พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1


"ขอประกาศและชี้แจงเพื่อทราบ"
(เพิ่งมาเห็นว่าที่เขียนแจ้งไว้ตอนแรกหายไปค่ะ ไม่รู้ว่าไปเผลอลบท่าไหนเข้า ขอโทษคร๊าาาา)

(1) เปลี่ยนพล็อตนิยายกะทันหันค่ะ เพราะว่าของเก่าเขียนแล้วไม่สนุกเลย ก็เลยกลายพันธุ์จากนวนิยายกึ่งวรรณคดีไทยหวานๆ อ่านง่ายๆ มาเป็นนวนิยายกึ่งวรรณคดีไทยสไตล์ไหน คงต้องติดตามกันนะคะ

(2) เปลี่ยนชื่อเรื่องให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ค่ะ

ดังนั้นหลังจากนี้จะอัพในชื่อเรื่อง "พักตร์อสูร" นะคะ


ด้วยรักและเคารพค่ะ / สุชาคริยา


- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -





ขนบนร่างกายลุกชันเมื่อเสียง ‘ปัง!’ ถึงสองครั้งดังให้ได้ยินจากด้านหลัง ความเจ็บปวด จุก จนหายใจไม่ออก แล่นตามมา เพชรน้ำค้างไม่อยากคิดว่าตัวเองต้องมาอายุสั้นในวัยเพียงยี่สิบเจ็ดปีเท่านี้เองหรือ นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่มีวี่แววเจ็บไข้ได้ป่วย แถมยังแข็งแรงดีจนถึงขั้นวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออาแปะกวง ชายชราข้างบ้านวัยเจ็ดสิบห้าจากการถูกโจรปล้นอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ ความหนาวเหน็บ หวาดหวั่น กำลังเข้าเกาะกุมหัวใจ เกาะกุมความรู้สึกอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกยิง

เธอยังไม่อยากตาย ความตั้งใจจะเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดีที่สุดยังไม่ได้เริ่มเป็นชิ้นเป็นอัน ที่สำคัญคือขาดเธอไปแล้วใครจะดูแลท่านเมื่อเป็นลูกสาวคนเดียว จนมีเสียงจากส่วนลึกพร่ำบอกเพียง “ขอพระพุทธองค์ได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย ขอให้ลูกปลอดภัย” ก่อนสติสัมปชัญญะทั้งหลายทั้งปวงจะดับลง


สิบห้านาทีก่อน

“เว้ยๆ! ช่วยล่วยๆ!”

“อืม... ใครมาช่วยล่วยๆ ตอนนี้กันเนี่ยยย”

เพชรน้ำค้างบ่นพึมพำ รีบเอาสองมือปิดหู เพราะหลังจากกลับมาถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากงานเมื่อราวๆ หนึ่งทุ่ม เธอก็ทานอาหารแล้วรีบขึ้นมานอนหลับเป็นตาย

“ช่วย....”

เสียงเบาแสนเบาดังมาอีกครั้ง

“เออ... รู้แล้ว”

เพชรน้ำค้างส่งเสียงตอบกลับอย่างรำคาญ แล้วคว้านาฬิกามาดู

“ตีสี่ สี่สิบ จะให้มาช่วยอะไรกันตอนนี้กันล่ะเนี่ย”

แต่พอสติมาครบถ้วน เธอจึงระลึกได้ว่า

‘นั่นมันเสียงอาแปะนี่’

เพชรน้ำค้างรีบลุกไปที่หน้าต่าง แหวกผ้าม่านออกนิดๆ

“ตายแล้ว”

เธอวิ่งไปห้องนอนของพ่อกับแม่ในทันใด เคาะประตูไม้สักบานสวยรัวยิ่งกว่าปืนกล

“อะไรลูก”

“ขโมยขึ้นบ้านแปะค่ะแม่”

“หา!”

สองเสียงประสานดังมา อาการงัวเงียของนายไกรกับนางสร้อย บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเพชรน้ำค้างหายเป็นปลิดทิ้ง

“หนูเห็นไอ้โม่งมันเดินไปเดินมาตรงห้องแปะค่ะ” พร้อมกับพยักหน้าเป็นการยืนยัน

“แน่ใจแล้วเหรอลูก ไม่ใช่ละเมอนะ”

นายไกร ทหารวัยเกษียณอายุราชการพูด รีบเดินไปชะเง้อมองผ่านประตูห้องที่ลูกสาวเปิดทิ้งไว้ แล้วก็เห็นว่ามีคนร้ายสวมหมวกไหมพรมสีดำคนหนึ่งจริงๆ

“ฉิบหายแล้ว”

คำผรุสวาทเผลอหลุดออกมาเมื่อเห็นบางอย่างชัดเจนจากจุดที่ยืนอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าคนร้ายมันโง่หรือฉลาดที่ดันเปิดไฟแล้วไม่ปิดผ้าม่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ชายวัยหกสิบเอ็ดปีคนนี้รู้ก็คือ คนทางฟากนู้นคงไม่เห็นว่าทางนี้มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างแล้ว

เพชรน้ำค้างวิ่งไปเปิดไฟทั่วชั้นและวิ่งลงไปข้างล่าง

“น้ำค้างจะไปไหน” พ่อของเธอพูด

“พ่อโทรเรียกตำรวจก่อนนะคะ”

จบคำ ไฟเกือบทุกดวงในบ้านและหน้าบ้านก็สว่างขึ้นทันที เสียงตะโกน “ขโมยๆ!” ดังลั่น

นายไกรกับนางสร้อยก็ตะโกนเสียงดังเพื่อช่วยลูกสาวว่า “ขโมยๆ! ขโมยขึ้นบ้านแปะกวง” ไม่หยุด ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะความตกใจ

เพชรน้ำค้างคว้าไม้เบสบอลของฝากจากเพื่อนมาไว้ในมือ วิ่งเท้าเปล่าไปยังประตูเหล็กที่กั้นระหว่างบ้านตนเองกับชายชราอย่างคล่องแคล่ว ดีที่ประตูนี้ไม่เคยลงกลอนตลอดเวลา

เธอเดินลัดเลาะเข้าไปอย่างเงียบกริบ สายตามองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง และเมื่อไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด เพชรน้ำค้างก็รีบเดินเข้าไปทางประตูครัว เพราะรู้ว่าแปะกวงจะไม่ล็อกประตูบานนี้เวลาพระใกล้บิณฑบาต มือรีบคว้ามีดแล้วพันผ้า เหน็บเอาไว้ด้านหลัง ไฟทุกดวงด้านล่างถูกเปิดสว่างอย่างรวดเร็ว เพราะบ้านหลังนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเธอ ซึ่งไม่ยากเกินกับการจะรู้ว่าของสิ่งไหนอยู่ตรงที่ใด

หัวใจของเพชรน้ำค้างเต้นแรง แต่ก็ควบคุมได้ ทุกสิ่งที่กำลังจะเผชิญล้วนอยู่ภายใต้อารมณ์นิ่งสงบ เธอลัดเลาะเข้าไปยังห้องหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว ปีนระเบียงเพื่อไปยังจุดหมายซึ่งก็คือห้องนอนของแปะกวงด้วยความคล่องแคล่วเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ

ใบหน้าสวยจัดไร้เครื่องประทินค่อยๆ ชะโงกให้สายตาพอได้เห็นความเคลื่อนไหวข้างในนั้นและก้มลงต่ำทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ สมองรีบประมวลผล

เพชรน้ำค้างรู้ว่ามีคนร้ายสองคน ท่าทางกระสับกระส่าย คงเป็นเพราะเสียงจากพ่อกับแม่ของเธอที่ยังดังไม่หยุด พวกมันสวมหมวกไหมพรมสีดำทั้งคู่ ไม่สวมถุงมือ หนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ ไอ้คนตัวผอมกะหร่องเหมือนคนติดยาน่าจะเป็นลูกน้อง ป้ากิมฮวย แม่บ้านของอาแปะกวงถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก นอนแน่นิ่งไม่ห่างไปจากที่แปะกวงนั่งนัก ที่ขมับซ้ายของอาแปะมีเลือดไหลเป็นทาง มุมปากช้ำเป็นจ้ำ มีคราบเลือดติดอยู่

‘ไอ้เลว’

เธอนึกด่าในใจ พลางก็มองหาทางหนีทีไล่ มองไปทางบ้านของตัวเองและบริเวณหน้าบ้านของอาแปะ

‘ตำรวจไทย ทำงานให้ไวกว่านี้ไม่ได้เลยหรือไงกัน’

และแล้ว ขาของเธอก็ก้าวออกไปเมื่อสบจังหวะ ไม้เบสบอลเนื้อดีฟาดเข้าที่ท้ายทอยของโจรลูกน้องอย่างจัง และเงื้อง่าขึ้นอีกครั้ง ฟาดเข้าที่กกหูของโจรลูกพี่แบบติดๆ ชนิดเต็มแรงเมื่อมันหันมาแบบไม่พลาดเป้า

ร่างกายใหญ่โตของมันซวนเซ เพชรน้ำค้างเข้าไปซ้ำทันที ไม่กลัวรูปร่างของมันสักนิด จังหวะนี้โจรก็เอาแขนบังไว้ ใช้มืออีกข้างจับไม้เบสบอลแน่น ดวงตาจ้องเขม็ง เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักหมวกไหมพรมในเวลาไม่กี่วินาที แต่มีหรือที่เพชรน้ำค้างจะกลัว สัญชาตญาณสั่งให้รีบยกเท้าถีบเข้าไปที่หว่างขาของมันอย่างสุดแรงเกิด แล้วกระชากไม้เบสบอลกลับ ความแน่วแน่ที่จะจัดการคนร้ายเพื่อช่วยเหลือแปะกวงมีอยู่ท่วมท้นหัวใจ ฟาดซ้ำลงไปที่ต้นแขนมันอีกครั้งอย่างเต็มกำลัง ไม่รอช้าที่จะซ้ำไม้ลงไปที่สีข้าง ซ้ำให้หนักอีกครั้งที่กลางหลัง ซ้ำลงไปที่เดิมอีกครั้ง ซ้ำอีกครั้งที่หัว จนไอ้หัวหน้าโจรล้มตัวลงบนพื้น นอนงอตัวเหมือนกุ้ง ส่วนไอ้โจรลูกน้องก็คว่ำหน้าสลบเหมือดตั้งแต่โดนไม้ครั้งแรก

‘มันใช้อาวุธอะไรบ้าง’

ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่จะอย่างไรนั้นอีกฝ่ายก็นอนขดอยู่กับพื้นเรียบร้อย

เพชรน้ำค้างเข้าไปหาแปะกวงทันที คว้ามีดที่เหน็บไว้จากด้านหลังมาตัดเชือกตรงข้อมือข้อเท้าของอาแปะอย่างเร็วไว ประคับประคองกึ่งพยุงผู้เฒ่าที่ตัวสั่นเทาให้ลุกขึ้น มุ่งตรงไปประตูห้อง ส่วนป้ากิมฮวยคงต้องทิ้งไว้ก่อนเพราะยังสลบอยู่ และเธอสามารถช่วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ แถมยังเป็นเป้าหมายที่โจรมันต้องการ

ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาที

“อยู่ตรงนี้ค่ะคุณตำรวจ”

นั่นคือเสียงของเธอที่ตะโกนออกไป เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแสงสีแดงวับแวมให้รู้พร้อมกับเสียงฝีเท้าไม่รู้จำนวนคู่ดังมา

เธอรีบดันอาแปะกวงออกไปจากห้องก่อน ขณะเดียวกันก็เห็นผู้ชายสามคนในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพชรน้ำค้างถอนหายใจ

ปัง! ความเจ็บแปลบตรงหัวไหล่แล่นให้รู้สึกทันที

ปัง! ความจุกจนชาบนแผ่นหลังด้านซ้ายทำให้หายใจติดขัด

“น้ำค้างงงง!”

นั่นคือเสียงของพ่อ แม่ และอาแปะที่ดังขึ้นพร้อมกัน สีหน้าของทั้งสามตระหนกตกใจอย่างสุดขีด

ภาพที่พ่อกับแม่กำลังวิ่งเข้ามาหาไม่ต่างจากภาพเคลื่อนไหวช้าแสนช้าเช่นเดียวกับเสียงร้องเรียก สีหน้าของท่านดูบิดเบี้ยวเจ็บปวด แสนหดหู่จับใจ เสียงที่ได้ยินก็โหยหวนชวนให้ขนลุกอย่างไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

เธออยากบอกพ่อกับแม่เหลือเกิน... ว่ารักท่านทั้งสองมากขนาดไหน รักแปะกวง ชายชราที่เคยช่วยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กมากขนาดไหน ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าขอได้โปรดช่วยคุ้มครองให้เธอปลอดภัยด้วยเถิด ขอให้เธอได้อยู่เลี้ยงดูพ่อแม่ก่อนเถิด

“ขอพระพุทธองค์ได้โปรดคุ้มครองลูกด้วย ขอให้ลูกปลอดภัย”

แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ ดับลง เช่นเดียวกับม่านเวทีของโรงอุปรากร

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ความดำมืดค่อยๆ สลายเมื่อเพชรน้ำค้างลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเธอล้วนจำได้ดีจนน่าตกใจ เธอเบิกตาโพลง แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือรอบกายขาวสว่างไปหมด ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่ที่บ้าน เธอไม่รู้ว่าคือที่ไหน รู้แต่มีแสงสีขาวนวลไม่บาดตาและลานโล่งกว้างแห่งนี้เท่านั้น เป็นความขาวสว่างที่เธอยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นี่เธออยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นนุ่มๆ เหมือนเตียงนอนราคาแพง เธอผงกหัวมองดูตัวเองก็เห็นว่ายังอยู่ในชุดนอนตัวเดิม

เพชรน้ำค้างมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า สั่งกำชับว่าต้องมีสติ และสติที่มี ทำให้ไม่หวาดกลัวเกินไปนักเมื่ออยู่ในสถานที่แปลกตา ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ยิ่งเพ่งมองก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร มีแต่คำถามในหัวของตัวเองว่าเธอตายแล้วหรือ หรือกำลังฝัน แต่จะอย่างไรนั้น สิ่งเดียวที่รู้ก็คือรอบกายไม่มีอะไรสักอย่าง มันโล่งไปหมด โล่งสุดลูกหูลูกตา สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่เคยเห็นจากไหนแม้แต่ในหนังและละครที่เคยดู หากนี่จะเป็นความฝัน มันจะใช่จริงหรือ เธอสามารถไตร่ตรองได้เหมือนกับไม่ได้ฝันขนาดนี้เลยหรือ

เพชรน้ำค้างค่อยๆ ลุกนั่ง อากาศรอบด้านเย็นสบาย เธอยื่นมือออกไปกวัดแกว่ง ทุกอย่างโล่งไปหมดจริงๆ

“แกคงฝันไปแน่ๆ เลยว่ะน้ำค้าง”

เสียงนี้ไม่เบาเลยสักนิด

เพชรน้ำค้างค่อยๆ ยืนขึ้นพร้อมกับความสับสน มึนงง แปลกใจ โดยเฉพาะความรู้สึกเจ็บจนจุกจากกระสุนปืนก่อนหน้านี้ไม่มีเลย เธอพยายามเอี้ยวตัวเพื่อมองหาแผลที่หลัง ส่วนมือก็พยายามคลำ แต่ก็ไม่มี

“ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ”

เสียงของเธอเบาหวิว หัวใจกระตุกวูบ แต่ก็ไม่ได้โวยวาย แหงนมองด้านบนและมองไปรอบตัวอีกครั้ง

‘ถ้าหากตายแล้วจริงๆ ที่นี่คือสวรรค์หรือนรกล่ะ มันคือที่ไหนกันแน่ อยู่ตรงไหนของสถานที่ที่เคยเรียนรู้ เพราะถ้าหากตายแล้ว ทำไมที่นี่ไม่มีอะไรบ่งบอกเลย ไม่มีต้นไม้ ไม่มียมบาล ไม่มีนางฟ้าเลย’

เพชรน้ำค้างสับสนไปหมด แต่ตามลักษณะนิสัย เธอไม่รอเพียงแค่ตั้งคำถามกับตัวเอง เพราะเท้าเริ่มก้าวเดินไปบนพื้นผิวนุ่มๆ นี้

‘ต้องไม่ตายนะ จะตายไม่ได้ พ่อกับแม่ล่ะ ถ้าเป็นอะไรไป พ่อกับแม่จำทำยังไง ต้องตื่นให้เร็วที่สุดนะน้ำค้าง ต้องรีบตื่น’

เธอพยายามบอกตัวเอง และรู้เพียงว่าต้องกลับไปแก้ไข แม้ในส่วนลึกของหัวใจก็มีเสียงบอกว่า ‘อาจต้องยอมรับชะตากรรม’ โดยสิ่งที่อยู่ในหัวไม่ได้สัมพันธ์กับเท้าเลย เพชรน้ำค้างยังคงเดิน เดิน และเดิน ทว่ายิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ เธอก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเองกับที่โล่งๆ แห่งนี้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากแสงสีขาวนวลตาเท่านั้น

เพชรน้ำค้างรู้ตัวดีว่าเดินอยู่นาน นานจนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติเพราะไม่รู้สึกเหนื่อย

เธอหยุด ถามตัวเองอีกครั้งว่าต่อจากนี้ไปควรจะทำอย่างไร การฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็กทำให้เพชรน้ำค้างตัดสินใจนั่งลง ขยับขาให้อยู่ในท่าขัดสมาธิคือเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วโป้งมือซ้ายอย่างที่เคยนั่งมา บริกรรมใจว่า ‘สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง’ ตลอดไปแบบนั้น กระทั่งใจหยุดนิ่งดีแล้ว ทุกอย่างก็วูบดิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

สายลมเย็นพัดแผ่ว กลิ่นหอมบริสุทธิ์เช่นเมื่ออยู่กลางป่าเขาโชยแตะจมูก แต่คงไม่เรียกสติได้ดีและสั่งให้ลืมตาได้เร็วเท่ากับแสงแดดส่องกระทบหน้าจนต้องกะพริบตาถี่

มือสากไม่คุ้นเคยลูบไล้บนใบหน้าของเธอ เพชรน้ำค้างเบือนหน้าหลบ พยามเพ่งมองเมื่อลืมตาได้ แต่ทุกอย่างยังคงพร่ามัว จึงพยายามลุกนั่ง แต่จู่ๆ ก็มีคนกอดและอุ้มเธอขึ้นมา เพชรน้ำค้างดิ้นหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนและสู้แรงของอีกฝ่ายได้ เพชรน้ำค้างหยุดนิ่ง เพราะสู้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะ เพ่งมองจนเห็นใบหน้าเจ้าของวงแขนได้ชัดเจน เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาคมคายไม่น้อย อายุน่าจะประมาณยี่สิบปี ผิวขาวละเอียดลอออมชมพู มีใบหน้าใหญ่มาก ตัวใหญ่เหลือเกิน เมื่อมองเลยออกไปก็ เพชรน้ำค้างก็เห็นผู้คน สถานที่ตรงหน้าไม่ใช่ลานโล่งเหมือนก่อนนี้อีกแล้ว ทว่าสิ่งที่เห็นทำให้เธอต้องหลับตาลงแรงๆ ซ้ำๆ เพราะไม่สามารถขยี้ตาได้

สิ่งที่ทำให้ตกใจมากก็เพราะทุกอย่างที่เห็นมันดูใหญ่โตไปหมดแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ ผู้คนที่เห็นตอนนี้ตัวใหญ่มากเหลือเกิน น่าจะสูงกว่าเธอเกือบสามถึงสี่เท่าตัวได้ หญิงชายแต่งกายคล้ายผู้คนในละครพื้นบ้านของไทย พวกเขากำลังวุ่นวายบนเรือนชานบ้านทรงไทยที่น่าจะทำมาจากไม้สักหรือไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่ง พวกผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยว บ้างก็ใส่ผ้านุ่งคล้ายโสร่ง ผมมุ่นมวย ส่วนผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่มีผ้าแถบพันอกไว้ บ้างก็เปลือยอกล่อนจ้อน ภาษาพูดนั้นก็ไม่ใช่ภาษาไทย เธอไม่เคยได้ยินภาษานี้จากที่ไหนมาก่อน แต่กลับเข้าใจได้ดีระดับหนึ่ง

เพชรน้ำค้างนิ่งฟัง

ความสงสัยประดังเข้ามา เธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดภาษาไทย ไม่ได้พูดภาษาเขมร ไม่ได้พูดภาษาพม่า ไม่ใช่ภาษามาลายู ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นใดที่เคยรู้จัก

‘คราวนี้มันจะใช่ฝันเหรอน้ำค้าง’

เธอนึกถามตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันคือความฝันใช่ไหม เธอกำลังฝันใช่ไหม ที่เห็นนี่ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม เพชรน้ำค้างมองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น รู้เพียงอย่างเดียวว่าหัวใจเธอเต้นรัว ผู้ชายคนที่อุ้มเธอกำลังเรียกหาใครบางคน แต่ที่ทำให้งุนงงที่สุดก็เพราะเขาเรียกตัวเองว่า ‘พ่อ’

เพชรน้ำค้างมองเขา และเขาก็มองเธอ มองอย่างรักและเอ็นดู เขาจะมาเป็นพ่อของเธอได้อย่างไร เพราะดูหน้าตาแล้วไม่น่าจะเกินยี่สิบด้วยซ้ำ

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน’

แม้ยังสับสนกับสิ่งที่ได้เห็น ได้ฟัง และกำลังรู้สึก แต่เพชรน้ำค้างก็พยายามทำใจให้เย็นไว้ก่อน ค่อยๆ มองไปรอบด้าน สมองที่สับสนพยายามถามว่าจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ เธอตายแล้ว หรือยังไม่ตาย ถูกยิง หรือเป็นลมในกองถ่ายละครที่กำลังทำงานอยู่ ก่อนจะรู้สึกวูบเมื่อหญิงสาวอีกคนมารับเธอเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหอมแก้มเบาๆ แววตาแสดงความรักและเอ็นดูของหญิงสาวคนนี้ที่กำลังมองมายิ่งทำให้สับสนงุนงงเพิ่มทวีคูณ เมื่อในส่วนลึกกำลังให้ข้อมูลว่าหล่อนคือ ‘แม่’

ไม่ใช่!

แม่ของเธอไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ไม่ได้อายุเท่านี้ ไม่ไว้ผมยาวถึงกลางหลังแบบนี้ ไม่ได้แต่งตัวห่มสไบใส่ผ้าถุงลายสวยๆ แบบนี้ แล้วพ่อของเธอก็ไม่ได้มีหน้าตาหรือเคยแต่งตัวแบบผู้ชายคนข้างๆ นี่ด้วย พ่อไกรของเธอมีแต่นุ่งผ้าขาวม้า แต่ไม่เคยนุ่งโสร่งเลยสักครั้ง แล้วผมของพ่อเธอก็เกรียนติดหนังศีรษะตลอดเพราะเป็นทหาร ไม่เคยไว้ยาว นี่เธอรู้สึกและมีความคิดว่าสองคนนี้เป็นพ่อกับแม่ไปได้อย่างไร ที่นี่คงไม่ใช่กองถ่ายละครจักรๆ วงศ์ๆ อย่างที่คิดไว้ในคราวแรกเสียแล้ว

และเพชรน้ำค้างรีบสำรวจร่างกายของตัวเองทันที

‘ชิปไปแล้ว!’

อุทานในใจแค่นั้นก็ได้แต่ตะลึงงัน กับหน้าอกที่เคยมีมันก็ไม่มี มือเล็กๆ ที่เห็นตรงหน้า เพชรน้ำค้างพยายามมองว่าเป็นมือของใคร แต่เมื่อเธอโบกมือไปมา พลิกหน้าพลิกหลัง และมือนี้ก็ทำงานอย่างใจสั่ง เพชรน้ำค้างก็ต้องตกใจมากกว่าเดิม เพราะจากความรู้สึก มันไม่ใช่มือของคนอื่น แต่มันเป็นมือของเธอเอง!

เพชรน้ำค้างรีบไล่สายตาตั้งแต่ปลายเท้า ไล่เรื่อยจนถึงหน้าอกนี้ซ้ำอีกครั้ง

‘ผีหลอก!’

รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงและแทบลมจับ เมื่อสำรวจแล้วเห็นเพียงจับปิ้งชิ้นเดียวที่ติดร่างกายเพื่อปิดบังอวัยวะเพศ

“อะไรกันเนี่ย”

และนั่น! นั่นใช่เสียงของเธอเองหรือ ทำไมมันเล็กเหมือนเสียงเด็กๆ แบบนี้ล่ะ เป็นไปไม่ได้

“ฮัลโหลๆ เทสๆ ห้าโหลหกสิบ”

ไม่ใช่เรื่องตลกเสียแล้ว เพชรน้ำค้างได้แต่มองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น ทบทวนความทรงจำทั้งหมดก่อนจะมาอยู่ตรงนี้ว่า เธอชื่อเพชรน้ำค้าง ลูกพ่อไกรกับแม่สร้อย เป็นคนไทย เกิดที่ประเทศไทย อาชีพของเธอคือช่างแต่งหน้าและแต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ในกองถ่ายละคร และงานล่าสุดคือกองถ่ายละครพีเรียดกึ่งจักรๆ วงศ์ๆ สถานที่ถ่ายทำคือประเทศไทย ไม่ได้มีถ่ายทำที่ประเทศอื่น

ที่สำคัญ... เธออายุยี่สิบเจ็ดปี ไม่ใช่เด็กผู้หญิงอายุประมาณสามขวบเช่นในตอนนี้

‘สงสัยจะฝันซ้อนฝัน หรือไม่ก็คงเป็นลมในกองถ่ายฯ หรือไม่ก็คงเผลอหลับ ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะไปว่าถูกยิง แล้วไปเจอลานขาวๆ แถมตอนนี้ยังฝันพิลึกกึกกืออีก’

นั่นก็เพราะสิ่งที่เห็นช่างแปลกประหลาดมากที่สุด จนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ที่ไหนกันแน่

“ที่นี่ที่ไหนคะ” เพชรน้ำค้างถามด้วยภาษาไทย

หญิงสาวใบหน้าหวานซึ้งที่กำลังอุ้มเธอยิ้มกว้างทันที หล่อนหันไปมองผู้ชายคนข้างๆ และกำลังยิ้มดีใจเช่นกัน

เพชรน้ำค้างเดาว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คงมีอายุราวๆ สิบเจ็ด ไม่เกินสิบแปด แต่เธอไม่เข้าใจ ว่าทำไมความรู้สึกลึกๆ หรือข้อมูลบางอย่างในหัวถึงบอกให้รู้ว่าสาวน้อยคนนี้คือ ‘แม่’ ไปได้ นี่สมองของเธอถูกทำอะไรกันเนี่ย

“ลูกเอ๋ย ลูกพูดอะไรหรือ แม่ฟังเจ้าไม่เข้าใจเลย แต่แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าพูดได้แล้ว”

“ตยาวดี น้องเจ้า ลูกเราพูดได้แล้ว คงหมดเคราะห์หมดโศกกันจริงๆ”

เอาล่ะสิ ตอนนี้เธอมั่นใจเลยล่ะว่าฟังภาษาของที่นี่รู้เรื่องแน่นอน และระหว่างที่กำลังมึนงง ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มคนที่เห็นก็ลูบบนศีรษะเธอ เพชรน้ำค้างเบี่ยงตัวออกมานิดหนึ่งเพราะไม่คุ้น เขาแสดงสีหน้าสงสัย เธอจึงแสร้งซบบ่าผู้หญิงคนนี้เพื่อกลบเกลื่อนโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะจะอย่างไร ซบบ่าผู้หญิง ก็ยังดีกว่าซบอกผู้ชายหรือให้ใครมาลูบหัว

“ตยาวดีน้องเจ้า พาลูกเข้าไปในห้องก่อนเถิด แดดแรงนัก เดี๋ยวลูกเจ็บไข้อีก วันนี้ไม่ต้องตั้งสำรับนะ พี่จะอยู่เรือนแม่วาด”

“เจ้าค่ะคุณพี่”

และเพียงแค่ชายหนุ่มคนนี้หันหลัง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของสาวน้อยกลับสลดลง แต่พอเห็นว่าเธอจ้องอยู่ ก็แสร้งยิ้มให้อีกครั้งหนึ่ง

“วันนี้คุณพ่อไม่อยู่กับเราอีกแล้ว”

หญิงสาวคนนี้พูดกับเธอ อาการสับสนยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่เพชรน้ำค้างไม่ยอมให้โอกาสจากไป เธอคิดว่าหากได้รู้ข้อมูลใกล้ตัวไว้ก่อนก็น่าจะดีที่สุดสำหรับความฝันอันประหลาดนี้

“พ่อ”

เพชรน้ำค้างพยายามพูดด้วยภาษาที่ได้ยินพร้อมกับชี้ไปทางชายคนดังกล่าวซึ่งเดินไปลับตา

“จ้ะ คุณพ่อของลูก นายช่าง โชติระเส ”

และเธอก็ได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร จึงลองหยั่งข้อมูลเพิ่มเติมว่า

“ตยาวดี”

แล้วจิ้มที่เหนืออกของหญิงสาวคนนี้ หล่อนยิ้มเอ็นดู ความดีใจบนใบหน้านั้นแสดงชัดเจน

“วันนี้ลูกเก่งเหลือเกิน ทูนหัวของแม่ เจ้าพูดจาฉอเลาะนัก เจ้าเรียกชื่อแม่ได้แล้ว”

“แม่นายตยาเจ้าขา นายท่านไปแล้วหรือเจ้าคะ”

รอยยิ้มของตยาวดีหายไปเมื่อคำถามนี้ดังขึ้น เพชรน้ำค้างเห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนคาดผ้าแถบ ผมเรียบตึงและเก็บมวยตรงท้ายทอย อายุราวสามสิบห้า นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ และเป็นเจ้าของคำถาม เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่บ่าวคนสนิท ก็คงเป็นพี่เลี้ยงกระมัง

“วันนี้ไม่ต้องตั้งสำรับให้คุณพี่นะจ๊ะ พี่จิตรา”

พอตยาวดีพูดจบ เพชรน้ำค้างก็ถูกอุ้มเข้ามาในห้องพร้อมกัน กิริยาของหล่อนช่างนุ่มนวลสมกุลสตรียิ่งนัก นี่ยังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

เพชรน้ำค้างถูกวางไว้บนที่นอนแข็งๆ รู้สึกว่าที่นี่มันแปลกประหลาดชอบกล เธอฝันได้หลุดโลกสุดๆ ไปเลย ไปเล่าให้เดอะแก๊งหัตถ์พระเจ้าหรือทีมงานช่างแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็กต์ของเธอฟังคงมีฮากันแน่นอน แต่ก็ต้องหยุดสิ่งที่คิดในใจ เมื่อจิตราตามเข้ามา ปิดประตูลั่นดาล แล้วคลานเข่ามาหาตยาวดี เพชรน้ำค้างมองไปที่สาวน้อยคนนี้ครั้ง จึงได้เห็นว่าใบหน้าหวานซึ้งกำลังมีน้ำตารินไหล

‘คุณพระ นี่ฉันกำลังอยู่ในภาวะไหนกันเนี่ย’

นั่นก็เพราะจิตราเข้ามาโอบกอดตยาวดี ลูบไหล่ลูบหลังอย่างอาทรและสงสาร ทำตาแดงคล้ายว่าจะร้องไห้ไปอีกคน

“ฉันเป็นเมียเอกของคุณพี่ แต่งเข้าตระกูลนี้มาห้าปี แต่คุณพี่ก็ไม่เคยให้ความเมตตาฉันมากกว่าเดิมเลย”

เอาเข้าไป ตื่นมาเจอฝันซ้อนฝันยังงงไม่หาย นี่ต้องมาเจอฝันดราม่าเข้าให้เลยหรือ

“อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะแม่นายตยา แม่นายน้อยอุษามองอยู่ จะเศร้าตามได้นะเจ้าคะ จะอย่างไร แม่นายก็ยังมีแม่นายน้อยอุษานะเจ้าคะ”

เพชรน้ำค้างอยากพยักหน้ายืนยันคำพูดของจิตราจริงๆ

ตยาวดีเช็ดน้ำตา หล่อนขยับเข้ามาหา แล้วลากร่างเล็กๆ นี่เข้าไปกอด เพชรน้ำค้างจำต้องเล่นไปตามบท ยอมนั่งบนตัก ปล่อยให้สาวน้อยที่กำลังร้องไห้ได้กอดเอาไว้แน่น

‘ดูท่าทางสามีคงจะไม่ค่อยรักสักเท่าไหร่กระมัง รู้สึกดีใจที่ตอนนั้นเลือกเป็นโสด ยอมเป็นหม้ายขันหมาก และไม่ต้องมาทุกข์กับคนที่ไม่รักเรา ไม่อย่างนั้นคงเป็นเหมือนตยาวดีแหงๆ’ เพชรน้ำค้างคิดถึงสิ่งที่เคยผ่านมา เธอรู้ดีว่าความเจ็บปวดจากการถูกคนรักทรยศ หักหลัง หรือการที่ความรักของเราไร้ความหมายเมื่อผู้ชายเห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องประดับบารมี นั่นก็เพราะเธอยกเลิกงานแต่งงานกลางอากาศเมื่อรู้ว่าเจ้าบ่าวอยู่กินกับหญิงสาวอีกคนทั้งที่กำลังจะเข้าพิธีกันในอีกหนึ่งเดือน

ตยาวดียังร้องไห้ไม่หยุด

“เจ้าคือแสงสว่างในหัวใจของแม่... อุษามันตรา”

เพชรน้ำค้างแทบพูดอะไรไม่ถูก จึงได้เอื้อมมือไปกอดหล่อนเอาไว้ หวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจของตยาวดีบ้าง หล่อนสะอึกสะอื้นตัวโยน เพชรน้ำค้างสงสารจับใจ เพราะครั้งหนึ่ง เธอก็เคยเจ็บปวดจากคนรักเช่นกัน แต่นั่นก็ผ่านมานานหลายปีจนเกือบลืม ทว่ามันกลับปิดหัวใจของเธอและไม่เปิดรับใครอีก ความรักทุกอย่างจึงทุ่มเทไปที่พ่อกับแม่ทั้งหมด

‘นั่นสิ อย่างน้อยก็ถือว่าได้ช่วยให้แม่เด็กคลายเศร้าได้นิดหนึ่งนะ ชื่ออะไรนะ อ้อ อุษามันตรา ชื่อยาวดีจริง อุษามันตราอย่างนั้นหรือ’

เพชรน้ำค้างยิ้มนิดๆ ยิ้มให้กับความแปลกประหลาดที่ได้พบเจอทั้งหมด ยิ้มหยันกับโชคชะตาที่พาเธอมาพานพบในวันนี้ หวังว่าอีกไม่นานเธอจะตื่นและกลับไปยังที่ที่จากมาเพื่อกลับไปหาพ่อกับแม่ กลับไปเป็นเพชรน้ำค้างคนเดิม ไม่ใช่เด็กน้อยที่ชื่อ ‘อุษามันตรา’ อีกต่อไป

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -


ตอบเม้นท์จากตอนที่ 1 (อุษามันตราเดิม) ค่ะ >>


คุณรอให้เป็นเล่ม = ดีใจที่แวะอ่านและติดตามนิยายที่อ้อยเขียนด้วยค่ะ ^^

คุณมณีโชติรส = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะพี่ลิลี่ ^^

น้องหนอนฮับ = มาแล้วจ้าาาาา จุ๊บๆ

คุณแว่นใส = ดีใจที่ทำให้ระทึกได้นะคะ ^^

คุณหมูบุลิน = วันนี้มาอัพเพิ่มให้แล้วค่ะ ^^

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -


ตอบเม้นท์จากตอนที่ 2 (อุษามันตราเดิม) ค่ะ >>


คุณปิศาจสัญจร = ถูกต้องเลยค่ะ ^^

น้องหนอนฮับ = วันนี้มาอัพต่อแล้วจ้าน้องหนอน ^^

คุณมณีโชติรส = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะพี่ลิลี่ ขอบพระคุณที่อุดหนุนและติดตามนิยายของอ้อยนะคะพี่ ^^ ลืมตอบ นิยายเรื่องนี้จะออกกึ่งๆ วรรณคดีไทยค่ะ แต่จะเป็นเรื่องไหน โปรดติดตามตอนต่อไปได้เลยจ้า

คุณแว่นใส = 555 นั่นสิคะ โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^

คุณหมูบุลิน = เดี๋ยวมีเฉลยค่ะ

คุณ lookAme = พยายามเต็มที่ค่ะ แต่ก็ยังกระดึ๊บๆ เลยมาได้ทีละหน่อยค่ะ ^^






สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ธ.ค. 2555, 21:53:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2555, 15:12:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 5036





   บทที่ 2 (ครึ่งแรก) >>
ปิศาจสัญจร 9 ธ.ค. 2555, 22:26:05 น.
มาอีกที ชื่อใหม่ แต่เพราะกว่าเดิม
ชอบ "ชิปไปแล้ว" มากๆ


แล่นแต๊ 9 ธ.ค. 2555, 22:46:19 น.
ติดตามค่ะ


หนอนฮับ 10 ธ.ค. 2555, 00:51:40 น.
กาดื๊บตามมา...แค่เริ่มต้นก็สนุกแระ อิอิ


มณีโชติรส 10 ธ.ค. 2555, 00:58:34 น.
แค่ชื่อเรื่องก็กินขาดแล้วจ้าน้องอ้อย คิดได้ไงเนี้ย <3 เกาะติด /ปล พี่ได้นิยายที่น้องอ้อยมาอ่านครบแล้วน๊า



มณีโชติรส 10 ธ.ค. 2555, 01:01:58 น.
พี่ชอบมากชื่อเรื่องดีกว่าอันเก่ามากๆๆๆไม่คล้ายชื่อนิยายเรื่องอื่นๆๆ มันตราอะไรนั้นทําให้นึกถึงหนังแขกหรือขอม สรุปแล้วจะออกแนวไทยๆหรือแนวไหนอะ พี่อ่านไป1ตอนแล้ว แล้วจะรออ่านที่เดียวหลายๆๆตอนไม่งั้นเดี๋ยวลงแดง


ree 10 ธ.ค. 2555, 17:44:40 น.
น่าติดตาม


lookAme 10 ธ.ค. 2555, 21:50:58 น.
มาติดตามอีกเวอร์ชั่นด้วยค่ะ^^


supayalak 11 ธ.ค. 2555, 15:33:47 น.
รอตอนต่อไปค้า


แว่นใส 11 ธ.ค. 2555, 15:40:52 น.
อาจติดอยู่ที่นั่นตลอดก็ได้นะ


สุชาคริยา 22 ธ.ค. 2555, 11:27:33 น.


คุณปิศาจสัญจร = ดีใจที่ชอบชื่อใหม่ค่ะ และก็ยิ่งดีใจที่ชอบมุกนี้ค่ะ ^^

คุณแล่นแต๊ = ขอบพระคุณจ้า

คุณหนอนฮับ = อิอิ ขอบพระคุณจ้า จุ๊บๆ ม๊วฟๆๆ

คุณมณีโชติรส = ชื่อเรื่องมีคนช่วยคิดค่ะพี่ลิลี่ ^^ // ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะพี่ // เรื่องนี้เป็นแนวไทยๆ ค่ะ

คุณ ree = ขอบพระคุณจ้า ติดตามเรื่อยๆ นะคะ ^^

คุณ lookAme = ขอบพระคุณจ้า ^^

คุณ supayalak = ตอนต่อไป (ล่าสุด) มาเสิร์ฟแล้วค่ะ ^^

คุณแว่นใส = อิอิ นั่นสิคะ แต่ก็ต้องติดตามตอนต่อไปโลดดด



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account