แหวนแทนรัก
เธอ... มาพร้อมกับห่อผ้าแห่งความรัก ในนั้น คือเถ้าธุลีสีขาวนวล เถ้า... ที่เปรียบเสมือนฝุ่นผงแห่งความทรงจำ และแล้ว... อิงอรก็ทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเขาจริงๆ

เมื่อในที่สุด แหวนวงนั้นได้ชักนำคนสำคัญ รวมทั้งจิตวิญญาณแห่งเถ้าธุลีมาพบและอยู่ด้วยกันตราบชั่วนิจนิรันดร...
Tags: แหวนแทนรัก,เคียงอักษร

ตอน: บทนำ



บทนำ

ลมโชยพลิ้วแผ่วเมื่อครู่รุนแรงขึ้นจนร่างสูงในเสื้อลายสก๊อตสีน้ำเงินจางพับแขนกับกางเกงยีนสีซีดต้องซอยเท้าตรงไปยังหน้าต่างโดยเร็ว ทว่าก็ยังช้ากว่าแรงลมที่พัดจนปัดหน้าต่างปิดกระทบวงกบดังปึงปัง พลันคิ้วหนาก็ต้องขมวดมุ่น หัวใจเดียวดายกระตุกฮวบ เมื่อยินเสียงกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งข้างกันประดับไว้ด้วยแจกันดอกเบญจมาศตกกระทบพื้นกระดานมันปลาบดังเพล้ง...

มือที่หมายจะคว้าหน้าต่างลงปิดต้องชะงัก ร่างทั้งร่างชาวาบก่อนหมุนตัวและสาวเท้าก้าวไปยังกรอบรูปที่แตกละเอียดด้วยหัวใจอันแตกยับ!

กรอบรูปเล็กๆที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นกระดานนั้น ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยมืออันสั่นเทา...
ภาพดวงหน้าหวานในกรอบรูปจืดจางตามกาล...

ทว่ารอยยิ้มที่เคยหม่นมัวแลดูคล้ายสดใสกว่าแต่ก่อน ตรงกันข้ามกับกระจกที่แตกกระจาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มิอาจต่อติดได้ดุจเดิม

...หรือถึงเวลาที่เขาจะต้องเปลี่ยนกรอบรูปเรือนใหม่เสียที

ดวงตาแดงช้ำเหม่อมองขึ้นไปบนกลุ่มควันสีเทาที่ลอยคว้างเป็นสายขึ้นสู่นภากว้างใหญ่ ขนตายาวงอนกะพริบปัดเป่าความอ่อนแอให้เหือดแห้งตามสายลมที่พัดเยือกเมื่อไหล่ข้างหนึ่งถูกแตะลงมาด้วยฝ่ามืออุ่น

“แม่เขาไปสบายแล้ว... ลูกกลับบ้านก่อนเถอะนะ ทางนี้ พ่อบอกจ้างสัปเหร่อให้เก็บเถ้ากระดูกของแม่ไว้แล้ว พรุ่งนี้เราค่อยมารับกัน...”

คำพูดของผู้เป็นบิดาทำให้คนฟังเม้มปากแน่น ร่างแบบบางในชุดสีดำสนิทตัดกับผิวขาวซีดบอบบางจนดูคล้ายจะปลิวลมแข็งขืนขึ้น พร้อมกับหมุนตัวกลับมาสบตาบิดาด้วยความเร็ว ใบหน้าเผือดสีไร้เครื่องสำอางของสาวน้อยมองบิดาด้วยสายตาตัดพ้อ ทว่าเมื่อมองไปยังเบื้องหลังจึงเห็นผู้หญิงอีกนางยืนรอที่รถยนต์ด้วยอาการหงุดหงิดอยู่ก่อนแล้ว

“คุณพ่อกลับไปกับคุณน้าก่อนเถอะค่ะ แหวนจะรอเก็บกระดูกคุณแม่เอง”

คิ้วหนาสีดำขมวดมุ่น เกิดความไม่สบายใจขึ้นอีกครั้ง เมื่อเหลือบมองไปยังร่างของภรรยาคนที่สอง “แต่ว่า... คุณน้าจะรอนาน”

ดวงหน้าเรียวเล็กในกรอบผมยาวที่ถูกรวบรัดเรียบร้อยไว้ด้านหลังเชิดขึ้นนิดๆ แล้วตอบ

“แหวนจะกลับพร้อมพงษ์ค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” พูดจบร่างระหงของอิงระดาก็หมุนตัวเดินตรงไปยังร่างสูงของพงษ์เพื่อนเล่นสมัยเด็ก ซึ่งเป็นหลานชายของคนเก่าคนแก่และเป็นคนสนิทของมารดา นิรุธถอนหายใจเฮือกกับกิริยาความแข็งกระด้างของบุตรสาว ก่อนจะเดินกลับไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ คนขับรถปิดประตูแล้ววิ่งอ้อมไปอีกด้านก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณเมรุมาศของวัดอย่างช้าๆ นิรุธมองออกไปยังจุดเล็กๆ ที่บุตรสาวยืนอยู่กับพงษ์ด้วยสายตาหม่นหมอง ทำให้สุดารัตน์เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ

“ฮึ! คนก็ตายไปแล้วแท้ๆ ยังจะเศร้าอะไรกันนักกันหนา เจ็บออดๆ แอดๆ มาก็นาน ตายไปเสียก็ดีกว่าอยู่อย่างทรมาน แทนที่จะดีใจกัน กลับทำหน้าเศร้าเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก เห็นแล้วขัดตาชะมัด!”

นิรุธหันขวับไปมองภรรยาคนที่สองของตนอย่างไม่สบอารมณ์นัก ริมฝีปากสีเข้มเม้มเป็นเส้นตรง นึกเจ็บใจตนเองที่คิดประชดอิงอรจนตนเองต้องเดือดร้อนมาถึงทุกวันนี้ ความน้อยใจ เสียใจที่ภรรยาไม่รัก ไม่แคร์ ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด นั่นคือการนอกใจอิงอรและพาสุดารัตน์เข้าบ้าน แต่ทว่านอกจากอิงอรจะไม่รู้สึกกับสิ่งที่เขาต้องการประชดแล้ว เธอยังยินดีกับความสุขครั้งใหม่นี้กับเขา หลังจากนั้นก็หันไปทุ่มเทความรักให้กับบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอกับเขานั่นคืออิงระดา...

นานวันไป ความสัมพันธุ์ระหว่างเขาและอิงอรก็ดูจะเหินห่างออกไปทุกขณะ แต่ใครเลยจะรู้ ว่าเขาเองยังรักเธอไม่เลือนและรักเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น...

อิงระดามองตามท้ายรถของบิดาไปด้วยสายตาว่างเปล่า เธอหมดความรู้สึกเสียใจ น้อยใจการกระทำของบิดามานานแล้ว หรือจะเรียกได้ว่าความรู้สึกของเธอหมดไปนับแต่บิดาพาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน และหลังจากนั้นอีกไม่นานเขาก็มีลูกด้วยกัน เด็กผู้ชายน่าตาดีที่เป็นลูกของเขาได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างน่าอิจฉาในสายตาผู้อื่น ทว่าเธอไม่เคยใส่ใจเพราะเธอรู้ดีว่าตนเองมีความสุขอยู่กับมารดาที่สุดแล้ว

“คุณหนูครับ...” พงษ์เรียกอิงระดาเบาๆ ด้วยรู้สึกเห็นใจในตัวของหญิงสาวไม่น้อย และรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของอิงอร ผู้หญิงที่มีความเมตตาปราณีกับตนและป้ามากมายนัก

อิงระดาหันกลับมาแล้วยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายนิดหนึ่งก่อนบอกอย่างรู้ใจ “เราไม่เป็นไรหรอกพงษ์ คุณพ่อจะอยู่หรือไม่อยู่ เราก็ไม่รู้สึกอะไร ไปเถอะ เราไปนั่งกันตรงโน้นดีกว่า ไปนั่งรอแม่ อีกไม่นานเราจะพาแม่กลับบ้านไปพร้อมกับเรานะ”

น้ำเสียงสั่นพร่าในประโยคสุดท้ายและดวงตาที่รื้นด้วยหยาดน้ำแม้เพียงแวบเดียว ทำให้กรามแข็งแรงของคนตัวโตกว่าบดเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดแทนหญิงสาว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเพื่อนในวัยอ่อนกว่าสองปีอย่างนายสาวเช่นอิงระดาซึ่งเดินมุ่งหน้าไปยังม้าหินด้วยนัยน์ตาสงสาร เธอเข้มแข็งมากเขารู้ แต่ความเป็นหญิงและอ่อนวัย ก็ยังทำให้เธออ่อนไหวเมื่อต้องพบเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจเช่นนี้...


หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่มารดาจากไป สร้างความเงียบเหงาให้กับบ้านณรงค์ชัยจนวังเวง นิรุธเก็บตัวเงียบอยู่บนห้องของอิงอรนับแต่วันเผา ส่วนสุดารัตน์กลับพาตัวออกไปนอกบ้านไม่เว้นแต่ละวัน สาเหตุเกิดจากการทะเลาะกันอย่างรุนแรงหลังจากอิงอรจากไปพร้อมกับเปลวไฟได้เพียงสองวัน นั่นเป็นเพราะนิรุธไม่ยอมจดทะเบียนสมรสให้เป็นเรื่องราวกับสุดารัตน์หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานสิบปีเต็ม

ส่วนอิงระดาก็มักหมกตัวอยู่แต่บ้านหลังเล็กสีเขียวจางติดสระน้ำที่บิดาสร้างไว้ให้บริเวณหลังบ้านใหญ่เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ที่นั่นมีความสงบสุขเต็มเปี่ยม และไม่นานนักมารดาก็ตามลงไปอาศัยอยู่ร่วมกันกับเธอจนไม่ยอมขึ้นเรือนใหญ่ เป็นเหตุให้สุดารัตน์เผยอเชิดหน้าชูตาและออกงานกับนิรุธเป็นว่าเล่น พาให้ใครต่อใครซุบซิบนินทากับความเจ้ากี้เจ้าการของนางและพากันหมั่นไส้ไปตามๆ กัน

ลำดวนแม่บ้านวัยห้าสิบปีและพงษ์พากันย่องเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังของสาวน้อยที่ยืนอิงขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ก่อนจะหันมองหน้ากันอย่างตัดสินใจ เมื่อพงษ์พยักหน้าสนับสนุน ผู้เป็นป้าจึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วเอ่ยเสียงแผ่วพอไม่ให้นายสาวตกใจ

“คุณหนูคะ ทานอะไรเสียบ้างเถอะนะคะ” เงียบไปเป็นครู่ จนลำดวนถอนหายใจ เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ตอบสนอง นางหันไปมองหลานชายแล้วส่ายหน้า ก่อนจะพยายามอีกครั้ง “คุณหนูคะ ป้าเอานมมาให้คุณหนูค่ะ ทานเสียบ้างเถอะนะคะ ถ้าไม่ทานเลยคุณหนูจะไม่สบายนะคะ”

“แหวนไม่หิวค่ะป้าดวน ป้าดวนเอาไปเก็บเถอะนะคะ แล้วขอแหวนอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักเถอะค่ะ” บอกโดยไม่หันกลับมามองนางลำดวนและพงษ์ ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่ครู่และจำต้องเดินกลับมานั่งเงียบกันอยู่ในครัว นางลำดวนนั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำครัวกลางห้อง ส่วนพงษ์ก็ยืนกอดอกอิงอยู่ที่ขอบประตูบานสูง ครู่ต่อมาชายหนุ่มจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า...

“ผมจะไม่ยอมให้คุณหนูต้องเสียใจแบบนี้นานแน่ป้า!” น้ำเสียงเข้มๆ กับใบหน้าถมึงทึงจริงจังของหลานชาย ทำให้ลำดวนต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“แล้วแกจะทำยังไงฮึ? เดินไปบอกว่าเลิกเศร้าได้แล้วงั้นรึ!” คนเป็นป้าเอ่ยประชด พลางส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อน้ำมนต์ของหลานชายนัก ทำให้อีกฝ่ายหน้ามุ่ยทันทีที่นางแสดงออกว่าไม่เชื่อคำพูดของเขาเลยสักนิด
“โธ่! ป้าก็... มันต้องมีทางสิน่า เอ่อ!” คนบ่นตบมือฉาดใหญ่ พลางทำตาลุกวาวขึ้นราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

“อะไรของแก!?” นางลำดวนเอ่ยถามด้วยความตกใจ ที่จู่ๆ หลานชายก็โพล่งออกมากะทันหัน อีกฝ่ายยิ้มกริ่มก่อนจะลอยหน้าไปมา ทำให้ลำดวนเกิดความหมั่นไส้ในตัวหลานไม่น้อย...

“ฉันจะชวนคุณแหวนไปตกปลา!!”

“โธ่ไอ้บ้า!...” ลำดวนด่าเสร็จก็ส่ายหน้าแล้วเดินหนีหลานชายออกไปจากครัวทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องโหวกเหวกตามไปด้วยความงุนงง

“อ้าว! เดินหนีทำไมล่ะป้า จริงๆ นะ ตกปลานี่นอกจากสนุกแล้วยังทำให้เรามีสมาธินะป้า พอมีสมาธิก็จะมีสติคิดอะไรออกเยอะแยะเลยป้า” พงษ์ตะโกนไล่หลังป้าของตน ทว่าเสียงที่ตะโกนตอบกลับมาทำให้อีกฝ่ายทำคอย่น

“เอ่อ! สมาธิของแก แต่บาปของคุณหนูโว้ย แทนที่จะชวนไปทำบุญดันชวนไปทำบาป! ไปเลยไปจะไปไหนก็ไป คิดอะไรแต่ละอย่างไม่เคยได้เรื่อง เสียเวลาจริงๆ”

ว่าแล้วเสียงของนางลำดวนก็ค่อยๆ เบาลงเมื่ออีกฝ่ายห่างออกไปไกล ทิ้งให้พงษ์ยืนเกาศีรษะด้วยความกลัดกลุ้มเพราะเป็นห่วงในตัวของอิงระดา...


พลบค่ำของวันหนึ่ง ร่างเล็กของนักศึกษาสาวชั้นปีที่หนึ่งเดินมุดรั้วเล็กๆ ข้างบ้านแทนประตูใหญ่บริเวณหน้าบ้าน ก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ประตูนี้เธอใช้มาช้านานแล้ว นับแต่มารดาลงไปนอนกับเธอที่เรือนเล็กแทนบ้านใหญ่อย่างที่เคยใช้ชีวิตอยู่นับแต่แรกเกิด หลังจากที่สุดารัตน์เข้ามาอยู่ได้ไม่นานนัก จากนั้นเธอก็แทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปในตัวคฤหาสน์อันแสนกว้างใหญ่อีกเลย และแม้เธอจะแอบเห็นบิดาลงมาขอร้องให้มารดาขึ้นไปอยู่บนบ้านใหญ่หลายต่อหลายครั้ง ทว่ามารดากลับปฏิเสธด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มจนเธอนึกแปลกใจ ว่าทำไมมารดาจึงไม่เสียใจที่บิดาทำเช่นนั้นกับท่านเลยสักนิด มิหนำซ้ำเธอกลับเห็นมารดานั่งมองภาพวาดเก่าๆ ใบหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเธอถาม ท่านกลับปฏิเสธที่จะเอ่ยถึง แล้วเก็บมันสอดไว้ภายใต้ไดอารี่เล่มเก่าของท่านเสีย

ทว่าวันนี้ เธอมีสิทธิ์ขาดในไดอารีเล่มนั้นแล้ว เพราะก่อนที่มารดาจะสิ้นใจ ท่านได้ยกไดอารี่เล่มนั้นให้เธอ แล้วบอกว่าทุกอย่างที่เธอต้องการรู้อยู่ในนั้นแล้ว...

...รวมทั้งแหวนเงินธรรมดาในสายตาเธอ ที่หายไปจากนิ้วกลางของมารดาก่อนบิดาพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้านเพียงวันเดียว ทว่ากลับมาอยู่บนนิ้วนางของมารดาในวันที่ท่านสิ้นใจด้วยมือของบิดาเอง
เธอไม่รู้ความหมายของแหวนวงนั้น แต่ที่รู้คือ มารดารักมันมาก รักจนตั้งชื่อเธอว่า ‘แหวน’ และก็รู้ว่ามารดาเสียใจมากเมื่อแหวนวงนั้นไม่อยู่กับมารดาแล้ว ทว่าท่านมีความสุขเมื่อแหวนวงเดิมกลับมาอยู่บนนิ้วของท่านอีกครั้งทว่าในตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งที่เคยมีแหวนของบิดาสวมอยู่ พร้อมกับคำพูดของบิดาที่ทำให้เธอต้องแอบร้องไห้...

ไดอารี่หน้าแรกถูกเปิดขึ้น ตัวหนังสือจากลายมือมารดาเธอจำได้ดี ทำให้น้ำตาหยดเล็กๆ พรั่งพรูจนเป็นสาย...

กระดาษสีซีดถูกเปิดอ่านหน้าแล้วหน้าเล่า เนื้อความบอกเล่าถึงความรักความประทับใจในครั้งหนึ่งซึ่งมารดาเคยมีต่อชายคนหนึ่ง เนื้อความเหล่านั้นถ่ายทอดถึงความสุข และทุกข์จนขมขื่นของมารดาและชายผู้เป็นที่รัก จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้ายของไดอารี่

หนาวมาถึงอีกแล้ว เธออยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า แต่ปีนี้ฉันไม่ค่อยดีเลย มันแน่นหน้าอกไปหมด แต่เดี๋ยวก็หายค่ะ มีคนดูแลดี ยัยแหวน ลูกสาวของฉันเองเธอน่ารักมาก สักวัน ฉันจะพาไปให้รู้จักนะ ถ้ามีโอกาส...

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มทั้งน้ำตาให้กับข้อความนี้ แล้วพลิกหน้าต่อไป... ทว่ากลับต้องสะดุดกับข้อความในบรรทัดแรก

ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ ที่ไม่อาจรักษาของที่เธอให้ฉันได้ เขาเอาไปแล้ว ฉันจะทำยังไงดี ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน...

รอยน้ำตาที่ทิ้งคราบไว้บนกระดาษ สร้างความสะเทือนใจให้อิงระดาไม่น้อย...

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากข้อความ พร้อมกับความอยากรู้จักคนที่มารดาเรียกแต่ว่า ‘เธอ’ เหลือเกิน และเพียงคำว่าเธอ สร้างความรู้สึกคุ้นเคยต่อหญิงสาวมิใช่น้อย แปลก... ทว่าก็ต้องยอมรับกับความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ นี้

“เธอ... คุณเป็นคนแบบไหนกัน?” พึมพำเสียงแผ่วแล้วถอนหายใจพลางพลิกหน้าต่อไป พลันหัวใจดวงน้อยเต้นแรงโลดเป็นจังหวะกระชากกระชั้น เมื่อสิ่งที่เธออยากรู้อยู่ตรงหน้าแล้ว มือเล็กหยิบรูปภาพบานเก่าขึ้นดูอย่างพินิจ...

ภาพใบนั้น ภาพที่เธอเคยถามมารดาว่าเป็นภาพของใคร... หญิงสาวหยิบภาพหนุ่มน้อยใบเล็กที่ดูซีดจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ความคมสันบนใบหน้าของคนในภาพกลับยังคงบ่งเค้าความคมคายชัดเจน และสิ่งที่ดึงดูดสายตาเธอได้ดีกว่าสิ่งอื่นใดก็คือดวงตาคู่ใหญ่ ที่มองมาราวกับเขากำลังจ้องมองเธอ
เขาคนนั้นของแม่หรือ...

อิงระดาเกิดคำถามขึ้นมากมายภายในห้วงคะนึง คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นด้วยความครุ่นคิดหนักหน่วง ก่อนจะไล่สายตาลงอ่านข้อความนั้นอย่างตั้งใจ...

วันนี้ฉันเหงาจังเลยล่ะ ก็เลยเอาไดอารี่ออกมาอ่านอีกครั้ง แล้วก็หยิบภาพเธอออกมาดูไปด้วย แต่เธอรู้ไหม วันนี้ลูกสาวของฉัน หนูแหวน... เข้ามาเจอพอดี ถามถึงเธอด้วยนะ แต่ฉันไม่รู้จะตอบลูกว่ายังไง ก็เลยรีบเก็บ แล้วก็มาตอบในนี้แทนเพราะกลัวว่าหากฉันตอบไปตรงๆ ลุกจะไม่เข้าใจและก็พานสิ้นความนับถือในตัวฉัน แต่ฉันจะเขียนเผื่อวันข้างหน้า หนูแหวนจะมาเจอด้วยตัวเอง และฉันก็หวังให้หนูแหวนเข้าใจฉันและเธอ

หนูแหวนจ๊ะ คนที่หนูถามแม่วันนี้ เขาคือคนที่แม่รักจ้ะ แม่ขอโทษนะจ๊ะ แม่ดูเหมือนผู้หญิงไม่ดีใช่ไหม ที่แม่แต่งงานกับพ่อของหนู มีหนู แต่แม่ก็ยังรักคนอื่นอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่ก่อนที่หนูจะโกรธ จะเกลียดแม่ แม่อยากจะบอกอะไรบางอย่างกับหนูสักเรื่อง...

หญิงสาวละสายตาจากข้อความด้วยความรู้สึกสับสน พลางคิดไปถึงคำถามที่เธอเคยถามตนเองว่าทำไมแม่จึงไม่รู้สึกอะไรเมื่อพ่อพาหญิงอื่นเข้าบ้าน ที่สำคัญแม้พ่อจะพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามา แต่ท่านกลับยิ่งเศร้าและดูเจ็บปวดทุกครั้งที่แม่เมินเชยต่อพ่อ หรือเพราะทุกอย่างเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะแม่ไม่เคยรักพ่อเลย...
มือเล็กยกขึ้นวางทาบบนที่ตั้งของหัวใจด้วยความรู้สึกเจ็บแทนบิดา และชั่ววูบ ก็เกิดความรู้สึกเกลียดผู้ชายคนนั้น คนที่ไม่เคยปลดปล่อยหัวใจของแม่ให้เป็นอิสระ คนที่จองจำความรักของแม่ให้อยู่แค่กับเขา คนเห็นแก่ตัว... ทว่าบางสิ่งบางอย่างบอกให้เธอตัดสินใจอ่านไดอารี่อีกครั้ง

...แม่กับเขา เรารักกันมานานมากแล้ว รักกันมาก่อนที่พ่อหนูจะมาเจอแม่ แต่เราต้องพรากจากกัน เพราะแม่ต้องแต่งงานกับพ่อของหนู พ่อเป็นลูกชายของผู้มีหน้ามีตามีเงินทอง คุณปูของหนูไง แต่ ‘เขา’ คนที่แม่รัก เป็นเพียงผู้ชายจนๆ คนหนึ่งเท่านั้น ตอนนั้น ไม่มีแม้ที่จะซุกหัวนอน แต่แม่ก็รักเขาจ้ะ เพราะเขาเป็นคนขยันทำงาน เป็นลูกกตัญญูที่เลี้ยงดูแม่ของเขาที่ตาบอดอย่างดีที่สุด เท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ สุดท้าย แม่ก็ต้องจากเขาด้วยความเจ็บช้ำ เราสองคนเจ็บปวดกับการกระทำของผู้ใหญ่ แต่เราก็ไม่คิดจะทำผิดทำนองครองธรรม โดยเฉพาะเขา เขารักแม่แต่ไม่อาจฉุดรั้งแม่ไปตกต่ำกับเขา เขาจึงปล่อยปล่อยแม่ให้แต่งงานกับพ่อของหนูไงจ๊ะ แม่เองไม่สนเรื่องความจนความรวย แต่ความกตัญญูก็ทำให้แม่ไม่อาจทำร้ายจิตใจของคุณตาคุณยายได้ ดังนั้น แม่และเขาจึงต้องจากกันทั้งที่รักกันสุดหัวใจ...

แม่เคยหวังว่าแม่จะลืมเขาได้เหมือนกัน ลืมแล้วมีความสุขอยู่กับพ่อของหนู แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร แม่ก็ไม่เคยลืมเขาได้เลย...

หนูคงอยากรู้ใช่ไหมจ๊ะ ว่าเขาชื่ออะไร เขาชื่อ ‘ดิน’ เขาเป็นคนดีที่แม่ไม่อาจลืม...
หญิงสาวยกภาพนั้นขึ้นดูอีกครั้ง ภาพใบหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับดูไม่บึ้งตึงเพราะแววตาของเขามีรอยยิ้มอยู่ในนั้น

“ดิน... คนที่แม่รักชื่อดินอย่างนั้นเหรอ?” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น แล้วไล่สายตาอ่านต่อไป ทว่ายิ่งอ่านหญิงสาวก็ยิ่งพบแต่ความเศร้าหมอง แล้วน้ำตาก็ไหลรินอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง

ความรู้สึกเจ็บแค้นแทนบิดาค่อนจางหายจนในที่สุดกลายเป็นความสงสาร สงสารผู้ชายอาภัพที่ชื่อ ‘ดิน’
นับแต่บ่ายจวบจนค่ำที่หญิงสาวทั้งนั่งและนอนอ่านไดอารี่แห่งความคิดถึง น้ำตาหลั่งรินยังหางตาไปตกค้างอยู่ที่หมอนใบนุ่มพร้อมกับบทสุดท้ายของไดอารี่ และโดยเฉพาะบทสุดท้ายที่มารดาย้ำซ้ำๆ จนเธอรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง

บทสุดท้ายที่ทิ้งความค้างคาใจให้เธอได้มากมายนัก...

แม่อยากพบเขาอีกสักครั้ง อยากพบเขาและมอบบางอย่างให้แก่เขา บางอย่าง... ที่แม่รักมาก อยากให้เขาดูแล แม่รู้ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม่รู้สึกได้ เขารอแม่ รอบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญและเต็มไปด้วยความรัก ที่แม่จะมอบให้แก่เขา

แม่อยากเจอเขาเหลือกเกิน...

“ดิน... ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนนะ”





สวัสดีค่ะ เคียงอักษรค่ะ ลงนิยายที่เลิฟเป็นครั้แรกค่ะ ก่อนหน้านี้เคยลงที่เด็กดีค่ะ แต่ลองมาลงที่เลิฟบ้าง ลงไม่ค่อยเป็นค่ะ ตอนแรกติดกันเป็นพรืดเลยค่ะ เลยต้องมาจัดหน้าใหม่ พอได้ขึ้นมาอีกนิด อย่างไรฝากผลงานชิ้นแรกกับเวปเลิฟ แต่เป็นชิ้นที่สอง ของเคียงอักษรด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ปล. เดี๋ยวจะลองลงผลงานชิ้นแรกที่ลงจบในเด็กดีให้อ่านสักส่วนหนึ่งนะคะ



เคียงอักษร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.พ. 2556, 13:43:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.พ. 2556, 14:14:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1279





ใบบัวน่ารัก 3 ก.พ. 2556, 14:00:56 น.
ดิน คุณอยู่ไหนนะ


Sukhumvit66 4 ก.พ. 2556, 22:24:14 น.
มาตามด้วยคนจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account