ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 4.1

บทที่ 4

เพียงออเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำลงที่สนามบินงูราราย เมืองเดนบาซ่า เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย หลังจากนั้นหญิงสาวก็เช็คอินเข้าที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ท่องเที่ยวเน้นที่ความประหยัด ใช้บริการซิตี้ทัวร์สี่วันเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพและเรื่องราวในเกาะบาหลี งานตามโจทย์ที่ได้ตั้งไว้เรียบร้อยแล้วเพียงออกก็ซื้อตั๋วรถตู้ ข้ามเรือเฟอรี่มายังเมืองสุราบายา เข้าที่พักและซื้อทัวร์เพื่อไปเที่ยวภูเขาไฟอิเจน และภูเขาไฟโบรโม่ เพียงออใช้เวลาที่สุบารายาสี่วันหลังจากนั้นหญิงสาวก็นั่งรถตู้ไปยังยอร์กจาการ์ต้าเพื่อเที่ยวชมพุทธสถานบุโรพุทโธ วัดปรัมบานัน ลาวาจากภูเขาไฟเมอราปีฯลฯ ที่นี่เพียงออเป็นไข้หวัดหญิงสาวใช้เวลาพักผ่อนถนอมร่างกายอยู่ที่โรงแรมหนึ่งวันเต็ม ๆ แม้จะยังไม่หายดีแต่เพียงออก็ต้องเดินทางโดยรถไฟไปยังเมืองจาร์กาต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อขึ้นเครื่องบินต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ตามแผนการที่ได้วางไว้...

ที่จาร์กาต้าเพียงออได้เช็คอีเมล์จากโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไวไฟของโรงแรมและหญิงสาวก็ต้องยิ้มกับข้อความจากวุฒินารท เพื่อนสนิทของพี่ชาย

‘ไอ้ตัวยุ่ง ตอนนี้อยู่ที่ไหน รู้ไหมว่า พี่ทั้งสองคนเป็นห่วงมาก กริ๊งกร๊างส่งเสียงกลับมาหาหน่อยซิ...คิดถึงกันมากแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วย มีปัญหาอะไรก็รีบโทรกลับมาเลยนะ...อย่าคะนองให้มากนัก อย่างไรแล้วเรามันก็เป็นผู้หญิง...แค่นี้แหละ ได้รับเมล์แล้วตอบกลับมาด้วยล่ะ...’

วุฒินารทนั้นเรียนจบทางด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ด้วยสรีระบวกกับหน้าตาทำให้เขาเข้าวงการได้ไม่ยาก แต่การสื่อสารโดยใช้ตัวอักษรของวุฒินารทยังจะต้องปรับปรุงอีกยกใหญ่

อ่านอีเมล์จากเพื่อนและหุ้นส่วนใหญ่ร้านอาหารของพี่ชายแล้ว เพียงออก็พิมพ์ข้อความตอบโต้อย่างคนที่ยังมึนยาแก้หวัดไปว่า

‘น้องผู้หญิงคนนี้สบายดีมีความสุขมาก ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ จะซื้อโสร่งไปฝากพี่ปุ้มกับพี่นารทคนละผืน...ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง...รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เห็นหน้ากันเมื่อไหร่แสดงว่าน้องถึงเมืองไทยเมื่อนั้น...ขอแสดงความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เพียงออ วัฒนธิยะ’


นั่งรถไฟออกมาจากสนามบินชางฮีของประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นสนามบินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพียงออก็แบกเป้ใบใหญ่เดินหาที่พักย่านไชนาทาวน์ ด้วยความอ่อนเพลียเพราะพิษไข้ หลังจากได้ที่พักแล้วเพียงออก็กินยาและหลับใหลไปอย่างยาวนาน...

ตื่นมาอีกที เพียงออคนเก่งก็อาบน้ำอุ่นแต่งตัวสะพายเป้ใบเล็กมีกล้องดิจิตอลตัวใหญ่กับสมุดบันทึกพาสปอร์ตและกระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรเครดิตบัตรเสริมที่พี่ชายทำไว้ให้ใช้ยามฉุกเฉิน เดินลงมาจากชั้นบนแล้วเพียงออก็พบกับหญิงชราชาวจีนในสิงคโปร์คนที่น่าจะเป็นเจ้าของเกสเฮ้าส์แห่งนี้ที่เพียงออได้เห็นก่อนจะเดินขึ้นห้องพัก

...นางนั่งอยู่กับหญิงชราอีกคนหนึ่ง ใบหน้าของทั้งคู่นั้นละม้ายกันจนเพียงออต้องร้องทักเป็นภาษาอังกฤษตามนิสัยของคนที่พร้อมจะเป็นมิตรกับคนทุก ๆ คนที่อยู่ในคลองจักษุ

“เป็นพี่น้องฝาแฝดกันหรือเปล่าคะ”

“เปล่าหรอกจ้ะ...หนูเป็นคนไทยหรือเปล่า” หญิงชราที่เพียงออเพิ่งเห็นหน้าร้องถามเป็นภาษาไทยสำเนียงแปล่ง ๆ หู แต่เมื่อรับรู้ว่าหญิงชราวัยเกินเจ็ดสิบปีแน่ ๆ พูดภาษาไทยได้ เพียงออก็รีบยกมือสวัสดีในทันที “พูดไทยได้ด้วยเหรอคะ”

“พูดได้นิดหน่อย...”

“ทำไมพูดไทยได้...”

“เคยมีเพื่อนเป็นคนไทย ไม่ซิ ตอนนี้ก็ยังมีเพื่อนเป็นคนไทยอยู่ แล้วก็ไปเมืองไทยบ่อย ๆ เจอคนไทยบ่อย ๆ ด้วย เลยไม่ลืมภาษาไทย"

พอหญิงชราเกริ่นนำแบบนี้ เพียงออจึงถือโอกาสซักไซ้ เพราะเรื่องราวแบบนี้นักอ่านชอบใจยิ่งนัก...และเพียงออก็ได้รู้ว่าหญิงชราสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน พี่สาวคนโตที่พูดภาษาไทยไม่ได้ชื่อ หลินซิ่วฮัว ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของเกสท์เฮ้าส์มีบ้านพักอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ส่วนคนน้องสาว ชื่อหลินซิ่วอิน ปกติแล้วพำนักอยู่ในเมืองปีนังประเทศมาเลเซียแต่ด้วยพี่สาวเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นโรคไขมันในเส้นเลือด หลินซิ่วอินจึงได้นั่งรถจากปีนังมาเยี่ยม

และที่เกาะปีนังในเมืองจอร์จทาวน์หลินซิ่วอินก็มีโรงแรมคล้ายเกสท์เฮ้าส์แบบนี้อยู่ด้วย แน่นอนว่าเพียงออต้องขอนามบัตรของหลินซิ่วอินติดกระเป๋าไว้เพราะอย่างไรทริปการเดินทางครั้งนี้ ออกจากสิงคโปร์แล้วเพียงออจะไปมาเลเซีย เริ่มต้นทริปในมาเลเซียที่เมือง มะละกา เมืองมรดกโลก จุดเริ่มต้นของความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้ แล้วก็ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของมาเลเซียที่มีตึกแฝดสูงติดอันดับโลกตั้งอยู่...

เพียงออจะปิดท้ายทริปอันยาวไกลนี้ที่เมืองปีนังหรืออดีตเกาะหมากของสยามประเทศ โดยเพียงออตั้งใจจะนั่งรถไฟจากเมืองบัตเตอร์เวอร์ธกลับประเทศไทย...
และที่ปีนังนั้นเพียงออก็หาได้เพียงเข้าพักที่ Green Inn Heritage Guesthouse บ้านหลังใหญ่เป็นมรดกตกทอดซึ่งตั้งอยู่ในซอยLove ซึ่งหลินซิ่วอินแปลงสภาพให้เป็นโรงแรมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการชื่นชมสถาปัตยกรรมจีนผสมยุโรป อาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่สำแดงออกมาอย่างไม่มีอาการบ่งบอกล่วงหน้า ทำให้พี่ชายของเพียงออที่อยู่เมืองไทยถึงกับวุ่นวายเลยทีเดียว...


หลังจากเสร็จงานถ่ายแบบประกอบเรื่องท่องเที่ยวลงนิตยสารผู้หญิงหัวหนึ่งของเมืองไทย ขวัญชีวีก็ ขอตัวทีมงานเข้าห้องพักของโรงแรมระดับห้าดาว เพราะรู้สึกปวดหัว เนื่องจากวันนี้ฝนตกทำให้การถ่ายทำนอกสถานที่ในภาคบ่ายเป็นไปอย่างทุลักทุเล ขวัญชีวีถูกละอองฝนประกอบกับการพักผ่อนไม่เพียงพอเพื่อเร่งปิดกล้องละครเรื่องลานลูกไม้ก่อนจะเดินทางมาทำงานที่ปีนัง ทำให้ขวัญชีวีรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว...หลังจากอาบน้ำอุ่น กินยาแก้ไข้แล้วขวัญชีวีก็ล้มตัวลงนอน...

แต่ด้วยไม่ได้ปิดโทรศัพท์มือถือไว้เหมือนตอนที่อยู่เมืองไทย ขวัญชีวีก็ต้องสะลึมสะลือมารับสายเมื่อเจ้าเครื่องมือสื่อสารแผดเสียงกลางดึก....และพอเห็นชื่อที่หน้าจอขวัญชีวีก็หวั่นใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี เพราะเวลาปกติปวุฒินั้นไม่เคยโทรหาหลังจากสองทุ่มไปแล้ว...นอกเสียจากวันที่เขาเมามายซึ่งนาน ๆ จะมีสักครั้ง...

“มีอะไรหรือคะพี่ปุ้ม...” ขวัญชีวีถดตัวลุกนั่งเมื่อกดรับสายแล้ว

“พี่ไม่ได้รบกวนขวัญนะ” น้ำเสียงของเขาเป็นปกติดี

“คุยได้ค่ะ...”

“เพียงออ เข้าโรงพยาบาลน่ะ...ตอนนี้เพียงอออยู่ปีนัง เพียงออกำลังจะเข้าผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบโดยด่วน ตอนนี้ขวัญอยู่ปีนัง พี่ก็เลยอยากรบกวนให้ขวัญไปดูแลเพียงออหน่อยจะได้ไหม”

“ได้ค่ะได้..” ฟังน้ำเสียงร้อนรนของเขาไม่ทันจบขวัญชีวีก็รีบรับปากทันที แต่เมื่อออกปากไปแล้ว แต่ขวัญชีวีนั้นก็หวั่นใจว่าเธอจะเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองนี้อย่างไร จะไปปลุกทีมงานให้ไปด้วยกันขวัญชีวีก็รู้สึกเกรงใจ และใช่ว่าเธอไม่เคยเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ การพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเป็นการแก้ปัญหาที่ขวัญชีวีหาทางออกได้

หลังจากที่ได้ชื่อโรงพยาบาลมาแล้ว ขวัญชีวีก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ปวุฒิกำลังหาตั๋วเครื่องบินเพื่อจะบินมาดูอาการของน้องสาวคนเดียวของเขาในวันพรุ่งนี้

ขวัญชีวีลงไปที่ล็อบบี้ แรกทีเดียวหญิงสาวจะพึ่งพารถของโรงแรมแต่พอดีที่หน้าโรงแรมมีรถแท็กซี่แวะมาส่งผู้โดยสาร ขวัญชีจึงเปลี่ยนใจไปใช้บริการเพราะคิดว่าสะดวกกว่า...


เป็นอีกครั้งที่ขวัญชีวีต้องแปลกใจ เพราะคนที่นั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดนั้นเป็นเขาคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่ มิสเตอร์มาร์ค เพื่อนของวิศรุต เขาเองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นขวัญชีวีเดินหน้าตาตื่นเข้ามา

“คุณมาร์ค” ขวัญชีวีเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คุณขวัญ...คุณมาที่นี่ได้อย่างไรครับ” เขาลุกขึ้นจากม้านั่งและกระตือรือร้นเดินเข้ามาหาหญิงสาว...การที่ได้เห็นกันที่เมืองไทยถึงสองครั้ง และการที่บังเอิญพบกันอย่างไม่คาดฝันไว้ในปีนัง ทำให้เขารู้สึกว่าเขากำลังเป็นเจ้าบ้านที่ต้องต้อนรับหญิงสาวให้ดีที่สุด...

“น้องสาวฉัน เขาเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ ฉันมาดูค่ะ”

“แล้วคุณมาที่นี่ได้อย่างไร”

“พอดีฉันมาทำงาน มาถ่ายแบบ คุณละคะ มานั่งรอใคร ใครเป็นอะไร” มีคำถามอีกหลายประโยคอยู่ในใจของขวัญชีวี นี่เขาไม่ใช่คนฮ่องกงหรอกหรือ เขาเป็นคนปีนังหรอกหรือ เขามานั่งรอใคร..มองจากเสื้อผ้าของเขาในวันนี้ ขวัญชีวีก็รู้สึกว่า เขารีบร้อนมาโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก เขาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เสื้อยืดสีดำเก่าซีด แต่ถึงกระนั้นด้วยสรีระสมส่วนของเขา เสื้อผ้าพวกนั้นจึงไม่ทำให้เขาดูแย่ลง เพียงแต่วันนี้ผมของเขาดูไม่ชื้นน้ำมันหรือเจลใส่ผมเหมือนที่เคยเห็นเขาสองครั้ง

...ส่วนเธอเองนั้น เขาก็คงเห็นว่าเธอไม่ได้สวยสดเหมือนวันที่เจอในงานวันเกิด และในห้างสรรพสินค้าเช่นกัน เพราะเธอเพิ่งตื่นตอน จึงไม่ได้แต่งหน้า และเสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นก็เป็นเพียงกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดตัวหลวม ๆ ที่ยับย่นเช่นกัน...

“ผมพาน้องคนไทย แขกของโรงแรมมารักษาตัว..ไม่ทราบว่าคนเดียวกันหรือเปล่านะ”

“เพียงออหรือเปล่าคะ”

“น่าจะใช่มั้งครับ”

ขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังเดินคุยกัน คุณยายหลินซิ่วอินที่เดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับเจ้าหน้าที่โรงแรมซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ก็เดินกลับมาเข้ามาพอดี...

“ใครมาหรืออาหมิง” หลินซิ่วอินร้องถามหลานชายเป็นภาษาจีน...แต่ด้วยรู้ว่าย่าเล็กรู้ภาษาไทยเขาจึงตอบไปเป็นภาษาไทยเพื่อให้ขวัญชีวีเข้าใจไปด้วย
“คุณขวัญชีวีครับคุณย่า คุณขวัญชีวีครับ นี่คุณย่าของผม ย่าหลินซิ่วอิน”

และพอได้ยินชื่อขวัญชีวีกับรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนธรรมดาทั่วไป หลินซิ่วอินที่รู้ว่าหลานของแน่งน้อยเป็นดาราดังอยู่เมืองไทยก็ร้องถามเป็นภาษาไทยด้วยสำเสียงแปร่ง ๆ หูไปว่า

“ใช่ ขวัญชีวี วัชระประสิทธิ์หรือเปล่า”

ขวัญชีวีที่ยกมือไหว้ผู้สูงวัยพยักหน้าก่อนจะตอบว่า “ใช่ค่ะ”

“หลานของแน่งน้อยใช่หรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ”

“ไอหยา พระเจ้าช่วย เรื่องจริง ๆ หรือนี่” หลินซิวอินแสดงอาการดีใจเป็นอย่างมากออกมา



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2555, 18:03:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ธ.ค. 2555, 18:03:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1974





<< 3.   4.2 >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 9 ธ.ค. 2555, 18:11:07 น.
ขอบคุณที่ช่วยรักษาความสงบ...จุ๊บ ๆ


Zephyr 9 ธ.ค. 2555, 19:16:40 น.
เจอกันๆๆๆๆๆ


nateetip 10 ธ.ค. 2555, 09:13:12 น.
โอ๋...โอ๋..มันยังไม่มีอะไรให้เมนท์น่ะค่ะ เพิ่งเริ่ม ไปอีกสักนิด เดี๋ยวเมนท์จะมากันตรึม..^.^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account