิชาชีพ

                "พวกเราไม่เจอเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้แต่พนักงานที่ทำงานในตึกนี้ ยังไม่มีใครได้เห็นหน้าตาเจ้านายของตัวเองเลย” นักข่าวหนุ่ม ในมือถือไมโครโฟนติดโลโก้สถานีโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่นพูดปลอบใจตนเอง "ถ้าไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูง"

                “ตอนนี้คงอยู่ในห้องประชุมแล้ว น่าเสียดายจริงๆที่เขาป้องกันแน่นหนา ไม่มีใครเล็ดลอดเข้าไปได้ ได้ยินว่าแม้แต่พนักงานที่คอยดูแลห้องประชุมก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป จะมีแต่ผู้บริหารระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้น"
                                           
"ผมสงสัยจริงๆว่าเมื่อไหร่มังกรซ่อนหน้าอย่างเฉินฮ่าวหมิงจะเปิดเผยตัวเสียที"    

                                           
"สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือ ทำไมเขาถึงทำตัวลึกลับ ไม่ให้ใครพบเห็น ผมคิดว่าเขาต้องมีเหตุผลส่วนตัวสักอย่าง"
                                                                                                              
เสียงพูดคุยสนทนาว่าด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเฉินฮ่าวหมิงคงจะมีต่อไปอีกนาน หากเจ้าหน้าที่ของบริษัทซีเอ็มกรุ๊ปจะไม่ออกมาเชิญนักข่าวทั้งหมดให้เข้าไปนั่งรอในห้องแถลงข่าวเสียก่อน 
 

 

กรุงเทพฯ ในห้องผ่าตัด โรงพยาบาลเพชรธานี

"โทรศัพท์จากหมอกล้วย"

                พยาบาลในห้องผ่าตัดยื่นโทรศัพท์ไร้สายแนบหูชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมหนาสีเขียวยาวเกือบจรดพื้น หากก็ไม่อาจซ่อนเร้นเรือนกายสูงใหญ่ ผึ่งผายได้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งคาดด้วยผ้าปิดปากปิดจมูกสีเดียวกับตัวเสื้อ เห็นเพียงสันจมูกโด่งและดวงตายาวเรียวคมกล้าที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนดกหนา

                 เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยเข้าหาเครื่องมือสื่อสาร หากมือเรียวใหญ่ภายใต้ถุงมือสีเนื้อยังคงเคลื่อนไหวพลิกกวาดลำไส้ของคนป่วยบนเตียงผ่าตัดอย่างคล่องแคล่ว หูก็คอยฟังเสียงจากปลายสายอย่างตั้งอกตั้งใจ

                เพียงครู่เดียว คิ้วโก่งหนาสีดำเข้มก็ขมวดเข้าหากันจนเกือบจะผูกเป็นโบวได้
                "พยายามยื้อให้ถึงห้องฉุกเฉิน ไหวไหม?" น้ำเสียงที่ถามกลับไปแสดงความเคร่งเครียดชัดเจน

                "ยายกล้วยคิดทำแผลงอะไรอีกหรือครับพี่ฉัตร" หมอวิกรมผู้ช่วยผ่าตัดที่ยืนอยู่ข้างเตียงฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นถาม ทั้งที่เจ้าตัวก็หูผึ่งสนใจฟังตั้งแต่พยาบาลรายงานว่าเป็นสายหมอกล้วยแล้ว

                "เจาะคอในรถพยาบาล"

                "ฮ้า..." เสียงอุทานไม่ต่างจากคนในรถฉุกเฉินตอนหมอกล้วยบอก ต้องเจาะคอ

"พี่ฉัตรอย่าปล่อยยายกล้วยผ่าตัดเชียวนะครับ หมอสูติน่ะ เจาะคอเป็นที่ไหน ครั้งสุดท้ายที่ยายกล้วยหัดทำน่ะ สมัยเอ็กเทิร์นโน่น สี่ปีแล้วนะครับ ตอนนี้จะเหลืออะไร" หมอวิกรมพยายามทัดทานสุดกำลัง

"นี่นายกลม" เสียงหมอกล้วยดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์เผื่อแผ่ถึงหมอวิกรม หลังได้ยินหมอวิกรมแอบนินทา "อย่ามาพูดส่งเดชนะ คนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ช่วยแล้ว ยังมาแช่งอีก"

หมอวิกรมเลยหุบปากเงียบ ท่าทางกลัวหมอกล้วยไม่น้อยเหมือนกัน


การเจาะคอ คือการผ่าตัดเข้าหลอดลมผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อคอส่วนหน้าเพื่อเป็นทางลัดให้อากาศผ่านเข้าปอดโดยไม่ต้องผ่านทางเดินหายใจส่วนบน หากเป็นหมอผ่าตัดหรือหมอหู คอ จมูกทำ คงเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่นี่หมอกล้วยเป็นสูตินรีแพทย์ที่ชำนาญการผ่าตัด ล้วงๆควกๆระดับต่ำกว่าสะดือเท่านั้น จู่ๆจะเลื่อนชั้นปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาผ่าถึงคอหอย ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆสมชื่อแน่ และยิ่งมาทำในรถพยาบาลที่ไม่มีเครื่องมือพร้อมและยิ่งเป็นการทำฉุกเฉินแลวล่ะก็

                ต้องบอกว่า 'สยอง!' เลยล่ะ

                คนไข้ในรถแอมบูลานซ์คงต้องมีคนช่วยสวดมนต์ภาวนาให้แกมากๆหน่อยแล้วล่ะ

                เสียงปลายสายที่ดังลอดออกมาจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็พอเดาได้ว่าฝ่ายโน้นคงได้อธิบายสถานการณ์ที่จำเป็นสุดๆแล้ว

                 หมอฉัตรมงคลจึงพยักหน้าทำสัญญาณให้หมอรุ่นน้องทำผ่าตัดไปคนเดียว ส่วนตัวเองถอยออกมาจากบริเวณผ่าตัด ใช้สมาธิอธิบายขั้นตอนการเจาะและตำแหน่งการลงมีดสั้นๆแต่ให้ได้ใจความมากที่สุดว่า

                "ใจเย็นๆนะกล้วย ตั้งสติให้ดี ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด” โหมโรงด้วยการให้กำลังใจรุ่นน้องก่อน “แหงนให้เห็นคอชัดๆ ถ้าไม่มีปัญหากระดูกคอ  คลำตรงลูกกระเดือกก่อน ไล่ลงมาแนวขวาง เป็นกระดูกครัยคอยด์ เจอหรือยัง?"
                                                                                          
                  เว้นระยะ รอให้ปันนาทำตามขั้นตอนแรกให้เรียบร้อยก่อน เมื่อเสียงปันนาตอบกลับมา เขาก็บอกขั้นตอนต่อไป "ระหว่างลูกกระเดือกกับครัยคอยด์ ที่บุ๋มลงไปคือเมมเบรนครัยโคทัยรอยด์ ที่เราจะลงมีด กรีดแนวตั้งระหว่างกระดูกไทรอยด์กับครัยคอยด์ เอานิ้วแยกเนิ้อเยื่อข้างใต้ออกจนเห็นเยื่อครัยคอยด์ กรีดลงไปต่ำๆหน่อยไปทางกระดูกครัยคอยด์ ระวังเส้นเลือดที่วิ่งพาดด้านบน ยาวประมาณ เซนต์กว่า แล้วเอาด้ามมีดอีกด้านหมุน เก้าสิบองศา เปิดทางแล้วก็สอดท่อลงไป ถ้าเลือดออกก็ซับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตกใจ” 
                             
                เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายโน้น
                หมอฉัตรมงคลก็นิ่งรอ เพราะรู้ดีว่าภายในรถก็คงต้องการสมาธิในช่วงเวลาวิกฤตินี้ด้วยเช่นกัน
 
                หมอและพยาบาลในห้องผ่าตัดต่างช่วยกันลุ้น                                                                   
               
                แต่ในรถพยาบาลนี่สิ ทั้งลุ้น ทั้งเสียว ทั้งกลัว เพราะเห็นกันจะจะ เลือดพุ่งกระฉูด ตื่นเต้นจนหัวใจจะหยุดเสียเอง เหงื่อตก ยกมือปาดกันไปคนละห้าร้อยล้านหยด แต่ก็ยังอยากดู
 
                ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นกระทิง(แดง)ขวิด เอ๊ย เฉาะคอคนต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว

                ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ผ่านไป สี่สิบห้าวินาทีไม่ขาดไม่เกิน ปันนาก็เปิดรูที่คอหอยได้สำเร็จ
 
                แต่! ไม่มีเวลาดีใจ
                
               "หมอ! คนไข้แอเรสแล้ว" พยาบาลร้องด้วยความตกใจ

                หัวใจอวัยวะชี้เป็นชี้ตายหยุดทำงาน!

                ไม่มีเวลาตัดสินใจอีกต่อไป ขณะพยาบาลกำลังยืดตัวขึ้นเตรียมจะปั๊มหัวใจ ปันนาก็คว้าหลอดกลวงที่อยู่ใกล้มือที่สุดสอดพุ่งเข้าไปตามทางที่เปิดไว้ พร้อมกับก้มลงเป่าลมหายใจเข้าไป
 
                ‘ฟู่ ฟู่ ฟู่’
                คุณพ่อคุณแม่ขา ช่วยน้องกล้วยด้วย! 
                หมอก็แอบพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนะ

                ก็คุณพ่อ คุณแม่ขาของน้องกล้วยนั้นแอบตัดช่องน้อยหนีลูกสาวขึ้นไปคารวะเง็กเซียนฮ่องเต้เรียบร้อยแล้วทั้งคู่

                เหลือเชื่อ!

                ทรวงอกคนเจ็บเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ 
                ตัวเลขสัญญาณชีพ ระดับออกซิเจนที่แอบเร้นหนีหายไปเมื่อครู่ต่างเรียงแถวโผล่หน้าสลอนออกมาโชว์หน้าจอมอนิเตอร์ใหม่ การขยับของตัวเลขไม่ต่างจากดัชนีหุ้นที่ดิ่งลงเหวไปแล้วกลับพุ่งกระฉูดขึ้นมาเลยทีเดียว

                "เย้ เย้ สำเร็จแล้ว" ปันนาร้องตะโกนด้วยความดีใจ "พี่ฉัตร กล้วยทำสำเร็จแล้ว"
 
                แล้วหมอกับพยาบาลก็หันหน้าสามัคคีแปะมือกันอย่างตื่นเต้นดีใจสุดขีด ไม่ต่างจากคู่หนุ่มต่างวัยหน้ารถ เสียงแปะมือสี่คน สองคู่ดังประสานกันราวกับเสียงเพลงจากสวรรค์

                ในห้องผ่าตัด เสียงแผดแปดหลอดของปันนาผ่านลำโพงดังลอดเข้ามา ได้ยินกันถ้วนทั่ว ทุกคนปรบมือให้พร้อมเพรียงกัน
 
                มัวแต่ลุ้นจนลืมคนไข้ในห้องผ่าตัดของตัวเอง ปล่อยให้หมอวิกรมศัลยแพทย์มือ 2 ก้มหน้าก้มตามะงุมมะงาหราผ่าอยู่คนเดียว
 
                ฉัตรมงคลศัลยแพทย์ฝีมือขั้นเทพประจำโรงพยาบาลเพชรธานีถอดถุงมือออก ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก  หากใต้ผ้าปิดปากปิดจมูกกลับปรากฏรอยยิ้มอ่อนละมุนที่น้อยคนจะได้เห็น
 
                ถึงจะเครียดยิ่งกว่าตัวเองลงมือทำเป็นล้านเท่า หากก็ตื่นเต้นยินดีเมื่องานสำเร็จไม่น้อยไปกว่ากัน

                "ทำได้ดีมาก...กล้วย" รุ่นพี่แอบหยอดคำชม ก่อนจะถามว่า "ใครเตรียมเซทเจาะคอไปด้วย" เพราะรู้ดีว่าเครื่องมือเจาะคอไม่ได้อยู่ในรายการสิ่งของในรถฉุกเฉินทั่วไป

                "ไม่มีใครเอามา กล้วยประยุกต์เอาเอง" เสียงตอบอย่างภาคภูมิใจ หากประโยคต่อมา ทำเอาคนฟังเกือบล้มตึงทั้งยืน "ใช้เศษแก้วจากขวดกระทิงแดงแทนมีด แล้วก็ใช้หลอด...ดูดชานมไข่มุกแทนท่อเจาะคอ ดีนะที่ยังไม่ได้ทิ้ง เสียดายยังกินไม่หมด เลยเอาติดรถมาด้วย" 

                ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าผาก อยากจะเป็นลมสักร้อยตลบ แต่ก็ยังกลั้นใจถามต่อ "ญาติอยู่ในรถด้วยหรือเปล่า?" แล้วก็กลั้นหายใจรอคำตอบ

                "ยังไม่เจอญาติเลยค่ะ"

                ปันนาชำเลืองมองมือถือ ทำหน้างงๆ นึกสงสัยไม่เข้าใจว่าทำไมได้ยินเสียงเหมือนหมอฉัตรถอนหายใจโล่งอก

               

               
 





ตามฝันเมื่อวันวาร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ย. 2555, 06:46:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ย. 2555, 07:23:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1756





<< บทที่ 1 สูติแพทย์สาวใจเด็ด    ชัยชนะของมาเฟียหนุ่ม vs หมอกล้วย? บทที่ 3 >>
ตามฝันเมื่อวันวาร 26 พ.ย. 2555, 07:08:45 น.
ขอบคุณคอมเมนต์ของคุณ ปลาวาฬสีน้ำเงิน กับคุณ หมีสีชมพู
และเพื่อนๆที่ช่วยกด like และเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านทุกๆท่าน
ขอบคุณมากค่ะ
มีข้อตำหนิ ต้องการให้แก้ไข ก็ช่วยติติงแนะนำนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


nunoi 26 พ.ย. 2555, 11:50:32 น.
สุดยอดจริงๆ หมอกล้วย


หมีสีชมพู 27 พ.ย. 2555, 01:41:48 น.
หมอกล้วยเก่งจริงๆ ค่ะ


bigrabbit 27 พ.ย. 2555, 09:05:39 น.
หมอกล้วยกล้าจริงฯค่ะ


antibody 27 พ.ย. 2555, 14:13:15 น.
ชีวิตหมอนี่ลําบากจริงๆนะคะ


antibody 27 พ.ย. 2555, 14:14:17 น.
จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ เปนกําลังใจให้ค่ะ


juneo 27 พ.ย. 2555, 14:17:09 น.
เรื่องแนวแปลกดีนะค่ะ


ปริยาธร 27 พ.ย. 2555, 19:28:03 น.
สวัสดีค่ะ คุณmamahuhu แวะมาอ่านที่นี่อีกรอบค่ะ


notedevilbit 28 พ.ย. 2555, 16:36:15 น.
เพิ่งรู้ว่ากระทิงแดงก็มีประโยชน์นะเนี่ย มากกว่าดื่มชูกำลังซะอีก


idon 29 พ.ย. 2555, 18:27:00 น.
หมอปันนาน่ารักมากมากค่ะ ไม่น่าเชื่อจะจบแพทย์สูติแล้ว ส่วนใหญ่มักจะอายุประมาณเกือบ 30แล้วนะจ๊ะ


idon 29 พ.ย. 2555, 18:35:29 น.
เปิดตัวพระเอกได้เท่ห์มาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account