นิยามรักหัวใจร็อค ภาค 2 (นิยามรักของเจ้าชายเย็นชา)
เรื่องราวของอีริค หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ ที่แสนจะเงียบขรึม คนที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานดนตรีของ Evasion ผู้มีความหลังอันลึกลับ และขมขื่น ....
Tags: สิรินดา, นิยามรัก, หัวใจร็อค, แจ่มใส, ภาค 2,นิยาย, sirinda, jamsai, novels, love story, อีริค
ตอน: 31 : ความปวดร้าว ก็ยังวนเวียน...
มีเสียงบางอย่างปลุกให้เขาตื่น…
ตอนแรก อีริคคิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ ผ่านผนังข้างห้อง เขาขมวดคิ้ว และนอนฟังอีกครู่ใหญ่ พบว่าเสียงนั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ แน่แล้ว…หูของเขาไม่ได้ฝาด และสมองของเขาไม่ได้คิดไปเอง แต่รมิดากำลังร้องให้ช่วยอยู่แน่ๆ ไวเท่าความคิดเท้าของเขาค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ใช้มือนำทางอย่างเปะปะไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับคนฝ้าไข้
การที่เขาได้รับการดูแลร่างกายอย่างดีในโรงพยาบาลมาเกือบหนึ่งเดือน มีทีมแพทย์ที่รักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทำให้ ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟใหม้ของเขาดีขึ้นมากจนแทบจะเป็นปกติ ยกเว้นดวงตาที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่ไป ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสผนังห้องที่เย็นนิดๆ เท้าของเขาเตะเข้ากับโซฟารับแขกที่คนเฝ้าไข้มักใช้เป็นที่นอนดูละครเกาหลียามบ่าย โชคดีที่เขาก้าวไม่เร็วนัก จึงไม่ทำให้เจ้าตัวเสียหลักมาก ยังคงก้าวต่อไปยังส่วนที่แบ่งไว้สำหรับอีกคนได้
“ไม่…ไม่ อย่านะ ปล่อยฉันไป ปล๊อย…” เสียงร้องเบาๆ จากด้านใน ชายหนุ่มสัมผัสถูกเตียง
“คุณ…คุณ” อีริคเอ่ยเบาๆ เจ้าตัวรู้สึกว่าเขาอยู่ในห้องสองต่อสองกับอีกฝ่าย เมื่อไม่มีบุคคลที่สาม แสดงว่าเธอกำลัง…ฝัน
มันเป็นฝันร้ายเสียด้วย เขาคลำจนพบต้นแขนของอีกฝ่าย จึงเขย่าเบาๆ
“คุณ คุณ เป็นอะไรไป”
“อะ…อุ๊ย” ชายหนุ่มรู้สึกว่ารมิดาสะบัดตัวออกห่างโดยอัตโนมัติ “ปละ ปล่อยฉันนะ” คราวนี้คนที่เพิ่งฝันร้ายดิ้นอย่างแรง และขยับตัวหนีอีกครั้งตรงไปยังอีกฟากเตียงทันที “อ้าว เป็นคุณนั่นเอง …จะทำอะไรฉัน ออกไปนะ”
ในห้องไม่มืดจนเกินไปนักจากแสงไฟที่อยู่หัวเตียง ทำให้หญิงสาวเห็นคนป่วยได้ถนัด ความตกใจจากฝันร้าย ซึ่งมีหน้าตานักเลงชาวเกาหลีหน้าเข้มกำลังไล่จับตนเองลดลงไปกว่าครึ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีผ้าพันแผลผันรอบศรีษะบริเวณที่เป็นดวงตา มือป่ายสะเปะสะปะเพราะไม่รู้ทิศทาง
“เปล่า…ผมได้ยินเสียงคุณร้อง ก็เลยเดินมาดู”
ทั้งๆ ที่สายตามองไม่เห็นนี่นะ
อีริคได้ยินเสียงอีกฝ่ายก้าวลงจากเตียงอีกด้าน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ขอโทษที ฉันคงฝันร้ายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เป็นแบบนี้บ่อยนะ”
“คะ”
“ผมได้ยินคุณร้องให้ตอนกลางดึกบ่อยๆ แต่คราวนี้หนักกว่าทุกครั้ง ก็เลยคิดว่าเกิดเรื่อง”
รมิดากัดริมฝีปาก เธอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย รู้แต่ว่าตัวเองมักจะฝันร้ายถึงเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองที่เกาหลีอยู่เนืองๆ แต่ระยะหลังมันก็ห่างขึ้นเรื่อยๆ นี่นา
“ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ มันก็แค่ ฝันร้าย คุณไม่เคยฝันร้ายหรือคะ”
คนฟังถอนหายใจ อยากจะบอกว่าเขาฝันร้ายทุกวันนับแต่เกิดเรื่องกับครอบครัว เพิ่งจะมาจางหายไปก็ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ความทรงจำบางอย่างมันยากจะลืม ทั้งๆ ที่อยากลืม…เขาเข้าใจดี
“คุณไปนอนเถอะค่ะ”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว…” คนพูดทำท่าจะหันหลังกลับ แต่คงจะก้าวเร็วไปหน่อย ก็เลยเหมือนจะสะดุดขาตัวเอง เซจนต้องก้มลงมา เอามือยันเตียงไว้
“อ้าวคุณ…ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็ล้มกันพอดี” รมิดาปราดมาพยุงคนป่วย “มาฉันพาไปนอนดีกว่า แล้วนี่เดินได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” คนถามเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเห็นเขาเดินคล่องยังกับคนปกติ
“เดินได้นานแล้ว”
“อ้าวแล้ว…ทุกวันที่คุณให้ฉันพยุงนั่งรถเข็น มันหมายความว่ายังไง”
“ผมขี้เกียจเดิน ก็เลยให้คุณเข็นรถเข็นให้ ก็เท่านั้น” เขาตอบหน้าตาเฉย “คุณไม่เคยตามไปในห้องกายภาพบำบัดก็เลยไม่รู้ว่า…ผมเดินได้ตั้งนานแล้ว”
“…” คนฟังเม้มปาก พ่อมือกีตาร์นี่กวนอารมณ์คนเพิ่งตื่นเสียแล้ว
“มีความสุขนักหรือไง แกล้งคนอื่นได้นะ”
“ก็…เห็นคุณอยากดูแลคนป่วย ก็เลยป่วยให้เต็มที่เลยสิ”
“แล้วตาคุณเนี่ย ของจริงหรือของเล่น” คราวนี้คนพยุงปล่อยมืออีกฝ่าย ยืนเท้าเอวถามจริงจัง “อย่าบอกนะว่าแกล้งอีกน่ะ”
ทั้งคู่เดินมาถึงโซฟานั่งเล่นแล้ว อีริคสัมผัสรู้ได้ปลายนิ้ว เขาเลื่อนตัวลงไปนั่ง
“ไม่ได้แกล้ง”
“อ้าว แล้วนั่นจะทำอะไร ทำไมไม่ไปนอน”
“นอนไม่หลับแล้ว” คนพูดเอนหลังพิงโซฟา “มาคุยกันดีกว่า”
คนฟังมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ตีสามกว่าแล้ว
“เอ่อ…ฉันคิดว่า คุณน่าจะไปพักผ่อนดีกว่า”
“บอกแล้ว นอนตอนนี้ก็ไม่หลับ ผมนอนทั้งวันอยู่แล้ว คุณเองก็เถอะ นอนตอนนี้คิดว่าจะไม่กลับไปฝันเรื่องเดิมอีกรึไง”
คนฟังเม้มปาก ก็จริง ให้นอนตอนนี้ ยังไงๆ ก็คงนอนไม่หลับแน่
“มานั่งคุยกันเถอะ”
นายจะได้เทศนาฉันเรื่องที่ฉันไปตามพ่อกับแม่ของนายมาเยี่ยมจนถึงที่นี่ใช่ไหมล่ะ ไม่เอาหรอกย่ะ…
“ไหนว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ชดเชยทุกอย่างที่เกิดกับผม ไหนว่าจะตามใจทุกอย่าง แต่รู้สึกว่าความเป็นจริงแล้วคุณจะขัดใจผมทุกเรื่องเลยนะ”
นั่นไง เริ่มแล้ว…
“ฉันคิดว่า ไปนอนต่อดีกว่า เกือบสว่างแล้ว คงไม่ฝันอะไรแล้วล่ะ คุณอย่างนั่งเล่น ยังไม่นอน เดี๋ยวฉันจะไปหยิบเครื่องเล่นเพลงมาให้เพลินๆ ก็แล้วกัน” คนพูดเตรียมตัวชิ่งกลับไปบริเวณเซฟโซน หรือที่ส่วนตัวของตนเอง เพียงแต่เธอทำได้แค่เดินผ่านคนเจ็บ ก็ถูกเขาคว้าแขนเอาไว้ด้วยความแม่นยำยังกับตาเห็น เจ้าตัวอยากจะสะบัดออก แต่ก็…ไม่กล้าทำ
“พ่อคุณเป็นไงบ้าง”
หญิงสาวชะงัก อาการขัดขืนทั้งหมดมลายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะประโยคนั้น
เธอรู้ดีว่า ผู้ชายคนนี้เกลียดพ่อของเธอเข้าใส้ เขาไม่เคยเอ่ยชื่อ ไม่เคยถามถึงเลยตลอดเวลาที่เธอมาดูและอาการป่วยของเขา ครั้งนี้ น้ำเสียงคนถามเหมือนจะถามด้วยความเป็นห่วง…ถ้าเธอหูไม่ฝาด หรือคิดมากไปเอง
“ผมถาม…ทำไมยืนเฉย”
มือเรียวยาวแต่แข็งแรงของเขาจับข้อมือของเธอไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะป่วย แต่อาการโดยรวมทางร่างกายแทบจะปกติแล้ว การดึงร่างอีกร่างให้เซ และนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆ กันทำได้ไม่ยากเลย ยิ่งใจขณะที่ผู้ถูกดึงอยู่ในอาการกึ่งงง กึ่งตกใจแบบนี้
รมิดานั่งลงข้างชายหนุ่ม อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น
เขาปล่อยข้อมือเธอทันทีที่เธอนั่งลง หญิงสาวมองเสี้ยวหน้านิ่งๆ ภายใต้ผ้าปิดตานั่นอย่างขอบคุณ…เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจแสดงเจตนาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอไปมากกว่านั้น
“ฉันไม่คิดว่าคุณอยากรู้…เรื่องของท่าน” คนฟังตอบเสียงเบา เรื่องที่แม่กับพ่อจะหย่ากันเพิ่งเข้าถึงหูของเธอไม่นานนี้ มันส่งผลกระทบทางจิตใจให้รมิดาไม่น้อย การถามเรื่องพ่อเหมือนกับการกวนตะกอนที่ขุ่นของเธอให้
เหมือนสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของตนเองหายไป…จากเดิมที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เธอยึดเหนี่ยวจิตใจได้อยู่แล้ว พ่อที่ทำงานหนัก ยุ่งกับเรื่องการเมือง เลือกตั้งตลอดหลายปี แม่ที่เอาแต่ออกงานสังคมเพื่อรักษาหน้าตาและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนเอง
แต่ทั้งคู่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นั่นหมายความว่า หากเธอมีปัญหาอะไร จะมีคนที่คอยโอบอุ้มคุ้มครอง ถึงแม้จะเป็นการคุ้มครองด้วยปัจจัยทางการเงินเป็นหลักก็ตาม
ตอนนี้…ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว
ไม่มีบ้าน เพราะธนาคารจะยึดในอีกไม่กี่เดือน
ไม่มีงาน เพราะก่อนหน้านั้น เธอไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับการเรียน จึงเรียนไม่จบเสียที หากจะกลับไปเรียนอีก ก็คงใช้เงินไม่น้อย
ความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเคยเป็น เมื่อตอนทีเกิดเรื่องร้ายๆ กับครอบครัวของเขา
“ผมอยากรู้” เขาตอบสั้นๆ
“เพราะคุณห่วงพี่สา ฉันเข้าใจค่ะ เธอสบายดี คุณดินดูแลเธอเป็นอย่างดี ช่วยเหลือทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องหาบ้านใหม่ให้พวกเราด้วย”
“บ้านใหม่ ทำไมล่ะ สองคนนั่นจะแต่งงานกันรึไง” คนถามขมวดคิ้ว
หญิงสาวส่ายหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น “เปล่าค่ะ บ้าน…กำลังจะถูกธนาคารยึด พี่สาอยากหาที่อยู่ใหม่ที่มันเล็กๆ เหมาะสำหรับเราสองคนมากกว่าแบบเดิม” เสียงตอนท้ายเครือลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพบ้านที่มีแต่เพียงตนเองและพี่สาว ไม่มีพ่อ แม่ และคนรับใช้แวดล้อมแบบเดิม
และคงอีกไม่นาน พี่สาวก็คงแต่งงานไปอยู่กับปฐพี อย่างที่อีริคพูด…
คราวนี้ บ้านหลังใหม่ ก็จะมีเธออยู่ คนเดียว…คนคิดกลืนก้อนแข็งๆ ที่อัดแน่นอยู่ในลำคอ แอบเอาปลายนิ้วกรีดน้ำตาที่ปริ่มขอบตา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเห็น จึงปล่อยให้น้ำตาไหลเอ่ออยู่ที่ขอบตาโดยไม่เช็ดมันออก
อีริคไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เขารู้ว่านายดิเรกมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดที่ต้องถูกยึดบ้าน
บ้าน…เขารู้จักความหมายของคำนั้นดี เขาเองก็เกือบเป็นคนไม่มีบ้านเพราะการทำธุรกิจล้มเหลวของพ่อ โชคดีที่ตอนนั้นเขามีดนตรีเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ทำให้ผ่านเรื่องราวในครั้งนั้นมาได้อย่างรอดปลอดภัย และได้เรียนจบ (จากการผลักดันอย่างจริงจังของอีวาน) มีอาชีพที่มมั่นคงอย่างที่เป็นอยู่
“….ผมไม่น่าถามเลยสินะ” เขาเอ่ยขึ้น หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปหลายวินาที ความเงียบบางทีมันก็บอกเรื่องราวของมันเอง ในกรณีนี้ ความเงียบที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวินาทีที่ผ่านมา มีกระแสความรู้สึกเศร้าอย่างล้ำลึกของรมิดาแผ่ออกมาอย่างมากมาย
ท่าทีร่าเริง น้ำเสียงใสๆ นั่นเป็นเพียงการปกปิดอารมณ์ลึกๆ เหล่านี้สินะ
ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มเลื่อนไปข้างตัวด้านที่รู้ว่าหญิงสาวนั่งอยู่โดยอัตโนมัติเกินที่ความคิดด้วยเหตุผลจะยั้งได้ทัน มันแตะเข้ากับปลายนิ้วของอีกฝ่าย ก่อนจะรวบนิ้วมือข้างนั้นของหญิงสาวไว้ในอุ้งมือ เขารู้สึกได้ว่าไหล่รมิดาสั่น
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กหลงทาง…” เธอเอ่ยเสียงเบา ยังสั่นทั้งๆ ที่เจ้าตัวพยายามควบคุมไว้อย่างเต็มที่ “ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี…ไม่รู้ว่าจะต้องก้าวไปทางไหนก่อน ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาไหนก่อน ฉันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรพี่สาก็ไม่ได้เลย มันไร้ค่าชะมัด”
“คุณไม่จำเป็นต้อง…”
“ทุกคนคิดว่าฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นน้อง ไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวทุกคนก็จะช่วยฉันเอง แต่…การที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเจ็บปวดชะมัด แถมทำให้ทุกคนเป็นห่วงเพราะเรื่องเดือดร้อนทีเกิดขึ้นที่เกาหลีอีก…” น้ำตาของคนพูดไหลออกมาเรื่อยๆ อย่างที่เจ้าตัวหยุดมันไม่ได้ “ไม่รู้จะเล่าให้คุณสมน้ำหน้าฉันทำไม ให้ตายเถอะ”
อีริคส่ายหัว “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรอกนะ…ฝน”
เป็นครั้งแรกที่อีริคเอ่ยชื่อเล่นของรมิดาออกมาตรงๆ เธอสะดุดใจกับน้ำเสียงเครียดๆ ของเขา
“ผมไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นเลย …ให้ตายเถอะ” เขาเองก็พูดมันออกมาจากความรู้สึกลึกๆ ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นจนเจ้าตัวแน่ใจ การเปลี่ยนแปลงในทางเลวร้ายลงเรื่อยๆ ของครอบครัวของนายดิเรกเคยทำให้เขารู้สึกดี มีความสุขมากในตอนแรก แต่พอเวลาผ่านไป เขากลับรู้สึกมีความสุขกับรสชาติของความทุกข์เหล่านั้นน้อยลงเรื่อยๆ
ยิ่งเจ้าตัวมาตกอยู่ในสภาพของคนที่ต้องนอนนิ่งๆ ทำอะไรไม่ได้ มองไม่เห็น ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนอะไรมากขึ้น
เวลาผ่านไป อะไรๆ ที่เคยเจ็บปวดในวันเก่าๆ ของเขาดูเหมือนจะลดน้อยลง ตอนนี้พ่อของเขามีชีวิตของตัวเองที่มีความสุขแบบพอเพียง แม่มีคนดูแลเอาใจใส่ที่ทำให้ท่านมีความสุขได้มากกว่าที่ท่านเคยคาดหวังและเขาจะให้ได้…ท้ายที่สุด ครอบครัวของเขาก็ยังคงอยู่
บางที…ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนผ่านไป และคลี่คลายไปในทางของมัน
อีริคดึงร่างบางข้างกายเข้าหาตัวอย่างอัตโนมัติ เขาตวัดอ้อมแขนดึงเธอเข้าสู้อ้อมอก …เท่านั้นเอง ที่รมิดาปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง ทำนบน้ำตาพังทลาย ไหลทะลักออกมาอย่างที่เจ้าตัวหยุดไม่ได้…และไม่อยากหยุดมันอีกแล้ว
ตอนแรก อีริคคิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ ผ่านผนังข้างห้อง เขาขมวดคิ้ว และนอนฟังอีกครู่ใหญ่ พบว่าเสียงนั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ แน่แล้ว…หูของเขาไม่ได้ฝาด และสมองของเขาไม่ได้คิดไปเอง แต่รมิดากำลังร้องให้ช่วยอยู่แน่ๆ ไวเท่าความคิดเท้าของเขาค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ใช้มือนำทางอย่างเปะปะไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับคนฝ้าไข้
การที่เขาได้รับการดูแลร่างกายอย่างดีในโรงพยาบาลมาเกือบหนึ่งเดือน มีทีมแพทย์ที่รักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทำให้ ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากไฟใหม้ของเขาดีขึ้นมากจนแทบจะเป็นปกติ ยกเว้นดวงตาที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่ไป ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วสัมผัสผนังห้องที่เย็นนิดๆ เท้าของเขาเตะเข้ากับโซฟารับแขกที่คนเฝ้าไข้มักใช้เป็นที่นอนดูละครเกาหลียามบ่าย โชคดีที่เขาก้าวไม่เร็วนัก จึงไม่ทำให้เจ้าตัวเสียหลักมาก ยังคงก้าวต่อไปยังส่วนที่แบ่งไว้สำหรับอีกคนได้
“ไม่…ไม่ อย่านะ ปล่อยฉันไป ปล๊อย…” เสียงร้องเบาๆ จากด้านใน ชายหนุ่มสัมผัสถูกเตียง
“คุณ…คุณ” อีริคเอ่ยเบาๆ เจ้าตัวรู้สึกว่าเขาอยู่ในห้องสองต่อสองกับอีกฝ่าย เมื่อไม่มีบุคคลที่สาม แสดงว่าเธอกำลัง…ฝัน
มันเป็นฝันร้ายเสียด้วย เขาคลำจนพบต้นแขนของอีกฝ่าย จึงเขย่าเบาๆ
“คุณ คุณ เป็นอะไรไป”
“อะ…อุ๊ย” ชายหนุ่มรู้สึกว่ารมิดาสะบัดตัวออกห่างโดยอัตโนมัติ “ปละ ปล่อยฉันนะ” คราวนี้คนที่เพิ่งฝันร้ายดิ้นอย่างแรง และขยับตัวหนีอีกครั้งตรงไปยังอีกฟากเตียงทันที “อ้าว เป็นคุณนั่นเอง …จะทำอะไรฉัน ออกไปนะ”
ในห้องไม่มืดจนเกินไปนักจากแสงไฟที่อยู่หัวเตียง ทำให้หญิงสาวเห็นคนป่วยได้ถนัด ความตกใจจากฝันร้าย ซึ่งมีหน้าตานักเลงชาวเกาหลีหน้าเข้มกำลังไล่จับตนเองลดลงไปกว่าครึ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีผ้าพันแผลผันรอบศรีษะบริเวณที่เป็นดวงตา มือป่ายสะเปะสะปะเพราะไม่รู้ทิศทาง
“เปล่า…ผมได้ยินเสียงคุณร้อง ก็เลยเดินมาดู”
ทั้งๆ ที่สายตามองไม่เห็นนี่นะ
อีริคได้ยินเสียงอีกฝ่ายก้าวลงจากเตียงอีกด้าน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ขอโทษที ฉันคงฝันร้ายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เป็นแบบนี้บ่อยนะ”
“คะ”
“ผมได้ยินคุณร้องให้ตอนกลางดึกบ่อยๆ แต่คราวนี้หนักกว่าทุกครั้ง ก็เลยคิดว่าเกิดเรื่อง”
รมิดากัดริมฝีปาก เธอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย รู้แต่ว่าตัวเองมักจะฝันร้ายถึงเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองที่เกาหลีอยู่เนืองๆ แต่ระยะหลังมันก็ห่างขึ้นเรื่อยๆ นี่นา
“ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ มันก็แค่ ฝันร้าย คุณไม่เคยฝันร้ายหรือคะ”
คนฟังถอนหายใจ อยากจะบอกว่าเขาฝันร้ายทุกวันนับแต่เกิดเรื่องกับครอบครัว เพิ่งจะมาจางหายไปก็ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ความทรงจำบางอย่างมันยากจะลืม ทั้งๆ ที่อยากลืม…เขาเข้าใจดี
“คุณไปนอนเถอะค่ะ”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว…” คนพูดทำท่าจะหันหลังกลับ แต่คงจะก้าวเร็วไปหน่อย ก็เลยเหมือนจะสะดุดขาตัวเอง เซจนต้องก้มลงมา เอามือยันเตียงไว้
“อ้าวคุณ…ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็ล้มกันพอดี” รมิดาปราดมาพยุงคนป่วย “มาฉันพาไปนอนดีกว่า แล้วนี่เดินได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” คนถามเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเห็นเขาเดินคล่องยังกับคนปกติ
“เดินได้นานแล้ว”
“อ้าวแล้ว…ทุกวันที่คุณให้ฉันพยุงนั่งรถเข็น มันหมายความว่ายังไง”
“ผมขี้เกียจเดิน ก็เลยให้คุณเข็นรถเข็นให้ ก็เท่านั้น” เขาตอบหน้าตาเฉย “คุณไม่เคยตามไปในห้องกายภาพบำบัดก็เลยไม่รู้ว่า…ผมเดินได้ตั้งนานแล้ว”
“…” คนฟังเม้มปาก พ่อมือกีตาร์นี่กวนอารมณ์คนเพิ่งตื่นเสียแล้ว
“มีความสุขนักหรือไง แกล้งคนอื่นได้นะ”
“ก็…เห็นคุณอยากดูแลคนป่วย ก็เลยป่วยให้เต็มที่เลยสิ”
“แล้วตาคุณเนี่ย ของจริงหรือของเล่น” คราวนี้คนพยุงปล่อยมืออีกฝ่าย ยืนเท้าเอวถามจริงจัง “อย่าบอกนะว่าแกล้งอีกน่ะ”
ทั้งคู่เดินมาถึงโซฟานั่งเล่นแล้ว อีริคสัมผัสรู้ได้ปลายนิ้ว เขาเลื่อนตัวลงไปนั่ง
“ไม่ได้แกล้ง”
“อ้าว แล้วนั่นจะทำอะไร ทำไมไม่ไปนอน”
“นอนไม่หลับแล้ว” คนพูดเอนหลังพิงโซฟา “มาคุยกันดีกว่า”
คนฟังมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ตีสามกว่าแล้ว
“เอ่อ…ฉันคิดว่า คุณน่าจะไปพักผ่อนดีกว่า”
“บอกแล้ว นอนตอนนี้ก็ไม่หลับ ผมนอนทั้งวันอยู่แล้ว คุณเองก็เถอะ นอนตอนนี้คิดว่าจะไม่กลับไปฝันเรื่องเดิมอีกรึไง”
คนฟังเม้มปาก ก็จริง ให้นอนตอนนี้ ยังไงๆ ก็คงนอนไม่หลับแน่
“มานั่งคุยกันเถอะ”
นายจะได้เทศนาฉันเรื่องที่ฉันไปตามพ่อกับแม่ของนายมาเยี่ยมจนถึงที่นี่ใช่ไหมล่ะ ไม่เอาหรอกย่ะ…
“ไหนว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ชดเชยทุกอย่างที่เกิดกับผม ไหนว่าจะตามใจทุกอย่าง แต่รู้สึกว่าความเป็นจริงแล้วคุณจะขัดใจผมทุกเรื่องเลยนะ”
นั่นไง เริ่มแล้ว…
“ฉันคิดว่า ไปนอนต่อดีกว่า เกือบสว่างแล้ว คงไม่ฝันอะไรแล้วล่ะ คุณอย่างนั่งเล่น ยังไม่นอน เดี๋ยวฉันจะไปหยิบเครื่องเล่นเพลงมาให้เพลินๆ ก็แล้วกัน” คนพูดเตรียมตัวชิ่งกลับไปบริเวณเซฟโซน หรือที่ส่วนตัวของตนเอง เพียงแต่เธอทำได้แค่เดินผ่านคนเจ็บ ก็ถูกเขาคว้าแขนเอาไว้ด้วยความแม่นยำยังกับตาเห็น เจ้าตัวอยากจะสะบัดออก แต่ก็…ไม่กล้าทำ
“พ่อคุณเป็นไงบ้าง”
หญิงสาวชะงัก อาการขัดขืนทั้งหมดมลายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะประโยคนั้น
เธอรู้ดีว่า ผู้ชายคนนี้เกลียดพ่อของเธอเข้าใส้ เขาไม่เคยเอ่ยชื่อ ไม่เคยถามถึงเลยตลอดเวลาที่เธอมาดูและอาการป่วยของเขา ครั้งนี้ น้ำเสียงคนถามเหมือนจะถามด้วยความเป็นห่วง…ถ้าเธอหูไม่ฝาด หรือคิดมากไปเอง
“ผมถาม…ทำไมยืนเฉย”
มือเรียวยาวแต่แข็งแรงของเขาจับข้อมือของเธอไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะป่วย แต่อาการโดยรวมทางร่างกายแทบจะปกติแล้ว การดึงร่างอีกร่างให้เซ และนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆ กันทำได้ไม่ยากเลย ยิ่งใจขณะที่ผู้ถูกดึงอยู่ในอาการกึ่งงง กึ่งตกใจแบบนี้
รมิดานั่งลงข้างชายหนุ่ม อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น
เขาปล่อยข้อมือเธอทันทีที่เธอนั่งลง หญิงสาวมองเสี้ยวหน้านิ่งๆ ภายใต้ผ้าปิดตานั่นอย่างขอบคุณ…เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจแสดงเจตนาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอไปมากกว่านั้น
“ฉันไม่คิดว่าคุณอยากรู้…เรื่องของท่าน” คนฟังตอบเสียงเบา เรื่องที่แม่กับพ่อจะหย่ากันเพิ่งเข้าถึงหูของเธอไม่นานนี้ มันส่งผลกระทบทางจิตใจให้รมิดาไม่น้อย การถามเรื่องพ่อเหมือนกับการกวนตะกอนที่ขุ่นของเธอให้
เหมือนสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของตนเองหายไป…จากเดิมที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เธอยึดเหนี่ยวจิตใจได้อยู่แล้ว พ่อที่ทำงานหนัก ยุ่งกับเรื่องการเมือง เลือกตั้งตลอดหลายปี แม่ที่เอาแต่ออกงานสังคมเพื่อรักษาหน้าตาและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนเอง
แต่ทั้งคู่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นั่นหมายความว่า หากเธอมีปัญหาอะไร จะมีคนที่คอยโอบอุ้มคุ้มครอง ถึงแม้จะเป็นการคุ้มครองด้วยปัจจัยทางการเงินเป็นหลักก็ตาม
ตอนนี้…ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว
ไม่มีบ้าน เพราะธนาคารจะยึดในอีกไม่กี่เดือน
ไม่มีงาน เพราะก่อนหน้านั้น เธอไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับการเรียน จึงเรียนไม่จบเสียที หากจะกลับไปเรียนอีก ก็คงใช้เงินไม่น้อย
ความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเคยเป็น เมื่อตอนทีเกิดเรื่องร้ายๆ กับครอบครัวของเขา
“ผมอยากรู้” เขาตอบสั้นๆ
“เพราะคุณห่วงพี่สา ฉันเข้าใจค่ะ เธอสบายดี คุณดินดูแลเธอเป็นอย่างดี ช่วยเหลือทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องหาบ้านใหม่ให้พวกเราด้วย”
“บ้านใหม่ ทำไมล่ะ สองคนนั่นจะแต่งงานกันรึไง” คนถามขมวดคิ้ว
หญิงสาวส่ายหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น “เปล่าค่ะ บ้าน…กำลังจะถูกธนาคารยึด พี่สาอยากหาที่อยู่ใหม่ที่มันเล็กๆ เหมาะสำหรับเราสองคนมากกว่าแบบเดิม” เสียงตอนท้ายเครือลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพบ้านที่มีแต่เพียงตนเองและพี่สาว ไม่มีพ่อ แม่ และคนรับใช้แวดล้อมแบบเดิม
และคงอีกไม่นาน พี่สาวก็คงแต่งงานไปอยู่กับปฐพี อย่างที่อีริคพูด…
คราวนี้ บ้านหลังใหม่ ก็จะมีเธออยู่ คนเดียว…คนคิดกลืนก้อนแข็งๆ ที่อัดแน่นอยู่ในลำคอ แอบเอาปลายนิ้วกรีดน้ำตาที่ปริ่มขอบตา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเห็น จึงปล่อยให้น้ำตาไหลเอ่ออยู่ที่ขอบตาโดยไม่เช็ดมันออก
อีริคไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เขารู้ว่านายดิเรกมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดที่ต้องถูกยึดบ้าน
บ้าน…เขารู้จักความหมายของคำนั้นดี เขาเองก็เกือบเป็นคนไม่มีบ้านเพราะการทำธุรกิจล้มเหลวของพ่อ โชคดีที่ตอนนั้นเขามีดนตรีเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ทำให้ผ่านเรื่องราวในครั้งนั้นมาได้อย่างรอดปลอดภัย และได้เรียนจบ (จากการผลักดันอย่างจริงจังของอีวาน) มีอาชีพที่มมั่นคงอย่างที่เป็นอยู่
“….ผมไม่น่าถามเลยสินะ” เขาเอ่ยขึ้น หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปหลายวินาที ความเงียบบางทีมันก็บอกเรื่องราวของมันเอง ในกรณีนี้ ความเงียบที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวินาทีที่ผ่านมา มีกระแสความรู้สึกเศร้าอย่างล้ำลึกของรมิดาแผ่ออกมาอย่างมากมาย
ท่าทีร่าเริง น้ำเสียงใสๆ นั่นเป็นเพียงการปกปิดอารมณ์ลึกๆ เหล่านี้สินะ
ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มเลื่อนไปข้างตัวด้านที่รู้ว่าหญิงสาวนั่งอยู่โดยอัตโนมัติเกินที่ความคิดด้วยเหตุผลจะยั้งได้ทัน มันแตะเข้ากับปลายนิ้วของอีกฝ่าย ก่อนจะรวบนิ้วมือข้างนั้นของหญิงสาวไว้ในอุ้งมือ เขารู้สึกได้ว่าไหล่รมิดาสั่น
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กหลงทาง…” เธอเอ่ยเสียงเบา ยังสั่นทั้งๆ ที่เจ้าตัวพยายามควบคุมไว้อย่างเต็มที่ “ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดี…ไม่รู้ว่าจะต้องก้าวไปทางไหนก่อน ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาไหนก่อน ฉันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรพี่สาก็ไม่ได้เลย มันไร้ค่าชะมัด”
“คุณไม่จำเป็นต้อง…”
“ทุกคนคิดว่าฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นน้อง ไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวทุกคนก็จะช่วยฉันเอง แต่…การที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเจ็บปวดชะมัด แถมทำให้ทุกคนเป็นห่วงเพราะเรื่องเดือดร้อนทีเกิดขึ้นที่เกาหลีอีก…” น้ำตาของคนพูดไหลออกมาเรื่อยๆ อย่างที่เจ้าตัวหยุดมันไม่ได้ “ไม่รู้จะเล่าให้คุณสมน้ำหน้าฉันทำไม ให้ตายเถอะ”
อีริคส่ายหัว “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรอกนะ…ฝน”
เป็นครั้งแรกที่อีริคเอ่ยชื่อเล่นของรมิดาออกมาตรงๆ เธอสะดุดใจกับน้ำเสียงเครียดๆ ของเขา
“ผมไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นเลย …ให้ตายเถอะ” เขาเองก็พูดมันออกมาจากความรู้สึกลึกๆ ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นจนเจ้าตัวแน่ใจ การเปลี่ยนแปลงในทางเลวร้ายลงเรื่อยๆ ของครอบครัวของนายดิเรกเคยทำให้เขารู้สึกดี มีความสุขมากในตอนแรก แต่พอเวลาผ่านไป เขากลับรู้สึกมีความสุขกับรสชาติของความทุกข์เหล่านั้นน้อยลงเรื่อยๆ
ยิ่งเจ้าตัวมาตกอยู่ในสภาพของคนที่ต้องนอนนิ่งๆ ทำอะไรไม่ได้ มองไม่เห็น ทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนอะไรมากขึ้น
เวลาผ่านไป อะไรๆ ที่เคยเจ็บปวดในวันเก่าๆ ของเขาดูเหมือนจะลดน้อยลง ตอนนี้พ่อของเขามีชีวิตของตัวเองที่มีความสุขแบบพอเพียง แม่มีคนดูแลเอาใจใส่ที่ทำให้ท่านมีความสุขได้มากกว่าที่ท่านเคยคาดหวังและเขาจะให้ได้…ท้ายที่สุด ครอบครัวของเขาก็ยังคงอยู่
บางที…ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนผ่านไป และคลี่คลายไปในทางของมัน
อีริคดึงร่างบางข้างกายเข้าหาตัวอย่างอัตโนมัติ เขาตวัดอ้อมแขนดึงเธอเข้าสู้อ้อมอก …เท่านั้นเอง ที่รมิดาปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง ทำนบน้ำตาพังทลาย ไหลทะลักออกมาอย่างที่เจ้าตัวหยุดไม่ได้…และไม่อยากหยุดมันอีกแล้ว
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2555, 21:13:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2555, 21:44:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 4182
<< 30 : สิ่งที่เปลี่ยนไป | 32 : โอเคค่ะ ฉันจะไปกับคุณ >> |
ตุ๊งแช่ 26 ธ.ค. 2555, 21:45:22 น.
ง่า อีริคเริ่มหลงรัก รมิดาแล้วใช่ไหมค่ะ นึกว่าตาฝาด เห็นนิยายพี่ตา
ง่า อีริคเริ่มหลงรัก รมิดาแล้วใช่ไหมค่ะ นึกว่าตาฝาด เห็นนิยายพี่ตา
สิรินดา 26 ธ.ค. 2555, 21:51:05 น.
ไม่ได้ฝาด ไม่ได้ฝันไปจ้าน้อง
ไม่ได้ฝาด ไม่ได้ฝันไปจ้าน้อง
kaelek 26 ธ.ค. 2555, 22:09:53 น.
รักกัน รักกัน
รักกัน รักกัน
parinratn 26 ธ.ค. 2555, 23:55:51 น.
ซึ้งใจ
ซึ้งใจ
คิมหันตุ์ 26 ธ.ค. 2555, 23:59:52 น.
ไม่ได้เป็นเจ้าชายเย็นชาแล้ว...ตอนนี้
ไม่ได้เป็นเจ้าชายเย็นชาแล้ว...ตอนนี้
ของขวัญ 27 ธ.ค. 2555, 00:14:43 น.
เรื่องร้ายๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะพี่ตา
เรื่องร้ายๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะพี่ตา
ree 27 ธ.ค. 2555, 02:11:12 น.
ให้คลางแคลงใจพฤติกรรมของอิริคนิดนึงอยู่ดี
ให้คลางแคลงใจพฤติกรรมของอิริคนิดนึงอยู่ดี
konhin 27 ธ.ค. 2555, 02:23:48 น.
โอ น่าสงสารอ่ะ
โอ น่าสงสารอ่ะ
รัชต์ 27 ธ.ค. 2555, 05:50:35 น.
ได้ปลอบซะละ..
ได้ปลอบซะละ..
supayalak 27 ธ.ค. 2555, 11:03:37 น.
รักค่อยๆ ซึมลึกแล้วเนอะ
รักค่อยๆ ซึมลึกแล้วเนอะ
ปอยอะนะ 27 ธ.ค. 2555, 18:55:16 น.
ชนาพัทธ์ 28 ธ.ค. 2555, 20:20:14 น.
ปลอบกันดีๆ น้าาา จะได้รักกันมากๆ ^^
ปลอบกันดีๆ น้าาา จะได้รักกันมากๆ ^^
Zephyr 31 ธ.ค. 2555, 10:56:55 น.
เริ่มทำทุกสิ่งออกมาเป็นการกระทำที่ไม่ผ่านสมองแล้วน้า อีริค
ใช้หัวใจให้มากขึ้นมันไม่ลำบากสักนิด จิงป่ะ
แถมยังได้ร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดอีก หึหึ อีริคหื่นนนน 555 เอ๊ะ หรือชั้นเอง คริคริ
เริ่มทำทุกสิ่งออกมาเป็นการกระทำที่ไม่ผ่านสมองแล้วน้า อีริค
ใช้หัวใจให้มากขึ้นมันไม่ลำบากสักนิด จิงป่ะ
แถมยังได้ร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดอีก หึหึ อีริคหื่นนนน 555 เอ๊ะ หรือชั้นเอง คริคริ
khuan 24 ม.ค. 2556, 15:18:35 น.
รอๆๆตอนต่อไปค่ะ ลุ้นๆๆๆ ^^
รอๆๆตอนต่อไปค่ะ ลุ้นๆๆๆ ^^