กลิ่นรัก...อบอวลหัวใจ
หญิงสาวผู้มาดมั่นเลือกการงานมากว่าเรื่องรักใคร่ๆหรือต้องมาข้องแวะเกี่ยวหัวใจให้ชายคนไหน
กับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ไม่เคยคิดจะจริงจังพันใจกับผู้หญิงใดๆ ทั้งคู่จะมาบรรจบรักกันได้เช่นไร
โปรดคอยติดตามนะคะ

แนะนำตัวละคร

พระเอก
นายธารานนท์ เตชโชติ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ รวมทั้งเจ้าของโรงแรมรีสอร์ทในเครือมากมายล้นฟ้า แต่ไร้คู่ครองเคียงข้าง เมื่อไม่เคยเจอผู้หญิงที่จะทำให้อิ่มเอมทั้งชีวิตโดยไม่รู้สึกเบื่อ หญิงสาวคู่ครองสักคนของเขาคงจะไม่มีในโลกนี้ แต่เมื่อได้มาทำงานในต่างจังหวัดและพื้นที่อำเภอท้องถิ่นเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดย ได้พบกับส.ส. นรินศาสาวมั่นแสนสวย แต่ไม่ไร้สมอง ทั้งเก่งเอาตัวรอดโดยไม่ต้องขอความช่วยจาก ใครๆก็ได้ ทำให้ชายหนุ่มเพลินเพลิดไปกับเธอ ไม่ว่าเธอจะมาพบเจอเขาด้วยอย่างความบังเอิญหรือในสถานที่ไม่คาดถึงก็ตามทุกครั้ง แต่หัวใจของเขากลับอบอุ่นร้อนทั้งโหยหา มีแต่ความคิดถึงให้เธอทั้งกลางวันและกลางคืนที่นอนหลับฝัน รวมทั้งยังเข้าไปเจออุปสรรคด้านการเมืองการทำของเธอ ซึ่งชายหนุ่มนั้น ทั้งแสนชิงชังอาชีพการเมืองของพ่อผู้ให้กำเนิดนัก

นิสัย : การพูดทั้งจริงจังอย่างมาก ทั้งพูดเล่นกับคนที่ถูกชะตา เจ้าชู้ไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนๆเลย แต่จริงๆแล้ว ส่วนมากผู้หญิงจะเป็นฝ่ายชอบวิ่งเข้าหา เขาจึงต้องตอบรับบรรดาผู้หญิงเหล่านั้น ในใจลึกๆ เขากำลังต้องการผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูก ไม่ใช่ชอบเขาเพียงแค่เงินตราอันมหาศาลของเขา ด้านการทำงานไม่มีที่ติและเขาต้องทำให้จนสำเร็จ แม้ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะต้องล้มละลายเขาก็ไม่สนใจ

นางเอก
นางสาว นรินศา อัณณ์ศญา หญิงสาวผู้มีใจรักในบ้านเกิดของตนเองยิ่งชีวิต อยากให้บ้านเกิดของตนเองมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามแบบประเพณีวิถีชีวิตดั่งเดิมในรัชสมัยๆที่ผ่านๆมา จึง ขอก้าวเข้ามาเป็นตัวแทนของราษฎร และประชาชน เพื่อนำความสุขมาสู่บ้านเกิดของตนเอง แต่อุปสรรค์มากมายทั้งภายในไม่ลงรอยกับนักการเมืองในพรรค ทั้งภายนอกด้านการมีเส้นสายที่คอยจะคดโกงกินแผ่นดิน กว่าจะเปลี่ยนความคิดให้รู้จัก คำว่า “สามัคคี” อีกครั้ง มันคงทำให้เธอใช้ความรู้และสามารถ ทั้งหัวใจยิ่งชีวิต บนเส้นทางวิถีดำเนินชีวิตปัจจุบันที่มีเล่ห์เหลี่ยมชักจูงหวาดล้อมมากมาย รวมทั้งบนเส้นทางแห่งความรักที่ก่อเกิดโดยไม่รู้ตัว เพราะความอวดดีอวดเก่งของชายหนุ่มเจ้าของรีสร์อทคนใหม่ ที่มีหัวใจแบบคนโกง เจ้าชู้ จนครบทุกรูปแบบเป็นผู้ชายที่หญิงสาวแสนเกลียดนัก และจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายพันธุ์นี้เด็ดขาด

นิสัย : สาวมั่น ผู้มีอุดมการณ์ของตนเองสูง การพูดจาจะนิ่งหนักแน่น จะอ่อนหวานเฉพาะคนเป็นพ่อกับแม่และเพื่อนสาวคนสนิทเท่านั้น

แล้วกลิ่นรักที่คุกรุ่นหมองหม่น ในใจของชายหนุ่มธารานนท์กับท่ามกลางธรรมชาติท้องทุ่งนาแสนอันจะใกล้กลับคืนมาให้สมบรูณ์อีกครั้ง...ด้วยหัวใจอันรักยิ่งแห่งบ้านเกิดของหญิงสาวนรินศานี้จะจบลงได้เช่น ไร ในเวลาไม่ช้านี้ ตะวันที่รอทอแสงรุ่งอรุณให้สดใสกำลังจะพิสูจน์ความรักของทั้งคู่...
Tags: รักโรแมนติก,รักหวานแหวว,หวานน่ารัก,แนวรักสบายๆ

ตอน: บทที่ 9 ข้อแลกเปลี่ยนหัวใจเข้มข้น...

บทที่ 9 ข้อแลกเปลี่ยนหัวใจเข้มข้น...

ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! จู่ๆ ก็มีเสียงปีบแตรรถคันใหญ่ดังแทรกเข้ามา จึงทำให้วงสนทนาอันเสมือนสายฟ้าผ่าลงกลางหัวใจนั้น ทำการปิดฉากจบไปโดยปริยาย

“สงสัยเป็นเสียงรถของคุณกิตดาล่ะมั้งคุณ” คุยกับสามีจบ คุณหญิงก็หันมาหาธารานนท์

“วันนี้แม่จะปล่อยให้พ่อหนุ่มนนท์กลับไปก่อน แต่...พรุ่งนี้ต้องมาที่บ้านแม่ แต่เช้าด้วยนะ!” ธารานนท์เพิ่งจะเคยโดนคุณหญิงทำเสียงดุๆ เสียงเข้มใส่

“ตอบสิวะ” ทว่าเสียงของพ่อศาสตรากลับดุดันดังกว่า ทำให้คนหนุ่มกว่าสะดุ้งตัวตอบอย่างอัตโนมัติ

“ครับผม!”

“ดีมาก แล้วดูแลไอยเรศเวียดนามในมือให้ดีด้วย ถ้าทำมันเหี่ยวแห้งตาย เจอดีแน่ๆ” แถมพ่อศาสตรายังข่มขู่ไม่เลิกรา

“เอ่อ...ครับ” ธารานนท์ตอบได้แค่คำว่า “ครับ” เท่านั้น เมื่อไม่สามารถขัดแย้งใดๆ ได้เลย

“คุณพ่อคะ คุณพ่อต้องฟังรินก่อนนะคะ คุณพ่อเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว...” คนที่จะต่อกรได้เวลานี้ก็คงจะเป็นลูกสาวของพวกท่าน นรินศากำลังจะตั้งโต๊ะโต้วาทีเปิดศึกเถียงประธานใหญ่ของบ้าน แต่มือของคนเป็นแม่ก็รั้นห้าม รีบเอาเข้าปิดปากลูกสาวเอาไว้ แล้วจัดการกระชากดึงแขนลูกสาวตนออกจากรัศมีคนเป็นพ่อให้ไกลได้ยิ่งดี และดีที่สุดคือการลากเข้าบ้านนั้นแหละ

พ่อศาสตราเดินเข้ามาหาฝ่ายชายหนุ่มจำเลยพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้น ธารานนท์หลับตาปี๋เชียว ก็คนมันกลัวนี่นา ทำไมหญิงสาวถึงได้มีพ่อดุชะมัดเลย

ป้าบ! เข้าที่หลังชายหนุ่มแรงๆ จนเขาร้องโอ๊ยดังมาก เนื่องจากมันระบวมไปถึงแผลตรงหลังที่ยังไม่ค่อยจะหายดีเท่าไรนัก

“รอยแผลที่หลังยังไม่หายดีอย่างงั้น แสดงว่า...โดนเข้าแรงสินะ” พ่อศาสตราถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมาก

“ครับ” ธารานนท์รีบตอบกลับไปด้วยความจริง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า...

“อ๊าก มะ...มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ท่านอย่าเพิ่งได้คิดไปไกลเลยนะครับ ผมไม่ได้มีอะ...” และรีบแกล้งตัวพัลวันจนลิ้นพันกันจนพูดไม่ถูกแล้ว

“หยุด! ห้ามแก้ตัว ข้อใดๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่นี้ไปพ่อนนท์ต้องเลิกทำตัวเล่นหูเล่นตากับใครๆ และก็พกผู้หญิงหน้าไหนเอาไว้ก็ไปเอาออกให้หมดนะ พ่อขอบอกไว้ก่อนเลย...หึ!” ท่านศาสตราบอกจบ พร้อมล็อกคอเรียวธารานนท์ที่เกิดอาการเกร็งๆ ทั้งยังกระชากลากพาไปส่งถึงรถคันใหญ่ของนายกิตดาผู้ช่วยมือดีที่สุดของธารานนท์ หรือว่าที่ลูกเขยในอนาคตท่านตอนนี้ ท่านศาตราเปิดประตูรถให้ แล้วยัดใส่รถรวดเดียวจบม้วน ธารานนท์ยังเกิดอาการขวัญผวา จนหัวใจของเขาเหมือนกับว่ามันได้หลุดหายออกจากหน้าอกแกร่งอยู่เลย

“สวัสดีครับท่านศาสตรา” พี่กิตดาพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ และก็ต้องประหลาดใจมาก ยิ่งเห็นใบหน้ารูปหล่อของเจ้านายหนุ่มซีดเซี่ยวยังกับผีดิบ แถมสายตาของพี่กิตดาก็ไม่ได้ฝาดไปหรอกนะ เมื่อสักครู่นี้ได้เห็นเจ้านายหนุ่มถูกท่านศาสตราลากคอพามายัดใส่รถอีกด้วย มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

“หวัดดีนายกิตต์ ช่วยขับรถให้มันนิ่มๆ ด้วยนะ ดูเหมือนเจ้านายของคุณ คงจะขวัญเสีย...ไปชั่วคราว หึๆ”

“ครับ แล้วนี่ท่านหายป่วยแล้วหรือครับ ถึงออกมาส่งคุณนนท์ด้วยตนเองได้น่ะครับ” พี่กิตดา เพราะคุณหญิงบอกว่าท่านศาสตรานอนเป็นหวัดอยู่บ้าน

“เอ่อ! นั่นสิ” พ่อศาสตราอุทานเสียงดัง คนที่นั่งอยู่บนรถข้างคนพลขับได้ยินเข้าเต็มสองรูหู ยิ่งเกิดอาการสะดุ้งโหยงตื่นตกใจอีกกี่รอบแล้วก็ไม่รู้

“สงสัย ผมคงใช้เสียงมากไปหน่อย เอ่อๆ หายคันคอเลยแฮะ” ท่านศาตราร้องอุทาน แล้วยังสรุปอาการป่วยเป็นไข้หวัดเองต่อว่ามันหายดีด้วย พี่กิตดาก็ได้แต่ยิ้มให้ด้วยงุนงง และไม่เข้าใจที่ท่านศาตราพูด บางทีท่านอดีตส.ส.คนเก่งอาจจะยังไม่หายเป็นหวัดอยู่ล่ะมั้ง

“ผมขอตัวกลับก่อนครับ สวัสดีครับท่าน...” พี่กิตดาขอเอ่ยลากลับรีสอร์ท เพราะเจ้านายเขาก็อยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

“ละ...ลาก่อนครับ” ธารานนท์ได้สติก็พยายามเปล่งเสียงกล่าวบอกเช่นกัน เนื่องจากว่าท่านศาสตรานั้นยังยืนจ้องตาเขม็งใส่รอเชียวแหละ

“ลาเลอะลาละ อะไรกัน...เจอกับพรุ่งนี้เช้าต่างหากพ่อนนท์ อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว ไอ้เด็กสมัยนี้ มันช่างลืมกันง่ายขนาดนี้เชียวหรือไง ห๊า!” ท่านศาสตราทำเสียงแข็วกร้าวดุดันใส่ไม่เลิกราง่ายๆ และคนหนุ่มว่าที่ลูกเขยหมาดๆ แทบใจแป่วๆ หายใจไม่ทั่วท้องไส้แทน...

“มะ...ไม่ครับ ไม่ได้ลืมครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ธารานนท์ตอบด้วยเสียงสั่นๆ จบก็หันมาบอกคนขับตัวเอง

“พี่กิตต์ออกรถเร็วๆ คร้าบ”

ท่านศาสตราแทบเผลออมยิ้มกับอากัปกิริยาของว่าที่ลูกเขย และยังโบกไม้โบกมือบายๆ ส่งให้ด้วย แหมๆ เล่นงานตอนจุดตั้งตัวไม่ทันนี่มันสนุกจริงๆ เลย แล้วนี่ทางฝ่ายภรรยาท่านจะจัดการกับลูกสาวแสนเก่งได้หรือเปล่านะ รายนั้นยิ่งหัวดื้อกว่าใครๆ ด้วยสิ

“ปล่อยให้แม่ศราจัดการเอง สงสัยจะลำบากแฮะ ไปช่วยดีกว่า” พ่อศาสตรารู้จุดอ่อนของลูกสาวแสนเลิฟเป็นอย่างดี นั่นก็ คือ เมื่อถูกตอกต้อนให้จนมุมแสนสาหัส สมองของลูกสาวสุดแสนรักจะนิ่งตาย และจะแก้สถานการณ์ที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง มีแบบ มีแผนหรือการคิดล่วงหน้าเอาไว้พังอย่างไม่เป็นท่าเข้านั่นสิ นรินศาถึงได้ต้องมีเพื่อนสาวคู่หูอย่างกอหญ้าอยู่เคียงข้างเอาไว้เสริมทัพ เสริมกำลัง...

“อีกอย่าง ถ้ารอให้รักกัน มีหวังนาน...ได้อุ้มหลานแน่ๆ ว่ะ” และท่านศาสตราก็หัวเราะด้วยความสุขจากหัวใจ เนื่องจากสิ่งที่ท่านเคยปรารถนาเมื่อนานแสนนาน มันกำลังจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เร็วๆ นี้แหละ



ด้านฝั่งชายหนุ่มธารานนท์ที่ ณ บัดนาว ได้นั่งเหมือนคนเป็นศพตายทั้งเป็น แถมยังกอดเจ้าดอกกล้วยไม้ของท่านศาสตราเอาไว้อย่างสุดหวง ไม่ยอมปล่อยมันวางเอาไว้บนรถพี่กิตดา ซึ่งออกจะมีที่ว่างให้วางตั้งเยอะแยะ

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ เจ้านาย” ธารานนท์รีบยกมือห้าม เมื่อพี่กิตดาเริ่มตั้งคำถาม

“อย่าเพิ่งถามพี่กิตต์ ขอผมปรับเสียงเต้นของหัวใจก่อนครับ” พี่กิตดาถึงขั้นย่นคิ้วชนกันกับสิ่งที่เจ้านายหนุ่มบอก สักพักธารานนท์ก็เริ่มหายใจเข้าออกช้าๆ ก็เขาเพิ่งจะได้รับลมหายใจโล่งๆ คอก็ตอนนี้แหละ หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดถึงจริงๆ ตลอดชีวิตที่ธารานนท์เกิดมา

“เฮ้อ...พี่กิตต์รู้ไหมครับ ผมเพิ่งจะเข้าใจความหมาย หนีเสือปะจระเข้ แถมเจอจระเข้ ตัวที่น่ากลัวที่สุด เท่าที่ผมเคยพบเจอมาด้วยครับ” ธารานนท์พร้อมที่จะเล่าให้ผู้ช่วยคนเก่งรับรู้แล้ว

“อะไรนะครับ เจ้านาย” พี่กิตดาขับรถดีๆ อยู่จนต้องเผลอเอาเท้าเหยียบเบรกกะทันหัน ดอกกล้วยไม้ในมือธารานนท์เกือบพังช้ำไปอีกหน คราวนี้แหละถ้ามันตาย สงสัยชายหนุ่มจะได้เดินทางไปเกิดใหม่แน่ๆ ด้วยน้ำมือของท่านศาสตราแทน

“พี่กิตต์ ขับรถให้มันนิ่มๆ หน่อยสิครับ เดี๋ยวเจ้านี่มันก็ช้ำหมดหรอก” ธารานนท์รีบร้องบอกด้วยใจสั่นๆ พร้อมกับภาพของท่านศาสตราตอนอารมณ์แสนดุร้าย ทำให้พี่กิตดานึกถึงคำพูดของท่านศาสตราว่า เจ้านายหนุ่มของเขานั้นกำลังเสียขวัญอยู่มาก

“ที่บ้านท่านศาสตรา เลี้ยงจระเข้เอาไว้หรือครับ” พี่กิตดาถามด้วยความเข้าใจแบบนั้นจริงๆ

“โธ่! พี่กิตต์ครับ ผมหมายถึงทั้งบ้านเลยต่างหากครับ”

“โอ้ๆ นี่ท่านศาสตรา ทำฟาร์มจระเข้ด้วยหรือครับเนี่ย” พี่กิตดายังถามต่อตามที่ตนเข้าใจ

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ คือ...” ธารานนท์เริ่มเล่าตลอดทางจนกลับมาถึงรีสอร์ทแมกไม้กอหญ้า พี่กิตดาแทบพาร่างดิ่งพรวดออกมาจากรถยนต์ตนเองเกือบไม่ทัน เพราะทนอาการกลั้นขบขันหัวเราะจนหน้าท้องแข็งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว สรุปวันนี้ทุกอย่างมันก็เริ่มจากแผลที่หลังของเจ้านายหนุ่มพี่กิตดานี่เอง แหมๆ ท่านศาสตรากับคุณหญิงช่างผูกเรื่องได้เหมาะเจาะตรงประเด็นมากเสียอะไรเยี่ยงนี้

“หยุดหัวเราะผมเลยพี่กิตต์ พี่ต้องช่วยผมนะครับ ผมขอร้อง...” ธารานนท์ก้าวออกจากรถเช่นกัน แน่นอนเจ้าต้นกล้วยไม้สีขาวอ่อนๆ ก็ยังติดเกาะในมือไม่ห่างกายไปไหนด้วย ลองทิ้งไปสิ มีหวังเจอท่านศาสตราหักคอตายแน่ๆ ในที่สุดพี่กิตดาก็พยายามตั้งสติให้ปกติได้ และหยุดอารมณ์แห่งการขบขำมากที่สุดในชีวิตลงได้แล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปากถามต่อ

“ช่วยทางไหนครับ กั้นเสือออก หรือกั้นจระเข้ออกล่ะครับ เจ้านาย หึๆ” และตัวเสือนั้นพี่กิตดาก็พอจะรู้ว่าใคร แต่ตัวจระเข้นี่สิ เจ้านายรีสอร์ทคนใหม่ออกจะปั่นเทข้างให้ไปแล้วไม่ใช่หรือไง

“อย่าพูดล้อเล่นผมแบบนั้นนะ ผมซีเรียสนะครับ” ธารานนท์เอ่ยบอกด้วยท่าทางสีหน้าตาอันจริงจัง พร้อมด้วยความวิตกกังวลมากมาย

“โอเคๆ ครับ แต่ผมว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนในทางที่ดีนะครับ ไหนตอนครั้งก่อนนั้น คุณนนท์บอกว่าอยากช่วยเธอไงครับ แล้วผมก็เสนอให้ทราบไปแล้ว แถมเจ้านายยังไม่ทันได้เริ่มเลย ฝ่ายนั้นดันบุกเริ่มก่อนด้วยซ้ำนะ” พี่กิตดาว่ามันช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียมากกว่า ไม่น่าจะมีแผนลวงล่ออะไรซ่อนไว้ การที่ท่านศาสตราต้องการมัดตัวเจ้านายหนุ่มของเขาไว้ ท่านคงอยากจะได้มาเป็นลูกเขยจริงๆ ล่ะมั้ง

“หมายความไงพี่กิตต์ครับ”

“วันนี้ที่พี่ไปธุระมา คือพี่พยายามไปสืบเรื่องงานของนายหน้าที่ชื่อนายอานันท์” ธารานนท์ได้ยินชื่อนายคนนี้ ก็คิ้วม่วนชนกันเป็นสองเท่า จะว่าไปแล้วเรื่องในวันนี้มันก็เป็นเรื่องดีๆ สำหรับฝ่ายของเขานี่นา



แต่ทว่าสำหรับฝ่ายหญิงสาวคนเก่งนี่สิ มันคือ ฝันร้ายชัดๆ นรินศาร้องอวดครวญอย่างน้อยใจให้กับคนเป็นพ่อและแม่บังเกิดเกล้า

“คุณพ่อ คุณแม่ขา ฟังรินอธิบายก่อนได้ไหมคะ มันไม่ใช่เป็นอย่างที่คิดนะ อย่าเอารินไปผูกคอกับนายหน้าเลือดนั่นเลยนะคะ”

“เสียใจด้วยลูกเลิฟของพ่อ ลูกก็รู้ว่าพ่อตัดสินใจไปแล้ว และจะไม่คืนคำพูดตนเองเด็ดขาด ลูกย่อมรู้จักพ่อว่าเป็นคนแบบไหนใช่ไหม”

“โธ่ คุณพ่อขา ทำไมคราวนี้ถึงไม่คิดจะเข้าข้างรินเหมือนเดิมละคะ” ลูกสาวสุดแสนรัก กำลังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่ไม่ต้องการสิ่งที่ผู้กำเนิดยัดเหยียดให้ ภาพความเป็นท่าน ส.ส.หญิงผู้มาดมั่นใจ ได้หลุดลุคซ์อันเกรงขามไปในพริบตาเลย

“พ่ออยู่ข้างเราตลอดนั่นแหละ แต่ครั้งนี้พ่อรับไม่ได้ ลูกต้องทำตามธรรมเนียมประเพณีของพ่อกับแม่ เข้าใจไหมจ๊ะลูกเลิฟๆ”

“คุณพ่อขา...” สีหน้าคนเป็นลูกสาวออกอาการงอนน้อยใจจนแก้มป่องที่สุด และแน่นอนที่สุดคือตาแดงก่ำด้วย พ่อศาสตราเห็นเข้าแทบใจหายเชียว แต่เสียงเข้มๆ ที่ฝ่ายพ่อพูดออกไป ยิ่งทำให้แม่กวางน้อยของคุณพ่อแม่สติแตก

“พอแล้ว พ่อไม่รับฟังการแก้ตัวของลูกทั้งสิ้น และตั้งแต่พรุ่งนี้ก็ทำตามที่พ่อบอกด้วย ไปทำงานปกติของลูกนั่นแหละ ไหนๆ ก็เสียหายไปแล้ว ก็ให้เขามาดูแลเราจนจบไปเลย” พ่อศาสตราเล่นพูดดักทางทุกอย่าง เพื่อให้ลูกสาวคนเก่งยอมรับข้อตกลงที่ท่านวางหมากเดินเอาไว้

“ใช่จ๊ะ ลูกรัก แม่เห็นด้วยกับพ่อทุกประการ” แม่นริศรายังเป็นฝ่ายเสริมพ่อศาสตราอีกแรง

“คุณพ่อ คุณแม่บ้าไปแล้ว โอ๊ย!” นรินศานั่งไม่ติดลุกพรวดพลาดขึ้น ยืนกำมือแน่นด้วย แต่มีหรือฝ่ายผู้บังเกิดเกล้าจะกลัวลูกในไส้

“อ้าวๆ มาว่าพ่อกับแม่ได้ไง ตัวเองไปก่อเรื่องไว้เองนะ”

“โธ่เอ้ย!” นรินศาร้องตวาดลั่นเมื่อจนปัญญาในการอธิบาย เนื่องจากผู้บังเกิดเกล้าไม่คิดจะรับฟังเรื่องจริงจากปากเธอเลย หญิงสาวจึงต้องทำใจรับกรรมเวรนี้ ไปใช่ไหมเนี่ย แม่นริศรากระโดดมาเกาะพ่อศาสตราเอาไว้เลย นึกว่าลูกสาวจะอาละวาด แต่ว่าภาพที่เห็นคือ การหันหลังหันก้นเดินหนี...

“แล้วนั่นจะเดินหนีไปไหนกันล่ะ” ผู้เป็นแม่รีบร้องถาม เมื่อเจออาการปั้นปึงเคืองๆ ของลูกสาว และเดินปัดก้นก้าวเท้าหนีไป พร้อมกับใบหน้าหวานงอนบึ้งตึงๆ ตาแดงกำด้วย

“ไปตามทางอิสระวันสุดท้าย เพราะพรุ่งนี้ มันจะมีเชือกมาผูกคอค่ะ” เธอหันมาตอบคุณเป็นแม่ตาดแดงๆ แล้วก็จ้ำเท้าขึ้นห้องนอนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเสื้อขาวๆ ออก แล้วสวมใส่เสื้อผ้าหนังตามสไตล์ตนเอง เสร็จแล้วก็ไปคว้าเอากุญแจรถมินิคันโปรด ก่อนเดินว่องไวไปยังโรงรถขับเจ้าตัวเล็กแล่นออกจากบ้านไปให้ยาวไกลที่สุด

“นี่ๆ พ่อ นั่นลูกเราจะออกไปหาหนูกอหญ้าหรือเปล่าคะ” แม่นริศราถาม เมื่อเฝ้าดูเหตุการณ์จนจบแล้ว

“คงจะใช่! เวลายัยรินกลุ้มใจแบบหัวจนมุม ก็ต้องไปพึ่งพายัยกอหญ้าที่เดียวอยู่แล้ว แต่พ่อหวังว่าคงไม่เอาพรรคพวกไปตีหัวพ่อหนุ่มธารานนท์เข้าหรอกนะ”

“แหมๆ ยังไม่ทันรับเป็นลูกเขยเลยนะคะ เป็นห่วงซะออกนอกหน้าตาเชียวคุณ แม่รู้นะว่าอยากได้หนุ่มคนนี้จะตาย ดีกรีเป็นถึงลูกชายของแฟนเก่า” แม่นริศราขุดเอาความหลังเก่าๆ ฝั่งใจมาพูดต่อ แม้ว่าในอดีตแม่นริศราจะเกลียดผู้หญิงชู้รักของสามีคนนี้มาก แต่ทว่าลูกชายของ‘ทิพย์ธาร เตชโชติ’ ก็ทำให้ท่านถูกชะตาด้วยอย่างไงไม่รู้ เวลานี้รู้แต่ว่าท่านทั้งคู่จะเอาลูกเขยคนนี้แหละ

“หรือแม่ไม่อยากได้ล่ะ เห็นปลื้มๆ จนออกมาเต้นๆ รับพามาบ้าน มันเข้าสำนวนเกลียดตัวกินไข่นะจ๊ะ”

“แล้วนี่คุณ หายเป็นหวัดแล้วหรือคะ” สองสามีภรรยาส่งเสียงเถียงกัน เรื่องเลือกลูกเขยให้ยัยลูกสาวแสนดื้อที่ไม่คิดจะสนใจชายหนุ่มคนไหนเลยสักคน และถ้าไม่เล่นวิธีแบบนี้ท่านทั้งสองคน อาจจะหมดหวังได้อุ้มหลานก่อนตายแน่นอน



นรินศาเลี้ยวรถคันโปรดตนอย่างว่องไวสุดปรงเกิด เข้าซอกตรอกบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ พวกหมูหมากาไก่ วัวควายบริเวณนั่นเด้งหลบกระจายเป็นหน้าก่อน

“พี่ริน...สวัสดีครับ” นายเอกรินทร์ร้องทักทายขึ้นพร้อมยกมือไหว้ เมื่อออกมาต้อนรับแขกที่มายังกับเสียงฟ้าร้องฟาดลงท้องทุ่งนาบ้านสินพสุธร

“พี่สาวเรา อยู่ที่ไหน!” พร้อมเจอน้ำเสียงหวานขุ่นพ่นออกมาเชียวนะ สำหรับท่านส.ส.ขวัญใจประชาชน

“เอ่อ...อยู่ที่นาครับ”

“ตามมาพบพี่ที่ศาลาท้ายสวนเหมือนเดิม อ้อๆ เอาเหล้ามาด้วย มีกี่ขวดเอามาให้หมดนะ” นรินศาบอกจบก็หันเดินไปที่ระบายเวลาเธอเกิดเรื่องทุกข์ใจ ศาลาท้ายสวนเป็นหลบมุมแสนผ่อนคลายของเธอกับกอหญ้า จิตใจอันร้อนด้วยความโกรธเคืองผู้ให้กำเนิดจะหายไป ถ้ามา ณ ที่ศาลาแห่งนี้

“หะ...ครับๆ” หนุ่มน้อยเอกรินทร์แทบขานรับไม่ทัน เพราะพี่รินเพื่อนซี้ลูกพี่ใหญ่หันหลังอวดเรียวขาสวยในกระโปร่งสั้นออกแนวร็อคเกอร์สาวหน้าหวานชัดๆ เดินจ้ำไปทางศาลาท้ายสวนแล้ว ด้วยคำสั่งที่ขัดไม่ได้นายเอกจึงต้องทำตาม

“ไปตามพี่หญ้าก่อนแล้วกัน...ส่วนอย่างอื่นค่อยหาไปให้ทีหลัง” เอกรินทร์ก็เดินมาควบเจ้าจักรยานคันเก่ง เพื่อตามหาลูกพี่สาวของตนโดยเร็วที่สุด



เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท ชายหนุ่มร่างโปร่งสูงเนื้อตัวที่เปราะเปื้อนด้วยดินโคลน ใบหน้ายังเปื้อนดินแดงดำในแตกต่างกับชุดเนื้อผ้าที่สวมใส่ เขาถอดหมวกไอ้โม่งกันแดดออก สลัดทรงผมอันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล พร้อมกับใบหน้าคมสันที่ตอนนี้มันรกรุงรังเต็มไปด้วยหนวดเคราลามจากสันกรามขากรรไก ภาพลักษณ์ของนายพิริยะที่นรินศาเจอวันแรกเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น หายไปแล้วและเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้

“แปลกจัง ตั้งแต่ตอนเย็นมา ทั้งสาวลูกพี่และเด็กลูกน้อง หายหัวไปไหนกันวะ” พิริยะบ่นเพราะดูเหมือนงานของเขาจะทำเสร็จแล้ว แต่คนออกคำสั่งนั่นสิกลับชิ่งหลบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ เขามองดูนาฬิกาแขวนในห้องเก็บของเครื่องมือ จนต้องร้องเสียงตกใจ

“ห๊า! สามทุ่ม ตายล่ะ งั้นข้าวเย็นก็อดนั่นสิ หมดกัน หมดแรงด้วย เฮ้อ...” พิริยะตัดเพ้อคนเดียว ก่อนจะได้เสียงเรียกของเด็กหนุ่มเอกรินทร์

“พี่พาย...พี่พาย... โธ่เอ้ย ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เอง เอกล่ะตามหาตั้งนาน”

“ตามหาพี่? พี่ก็ทำงานตามที่...ลูกพี่ของเราสั่งนั้นแหละ” พิริยะเถียง เพราะเขาทำงานที่เดิมนั้นแหละ ทำไมเอกรินทร์จะหาเขาไม่เจอล่ะ

“แฮะๆ ขอโทษครับ เอกก็ลืมไปเอง” หนุ่มน้อยยิ้มแห้งๆและสารภาพผิด เพราะมั่วแต่รับรองสหายรักของคนลูกพี่อยู่นี่นา จนลืมไปว่าได้ทิ้งคนงานอาสาสมัครเต็มใจ เติบใจผู้เป็นลูกพี่สาวเอาไว้

“พี่ก็ไม่ได้ว่าเอกอะไรนี่ ว่าแต่...มีข้าวเหลือให้พี่ทานบ้างไหมครับ” พิริยะไม่โทษเด็กหนุ่มเอกรินทร์หรอก เขากำลังเคืองคนเป็นลูกพี่เด็กชายต่างหาก แถมเธอช่างใจแข็งยังไม่พอ ยังใจร้ายกับเขาอีกด้วย

“อ่ะ...มีครับ เยอะเลยครับพี่พาย เดี๋ยวพี่พายขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ เอกจะพาไปร่วมวงเมรีต่อ...”

“หือ! ที่บ้านมีงานเลี้ยงหรือ แต่ทำไมมันเงียบๆ จังล่ะ” พิริยะถามด้วยความสงสัย เมื่อบ้านมันออกจะเงียบสนิท เหมือนคนเข้านอนกันหมดแล้วต่างหาก

“ไม่ใช่ที่บ้านครับ พี่พายไปอาบน้ำเถอะ เร็วๆ ด้วยน้า...” หนุ่มน้อยเอกรินทร์ไม่ยอมบอก พิริยะจึงเดินไปทำอาบน้ำตามที่บอก รวดเร็วภายในสิบนาที และแต่งตัวเสร็จสรรพเรียบร้อย อีกอย่างพิริยะเริ่มชอบการแต่งตัวแบบนี้แล้วสิ มีแค่เสื้อยืดขาวกับกางเกงยืน และรองเท้าหนังสักคู่พร้อมลุยงานได้สบายๆ กับคำสั่งของใครบ้างคน

“ตามเอกมาครับ พี่พาย” เอกรินทร์เริ่มเดินพร้อมกับไฟฉายหนึ่งอัน ส่วนมืออีกข้างก็ถือขวดไวน์ ไวน์อย่างงั้นเหรอ พิริยะคิ้วชนกันแต่ก็เดินตามไปเรื่อยๆ และรู้แล้วว่าเขานั้นกำลังเดินไปที่ไหน ณ ศาลาริมน้ำท้ายสวนนี่เอง เขาเดินก้าวเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงใสๆ หัวเราะสนุกสนาน

“ทำไมรอบนี้ชักช้ามากเลยวะ เจ้าเอก...” กอหญ้าหันมาต่อว่าลูกน้องที่เพิ่งจะโผล่หัวมา เพราะน้ำเมรีรสเลิศมันหมดตั้งนานแล้ว

“พอดีเอกรอ...พี่พายอยู่ครับ นี่ขวดสุดท้ายแล้วนะ” ได้ยินชื่อที่แสนจะสนใจ นรินศาจึงเงยใบหน้าหวานนวลแก้มแดงเรื่อขึ้นจากวงเหล้า...

“ไหน๋ๆ เจ้าเอก...คุณพายรูปหล่อ พี่อยากเจอตัวเหลือเกิน...” นรินศาพยายามเพ่งดวงตาเล็กมองหา แต่ก็เห็นแค่หนุ่มฉกรรจ์มีหนวดเคราอันรกๆ บนใบหน้า เธอจึงคว้าไฟฉายจากมือเอกรินทร์ส่องไป พิริยะหลับตาปริๆ เพื่อปรับสายตาแต่ไม่ทัน กอหญ้าจึงรีบไปแย่งมาจากมือเพื่อนสาวขี้เมา

“คนนั้นแหละ ริน” พร้อมบอกเพื่อนสาวคนเก่ง

“ทามม่าย ไม่รูปหล่อเหมือนที่เจอเลยล่ะ” นรินศาถาม เอกรินทร์แอบหัวเราะชอบใจเชียว เพราะรู้ดีว่ามาดหนุ่มหล่อเนี้ยบหายไปไหน โดนลูกพี่สาวใจร้ายใช้งานหนักจะตาย...

“สวัสดีครับ คุณ...” พิริยะพยายามนึก ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ก่อนจะเริ่มจำได้เพราะวันนี้เธอแต่งตัวแตกต่างวันแรกที่เธอ แถมเมาด้วยล่ะมั้งนั้น

“คุณรินใช่ไหมครับ”

“ช่ายค่า” นรินศาตอบแค่นั้น แต่มือบางดันคว้าตัวกอหญ้าเอามากอดใกล้ๆ พิริยะเห็นแล้วย่นสีหน้าเครียดไปเลย กอหญ้าทำตัวให้กอดง่ายดายด้วยความเคยชิน และเอ่ยไปถามเด็กลูกน้อง

“เจ้าเอก พานายนั้นมาด้วยทำไม ทำไมไม่พาไปนอน งานเช้าพรุ่งนี้ยังมีให้ทำตั้งเยอะนะ” น้ำเสียงพูดสั่งความเช่นเคย ช่างไม่เป็นห่วงสุภาพนายพิริยะเลย เขายังไม่ทานข้าวเลยนะ พิริยะเริ่มมีอาการน้อยอกน้อยใจ ทั้งยังได้เห็นภาพบาตาเข้าอีก

นรินศาได้ยินเพื่อนสาวคนสนิทเอ่ยดุเด็กลูกน้องก็ยิ้มกริ่มๆ การแกล้งทำเสียงดุๆ ไปอย่างงั้น จริงๆ แล้วกอหญ้าต้องการให้นายพิริยะออกห่างๆ นรินศาต่างหากล่ะ สงสัยกลัวว่านักการเมืองสาวคนเก่งจับจุดอะไรบางอย่างในตัวเธอได้ล่ะมั้ง

“อ้อๆ พี่พายเพิ่งกลับมาจากงานอันที่พี่หญ้าสั่งให้ทำครับ เลยยังไม่ได้ทานข้าวเย็น เอกก็เลยพามาทานเอาในวงตรงนี้ด้วยแหละ”

“อะไรนะ” กอหญ้าเผลออุทานเสียงหลง ไม่คิดว่าชายหนุ่มเมืองกรุงเทพจะทำงานจนดึกดื่นถึงขนาดนี้เชียว

“ก็พี่อยากทำให้มันเสร็จๆ ไปเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้หญ้าก็คงหางานใหม่ให้ทำต่ออีก” พิริยะตอบ นรินศาแทบหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังแกล้งทำตัวนัวเนียสวมกอดกอหญ้าเอาไว้อย่างงั้นแหละ ซึ่งนายน้อยแห่งสินพสุธรดันเริ่มรู้สึกเริ่มรำคาญแล้วด้วย

“ก็ดี พรุ่งนี้จะจัดงานให้เต็มที่ต่ออีกแน่นอน”

“โอ้โห ที่ร้าก...โหดไปนะค๊า” นรินศาแทรกพูดขึ้นมา พิริยะแทบดวงตากระตุกกับคำเรียกขาน ส่วนกอหญ้าก็สะบัดตัวหลุดออกจากแม่สาวขี้เมาได้แล้ว เล่นกอดกันนานสองนาน ไปทำไมกัน...

“โหดตรงไหนยะ รินจ๋า แค่นี้มันจิ๊บๆ” คนฟังนั่นสิแทบใจแป่ววูบหล่นไปเลย แถมขอบ่นในใจว่า ‘พี่ก็เหนื่อยอยู่นะ กอหญ้า แต่ว่าตอนนี้หัวใจพี่ยิ่งเหนื่อยกว่า...’ ด้วยภาพที่เห็นตรงหน้าไง

“น่าสงสารคุณพายจาง...” นรินศาบอกไป ก่อนจะยกน้ำไวน์ขาวๆ ที่เด็กหนุ่มเอกรินทร์เทลงแก้วให้ดื่มต่อ

“พอๆ ดีกว่า ยัยริน ดื่มมากไปแล้วนะ” กอหญ้าขยับตัวมาแย่งแก้วไวน์ในมือเพื่อนสาวขี้เมา

“อ้าวๆ พอได้ไง นี่มันขวดสุดท้ายแล้วนะจ๊ะที่ร้าก เราต้องกินให้มานหมดไปเลยสิ เสียดายของ...” แถมยังมาแย่งคืนอีก กอหญ้าพ่นลมหายเฮือกโตและสายหน้าไปมา ให้กับความทุกข์ของเพื่อนรักสาวนักการเมือง ซึ่งเหตุผลต้องมานั่งแดก...เอ้ยดื่มเหล้า

เมื่อนรินศาเล่าให้รับรู้ กอหญ้าแทบขำก๊ากจนนอนกลิ้งไปมา ก็เพราะว่าต่อไปแม่สาวนักการเมืองกำลังจะมีคนรักเหมือนคนอื่นแล้วเว้ย! แถมคนเป็นพ่อและแม่ก็ยังเป็นคนจัดหาคัดสรรมาให้อีกต่างหาก ตรงเข้าตำราคลุมถุงชนชัดแจ่มแจ้ง

ตอนสมัยเด็กที่เรียนด้วยกัน นรินศาแทบป่าวประกาศลั่นว่า จะไม่ยอมคบกับชายหนุ่มที่พ่อแม่หามาแทบเท้าให้เด็ดขาด ยิ่งเกลียดอะไรก็ดันได้สิ่งนั้นมาสินะ ยัยรินเอ๋ย...แต่ทว่าปิดนายน้อยแห่งสินพสุธรไม่มิดหรอกนะ กอหญ้ารู้ดีว่านรินศาจะต้องค้านสุดหัวชนฝาบ้านแน่ๆ แต่นี่อะไรยอมจำนงง่ายดาย...หึๆ อยากเจอ...ว่าที่คนรักของแม่นักเมืองสาวคนเก่งจัง

“คุณพายขา มามะมาดื่มช่วยรินหน่อยค่า” ได้ยินชื่อขานเรียกกอหญ้าตื่นออกจากภวังค์ความคิดเลย

“พี่พายๆ ขึ้นมาบนศาลาก่อนครับ เดี๋ยวเอกจัดกับแก้มให้พร้อมเลย” เอกรินทร์ทำตัวบริการเต็มที ชายหนุ่มที่ยืนด้านนอกรอการอนุญาตจากหญิงสาวเจ้าของวงเมรี

“เชิญกินกันตามสบายเถอะ พี่จะพายัยรินไปนอนแล้ว เดี๋ยวลุกไปทำงานไม่ได้ รินๆ ไปนอนกัน...” กอหญ้าชวนเพื่อนนักการเมืองให้หลุดออกจากวงเหล้า ถ้านั่งกินด้วยมีหวังเจอวาจาเลี่ยนๆ ของนายพิริยะพ่นออกมา กอหญ้าไม่ยอมให้นรินศาได้ยินหรอก

“ได้เลยที่ร้าก คืนจะสวมกอดให้หนำใจจนหายคิดถึง...ไปเลย” นรินศายังไม่วายจะเอ่ยเทิ้มแทงให้พิริยะได้ยิน กอหญ้าทนฟังหญิงขี้เมาไม่ไหว จับกระชากแขนกอดคอพยุงออกจากศาลาริมน้ำฐานทัพประจำการไปยังบ้านเรือนใหญ่ให้รวดที่สุด พิริยะได้ยืนมองตามอย่างคนถอนหายใจทิ้งไปวันๆ

“มากินข้าวครับพี่พาย ปล่อยสองสาวนั่นไปนอนเถอะครับ ถ้าอยู่ต่อเอกคงโดนเรียกใช้งานเยอะกว่านี้” เอกรินทร์ว่าก่อนนั่งลงจัดอาหารที่เหลือให้พิริยะทาน แถมยังเทไวน์ขวดสุดท้ายให้ดื่มด้วย พิริยะไม่สนแล้วข้าวปลาอาหารมื้อเย็น สิ่งเขาสนตอนนี้ก็คือ น้ำเมาต่างหากอยากดื่มให้มัน ลืมๆ ภาพบาดตาและในหัวสมองที่กำลังคิดไปมั่วๆ ซั่วๆ ตอนนี้

“รักกันมานานแล้วเหรอ คู่นั้น...” พิริยะพึมพำถามลอยๆ เอกรินทร์ก็ตอบเพราะคงหมายถึงร่างสองสาวที่กอดกันนัวเนียเดินไปนอน

“ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ แยกจากกันไม่ได้หรอก ไม่งั้นจะใจขาดตายกันพอดี ฮ่าๆ” เอกรินทร์ว่าจบก็ขำขันวีรกรรมของสองสาวคู่ซี้แนบแน่นปึ่งแห่งจังหวัด...

“คบกันตั้งนานก่อนรู้จักเรานี่เอง มิน่าล่ะ” พิริยะยังพูดอย่างเครียด พอยกแก้วไวน์เข้าปากเท่านั้นแหละ พรวด!!! พ่นคลายทิ้งออกจากปากทันที

“อ้าก...นี่มันไม่ใช่ไวน์เลยนะ! นายเอก นายเอาอะไรให้พี่กินลงไปเนี่ย...” เอกรินทร์ยิ้มแก้มบานเลย สรุปได้ว่าพี่พายยังไม่เคยดื่มรสชาติแบบนี้แน่นอน

“ของภูมิปัญญาโบราณชาวบ้านเลยครับพี่พาย เหล้าสาโทไงครับ ดื่มๆ เสียดายของหมด...” พิริยะแทบทำปากอี๋ เกิดมาก็จะเพิ่งเคยกินเหล้าแบบนี้ แล้วสองสาวนั่นกินเข้าไปได้ไงเนี่ย พิริยะเหลือบไปเห็นขวดไวน์ข้างๆ แทบตะลึงตาโตเลย เมื่อนับได้ว่ามันมีกี่ขวดที่มันหมดไป

“แรงดีนะจะบอกให้...” เอกรินทร์ยังย้ำๆ เพราะมันเป็นขวดสุดท้ายแล้ว ทิ้งไปก็เสียดายแย่ เนื่องจากลุงผู้ใหญ่ลงทุนทำการหมักตามขั้นตอนโบราณสมัยหลวงปู่ทวดถ่ายถอดมาให้ด้วย

“แล้วเหล้าอย่างอื่น มีบ้างไหม...” พิริยะเอ่ยถามอย่างเสียงเบาๆ เพราะยังไม่ชินรสเหล้าสาโทที่ไหลลงลำคอ

“ไม่มีครับ พี่รินเหมาหมดแล้ว ไม่เห็นหรือไงครับพี่พาย” เอกรินทร์ว่าแทบผายมือให้มองดูขวดไวน์ ขวดเหล้าข้างๆ ด้วย

“ดื่มๆ ไปเถอะพี่พาย สู้ๆ” เอกรินทร์ออกแรงเชียร์เต็มกำลัง โดยลืมไปว่าคนที่ลากร่างพี่พายกลับไปนอนนั้นก็คือใคร พิริยะจึงจำใจดื่มไปเต็มที่ ถ้าดีกรีบาดคอแรงดี บางทีมันอาจจะทำให้เขาลืมภาพของกอหญ้านอนกอดกับคนรักหน้าหวานได้ล่ะว้า



เสียงไก่ร้องขันปลุกเป็นเวลายามเช้าของวันใหม่ ตามมาด้วยอาการห้าวนอนจากสารถีขับรถคนใหม่แห่งบ้านอัณณ์ศญา เขาหายใจเข้าลึกๆ เมื่อจอดรถฟอนจูเนอร์เทียบท่า และยืนรอท่าน ส.ส.ขวัญใจประชาชน

“มาตรงเวลาเป๊ะ” เสียงแรกเอ่ยขึ้น จนเขาต้องสะดุ้งโหยง

“สะ...สวัสดีครับ ท่านศาสตรา” พร้อมรีบกล่าวทักทายไหว้ว่องไว และขยับถอยห่างสักหนึ่งก้าว วันนี้ธารานนท์ขับรถมาคนเดียว ไม่มีผู้ช่วยอย่างพี่กิตดามาคอยช่วยเหลือด้วย พี่กิตดาเข้ามาปลุกที่เรือนห้องพัก แล้วบอกว่าให้เขาใจกล้าหาญลุยเดี่ยวๆเด็ดขาดไปเลย ธารานนท์ถึงขั้นร้องอวดครวญยาวเป็นทาง ยิ่งเมื่อคืนฝันร้ายยังไม่พอ ตื่นมาก็ยังไร้อัศวินเคียงข้างอีกต่างหาก

“สาวน้อยไอยเรศ สบายดีหรือเปล่า” เจอท่านศาสตราถามเสียงเข้มๆ

“หะ สะ...สาวที่ไหนครับ ไม่มีครับ” ธารานนท์รีบตอบจนลิ้นพันกันอีกแล้ว และคิดไม่ทันด้วยว่าท่านศาสตราถามถึงใคร ว่าที่พ่อตาทำเสียงฮึดฮัดใส่ ก่อนจะก้าวเท้าตามไปประชิดตัวว่าที่ลูกเขย ธารานนท์ถอยหลังกรูจนชนรถยนต์ตนเองเลย ท่านศาสตราดิ่งเข้านิ้วมือมาจิ้มๆ หน้าผากธารานนท์แรงๆ เตือนความจำ

“กล้วยไม้ไอยเรศเวียดนามของพ่อไงล่ะ ดูแลเป็นอย่างดีหรือเปล่า! หือ!”

“อ๊ะ...อย่างดีเลยครับ ผมดูแลมันกับมือเองเลยครับ” ธารานนท์ร้องฟู่ๆ เมื่อท่านศาสตราเลิกเอานิ้มจิ้มหน้าผากเขาแล้ว ก่อนจะบ่นในใจว่า แค่ถูกนิ้วจิ้มเฉยๆ ก็เจ็บนะครับท่าน...

“เรียกมัน...มันได้ไง เดี๋ยวฟาดหัวแตกเลย เรียกน้องสาวไอยเรศสิเว้ย” ท่านศาสตราแจกแจงการเรียกขานสรรพนามกล้วยไม้อันแสนรัก ให้ว่าที่ลูกเขยทราบใหม่

“อ๊ากอย่า...ครับ เรียกใหม่แล้ว ผมดูแลน้องไอย์จังเป็นอย่างดีแล้วครับท่าน...” ท่านศาสตรายิ้มกริ่มเชียว แถมชื่อพ่อหนุ่มนนท์ตั้งให้ใหม่ก็ไพเราะดีนี่หว่า

“น้ององ น้องไอ ที่ไหนกัน หือ!พ่อหนุ่มนนท์ คนที่เราจะต้องดูแล คือ น้องรินของแม่ต่างหากล่ะ”

“สะ...สวัสดีครับ คุณหญิง” ธารานนท์กำลังจะซวยชั้นที่สอง เพิ่งเจอคนเป็นพ่อจระเข้จัดการไปหยกๆ แม่จระเข้ก็โผล่มาเล่นงานต่ออีกแน่ๆ

“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ พ่อหนุ่มนนท์” คุณหญิงยิ้มหวานเอ็นดูให้เช่นเดิม แต่ดูชายหนุ่มลูกเขยจะทำตัวเกร็งๆ นะ จึงคว้าแขนดึงร่างสามีให้ออกมาห่างๆ ว่าที่ลูกเขย เพราะแกล้งจนจะขับรถหนีหัวหายกลับบ้านแล้วนะ ท่านศาสตราก็หยักไหล่ให้ภรรยา เพราะเป็นห่วงจนออกนอกหน้าก่อนท่านอีกต่างหาก ธารานนท์จึงหายใจโล่งคอหน่อยนึ่ง ก่อนนึกขึ้นได้ว่า ลูกจระเข้ยังไม่ได้ออกมานี่นา

“แล้ว ท่านนะ...เอ่อ...น้องริน” แถมเกือบสลับคำพูดเรียกชื่อท่าน ส.ส.สาว ไม่ทัน เมื่อเจอสายตาพิฆาตตั้งเป้ามาหา ถ้าเขาพูดผิดหูท่านทั้งสอง

“ยัยรินน่ะ ทำตัววิ่งแจ่นหายหัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” คุณหญิงบอกอย่างเอือมระอา กับพฤติกรรมของลูกสาวแสนรัก

“อะไรนะครับ หนีไปแล้วหรือครับ” เป็นข่าวที่ธารานนท์ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำตัวเป็นคนหนีปัญหา ฮึ! เจอพ่อแม่จับให้คบกับผู้ชายแค่เนี่ยเองนะ

“หนีบ้าบอเรอะพ่อหนุ่มนนท์ น้องไปปลดปล่อยชีวิตอิสระวันสุดท้ายต่างหากล่ะ ไม่รู้สายป่านนี้ ลุกตื่นจากเตียงที่นู้นได้หรือยังน้า” พ่อศาสตราแถลงข่าวให้ทราบชัดเจน ธารานนท์ต่างหากที่อึ้งกิมกี่ เตียงนอนที่ไหนกันครับ หวังว่าคงไม่ใช่...ผู้ชายสักตัวนะ ว่าที่ลูกเขยกำลังคิดภาพในหัวว่าหญิงสาวหน้าหวานไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหน ดวงตาคู่คมที่ตื่นกลัวคนเป็นพ่อและแม่ของฝ่ายหญิงก็เปลี่ยนไป

“แสดงว่าวันนี้ ผมก็มารับเธอเสียเที่ยวหรือครับ”

“ใช่จ๊ะ แค่ตอนเช้าเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพ่อนนท์ก็ไปรับช่วงเลิกงานแล้วนะ แม่ล่ะปวดกบาลกับลูกสาวคนนี้จริงๆ เลย” คุณหญิงนริศราทำท่ากุมขมับ

“พ่อขอโทษแทนน้องแล้วกันนะ ที่ทำให้พ่อนนท์ต้องขับรถมาเสียเวลา แถมไม่ได้เจอน้องด้วย...” พ่อศาสตราเดินเข้าตบบ่าชายหนุ่มที่ยังดูจะยืนนิ่งขรึมลงถนัดตาไป

“ไม่เป็นไรครับ งั้นเจอกันตอนเย็นนะครับ ผมจะรับคนหนีเที่ยวกลับมาส่งให้ถึงบ้านเองครับ”

“จ๊ะ แม่จะทำกับข้าวเย็น รอลูกทั้งสองนะจ๊ะ” แม่นริศราว่าจบ แล้วก็ยืนส่งว่าที่ลูกเขยพร้อมกับสามี

“แหมๆ ขับรถกลับรีสอร์ท ด้วยสีหน้าเครียดเชียวว่ะ ไอ้ลูกเขยคนนี้” ท่านศาสตราพูดทั้งอมยิ้มกับอากัปกริยาของคนเป็นลูกเขยเป้าหมาย

“ยะ ก็ใครให้คุณไปพูดคำกำกวม ให้พ่อหนุ่มนนท์คิดกันล่ะ” แม่นริศราเอ่ยขัด เพราะเห็นสีหน้ายินดีของสามีไม่ได้

“พ่อดูทั้งคู่ไม่ผิดใช่ไหม แม่ศรา” ท่านศาสตราเปลี่ยนท่ามายืนกอดอกตนเองถามคนเป็นภรรยา

“ไม่ทราบค่ะ แต่ถ้าลูกรักปล่อยให้หลุดมือไป แม่นี้แหละจะ...” แม่นริศราอยู่ๆ ก็หยุดพูดไปดื้อๆ ร้อนให้ฝ่ายสามีถามต่อ

“จะอะไรคุณ! คิดว่าผมจะปล่อยให้หลุดมือไปหรือไง”

“ไม่บอก คอยดูต่อไปก็แล้วกันพ่อศาสตรา” แม่นริศตราก็วางแผนสำรองไว้เหมือนกัน เมื่อฝ่ายสามีทำพลาด



เจ้าสีหมอกหรือรถกระบะสีดำคันแกร่งของกอหญ้ากำลังวิ่งเข้าเมือง เพื่อมาส่งท่านส.ส.ขวัญใจประชาชนที่อยู่ในชุดทำงานเก่าของกอหญ้าเป็นที่เรียบร้อย แต่ฟุ่บโน้มตัวนอนหมุนตักกอหญ้าและหลับต่อไปที่เบาะหลัง เนื่องจากว่ามรสารถีหนุ่มตื่นมาทันเวลาและอาสาขับรถมาส่ง แต่พอเห็นภาพแสดงความห่วงใยซึ่งกันและกันของสองสาว ก็ดันเกิดอาการหงุดหงิดหัวใจในวันใหม่ขึ้นซะงั้น

“ทำงานไหวไหมเนี่ย ยัยริน เมาซะหมดสภาพขวัญใจแม่ยกไปเลยนะ” กอหญ้าถามทั้งเอามือลูบทรงผมซอยสั้นนุ่มๆ ของนรินศาบนตักตนเอง

‘หมดสภาพขวัญใจแม่ยก แต่เป็นขวัญใจในหัวใจกอหญ้าเสมอนะคะ...’ พิริยะแทบเบ้ปากและคิดว่ากอหญ้าอยากจะพูดประโยคนี้ต่างหากล่ะ ติดที่ว่าเขาเสนอตัวเป็นคนขับรถให้อยู่ตอนนี้

“อืมๆ ไหวแน่นอน แค่นี้สบายมากๆ” นรินศาบอกทั้งยกทำมือรูปโอเคส่งให้เพื่อนสาวแสนรัก ยอมรับว่าหมดสภาพจริงๆ ต้องโทษผู้ชายกวนประสาทนั้น ที่ทำให้ท่านนรินศาต้องเมาหมดสภาพอีกครั้ง

“ถึงแล้วครับ ที่สำนักงานนี้ใช่ไหมครับ” พิริยะถาม เพราะจำได้เคยขับรถผ่านมาครั้งหนึ่งกับกอหญ้าในวันที่เกิดเหตุประท้วงล่ะมั้ง

“ใช่ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณพาย” นรินศาเอาศีรษะออกจากตักเพื่อนสาวแล้ว

“ไปทำงานก่อนนะ กอหญ้า” กำลังล่ำลาเพื่อนสาวแสนรัก ทว่าดวงตาของนรินศาก็เหลือบมองกระจกหน้ารถที่ส่องมา เธอจึงยิ้มๆ อย่างน่าเชือดหัวใจมาก แล้วขยับตัวพาริมฝีปากบางมาจุ๊บแก้มเพื่อนสาวคนสำคัญ แล้วเปิดประตูรถ พาร่างตัวเองออกจากรถกอหญ้าไปอย่างผู้มีชัยชนะ

ส่วนกอหญ้านั้นก็เริ่มจะรับรู้แล้ว ว่าเพื่อนนักการเมืองคนเก่งกำลังเล่นบทบาทอะไรอยู่นั่นสิ! เพราะได้เห็นสายตาตื่นตะลึงของพิริยะ พลางคิดว่าวันที่ยัยรินได้เจอกับพิริยะครั้งแรกนั้น คงเจอเพื่อนสาวแสนรักวางลูกระเบิดอะไรเอาไว้แน่ๆ

“คนของหญ้าเข้าไปทำงานแล้วค่ะ ช่วยขยับเกียร์รถและขับกลับบ้านได้ไหมคะ งานของนายยังมีอีกเพียบนะ” กอหญ้าก็เล่นบทต่อของยัยรินด้วยเลยแล้วกัน

“ครับ” เสียงขานรับกลับมา มันช่างดูจ๋อยๆ ลงทีเดียว สำหรับพิริยะที่ต้องการทวงหัวใจของเขาคืนมาอีกครั้ง

หันมาอีกฝั่งตรงกันข้ามใครจะรู้ว่า ยังมีอีกหนึ่งหัวใจที่กำลังเต้นกระตุกขุนเคืองในหน้าอกแกร่งตน เมื่อไม่ได้ขับรถกลับรีสอร์ทแมกไม้กอหญ้าตอนแรก ธารานนท์นั้นหันพวงมาลัยรถ ขอขับมาส่องดูโฉมหน้าสาวหวานที่สำนักงานทำงานเสียหน่อย และเธอยังทำตัวหนีเที่ยวสละโสด ด้วยการไปกกกอดนอนกับเจ้าของรถกระบะคันนั้นทั้งคืนอีก!



โปรดติดตามต่อไป

บทที่ 10 มัดเอาไว้เลยดีกว่า....

สปอรย์สั้นๆ

“ท่าน คือ ผู้หญิงของผม ขอให้จำเอาไว้ด้วยนะครับ” ธารานนท์ไม่ปล่อยให้สาวหน้าหวานที่กำลังจะคบด้วย ทำตัวฟรีแลนด์ไปนอนเตียงคนโน้น คนนี้ง่ายๆ หรอก เพราะเตียงที่เธอจะล้มตัวนอนได้ มันจะต้องเป็นเตียงของเขาเท่านั้น...


ปล.ลืมๆ อีกอย่าง อริฌาชวนไปอ่านพี่พายกับกอหญ้าค่ะ



http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=795863




Aricha
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2555, 22:09:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2556, 10:14:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1651





<< บทที่ 8 ข้อแลกเปลี่ยนหัวใจ   บทที่ 10 มัดเอาไว้เลยดีกว่า.... >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account