กระชากรักซาตานร้าย
นายหัวมาร์คที่ทุกคนเคารพรักนั้นเป็นแค่ผู้ชายเถื่อนๆ หัวหน้าอันธพาล คนมารยาทรามคนหนึ่งที่ชมพูนุทเกลียดนักหนา แต่ใครจะรู้เล่าว่า ผู้ชายเถื่อนๆ คนนี้กำลังจะหาวิธีกระชากหัวใจของเธออยู่!

อ่านเรื่องย่อคลิกที่รูปปกเลยนะคะ ^^
Tags: รัก ตบจูบ แฝงปม

ตอน: ตัวอย่างนิยาย (บทนำ - บทที่ 6)

บทนำ

ห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากชายฝั่งของจังหวัดกระบี่ ณ ผืนดินกลางทะเลสีครามที่เรียกกันว่าเกาะลานชิน เขตอิทธิพลของตระกูลก้องเกียรติศุภกรซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองและท่าเรือภายในเกาะ…
เสียงคลื่นบนเกาะขนาดกลางแห่งนี้ยังสาดซัดอยู่เป็นระลอกและดังอย่างสม่ำเสมอ ลมเย็นๆ ของทะเลโชยอยู่ตลอดเวลา เกาะลานชินเป็นเกาะที่สวยงามแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายของทะเล สาเหตุนี้เองที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่งถึงแม้มันจะเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีค่าก็ตาม และเป็นเหมือนการยืนยันเมื่อจู่ๆ ท้องนภาบนน่านน้ำของเกาะลานชิน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน ฟ้าสีสวยที่เคยอวดความแจ่มใสของยามสายของวันนั้นเริ่มมืดลง เมฆสีดำถูกกระแสลมพัดพาเข้ามาปกคลุมอย่างรวดเร็ว


ครืน!


ฟ้าร้องคำรามก้องและสายลมเริ่มกรรโชกแรงทำให้สี่หนุ่มหล่อต่างสไตล์ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะบริเวณระเบียงไม้กว้างเริ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน


“พายุงั้นเหรอ ทะเลแถวนี้นี่มันแปรปรวนดีจริงๆ เลยนะนายแห้ว”


ชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดเสื้อขาวกางเกงแค่หัวเข่ายี่ห้อเบรนด์เนมส่งเสียงถามเจ้าของสถานที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนบุรุษเพศสี่สหายที่กำลังนั่งสังสรรค์บริเวณระเบียงกว้างหน้าบ้านหลังใหญ่ซึ่งแทรกตัวอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรโดยมีการออกแบบอย่างลงตัว


แม้จะเป็นคำถามธรรมดาๆ แต่เจ้าของบ้านกลับขมวดคิ้วทันที ร่างสูงใหญ่ผิวสองสีซึ่งกำลังยืนอยู่แล้วจึงขยับตัวเล็กน้อยก่อนยกแขนกำยำขึ้นชี้อีกฝ่าย นัยน์คมสีเหล็กกล้าจ้องมองเพื่อนก่อนพูดอย่างฉุนๆ


“ธาม! แกเลิกเรียกฉันแบบนี้ซะทีได้ไหมวะ”


“อะไร ฉันเรียกแกว่าอะไรวะไอ้นายหัว จำไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
ธาม หรือ ธรรมธาดา อติมากุลชร ทายาทเจ้าของรีสอร์ทอันดับหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตทำหน้าหรอหราแต่แววตาก็อดไม่ได้ที่จะส่อทำนองกวนคนถาม ‘ไอ้นายหัว’ หรือ ‘นายแห้ว’ ของเพื่อนจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างฉุนเฉียว จนเพื่อนอีกสองคนต้องไกล่เกลี่ย


“เฮ้ย แกก็เหลือเกินธามรู้อยู่แล้วว่านายหัวมาร์คเค้าไม่ชอบให้ใครเรียกว่า นายแห้ว!”
เจมส์ หรือจิณณวัฒน์ อรุณเลิศพิพัฒน์ เจ้าพ่อแหล่งบันเทิงกรุงเทพฯ ปรามแต่ก็ไม่วายเน้นคำที่อีกฝ่ายไม่ชอบ ทำให้สัณฑ์ หรือเศรษฐ์สัณห์ ศุภสิริศิลป์ ลูกชายตระกูลนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของเมืองไทยตบบ่าเพื่อนรักพร้อมตั้งท่าเดินหนีเข้าไปในบ้าน
“ฝนตกแล้วนะพวก! ถ้าคิดจะทะเลาะกันต่อก็ได้นะ แต่ช่วยเก็บของกินเข้ามาก่อนได้ไหม โดยเฉพาะเหล้าขวดนั้นฉันหอบมาจากอังกฤษเชียวนะโว้ย อีกอย่างพวกนายก็รู้กันอยู่ว่าบ้านของไอ้แห้วมันอยู่กลางป่ากลางทะเลหาของกินยาก”
“เฮ้ยไอ้พวกนี้ เดี๋ยวเตะเรียงตัวซะดีมั๊ง!”
คนถูกเรียกว่าแห้วหลายครั้งชักยั้งอารมณ์ไม่อยู่จึงยกขาขึ้นเหมือนจะทำอย่างที่บอกจริงๆ อีกสองคนจึงรีบก้าวไปสมทบกับเศรษฐ์สัณห์และดันกันเข้าไปในบ้านพลางส่งเสียงหัวเราะสนุกสนานการกระทำคล้ายหนุ่มรุ่นๆ นั้นเหมือนกับเป็นการยืนยันความสนิทสนมที่ทั้งสี่มีให้กันมาตั้งแต่วัยเยาว์
พร้อมๆ กันนั้นหญิงรับใช้ผิวคล้ำแบบชาวเกาะอายุประมาณ 20 ปี คนหนึ่งวิ่งออกมาช่วยเก็บจานอาหารบนโต๊ะของทั้งหมดนำเข้าไปในห้องรับแขกกว้างตกแต่งสไตล์วินเทจเน้นทำผนังเป็นกระจกให้มองเห็นทิวทัศน์ของชายป่าและสร้างต่างระดับไล่ตามแนวเนินเขาวัสดุส่วนมากคือไม้ผสานกับบางส่วนที่ใช้ปูนตกแต่งด้วยหินอ่อน และกระเบื้องตามการออกแบบของสถาปนิกมือหนึ่งสนนราคาทั้งหลังนั้นเลขล้านหลักเดียวเอาไม่อยู่แน่นอน
ไม่นานหลังจากนั้นฝนก็เทลงมาอย่างแรงกอปรกับช่วงนี้มีอากาศที่ร้อนมานานทำให้ลมยิ่งพัดกรรโชก เสียงฟ้าร้องครืนคราน บางครั้งก็มีเสียงกิ่งไม้เสียดสีกระทบกันลั่นตามแรงลม ซึ่งแม้คนที่นั่งอยู่ในบ้านจะรู้ดีว่าที่นี่แข็งแรงมั่นคงพอแต่ก็อดมองออกไปข้างนอกหลายครั้งไม่ได้
“ฝนตกหนักน่าดูเลยว่ะไอ้นายหัว”
เศรษฐ์สัณห์พูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าขรึมๆ ของเจ้าบ้าน และนั่นคือเป็นสรรพนามอีกคำที่เพื่อนๆ มักใช้เรียก นายหัวมาร์ค นันทนะ ก้องเกียรติศุภกร หรือ มาร์เซล มาร์ค ก้องเกียรติศุภกร ชายหนุ่มลูกเสี้ยวเยอรมันวัย 33 ปีผู้มีนัยน์ตาสีเหล็กซึ่งเป็นสีเดียวกับบรรพบุรุษข้างปู่ซึ่งเป็นลูกครึ่งเยอรมัน
นันทนะเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลก้องเกียรติศุภกร บิดาและมารดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเรือเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ชายหนุ่มจึงเป็นผู้ดูแลสมบัติตกทอดก็คือที่ดินเกินครึ่งในเกาะลานชิน โรงงานหลายแห่งในประเทศไทย สิทธิ์การสัปทานเหมืองแร่ที่ทำเงินให้เขาอย่างมากมาย แต่ความที่ต้องแบกภาระความรับผิดชอบมาตั้งแต่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่เด็ดขาดจนถึงขั้นดุเลยทีเดียว
“อืม”
คนถูกถามตอบสั้นๆ พลางเดินออกไปที่ริมหน้าต่างกระจก ดวงตาสีเหล็กมองสภาพเม็ดฝนที่ตกอย่างแรงและหนาตาจนเห็นทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนอกจากใบไม้สีเขียวที่ถูกพัดจนลู่ตามลม
“กังวลอะไรวะมาร์ค”
จิณณวัตรถามขึ้นอีกคนด้วยเสียงที่ไม่ได้ล้อเล่นเหมือนเมื่อคราวไล่เตะกันเข้ามาในบ้านเพราะรู้สึกว่าเพื่อนกำลังกังวลบางอย่าง ส่วนธรรมธาดาที่สนิทกับนายหัวมาร์คมากที่สุดเพราะทำกิจการอยู่ภาคใต้เหมือนกันจึงเดินเข้าไปยืนข้างๆ เพื่อน
“ห่วงที่เหมืองหรือเปล่า”
“ห่วงทั้งหมดนั่นแหละ พายุแรงๆ แบบนี้....”
นันทนะขมวดคิ้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขานั้นไม่ใช่ความหวาดกลัวแต่มันเป็นคล้ายความกังวล คล้ายลางสังหรณ์บางอย่าง และนั่นทำให้นึกถึงคราวที่เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นครั้งแรก....ต่างกันก็แค่ว่าตอนนั้นความรู้สึกมันรุนแรงกว่านี้หลายเท่า
“คิดมากน่า”
ธรรมธาดาพูดขึ้นแต่กลับอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปสบตากับเพื่อนอีกสองคนและคิดไปถึงเรื่องในครั้งนั้นเหมือนกัน นั่นคือเรื่องเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่เกิดพายุครั้งใหญ่ที่เกาะลานชินอย่างกะทันหัน และนันทนะก็ต้องสูญเสียบิดากับมารดาไปด้วยอุบัติเหตุทางเรือ ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ที่กระบี่เช่นเดียวกันผิดแต่สถานที่เท่านั้น
ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาล เพราะสมัยก่อนนั้นนันทนะข้ามไปเรียนที่ฝั่งเมืองจนกระทั่งเรียนปริญญาก็ยังสอบได้มหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย ส่วนวันเกิดเหตุนั้นก็เป็นวันหลังจบการศึกษาชั้นปริญญาตรี หลังสอบวันสุดท้ายเสร็จทั้งหมดตั้งใจจะมาฉลองที่กระบี่จึงได้รับข่าวร้ายร่วมกัน ร่วมรับรู้ความเสียใจและความทุกข์ใจของเพื่อน
หลังจากนั้นนันทนะก็เริ่มเงียบขรึมลง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ทราบกันในหมู่เพื่อนสนิทว่าความรู้สึกแบบนี้ของนันทนะมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับเรื่องราวอะไรสักเรื่องเสมอ


และเมื่อพายุสงบนันทนะก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องเพื่อไปสำรวจความเรียบร้อย ปกรณ์หรือนายกรณ์ชายผิวสองสีวัย 25 ปีซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทก็เดินแกมวิ่งสวนเข้ามาศีรษะของเขาเปียกชื้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก


“นายหัวครับ”


“มีอะไร”


“ก็คุณราชาวดีน่ะสิครับ...บ้านพักของเธอโดนต้นไม้โค่นทับครับ” ปกรณ์พูดถึงหญิงสาวที่มาทำงานเป็นฝ่ายธุรการที่โรงเรียนก้องเกียรติศุภกร “แต่คุณราชาวดีปลอดภัยนะครับ ไม่เป็นอะไรนอกจากขาแพลงนิดหน่อยตอนนี้อยู่ที่อนามัยกับพ่อแล้วก็คุณเอก”


“แล้วอะไรที่ทำให้นายทำท่าเหมือนหายใจไม่ออกแบบนี้”
นันทนะมองท่าทางอึดอัดของลูกน้องและถามด้วยเสียงขรึมๆ เขาจำครูราชาวดีได้เพราะที่ลานชินไม่ได้มีชาวบ้านมากมายเหมือนเมืองใหญ่ๆ เธอคนนี้เป็นหญิงสาวอายุประมาณ 28 และเพิ่งมาทำงานที่โรงเรียนก้องเกียรติศุภกรเมื่อไม่ถึงปีนี่เอง
‘โรงเรียนก้องเกียรติศุภกร’ เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นด้วยเงินทุนของตระกูลก้องเกียรติศุภรกรเนื่องจากคุณณัฐเกียรติและคุณนันทิยา บิดาและมารดาของนันทนะเห็นว่าการเดินทางระหว่างฝั่งกระบี่กับเกาะลานชินต้องใช้เวลานานพอสมควร ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นานจึงออกทุนสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กจนถึง ป.6 ขึ้นที่นี่โดยครูที่ประจำอยู่ส่วนมากจะเป็นคนพื้นถิ่น ยกเว้นราชาวดีซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายธุรการของโรงเรียน
“โรงเรียนโดนพายุเสียหายมากเหมือนกัน...แล้วก็มีต้นไม้รอบๆ ที่ล้มระเนระนาดกันเละเทะไปตามระเบียบ...แต่...คุณราชาวดีนี่สิครับ...”
“ทำไม! ไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรไง” คนไม่ชอบมากความและเบื่อพวกโยกโย้ชักรำคาญคำอธิบายอ้อมโลกของคนตอบ แต่ปกรณ์ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าควรพูดหรือเปล่า


“คือ...คือว่าถึงแม้ตัวเธอจะไม่เป็นอะไรแต่สงสัยว่าใจคงกระเจิดกระเจิงไปแล้วล่ะครับ ร่ำร้องทำท่าจะกลับบ้านลูกเดียว....แล้วคุณเอกก็...”


“เรื่องโรงเรียนไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เรียกช่างมาดู เกณฑ์คนไปซ่อมให้เสร็จก่อนเปิดเทอมก็แล้วกัน ให้คนไปดูในเหมืองด้วย”
นันทนะจึงตัดสินใจไม่ฟังเรื่องอื่นอีกนอกจากหัวสมองจะเร่งคิดแก้ปัญหาอย่างฉับไวตามวิสัยของผู้ที่ต้องจัดการควบคุมคนมากมายทั้งในเหมืองในโรงงานซึ่งล้วนมีผู้คนสารพัดอย่างตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาจนถึงพวกนักเลงหัวไม้ เช่นนั้นชายหนุ่มจึงต้องรวดเร็ว คำสั่งเป็นคำสั่ง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เด็ดขาดและดุดัน การจะพูดคำเล่นคำไม่เคยมี ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ใครเกรงกลัว


“อืมใช่! ใช้เงินเท่าไหร่บอกนะมาร์คฉันช่วยไม่อั้นเลย ส่วนครูอะไรนั่นก็เจรจากับเขาดีๆ เพิ่มเงินทำขวัญอะไรให้หน่อยก็คงไม่มีปัญหาละมัง นี่มันเป็นภัยธรรมชาติไม่มีใครจงใจให้เกิดนี่นา”
เศรษฐ์สัณห์ผู้ชอบเรื่องการกุศลอยู่แล้วรีบสัมทับ รวมทั้งเพื่อนๆ อีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะพวกเขาทั้งหมดก็คอยสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้มาตลอดอยู่แล้ว


“ไม่อย่างนั้นน่ะสิครับคุณสัณฑ์”
ปกรณ์มองหน้าคนพูดก่อนหันไปมองเจ้านาย ธรรมธาดาเลยเปรยขึ้นอย่างสงสัย


“เอ...ชื่อราชาวดี ทำไมชื่อนี้มันคุ้นๆ วะ”
เขาหันไปถามเพื่อนอีกสองคนแต่ยังไม่ทันที่ใครจะตอบหรือนึกอะไรเจ้าตัวก็โพล่งออกมา “อ๋อ! ราชาวดี คนนี้ใช่ไหมที่เป็นญาติของเสี่ยภักดี แล้วก็เคยโทรไปหาแกแล้วฉันรับแทน...เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”
เอ่ยถึงตรงนี้เพล์บอยตัวเอ้ซึ่งสนิทกับนันทนะที่สุดก็ยกมุมปาก “ฉันว่าไม่ยากหรอกว่ะแค่นายไปปลอบใจนิดๆ หน่อยๆ ก็โอเคแล้วมั๊งไอ้นายหัว”


“ใช่ครับใช่ คุณธามพูดตรงจุด” นายปกรณ์ร้องขึ้นมาอย่างดีใจที่มีคนเปิดช่องและรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ตั้งแต่เมื่อกี้เธอก็ร้องห่มร้องไห้อยากจะเจอนายหัวอยู่ตลอดเวลาเลยครับ แถมบอกว่าถ้านายหัวไม่ยอมรับผิดชอบละก็ เธอกลับบ้านไปฟ้องพ่อ”
เอ่ยจบก็ถอนหายใจที่พูดออกมาได้ซักทีแต่พออีกสามเพื่อนเกลอได้ฟังก็ร้องขึ้นเกือบจะพร้อมกัน เพราะตีความหมายคำๆ นั้นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


“รับผิดชอบ!”


“รับผิดชอบบ้าบออะไรกัน” นายหัวหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น โวยเสียงดัง “อยากกลับก็ให้กลับไป พอแล้ว! กรณ์ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระนี่อีก ไปเตรียมรถดีกว่าฉันจะออกไปดูสิว่าข้างนอกเป็นไงบ้าง”


“เฮ้ย จะไม่ไปดูหน่อยเธอหน่อยเหรอวะ แกเป็นเจ้าของโรงเรียน คุณครูเขาก็เป็นคนในปกครองของแกเหมือนกันนี่หว่า หรือว่าคุณราชาวดีเขาไม่ใช่สาวเรียบร้อย สเปคหวานๆ แบบเฟิร์สเลิฟของแกวะเลยไม่สนใจ” ธรรมธาดายังส่งเสียงแซวแต่ยิ่งทำให้คนหน้าดุขมวดคิ้ว


“แกไม่ต้องมานอกเรื่องไอ้ธามเพราะถึงฉันจะปกครองคนเกือบทั้งลานชิน แต่เรื่องที่โรงเรียนก็ต้องให้ครูใหญ่หรือไม่ก็อาเอกจัดการเพราะฉันมอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้เขาไปแล้ว ฉันไม่เคยก้าวก่ายงานของใคร ส่วนราชาวดีอะไรเนี่ยฉันก็ไม่ได้ไปสนิทสนมอะไรกับเขาสักหน่อย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน พวกแกอย่ามาพูดให้เสียเส้นได้ไหมวะ”
ประโยคยาวๆ นั้นหลุดออกมาเพราะความรำคาญเหนือสิ่งอื่นใด


“โธ่ไอ้นายหัวเอ๊ย แกนี่ไม่มีเซ้นท์ทางผู้หญิงเอาซะเลย ไอ้นิสัยผิดคือผิด ถูกคือถูกน่ะ ยกไว้ซะบ้างก็ได้คนเรามันก็ต้องมีครึ่งๆ กลางๆ โอนอ่อนผ่อนตามกันบ้างสิวะ” จิณณวัตรหรือเจมส์เจ้าพ่อแหล่งบันเทิงเมืองกรุงทำหน้าเบื่อใส่เพื่อนและหันไปพยักพเยิดกับเศรษฐ์สัณห์พลางสั่งสอนแต่ก็ไม่วายแอบแหนบตอนท้าย
“ไอ้นิสัยแบบนี้น่ะแหละถึงได้แห้วตั้งแต่ยังไม่จบม.3 เสียชื่อโฟล์เดวิลหมด!”


“หยุดปากไปเลยไอ้เกรียน!” นันทนะแค่นเสียงใส่อีกฝ่าย “ฉันว่าแกหาอะไรใส่ปากให้มันเงียบๆ ไปก่อนดีกว่า ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งไม่มีเวลาจะเตะปากใคร”


“โหไอ้แห้ว เล่นแรงไปป่าววะ”
จิณณวัตรอ้าปากค้าง ในขณะที่เศรษฐ์สัณห์หยิบปลาหมึกย่างสดๆ ใส่ปากอีกฝ่ายพร้อมหัวเราะชอบใจในคำพูดของนายหัวหนุ่มซึ่งแม้จะเป็นคนไม่ชอบพูดมากแต่วาจาที่เอ่ยออกมาแต่ละคำนั้นก็หนักและเฉือดเฉือนพอๆ กับความปากหนักของเขานั่นแหละ



หลังจากนั้นนายหัวนันทนะก็ทำจริงๆ อย่างที่เขาประกาศิต เพราะไม่ว่าราชาวดีจะตีโพยตีพายคร่ำครวญโวยวายอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่สนใจ และแม้ว่าเส้นทางไปอนามัยนั้นจะเป็นทางผ่านเพื่อจะไปโรงเรียน แต่รถโฟล์วิวคันสีดำก็แล่นเฉียดที่นั่นไปอย่างไม่เหลียวแล


“ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนคะครูใหญ่ วดีเป็นขนาดนี้นายหัวก็ไม่มาสนใจเลย” ราชาวดีโวยวายทั้งน้ำตาแถมมั่วนิ่มอีกต่างหาก “นายหัวทำแบบนี้ไม่ถูก...วดีเป็นผู้หญิงของนายหัวนะ”
เธอมองเห็นรถสีดำแล่นผ่านไปตามถนนเช่นกันและนึกน้อยใจหนักหนา เพราะนายหัวนันทนะนั้นเป็นบุรุษที่อยู่ในความปรารถนาของเธอมานาน แม้ว่าตอนที่อยู่ที่เกาะลานชิน เขากับเธอจะเคยคุยกันไม่บ่อยนักแต่หญิงสาวก็มักจะแสดงความสนิทสนมจนออกนอกหน้า และวันนี้...แม้ตอนเกิดเหตุเธอจะไม่เป็นอะไรเลยแต่ก็สู้อุตสาห์ลงทุนแกล้งเดินเข้าไปเตะเก้าอี้จนเจ็บข้อเท้าเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ


“คุณวดี” ครูใหญ่ชื่อบัญชาวัยประมาณ 55 ปี ทำเสียงปรามในฐานะที่ราชาวดีเป็นคนในปกครองของตนและนายหัวนันทนะก็เป็นญาติคนหนึ่ง “ทำไมใช้คำแบบนั้นล่ะครับ คำว่าผู้หญิงของนายหัวน่ะ...มันคงไม่เหมาะจะใช้หรอกในเมื่อเขาเป็นเจ้านายของคุณ ใครได้ยินมันจะไม่เหมาะนะครับ”


“อย่าว่าคุณวดีเลยครูใหญ่ นายมาร์คก็จริงๆ เลยน่าจะแวะมาสักนิด แต่...เขาคงยุ่งน่ะครับ โธ่ใครจะไม่เป็นห่วงคุณราชาวดีกัน นี่สงสัยจะไปดูโรงเรียนที่เสียหายมา แล้วก็คงเลยเข้าไปดูในเหมืองเลย”
เอกรัฐหรืออาเอกของนายหัวนันทนะพูดขึ้น เขาเป็นชายร่างสูงอายุ 45 ปีแต่งตัวภูมิฐานหน้าตาดีสมวัยแต่ดวงตาสีดำของเขานั้นมีแววขี้เล่นมากกว่าและเป็นคนที่ค่อนข้างพูดเก่งเพราะทำงานด้านการตลาดให้ บริษัท KKN กรุ๊ป ของก้องเกียรติศุภกรมานานแล้ว


“แหมจะยุ่งขนาดไหนกันเชียวคะ” เหตุผลของเอกรัฐทำให้ราชาวดีมีสีหน้าดีขึ้นแต่ก็ยังพึมพำบ่นทำให้คนที่ออกตัวแทนหลานชายและครูใหญ่แอบมองหน้ากัน ฝ่ายหลังจึงตัดบท


“ทุกครั้งที่มีพายุ....นายหัวก็ต้องมีเรื่องให้เครียดเสมอนั่นแหละ ถ้าคุณวดีไม่เป็นอะไรแล้วก็กลับกันเถอะครับ แล้วเดินไหวไหมถ้าไม่ไหวจะให้เด็กไปคอยดูแล แต่ที่บ้านพักคงอยู่ไม่ได้ชั่วคราวเพราะคานหักลงมาคงใช้เวลาอีกนาน อาจจะไปอยู่ที่บ้านผมก่อน”
ครูใหญ่พูดถึงบ้านพักของตนกับภรรยาซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของโรงเรียน เอกรัฐเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงขอตัวเพราะอยากกลับเข้าบ้านนานแล้ว
“ถ้าคุณราชาวดีไม่เป็นไรแล้ว งั้นผมคงต้องเข้าบ้านไปคุยเรื่องงานกับมาร์คก่อนนะครับ” ช่วงที่เกิดพายุเป็นช่วงที่เอกรัฐออกมานั่งคุยกับครูใหญ่เพราะไม่อยากเจอพวกเพื่อนของนันทนะ จึงเข้ามาติดอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วยแต่จริงๆ แล้วเขาและครอบครัวอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกับนายหัวหนุ่ม
“เดี๋ยวสิคะคุณเอก” ราชาวดีรีบเรียกพร้อมพูดทำนองขู่ “ยังไงวดีก็ขอให้คุณเอกไปพูดกับนายหัวให้มาดูแลวดีบ้างนะคะ ทำแบบนี้วดีไม่ชอบใจเลย ถ้าคุณลุงรู้ก็คงไม่ชอบเหมือนกัน”
พอได้ยินแบบนั้นครูใหญ่ก็ขมวดคิ้วในขณะที่เอกรัฐบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทีใจเย็น “คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นต้องบอกเสี่ยภักดีหรอกมั๊งครับ”
“นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกเหรอคะ วดีเจ็บตัวขนาดนี้แล้ว ต้องรอให้ต้นไม้ต้นนั้นมันล้มลงมาใส่หัววดีหรือไงคะถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ คอยดูนะถ้านายหัวทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่มาดูแลล่ะก็วดีจะกลับไปฟ้องคุณลุง”
ราชาวดีเป็นญาติของ ‘ภักดี’ เสี่ยใหญ่ผู้มีอิทธิพลและคอยสนับสนุนการเมืองหลายคน และสาเหตุที่เธอดั้นด้นมาทำงานไกลถึงเกาะลานชินนั้นก็เพราะพอใจในตัวของนันทนะ เธอรู้ดีว่าเอกรัฐค่อนข้างสนิทและเกรงใจลุงของตนเองจึงพูดขู่ก่อนไปเพราะคิดว่าเอกรัฐจะต้องบอกให้นายหัวหนุ่มมาขอร้องตนแน่ๆ ‘คอยดูนะถ้ามาง้อจะเล่นตัวให้เข็ดเชียว’ สาวร่างอวบวัย 25 แอบกระหยิ่มอยู่ในใจ





“พายุใหญ่ที่นี่เกิดนานๆ ครั้งเท่านั้น คราวนี้คงไม่มีไปอีกนานไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงหรอก” เอกรัฐขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนพยายามประนีประนอมแต่หญิงสาวก็ไม่ยอมท่าเดียว


“คุณเอกครับ! คุณหมอครับ คุณวรสา คุณน้องมิ่ง!”


เสียงระล่ำระลักนั้นมีผลให้คนทั้งหมดในอนามัยหยุดชะงักและมองไปทางต้นเสียงซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาด้วยอาการเร่งรีบผสมกับความตื่นตกใจ



***************************************************

1.

สองอาทิตย์ต่อมา....

ยามเที่ยง ณ ท่าเรือบ้านพังกะ ผู้คนต่างพากันเข้าไปหลบแดดร้อนจัดตามร่มเงาเพิงร้านค้าหรือตามตึกแถวเก่าๆ ที่เปิดเป็นร้านกาแฟ ร้านขายของเบ็ดเตล็ด เครื่องมือทางการเกษตร หรือไม่ก็ร้านอาหาร วินรถมอเตอร์ไซด์ ท่ารถสองแถวก็มีเพียงคนขับ เด็กรถ และผู้โดยสารชาวบ้านบางคนที่นั่งรออยู่ ส่วนตลาดสดซึ่งอยู่เยื้องท่าเรือไปนั้นก็มีคนไม่มากนักเพราะผู้คนจะหนาตาก็เฉพาะเวลาเช้ากับเย็น ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างเฉื่อยชาไม่เร่งรีบยกเว้นตอนที่รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กสีเหลืองซึ่งวิ่งระหว่างตัวเมืองกระบี่กับบ้านพังกะจอดลง

ทั้งควันจากรถและฝุ่นละอองจากถนนดินแดงตลบคุ้งขึ้นทันที คนขับรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คันขยับตัวมองไปยังจุดนั้นอย่างลุ้นๆ ไม่ผิดกับเด็กสาวขายตั๋วเรือที่ชะโงกมองว่าจะมีลูกค้าของตนเองบ้างหรือเปล่า เธอนั่งอยู่หลังป้ายสูงประมาณ 1 เมตรซึ่งทำด้วยไม้มีตัวอักษรโตๆ แต่สีซีดจางเพราะความเก่า บนนั้นเขียนไว้ว่าท่าเรือพังกะ- ต่อด้วยชื่อเกาะต่างๆ และเมื่อมีผู้โดยสารทยอยเดินลงมาทุกคนก็ต่างส่งเสียงเรียกกันคึกคักตามหน้าที่

“ยังไม่ถึงนะคุณ!”

เด็กท้ายรถอายุประมาณ 20 ร้องทักเมื่อสาวสวยรูปร่างเพรียวสมส่วนวัย 24 ปีคนหนึ่งขยับตัวออกจากเบาะรถโดยสารซึ่งเป็นที่นั่งซ้อนๆ กันหลายแถว เธอคนนั้นรวบผมยาวหยักศกไว้ด้านหลังใส่กางเกงยีนส์แนบตัวยี่ห้อแบรนด์เนมและเสื้อสีขาวเข้ารูปทรงดูทะมัดทะแมง ไหล่บางสะพายกระเป๋าหนังสายยาวสีน้ำตาล

“ทำไมล่ะ...”

ชมพูนุท พันพงศา ถามขึ้นอย่างสงสัย ขาเรียวเดินมาถึงทางลงประตูหน้าแล้วแต่ต้องยืนชะงักเพราะอยากจะก้าวลงก็ก้าวไม่ได้เนื่องจากเด็กหนุ่มคนนั้นยืนขวางอยู่

“ยังไม่ถึง”

ไอ้หนุ่มวัยยี่สิบบอกห้วนๆ พลางยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่พอฝ่ายหญิงเผลอหันไปมองทางอื่นมันก็แอบเหล่ร่างระหงซึ่งมีทรวดทรงแสนจะเซ็กซี่ หน้าอกอิ่ม เอวคอด สะโพกโค้งมนสวย

“จะไปเกาะลานชินต้องไปต่อเรืออีกท่าหนึ่ง” หนุ่มคนเดิมอธิบาย

“แต่คนอื่นลงกันหมดแล้ว”

หญิงสาววัยยี่สิบสี่พูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ชมพูนุทเดินทางลงใต้มาไกลถึงกระบี่ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องจำเป็นบางอย่าง

“บอกว่ายังไม่ถึงยังไงล่ะ” หนุ่มคนนั้นขมวดคิ้วและรีบตะโกนบอกคนขับซึ่งมีอายุมากกว่า “ออกรถเลยลูกพี่ ไปที่หมายได้”

“เดี๋ยวสิ!” หญิงสาวหันไปร้องห้ามและยังไม่ยอมขยับกลับมานั่ง ในใจเริ่มหวาดระแวง “เอากระเป๋าเสื้อผ้าของฉันมาก่อน ใบที่นายเป็นคนบอกว่าจะเอาไปเก็บไว้เพราะมันขวางคนอื่น”

“เดี๋ยวค่อยเอาก็ได้”

หนุ่มรุ่นน้องพูดน้ำเสียงห้วนๆ และเดินไล่เป็นการบังคับให้เธอต้องถอยหลังขึ้นไปบนรถอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่คนขับเคลื่อนรถออกจากที่นั่น แต่ตอนนั้นเองที่หญิงสาวมองเห็นป้ายข้างเรือลำหนึ่งซึ่งเขียนว่า พังกะ-เกาะลานชิน

“นั่นไงเรือไปลานชิน ใช่แล้ว! จอดรถนะฉันจะลง”

เธอตะโกนลั่นแต่ไม่มีใครสนใจ เด็กรถคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากการดึงประตูปิด คราวนี้มันมองสาวต่างถิ่นอย่างสำรวจตรวจตราไม่เกรงใจด้วยไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสพบสาวๆ ขาวๆ หุ่นเซ็กซี่ หน้าตาดีๆ ขนาดนี้และที่สำคัญคือเธอเดินทางมาคนเดียว

‘หุ่นดีแถมยังสวยอีกว่ะ’ มันมองใบหน้ารูปไข่ดวงตาและผมสีน้ำตาลพลางคิดในใจแต่ก็ไม่วายยกมือลูบปากส่งเสียงบอกคนขับ

“ลาบปากว้อยลูกพี่”

“เออว่ะไอ้ป๊อดเอ็งคุมมันให้ดีๆ นะ เดี๋ยวถึงบ้านกูได้สนุกกัน”

โชคชัยหรือคนขับมองหญิงสาวผ่านทางกระจกหน้ารถอีกครั้งคราวนี้ทั้งสีหน้าและแววตาออกท่าทางกระหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง ส่วนไอ้ป๊อดก็รับคำทันที

“ได้เลยพี่โชค”

‘ทำไงดีล่ะ’ ชมพูนุทร้องในใจและรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวพยายามตั้งสติระงับความตกใจ เธอเหลียวมองรอบๆ พร้อมบอกตัวเองในใจว่าสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือหาทางเอาตัวรอด คิดได้แบบนี้ดวงตาสีน้ำตาลจึงหันไปมองทางประตูหลังแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่ามันถูกปิดไปแล้ว ส่วนท่าเรือที่เห็นเมื่อครู่ก็เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่ารอบๆ ยังเป็นบริเวณตลาดมีตึกแถวเก่าและบ้านเรือนตั้งอยู่

‘ถ้าเปิดประตูไม่ได้...ก็ขอความช่วยเหลือทางหน้าต่างนี่แหละ’

หญิงสาวคิดก่อนตัดสินใจวิ่งเข้าไปในซอกที่นั่ง ยกหน้าต่างขึ้นจนสุด และมุดออกไปจนเกือบครึ่งตัวริมฝีปากสีชมพูตะโกนลั่นโบกไม้โบกมือขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ไอ้พวกนี้มันจะทำร้ายฉัน ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย!”

“อีนี่!” ไอ้ป๊อดร้องขึ้นเพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำแบบนี้ นี่ถ้ารถไม่ได้วิ่งอยู่เธอคงกระโดดลงไปข้างล่างนั่นแน่ๆ เชียว ชายหนุ่มวัยยี่สิบขมวดคิ้วก่อนวิ่งไปคว้าขาเรียวไว้และดึงเธอเข้ามาในรถ

“เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!”

ถึงแม้ร่างจะถูกดึงเข้ามาด้านในอย่างแรงแต่เธอก็ไม่ยอมง่ายๆ เท้าเรียวจึงทั้งเตะทั้งถีบอีกฝ่าย พยายามโผล่ออกไปตะโกนขอความช่วยเหลืออีก

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

ตอนนั้นรถยังออกไปไม่พ้นตลาดท่าเรือพังกะดี จึงมีคนข้างทางบางคนสังเกตเห็นและจับกลุ่มมองมีผลให้นายโชคชัยคนขับรถคำรามอย่างโกรธๆ และรีบเหยียบผ่านจุดนั้นด้วยความเร็ว ปากก็บอกลูกน้องอย่างอารมณ์เสีย

“ทำอะไรหน่อยสิโว้ยไอ้ป๊อด”

“ก็ทำอยู่นี่แหละพี่ เงียบปากเดี๋ยวนี้นะอีนี่!”

ไอ้ป๊อดเองก็พยายามดึงร่างเพรียวออกมาจากซอกที่นั่ง แต่มันทั้งแคบทั้งลำบากจึงทำไม่ถนัดนัก อีกทั้งชมพูนุทก็พยายามโผล่ออกไปขอความช่วยเหลืออีกทำให้มันตัดสินใจโถมตัวเข้าใส่ร่างเพรียวและใช้มือปิดปาก แต่หญิงสาวยิ่งตกใจร้องลั่นพร้อมทั้งจิกหัว จิกผม ใช้เล็บข่วนจนเข้าตาอีกฝ่าย

“อีห่า!” คราวนี้ไอ้ป๊อดสบถลั่นและร้องด้วยความโมโห “กูจะปล้ำแม่งในรถนี่แหละ”

ว่าแล้วมันก็กำหมัดทำท่าจะชกเข้าลำตัวของร่างเพรียวแต่เพราะความคับแคบทำให้ไม่ถนัดนักและถือว่าเป็นโชคที่เท้าเรียวซึ่งทั้งเตะทั้งถีบสะเปะสะปะนั้นโดนเข้าที่จุดสำคัญของวายร้าย แม้จะไม่โดนจังๆ แต่ไอ้ป๊อดก็ตัวงอถอยกรูดออกจากซอกที่นั่งและล้มลงบนเบาะด้วยความจุกตกใจ

ร่างสวยจึงรีบปีนหนีเข้ามายืนอยู่กลางรถทันที ตอนนั้นถนนสองข้างทางเริ่มกลายเป็นที่เปลี่ยวร้างผู้คนแล้วและตอนนี้ไอ้ป๊อดก็เริ่มตั้งสติได้ มันคำรามอย่างโกรธแค้นพร้อมเดินเข้าหาพยายามจะคว้าเอวหญิงสาวไว้ ชมพูนุทจึงวิ่งหนีไปทางประตูหลังก่อนเสียหลักล้มกระแทกเบาะนั่งเมื่อคนขับเหยียบเบรคกระทันหัน

เอี๊ยด!

“โอ๊ย” เป็นเสียงไอ้ป๊อดเพราะมันหน้าคะมำหัวถากเหล็กท้ายรถไปทันทีแม้จะไม่ได้ชนอย่างจังแต่ก็เจ็บพอดูจึงกุมหัวก่อนร้องโวยวาย

“เฮ้ยพี่ เบรกทำไมวะ หัวกูแตกแล้วมั๊ง ทั้งบนทั้งล่างเลยกู” มันบ่นมือหนึ่งกุมหัวมือหนึ่งกุมช่วงล่างแต่ไม่ทันที่โชคชัยจะตอบเสียงเข้มๆ ทางนอกรถก็ดังลั่นขึ้น

“เปิด!”

คนขับจึงทำท่าฟึดฟัดขยับลุกขึ้นยืนพร้อมหันมามองไอ้ป๊อด “ไม่จอดได้ไงวะ ลูกพี่มึงมาอีกคนแล้วเห็นหรือเปล่า”

“ลูกพี่อีกคนหนึ่งเหรอพี่โชค งั้นก็ดีสิจะได้มีคนมาเอี่ยว เฮ้ย!” มันหันไปมองชมพูนุทก่อนบ่น “แต่ถ้าลูกพี่มากูก็อดเปิดซิงมึงน่ะสิ ต้องให้ลูกพี่ก่อน ไม่ดีเว้ยไม่ดี”

ถ้อยคำที่ได้ยินทำให้ใจของชมพูนุทสั่นอย่างหวาดกลัว เธอรีบย่อตัวลงนั่งที่บันไดตรงประตูหลังหูก็เงี่ยฟังและพยายามคาดเดากับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป

“ตายห่า!” เสียงเด็กรถวัยยี่สิบร้องเมื่อหันมาเห็นรถโฟล์วิวสีดำคันใหญ่จอดขวางรถโดยสารอยู่และเห็นว่าใครกำลังยืนกอดอกรอด้านข้างประตู

“ลูกพี่ใหญ่จริงๆ ด้วยพี่โชคเอ๊ย มีคนขัดลาภปากเราซะแล้ว”

“เออใช่ลูกพี่ใหญ่ ใหญ่มากด้วย!” โชคชัยผู้เป็นคนขับพูดอย่างอารมณ์เสียและมองนอกไปนอกตัวรถ

นายหัวนันทนะยืนกอดอกมองคนบนรถทัวร์ เมื่อครู่เขาขับรถกลับมาจากในเมืองสวนกับรถคันนี้และเห็นผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ตัวออกไปทำท่าเหมือนขอความช่วยเหลือ อะไรบางอย่างทำให้เขาเอะใจและวกรถตามมาขวาง

‘ลูกพี่ใหญ่! นอกจากไอ้สองตัวนี่แล้วยังมีลูกพี่ใหญ่อีกเหรอเนี่ย’

แต่สำหรับชมพูนุท...เธอคือคนแปลกถิ่นสำหรับที่นี่ ไม่รู้จักใครและไม่ทราบอะไรเลย ด้วยเหตุนี้พอได้ยินคำพูดของนักเลงสองคนนั่น เธอจึงแอบโผล่ขึ้นมาดูคนที่ยืนอยู่ข้างตัวรถ

ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงกำยำ ใส่แว่นตาสีดำ ผิวสองสี ผมยาวระคอยุ่งเหยิงเหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยได้ใส่ใจหวีนอกจากเสยขึ้นไปและแม้ใบหน้าจะดูคมคายแต่หนวดเคราก็รกครึ้ม ยิ่งเธอเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อดำกางเกงยีนส์รวมกับมาดนิ่งๆ เขาก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น

‘ตายแน่ๆ เลย ฉันจะทำยังไงดี’

หญิงสาวเชื่อทันทีว่าคนที่ยืนอยู่นั้นคือ ‘ลูกพี่ใหญ่’ ยิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้ไอ้คนชื่อป๊อดก็เรียกคนขับว่าลูกพี่เหมือนกันก็ยิ่งปักใจว่าทั้งหมดต้องเป็นพวกเดียวกัน เธอจึงย่อตัวลงอีกครั้งก่อนพยายามมองหากระเป๋าเดินทางที่ถูกเก็บไว้และพบว่ามันถูกยัดอยู่ใต้ที่นั่งเบาะหลัง มือเรียวจึงทำท่าจะเอื้อมดึงมันออกมาแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงโชคชัยดังขึ้น

“แอบอยู่อย่างนั้นน่ะดีแล้ว อย่าเผยอหน้าออกมานะโว้ย นี่ลูกพี่พวกฉัน ถ้าเจอคนนี้อีกคนล่ะก็คืนนี้มึงยับไม่เหลือแน่ ทางที่ดีแอบอยู่เฉยๆ เอาไว้เดี๋ยวพวกพี่จัดการเอง”

โชคชัยขู่ก่อนจะพยักเพยิดให้ไอ้ป๊อดเปิดประตูและทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แหมลูกพี่ วันนี้มาเที่ยวฝั่งนี้เหรอ แถมมาคนเดียวด้วย แล้วมีอะไรให้พวกผมรับใช้ล่ะ” โชคชัยผู้เป็นชายวัยสามสิบปีและเป็นลูกน้องของผู้มีอิทธิพลในพังกะวางฟอร์ม

“ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่าลูกพี่” นันทนะพูดเรียบๆ ด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังนักดวงหน้าคมคร้ามเงยมองขึ้นไปบนรถก่อนถาม “ผู้หญิงอยู่ไหน”

“ผู้หญิง...” ไอ้ป๊อดมองหน้าคนขับก่อนส่ายหัว ทั้งสองคนยังยืนออปิดกั้นประตูทางขึ้นอยู่ แถมส่งเสียงพูดสลับหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขำๆ “ผู้หญิงที่ไหนกั๊น ไม่มี๊ ไม่มี นายหัวตาฝาดหรือเปล่าครับ ช่วงนี้แดดจัดสงสัยเมาแดด”

“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงบนรถของนาย”

“อ๋อ นังผู้หญิงคนนั้นละสิ” โชคชัยหันมาแอบขยิบตาให้ไอ้ป๊อดก่อนทำท่ากระซิบกระซาบ “ก็ผู้หญิงที่แกจีบมาได้จากท่ารถนั่นไง คู่ขารุ่นพี่สดๆ ร้อนๆ ของไอ้ป๊อดมันน่ะ นายหัวอย่าสนใจเลย”

นายหัวนันทนะขมวดคิ้วเพราะความจริงถ้าเป็นคู่ขากันก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่น่าที่เขาจะน่าจะต้องเข้าไปวุ่นวาย แต่เมื่อคิดถึงดวงหน้านวลที่โผล่ออกไปจากรถเมื่อครู่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจบอกเสียงเข้ม

“ถอยไป”

“ไปไหนล่ะครับนายหัว หรือจะให้พวกเราไปกันเสียที” ไอ้ป๊อดทำท่าจะมั่วนิ่มตามนิสัย มือหนาได้รูปของนายหัวหนุ่มจึงจับไหล่ของมันผลักออกไปด้านข้างและก้าวขึ้นบนรถเสียเอง

“อย่าขึ้นไป!” โชคชัยร้องห้ามแต่ไม่ทันเพราะนันทนะก้าวยาวๆ แค่สองก้าวก็ยืนอยู่บนรถแล้ว

“โธ่เว้ย” เจ้าของรถทำหัวเสียและรีบขึ้นมาบ้าง ไอ้ป๊อดเองก็ตามลูกพี่มาติดๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่นันทนะก้าวใกล้จะถึงด้านหลังจู่ๆ ประตูรถที่เห็นนั้นก็ถูกดันผลัวะออก

ชมพูนุทใช้ความพยายามอยู่นานที่จะเปิดสลักประตูหลังโดยไม่ให้ใครสังเกต เธอไม่ได้ยินประโยคสนทนาด้านนอกรถของคนทั้งสามทว่าในหัวนั้นจำได้เพียงสิ่งที่โชคชัยขู่ อีกทั้งตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่าใครจะเป็นคนดีหรือคนร้าย หญิงสาวรู้เพียงว่าตัวเองต้องหนีไปจากจุดนี้และไปให้ถึงเกาะลานชินให้ได้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง มือเรียวจึงออกแรงผลักบานประตูนั้นออกและกระโดดลงจากรถโดยสารรีบวิ่งกลับไปยังทางที่ผ่านมาโดยไม่ได้หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองมาด้วยแต่สิ่งนี้เองที่ทำให้เธอวิ่งได้รวดเร็วขึ้น

หญิงสาวไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากว่าสามคนนั้นเป็นพรรคพวกกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบหนีอย่างลืมความเหน็ดเหนื่อยแต่เมื่อวิ่งไปได้สักระยะและหันกลับไปมองทางจุดที่ตนเองวิ่งมาก็อดรู้สึกหนาวๆ ในใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวโตท่าทางน่ากลัวคนนั้นถอดแว่นสีดำออกและจ้องมองอยู่

“ว๊าย!”

“ปี๊นๆๆ!”

เพราะมัวแต่มองเขานั่นเองทำให้เธอไม่เห็นรถกระบะสีเลือดหมูที่วิ่งมาตามทาง แต่ดีที่รถคันนั้นขับมาช้าๆ และบีบแตรตั้งแต่เห็นเธอวิ่งหันหน้าหันหลังมาไกลๆ จึงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุและต้องเจ็บตัว ทว่าร่างเพรียวเองก็โดนกระแทกจนล้มลงกับพื้นถนน

“จะบ้าหรือไงวิ่งมาขวางทางรถอยากตายเหรอ”

ราชาวดีกับเพื่อนสาวคนหนึ่งผลักประตูรถกระบะลงมาพร้อมโวยวาย โชคดีที่วันนี้เธอแค่วานเพื่อนมาสอนขับรถให้จึงได้แต่แล่นช้าๆ และไม่เกิดอุบัติเหตุเลือดตกยางออกกันขึ้น

“ขอโทษ” ชมพูนุทรู้สึกจุกเล็กน้อยแต่ก็ยังสำนึกว่าตนเองตกใจจนไม่ได้ดูเองและเธอก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ร่างเพรียวจึงลุกขึ้นยืนพร้อมก้มหัวให้อีกฝ่ายอย่าขอโทษ มือเรียวปัดฝุ่นตามตัวและบอกอีกครั้ง

“ขอโทษค่ะฉันกำลังรีบ ฉันหนีมาเลยไม่ทันระวัง”

“หนีงั้นเหรอ”

ราชาวดีทวนคำพร้อมมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจ ตอนแรกเธอคิดว่าจะต้องจอดรถด่าหรืออบรมกันยกใหญ่ แต่พอเห็นสภาพเหงื่อโทรมกายและได้ฟังถ้อยคำของอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนใจเป็นมองไปทางด้านหลังของหญิงสาวผู้นี้แทน และภาพที่เธอเห็นก็คือนายหัวแห่งเกาะลานชินกำลังยืนมองอยู่แต่พอตนเองส่งยิ้มให้และทำท่าจะโบกมือทักทาย เขากลับหันหลังหนีเอาดื้อๆ ทำให้คนยิ้มต้องยิ้มค้างและหันมาใส่อารมณ์กับสาวแปลกถิ่นแทน

“บ้าชะมัด แล้วอะไรกัน! รีบหนีมา...หมายความว่ายังไง เธอหนี...ทำไมต้องหนี”

ประโยคหลังของสาวเจ้าถิ่นเต็มไปด้วยความแปลกใจ ชมพูนุทจึงหันไปมองเบื้องหลังตนเองบ้าง เธอก็เห็นเช่นเดียวกันว่านายลูกพี่อันธพาลหน้าดุตัวโตคนนั้นกำลังเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถคันสีดำ ส่วนรถโดยสารก็วิ่งจากไปจนเห็นแทบจะมองไม่เห็นแล้ว

“พวกนั้นจะทำร้ายฉันค่ะ”

“พวกนั้น?” ราชาวดียิ่งขมวดคิ้ว ชมพูนุทจึงระล่ำระลักอธิบาย

“ใช่ค่ะ มีสองคนบนรถโดยสารที่เห็นไกลๆ ลิบๆ เป็นคนขับกับเด็กรถ...แล้วก็อีกคน...คนที่ขึ้นรถกระบะไปนั่นแหละค่ะ พวกมันหลอกฉันแล้วก็พยายาม....” พอมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ลังเลเพราะไม่อยากพูดถึง เธอจึงเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่แต่ก็ยังตะกุกตะกักอยู่ดีซึ่งก็คงเป็นเพราะยังใจสั่นๆ กับเรื่องที่เพิ่งได้พบไม่หาย

“คือฉันเพิ่งมาถึงน่ะค่ะเลยไม่รู้เรื่องว่าจะไปทางไหนดี คนพวกนี้ก็เลยหลอกแต่ก็โชคดีที่หนีมาได้ คือ...คือว่าฉันจะไปที่เกาะลานชินน่ะค่ะ คือ...คุณเอกรัฐ...ดิฉันมาหาคุณเอกรัฐค่ะ”

“เกาะลานชิน คุณเอกรัฐ”

ราชาวดีทบทวนเบาๆ พลางคิดตามสิ่งที่หญิงสาวแปลกหน้าพูด รถโดยสารที่เห็นแล่นไปไกลๆ นั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นคันไหน แต่ถ้าหญิงสาวผู้นี้บรรยายลักษณะคนในรถล่ะก็คงไม่ยากที่จะรู้ เพราะรถโดยสารระหว่างอำเภอเมืองกับพังกะก็มีเพียงไม่กี่คันเท่านั้น ส่วนคนที่ก้าวขึ้นรถกระบะไปต่อให้ไกลแค่ไหนเธอก็จำร่างสง่าบุคลิกเข้มๆ ท่าทางมีเสน่ห์น่าค้นหาของเขาได้ดี

‘นายหัวนันทนะ หรือนายหัวมาร์ค’

แต่คนอย่างเขาน่ะเหรอจะหลอกผู้หญิงคนนี้ ผู้ชายที่ไม่เคยพูดกับเธอเกินสองประโยคเนี่ยนะ ไม่มีทาง!

“ฉันก็เคยทำงานเป็น...ครูที่โรงเรียนก้องเกียรติศุกรในเกาะลานชินเหมือนกันชื่อราชาวดี”

ความอยากรู้ทำให้ราชาวดีอ้างกับอีกฝ่ายทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเธอไม่ได้เป็นครูสอนเด็กแต่ทำงานฝ่ายธุรการ อีกทั้งเธอก็ไม่ได้เล่าถึงสาเหตุที่เลิกทำงานที่โรงเรียนนั้นด้วย

’สาเหตุน่ะเหรอ’ ราชาวดีอดจะรู้สึกโมโหไม่ได้เมื่อคิดถึงมัน...เป็นเพราะพายุเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี่เองที่ทำให้เธอต้องหอบผ้าหอบผ่อนข้ามฝั่งกลับมาด้วยความเสียหน้า เนื่องด้วยหลังจากที่ตนเองได้ยื่นคำขาดว่าให้เจ้าของโรงเรียนมาขอร้อง นายหัวมาร์คก็ส่งนายปกรณ์ลูกน้องคนสำคัญของเขามาหาทันทีเหมือนกันแต่มาพร้อมด้วยถ้อยคำที่เธอจำไม่เคยลืม

‘นายหัวบอกว่า...ถ้าคุณอยากกลับจริงๆ ละก็ให้เอาเรือไปส่งวันนี้เลยครับ ส่วนข้าวของถ้าเก็บไม่ไหวภายในวันเดียว นายหัวก็จะส่งคนมาช่วยเก็บช่วยขนให้’

แบบนี้ใครจะมีหน้าอยู่ต่อล่ะ!

“เป็นครูงั้นเหรอคะ คุณครู! ดีจังที่เจอกัน ฉันชื่อชมพูนุทนะคะ” แต่หญิงสาวตรงหน้าไม่รู้เรื่องด้วย ดวงตาสีน้ำตาลจึงสว่างวูบเป็นประกายขึ้นมาทันทีเพราะคิดว่าได้เจอคนที่พึ่งพาได้แล้ว

“ฉันลาออกแล้วไม่ต้องเรียกว่าครูหรอก” ราชาวดีทำเก๊กท่าวางมาดก่อนถาม “งั้น...นี่หมายความว่าเธอจะมาทำงานที่นั่นงั้นเหรอ หรือว่า...จะมาทำงานแทนฉัน”

ชมพูนุทไม่ได้ตอบคำถามนี้เพราะใบหน้าสวยมัวก้มลงปัดฝุ่นที่เปรอะตามตัวอีกครั้ง ทว่าราชาวดีก็ถือว่านั่นคือการยอมรับ หญิงสาวเจ้าถิ่นจึงหันไปมองหน้าเพื่อนและเริ่มสนใจสาวคนนี้มากขึ้น ทั้งคู่จึงเสนอจะช่วยพาไปส่งท่าเรือพร้อมชวนอีกฝ่ายไปนั่งดื่มอะไรที่ร้านกาแฟใกล้ๆ และเริ่มสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพียงกระเป๋าสีน้ำตาลที่สะพายอยู่เท่านั้น

“เธอมาจากไหน ไม่ได้เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยหรือไง”

“เอ่อ...คือ...ฉันมาจากกรุงเทพฯ ค่ะ ส่วนเรื่องกระเป๋า...คือว่า....” ชมพูนุททำท่าลำบากใจเพราะเธอรีบหนีจนไม่ได้หยิบกระเป๋าใบนั้นมาด้วย แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็เป็นถึงครูบาอาจารย์และเคยทำงานที่ลานชินมาก่อนหญิงสาวจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด

“ลูกพี่ใหญ่อย่างนั้นเหรอ?”

เมื่อฟังจบราชาวดีก็ร้องออกมา เธอแอบหยิกแขนเพื่อนที่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างและแทบจะหัวเราะในความเข้าใจผิดของชมพูนุทแต่ก็พยายามกลั้นไว้ สายตาของสาวเจ้าถิ่นมองดวงหน้านวลที่ถูกสาดด้วยสีชมพูจัดเพราะความร้อน ความเหนื่อย นัยน์ตาของสาวแปลกหน้านั้นออกสีน้ำตาลเข้มสวยทว่าถูกล้อมกรอบด้วยแผงขนตาหนางอนยาว ริมฝีปากอิ่มยังเป็นสีชมพูธรรมชาติซึ่งคงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ชอบแต่งหน้า ร่างเพรียวก็ดูสมส่วน ท่อนขาเรียวงามถึงขนาดว่าถ้าเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงยีนส์เป็นกระโปรงสั้นๆ เสื้อเกาะอกละก็ผู้หญิงคนนี้คงเซ็กซี่หาตัวจับยากทีเดียว ด้วยความงามผุดผาดของสาววัย 24 นี้เองทำให้ราชาวดีนึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เสียงดุๆ จึงขู่กันท่าเสียเลย

“นี่ยังแค่ฝั่งพังกะนะ แต่ถ้าข้ามไปถึงเกาะลานชินยิ่งร้ายหนักกว่าอีก ที่นั่นน่ะอยู่ไกลจากฝั่งนี้ตั้งเกือบร้อยกิโล ทะเลก็น่ากลัวขนาดพ่อกับแม่ของนายหัวยังตายทะเลที่นั่นเลย ส่วนผู้คนก็ออกจะเถื่อนๆ คนที่เห็นขึ้นรถกระบะไปน่ะ...ยิ่งร้ายใหญ่ ต้องอยู่ห่างๆ เข้าไว้ สาวกรุงอย่างเธอจะอยู่ได้หรือไง ฉันว่าเปลี่ยนใจกลับบ้านไปจะไม่ดีกว่าเหรอ”

“น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ชมพูนุทเม้มปากลงอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันได้ข่าวว่าที่นั่นมีไฟฟ้าใช้ แล้วก็มีสัญญาณโทรศัพท์ มีเหมืองที่ทันสมัย...”

“ก็มีนั่นแหละ โอ๊ย! แต่ไฟน่ะติดๆ ดับๆ พายุที่นั่นก็น่ากลัวจะตาย ส่วนในเหมืองนะยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าเจอคนจากเหมืองล่ะก็เธอต้องอยู่ห่างเป็นดีที่สุด นี่เธอคงไม่รู้สินะว่านายลูกพี่อันธพาลที่เธอเจอเมื่อครู่น่ะเขาเป็นเจ้าของเหมือง” ราชาวดีใส่ไฟอย่างเมามันโดยมีเพื่อนสาวช่วยเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เป็นระยะๆ

“แล้วคุณเอกรัฐล่ะคะ” ชมพูนุทถามเบาๆ นึกหวาดๆ อยู่เหมือนกัน

“คุณเอกก็เป็นอาของนายหัวมาร์ค เอ่อ...นายหัวมาร์คก็คือผู้ชายคนที่เธอเห็นนั่นไง เขามีอิทธิพลในเกาะนั้นมากเลยนะ ที่นั่นมีแต่คนร้ายกาจทั้งนั้นแหละ แล้วแบบนี้เธอยังคิดว่าการที่จะข้ามไปน่ะจะเป็นผลดีกับตัวเองหรือไง ฉันว่ากลับไปเถอะน่า ที่เตือนนี่ก็เพราะว่าหวังดี เพราะฉันเองก็....” ราชาวดีแสร้งก้มหน้าทำท่าลำบากใจ

“ทำไมเหรอคะ” ชมพูนุทสังเกตเห็นความผิดปกติจึงถามขึ้น

ราชาวดีอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ และด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะมาทำหน้าที่แทนตัวเอง เธอจึงคิดแผนการร้ายๆ ขึ้นโดยฉับพลัน เพราะถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมข้ามไปเกาะลานชิน นายหัวมาร์คก็อาจกลับมาง้อเธอก็ได้

“ฉัน ฉัน เองก็ ถูกเขาข่มเหงเหมือนกัน เลยต้องลาออกมานี่ไง”

“อะไรนะคะ! จริงเหรอคะเนี่ย” ชมพูนุทตัวเย็นวาบ ผู้หญิงคนนี้ประสบเรื่องเลวร้ายมาหรือนี่

“จริงเหรอ! ทำไมถามแบบนี้ ทำไมพูดแบบนี้ นึกว่าฉันอยากพูดเรื่องนี้หรือไง ที่บอกเนี่ยก็เพราะไม่อยากให้เธอต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกันรู้ไหม กลับบ้านไปเถอะ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” ราชาวดีขยี้ตาจนสุดฤทธิ์เพื่อให้มันช้ำและสุดท้ายก็ทำให้มันเกิดอาการแดงๆ ขึ้นมาได้บ้าง ส่วนเพื่อนที่นั่งข้างๆ นั้นหลังจากอ้าปากหวอไปด้วยความตกใจก็รีบรับมุขแสร้งทำท่าทีปลอบยกใหญ่

“แต่ว่า...” ชมพูนุทอ้ำอึ้ง “คุณเอกรัฐ...อาของเขาคงไม่ได้เป็นคนแบบนั้นหรอกมั๊งคะ แล้วฉันก็มาหาคุณเอกรัฐคงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน...คือฉันจะระวังตัวพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับนายหัวนั่นค่ะ”

ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่ฟังคำทัดทานของราชาวดี และในที่สุดเกาะกลางทะเลสีเขียวครึ้มมองเห็นหาดสีขาวรอบๆ ก็ใกล้สายตาเข้ามาเรื่อยๆ ชมพูนุทนั่งอยู่ในเรือข้ามฟากของเกาะลานชินซึ่งเจ้าของท่าบอกว่าจะมีแค่วันละหนึ่งเที่ยวเท่านั้นแต่วันนี้ถือเป็นวันพิเศษเพราะเด็กที่ท่าบอกว่าคุณเอกรัฐเหมาเรือไว้ให้รอรับเธอโดยเฉพาะ และระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงสำหรับการข้ามฟากด้วยเรือเฟอรารี่ขนาดกลางนั้นหญิงสาวก็นั่งคิดถึงคำพูดของอดีตคุณครูแห่งเกาะลานชินไปเรื่อยๆ

‘ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังจะไปที่นั่นจริงๆ ละก็ ฉันก็จะสอนให้นะว่าระวังนายหัวมาร์คให้ดี แล้วก็อย่าเที่ยวเอาเรื่องวันนี้ไปพูดให้ใครฟังเพราะนายหัวมาร์คน่ะมีแต่คนเคารพเชื่อฟัง มันจะกลายเป็นผลร้ายกับเธอเอง’

“แต่...มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้”

ชมพูนุทพยายามปลอบใจตัวเอง และหลังจากคิดเรื่องต่างๆ ได้ไม่นานท่าเรือของเกาะลานชินก็ปรากฏต่อสายตา มันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ว่าจะเป็นสะพานปูนสีขาวที่ทอดยาวลงมาในทะเล การจอดเรือประมงที่เป็นระเบียบ บ้านเรือนที่ไม่ลุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำมากจนเกินไป ผิดกับความคิดในครั้งแรกของชมพูนุทโดยสิ้นเชิง เธอนึกว่าท่าเรือที่นี่จะเป็นสะพานไม้ระเกะระกะมีสภาพจะพังไม่พังเหล่สมกับคำว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่อดีตครูสาวแห่งเกาะนี้บอกเสียอีก

ก่อนจะลงจากเรือร่างสวยยืนขึ้นและจับชายเสื้อสีขาวที่เปื้อนฝุ่นสอดเข้าไปในกางเกงยีนส์และสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเตรียมรับกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น

“สู้ๆ ชม”

เธอบอกตัวเองก่อนสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งและก้าวขึ้นไปยังสะพานปูนตามคำบอกของคนที่มาส่ง จนพบกับชายผิวคล้ำรูปร่างท้วมอายุประมาณ 55 ปีแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกางเกงสีดำ

“สวัสดีครับ คุณชมพูนุท พันพงศา ใช่ไหมครับ ผมชื่อบัญชาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนก้องเกียรติศุภกรในเกาะลานชิน คุณเอกรัฐบอกให้ผมมารอรับคุณครับ”

“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ชมพูนุทตอบและมองใบหน้ายิ้มแย้มแสดงความอารีของผู้ที่มาต้อนรับอย่างหวังว่าชีวิตของเธอในเกาะแห่งนี้คงจะไม่แย่จนเกินไป



***********************************************

2.



ที่บ้านตึกสองชั้นฝั่งอำเภอพังกะราชาวดีก้าวลงจากรถกะบะสีแดงเลือดหมูของเพื่อนและหลังจากอีกฝ่ายถอยรถออกไปแล้ว สายตาหญิงสาวก็สอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างบนรถโดยสารประจำทางขนาดเล็กสีเหลืองที่จอดอยู่ไม่ไกล

“ไปไหนมาวะวดี”

เสียงที่ดังขึ้นจากใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งทำให้ราชาวดีเหลียวไปมอง เธอยกมือขึ้นกอดอกและจ้องญาติผู้พี่ซึ่งนอนสบายอารมณ์อยู่บนเปลยวนพร้อมกับลูกสมุนสองคนที่กำลังเอกเขนกตรงแคร่ใต้ต้นมะม่วงก่อนบอก

“ไปให้แอ๊วมันสอนขับรถมาน่ะสิพี่ภูมิ”

“โธ่เอ๊ยอายุตั้งเท่านี้แล้วเพิ่งอยากหัดขับรถ สมัยก่อนทำเป็นอีเดียดกลัวไอ้โน่นไอ้นี่” ภาคภูมิส่ายหัวพยักเพยิดให้ลูกน้อง โชคชัยจึงส่งสายตาเจ้าชู้

“อย่างน้องวดี ผมว่าลูกพี่น่าจะหาคนขับให้มากกว่านะ”

“ฉันไม่ใช่น้องแก” ราชาวดีเชิดใส่อีกฝ่ายพร้อมถามทันที “ทำไมวันนี้แกสองคนเลิกวิ่งรถไวจัง มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”

“ไม่มีเจ๊ไม่มี”

ไอ้ป๊อดดีดตัวขึ้นพร้อมรีบพูด มือทั้งสองยกขึ้นโบกประกอบด้วยอาการของคนร้อนตัว โชคชัยและป๊อดนั้นเป็นลูกน้องของภาคภูมิลูกชายคนเดียวของเสี่ยภักดีซึ่งเป็นเจ้าของรถโดยสารที่ทั้งคู่ขับด้วย

“อย่ามาทำเป็นโกหก! ไปทำอะไรมาอย่านึกนะว่าจะปิดมิด ถ้าฉันบอกลุงละก็พวกแกโดนดีแน่” ราชาวดีเขม่นสายตาใส่ลูกน้องของญาติผู้พี่

“อะไรกันวดี มาถึงก็ฉอดๆ แบบนี้ พวกแกก็เถอะไปทำอะไรมาวะ กูก็สงสัยอยู่เหมือนกันทำไมวันนี้ถึงได้มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ไม่ไปทำงานทำการ” ภาคภูมิซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 30 ปีผิวคล้ำรูปร่างสันทัดถามขึ้นและคำถามนั้นก็ทำให้นายป๊อดกับโชคชัยมองหน้ากันอึกอัก ราชาวดีจึงพูดเสียเอง

“พวกมันไปทำเรื่องมาน่ะสิ” พร้อมหันหน้าไปหาโชคชัย “พวกแกพากันไปฉุดสาวกรุงเทพฯ กะจะลากไปทำมิดีมิร้ายแต่พอดีนายหัวมาร์คมาเจอใช่ไหม”

“ผู้หญิงเหรอ สวยไหมวะ!”

ภาคภูมิไม่ได้ใส่ใจความผิดแต่กลับทำตาโตและถามลูกน้องอย่างกระตือรือร้น “แล้วทำสำเร็จไหมวะ ไอ้นายหัวขี้เต๊ะนั่นพวกแกรุมอัดรุมกระทืบมันจนหงอยไปเลยหรือเปล่า แล้วผู้หญิงเป็นไงวะเด็ดไหม”

“อัดอะไรล่ะพี่” โชคชัยมีท่าทีไม่พอใจที่ราชาวดีเอาเรื่องนี้มาตอกย้ำ “ยังไม่ทำอะไรเลยนังผู้หญิงมันหนีไปได้”

“อะไรวะ!” ภาคภูมิตบเข่าฉาดอย่างเสียดาย ราชาวดีเห็นแบบนั้นก็บ่นขึ้นทันที

“อะไรกัน! มันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนับสนุนหรือเสียดงเสียดายอะไรเลยนะพี่”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกวะ!” ภาคภูมิไม่พอใจที่ญาติสาวขึ้นเสียงดังจึงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยชอบใจเพราะตัวของเขาเองนั้นเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเสี่ยภักดีผู้มีอิทธิพลจึงไม่คุ้นเคยกับการโดนตะคอกใส่

“ก็...ฉันหวังดี” ราชาวดีเบาเสียงลงก่อนอธิบาย “สิ่งที่ไอ้พวกนี้ทำน่ะมันจะส่งผลร้ายให้พี่นะ พี่รู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นจะไปทำงานที่เกาะลานชิน แล้วถ้ายัยนั่นบอกเรื่องนี้กับคุณเอก กับครูใหญ่ หรือกับนายหัว แล้วพากันไปแจ้งความจะทำยังไง นายหัวมาร์คเองก็อาจจะจำรถบ้านนี้ได้และทุกคนก็รู้ดีว่าโชคชัยกับป๊อดน่ะเป็นลูกน้องคนสนิทของพี่ แล้วอีกไม่นานพ่อของพี่ก็บอกอยู่แล้วว่าจะสนับสนุนให้พี่ลงหาเสียงชิงตำแหน่งอบต. ทีนี้รู้หรือยังล่ะว่าควรจะรู้สึกยังไง”

“ที่แกพูดก็ถูก” ภาคภูมิพูดขึ้นหลังฟังประโยคยาวๆ นั้นจบ “แล้วแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง หรือว่าตอนนี้คนในตลาดมันเอาไปลือกันกระฉ่อนแล้ว ถ้าเข้าหูพ่อละก็ตายห่าแน่คราวนี้”

“คนในตลาดน่ะไม่รู้อะไรเท่าไหร่หรอกพี่”

ราชาวดีบอกก่อนเล่าเรื่องที่บังเอิญเจอกับชมพูนุทให้ฟังพร้อมยังบอกด้วยว่าพอได้รู้ลักษณะของคนและรถแล้วตนเองจำได้ทันทีว่าเป็นรถของที่นี่ ด้วยความฉลาดแกมโกงบวกกับอาการหมั่นไส้จึงโกหกผู้หญิงคนนั้นเป็นตุเป็นตะเรื่องนายหัวมาร์ค

“พวกคนในตลาดน่ะไม่เท่ากับตัวโจทย์อย่างนังนั่นหรอกแต่ฉันโกหกไปแบบนี้มันคงไม่กล้าเล่าให้ใครฟังหรอก สำคัญอีกคนก็นายหัวมาร์คนั่นแหละ”

“โธ่คุณราชาวดีคร๊าบ ผมกับไอ้ป๊อดก็ไม่ใช่ว่าโง่นะครับ ไอ้เรื่องใส่ไฟตอหลดตอแหลผมก็เก่งไม่แพ้คุณหร๊อก รับรองว่านายหัวนันทนะไม่ใส่ใจกับผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ เชื่อผมสิ” นายโชคชัยยิ้มกรุ่มกริ่มพลางเล่าเรื่องเมื่อตอนบ่ายของวันนี้ เพราะหลังจากผู้หญิงคนนั้นวิ่งหนีออกไปจากรถของเขาแล้ว โชคชัยก็รีบโวยวายสมองอันฉับไวในเรื่องเลวๆ ของเขาคิดคำโกหกพลิกวิกฤตเป็นโอกาสขึ้นมาทันที

‘อ้าว หนีไปเสียแล้ว นายหัวนี่ยังไงกันล่ะครับ เนี่ยผมจ่ายตังค์ค่าหิ้วมันไปแล้วด้วยนะ เชิดเฉยเลยนังนี่ โธ่เอ๊ย! ตอนแรกก็ทำเป็นเออออพอให้ค่าตัวน้อยหน่อยก็คิดจะแบล็คเมล์ โคตรเซ็งเลย โธ่ นายหัวลองคิดดูสิถ้ามันเป็นผู้หญิงดีๆ มันจะวิ่งหนีคนที่คิดจะมาช่วยทำไมกัน’

“ตอนแรกนายหัวก็ทำท่าจะไม่เชื่อแต่นังนั่นดันวิ่งหนีไปก็เลยเข้าเค้า” โชคชัยวาดมาดคล้ายตนเองทำเรื่องที่น่าภูมิใจ ทำให้เจ้านายและญาติผู้น้องหัวเราะคิกคักในความฉลาดแกมเลวของลูกน้อง ทว่าเมื่อคิดไปคิดมาราชาวดีก็เริ่มสะดุดใจกับคำว่า ‘ตอหลดตอแหล’ ของโชคชัยและปรี๊ดขึ้นมาทันทีที่นึกได้

“ไอ้โชคชัย! นี่แกหาว่าฉันตอแหลเก่งงั้นเหรอ!”

หญิงสาวตะโกนร้องตะโกนตามด้วยคำด่าอีกสารพัดชนิด แถมมือยังคว้าท่อนไม้ใกล้ๆ เขวี้ยงใส่อีกฝ่าย ทำให้โชคชัยกับไอ้ป๊อดวิ่งหนีออกไปจากบ้านของลูกพี่แทบไม่ทัน



วันที่ชมพูนุทเดินทางถึงเกาะลานชินนั้นเป็นช่วงเย็นของวันเสาร์และคุณครูใหญ่บัญชาก็ยืนรอรับเธออยู่ที่ท่าเรือพร้อมทั้งถามอย่างห่วงใยถึงการเดินทางมาฝั่งนี้

“การเดินทางเรียบร้อยดีไหมครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับฝั่งโน้นพอดีคุณเอกบอกฉุกละหุกไปหน่อยน่ะครับ”

“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” ชมพูนุทยิ้มอ่อนๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะไม่รู้เหมือนว่าการตีโพยตีพายหรือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังนั้นจะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับตัวเองกันแน่

“เดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้านก้องเกียรติเลยละกันนะครับ”

“บ้านก้องเกียรติเหรอคะ” ชมพูนุทไม่คุ้นกับชื่อบ้านหลังนี้เลยแต่ก็พอจะนึกออกเมื่อจำได้ว่าเอกรัฐนามสกุลก้องเกียรติศุภกร “อ๋อค่ะ...แล้วคุณเอกรัฐล่ะคะ”

ครูใหญ่บัญชาส่ายหน้าน้อยๆ และมองหญิงสาวอย่างแปลกใจเพราะเอกรัฐไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรเลยนอกจากโทรมาสั่งว่าให้ช่วยไปรับผู้หญิงคนหนึ่งไปส่งที่บ้านก้องเกียรติพร้อมบอกชื่อนามสกุลให้ ตอนแรกตนว่าจะถามแต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยสะดวกคุยนักจึงไม่มีโอกาสซักไซร้รายละเอียด

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะรีบมา”

“ค่ะ” ชมพูนุทตอบสั้นๆ พลางก้าวขึ้นไปนั่งบนรถกระบะสีน้ำเงินสภาพกลางเก่ากลางใหม่ และครูใหญ่ก็เริ่มขับเคลื่อนมันไปตามถนนภายในเกาะ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ รถก็แล่นเข้าไปในเขตที่ปลูกต้นไม้ร่มครึ้มจนเต็มสองข้างทาง ทำให้คนที่นั่งมาเกิดอาการขยับตัวเล็กน้อยอดไม่ได้ที่จะไม่ไว้ใจเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง

“บ้านก้องเกียรติอยู่ข้างหน้าแล้วครับ”

แต่คนขับร้องบอกเสียก่อนเมื่อเริ่มถึงเขตป่าที่โล่งขึ้นและมองเห็นบ้านสองชั้นสร้างแบบกึ่งไม้กึ่งปูนผสมผสานแบบโบราณกับสมัยใหม่หรือเรียกอีกนัยว่าสไตล์วินเทจหลังกว้างใหญ่และเล่นระดับสูงต่ำไปตามเนินเขา

“แล้วคุณชมพูนุทไม่มีสัมภาระอย่างอื่นหรือครับ” ครูบัญชานึกได้เมื่อก้าวลงจากรถแล้วไม่เห็นว่าชมพูนุทจะถืออะไรอยู่ในมือเลย นอกจากกระเป๋าสะพายที่พาดกับร่างเพรียว

“เอ่อ...” ชมพูนุทอ้ำอึ้งทันที รู้สึกอึดอัดจนเกือบจะถอนหายใจออกมาดังๆ เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันแต่จะพูดหรือเล่าความจริงเธอก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าถ้าครูใหญ่ทราบเรื่องที่นายหัวมาร์คทำเขาจะรู้สึกอย่างไรกับเธอกันแน่

‘ครูใหญ่ก็เป็นญาติของเขา’

เพราะคำพูดของราชาวดีนั้นยังก้องอยู่ในหัว ส่วนครูใหญ่ก็มองหญิงสาวอย่างแปลกใจแต่ตัดสินใจที่จะไม่เสียมารยาท

“งั้นเข้าไปในบ้านก็แล้วกันครับ คุณเอกรัฐคงให้คนจัดที่พักไว้ให้แล้ว”

“ค่ะ” ชมพูนุทก้าวลงจากรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันนั้นและมองบ้านหลังใหญ่ข้างหน้าอย่างชั่งใจแต่ขณะนั้นก็มีผู้หญิงอายุประมาณ 47 ปี แต่งกายด้วยกระโปรงทรงตรงยาวถึงข้อเท้าสีดำเสื้อแขนสั้นสีเดียวกันเดินเข้ามาหา

“มีอะไรเหรอคะคุณ”

“อ้อ คุณรัตน์มาพอดี นี่กนกรัตน์หรือว่าคุณรัตน์เป็นภรรยาของผมแล้วก็เป็นคนทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้านก้องเกียรติ” ครูใหญ่ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนแนะนำชื่อผู้ที่เดินออกมาให้ชมพูนุทได้รู้จักพร้อมกับแนะนำเธอต่ออีกฝ่ายเช่นกัน “นี่คุณชมพูนุท เป็นแขกของคุณเอกรัฐ...คือว่าคุณเอกเขาโทรหาผมเมื่อกลางวันบอกให้พาคุณชมพูนุทมาพักที่บ้านนี้ก่อน แล้วคุณเอกได้โทรมาสั่งที่บ้านไว้บ้างหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เห็นบอกนี่คะ” ผู้ดูแลบ้านก้องเกียรติมองหญิงแปลกหน้าด้วยความสงสัย ‘กนกรัตน์’ เป็นหญิงผิวค่อนข้างขาวท่าทางเจ้าระเบียบรวบผมมวยตึงเรียบไว้ที่ท้ายทอย เธอเป็นภรรยาของครูใหญ่บัญชาอีกทั้งยังเป็นญาติห่างๆ ของคุณวรสาอีกด้วย

“ผมก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกันแต่คงกำลังยุ่งละมัง เห็นสั่งแค่ว่าพรุ่งนี้จะรีบลงมาที่เกาะแล้วก็รีบวางสายไป ยังไงๆ คุณรัตน์ก็ช่วยหาที่พักให้คุณชมพูนุทก่อนละกันนะ ผมคงต้องกลับไปที่โรงเรียนก่อนพอดีนัดพวกเด็กมาทำความสะอาดห้องน่ะ”

ครูใหญ่ฝากฝังภรรยาอีกครั้งก่อนเดินออกไป ทำให้กนกรัตน์รับคำและเดินนำหน้าชมพูนุทเข้าไปในบ้านก้องเกียรติ

“ต้องรบกวนแล้วนะคะ” คนเดินตามหลังบอกอย่างผูกมิตร การแต่งตัวด้วยสีดำของสามีภรรยาคู่นี้ทำให้ชมพูนุทขมวดคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็ยังไม่กล้าจะพูดอะไรมาก

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเป็นแขก เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว” ภรรยาครูใหญ่เองก็ตอบตามมารยาททั้งๆ ที่ในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยคำถาม ‘ผู้หญิงคนนี้คือใคร’ เนื่องจากบ้านก้องเกียรติเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาและคนที่กำลังนึกถึงนั้นมีประวัติไม่ค่อยโสภานักเธอจึงอดสงสัยไม่ได้

หลังจากก้าวเข้าประตูบ้านซึ่งทำด้วยไม้สองบานคู่เปิดออกจากกันและก้าวผ่านห้องสีขาวซึ่งจัดอย่างเป็นระเบียบ ผู้ดูแลก็เดินนำขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองและอีกไม่นานนักกนกรัตน์ก็หยุดหน้าห้องๆ หนึ่ง

“อยู่ห้องนี้ก็แล้วกันค่ะ เพราะตรงส่วนนี้เป็นที่ๆ มีไว้สำหรับรับแขกของบ้านก้องเกียรติ แล้วยังไงดิฉันจะโทรถามคุณเอกรัฐอีกทีก็แล้วกันว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ วันนี้ที่นี่ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะนอกจาก...”

คนพูดหยุดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“พักผ่อนตามสบายเลยนะคะ ส่วนอาหารเย็นคุณจะสะดวกออกไปทานที่ห้องอาหารของแขกหรือยังไงดีคะ”

“ค่ะ ตามนั้นเถอะค่ะเดี๋ยวชมลงไปเอง ขอบคุณมากนะคะ”

ชมพูนุทยิ้มอ่อนๆ ให้อีกฝ่ายแต่เมื่อได้เดินเข้าไปในห้องและอยู่เพียงคนเดียว หญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลียวมองรอบๆ ห้องที่ตนเองพักก่อนคว้ากระเป๋าสะพายเทของทุกอย่างลงบนเตียงนอนขนาดห้าฟุตปูผ้าสีขาวสะอาด

“ในนี้มีแค่เอกสาร กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์แล้วก็ของจุกจิกอีกไม่กี่อย่าง แล้วเราจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยนกันล่ะ จะเล่าเรื่องนั้นให้ใครฟังก็ไม่กล้า จะทำยังไงดี...”

ร่างเพรียวทิ้งตัวนอนลงบนเตียงและหลับตาลงพยายามตั้งสติคิดหาทางออกแต่ก็ไม่พบหนทางใดๆ และในเมื่อเป็นแบบนั้นสมองจึงสั่งการว่า ‘โทรกลับบ้านก่อนดีกว่า’ หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นและคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากด ทว่าเหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิดอีกเช่นกัน

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

ชมพูนุทอยากจะบ้าขึ้นมาจริงๆ เมื่อพบว่าโทรศัพท์มือถือตรงหน้าไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่ขีดเดียว หญิงสาวยกมือเรียวทั้งสองขึ้นกุมศีรษะพลางบ่น

“ทำไมวันนี้ถึงซวยอย่างนี้นะ อุตสาห์คิดว่าจะหมดเรื่องแย่ๆ แล้วเชียว จะทำยังไงดีโทรศัพท์ไม่มีคลื่นแบบนี้โทรหาคุณอาก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่า...อย่าเพิ่งท้อนะชมพูทุกอย่างต้องมีทางแก้ไขสิ ที่นี่อาจจะแค่หาคลื่นยากก็ได้”

หลังจากพูดเพื่อปลอบใจตัวเองแล้วร่างเพรียวก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง มือเรียวถือโทรศัพท์ยกไปมาพยายามหาสัญญาณและเผอิญพบกับกนกรัตน์ที่เดินกลับมาพอดี

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ผู้ที่เดินเข้ามามองท่าทางของแขกก่อนถามขึ้น ชมพูนุทเลยถอนหายใจสารภาพ

“ชมพยายามหาคลื่นโทรศัพท์ค่ะคุณกนกรัตน์”

“เรียกสั้นๆ ว่าคุณรัตน์เถอะค่ะ ส่วนมากคนที่นี่เรียกฉันแบบนั้น”

กนกรัตน์แนะนำตัวด้วยสีหน้านิ่งๆ และรู้ดีว่าทำไมชมพูนุทถึงหาคลื่นโทรศัพท์ไม่ได้เนื่องจากที่เกาะลานชินนี้มีสภาพเป็นป่าเขาเสียส่วนใหญ่โทรศัพท์มือถือจึงจะใช้ได้เฉพาะบางจุดเท่านั้นและในบ้านก้องเกียรตินี้ก็เช่นกัน นอกจากโทรศัพท์ซึ่งต่อไว้ใช้ภายในบ้านหลังใหญ่นี้ และเธอก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟังตามนี้เช่นกัน

“ค่ะ คุณรัตน์”

“งั้นขอเรียกคุณว่าคุณชมพูก็แล้วกัน ที่ดิฉันเดินกลับมาก็เพราะคุณเอกจะขอคุยกับคุณแต่ว่าที่นี่หาคลื่นโทรศัพท์ยากหน่อยต้องรบกวนเดินไปทางห้องโถงข้างบันไดทางลงที่นั่นจะมีโทรศัพท์ไร้สายตั้งอยู่”

กนกรัตน์ชี้เข้าไปในบ้านก่อนเดินนำไปบริเวณโต๊ะรับแขกเล็กๆ ข้างบันไดโดยไม่ฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธจากอีกฝ่าย เมื่อถึงตรงนั้นก็หยิบโทรศัพท์ไร้สายส่งให้ชมพูนุททันที

“คุณเอกรออยู่ในสายค่ะ” เนื่องจากเมื่อสักครู่นั้นเธอเป็นคนโทรไปบอกเอกรัฐถึงเรื่องที่ครูใหญ่พาผู้หญิงคนนี้เข้ามาฝากไว้แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรมากนอกจากบอกให้ไปตามชมพูนุทมารับโทรศัพท์

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ...” ชมพูนุทมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอรับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายและหลีกไปสนทนากับปลายสายเบาๆ ก่อนที่จะนำมันกลับมาคืนกนกรัตน์พลางบอก

“คุณเอกขอคุยกับคุณรัตน์ค่ะ”

และหลังจากนั้นสักพักเมื่อกนกรัตน์ได้คุยกับคนปลายสาย เธอก็เดินหายไปและกลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมเสื้อผ้าผู้หญิงซึ่งมีขนาดพอๆ กับคุณกนกรัตน์และใหญ่กว่าเสื้อผ้าที่ชมพูนุทใส่อยู่ประมาณหนึ่งไซส์

“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” หญิงสาวรับของพวกนั้นไปจากผู้ดูแลบ้านก้องเกียรติและขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ



*****************************************************
3.



‘ไอ้ธามนะไอ้ธาม นัดกันแล้วหนีไปกับสาว มันน่านัก! โทรศัพท์ก็แบตหมด แถมยังต้องเจอเรื่องบ้าๆ แบบนั้นอีก’

นันทนะคิดอย่างหงุดหงิดขณะที่มือหนาได้รูปกำลังหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบริเวณบ้านของตนเอง และท้ายสุดยิ่งคิดถึงใบหน้านวลที่โผล่ออกมานอกรถโดยสารเมื่อตอนบ่ายก็ยิ่งให้อารมณ์เสียมากขึ้นอีกเพราะไม่อยากเชื่อเลยว่าสมัยนี้ผู้หญิงหน้าตาดีๆ จะชอบหาเงินกันด้วยวิธีง่ายๆ

“ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยไอ้มาร์ค”

และเมื่อวกกลับไปคิดถึงผู้หญิงคนนั้นชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฉุนๆ ฟันขาวๆ กัดกระทบกันเบาๆเพราะรู้สึกเจ็บใจปนเสียหน้าเล็กน้อยที่เรื่องนี้ทำให้ลูกน้องของนายภาคภูมิพูดและทำท่าเหมือนตนเข้าไปสอดเรื่องส่วนตัวของมัน เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครกล้ามาทำท่าแบบนั้นใส่เขาเลยสักคน มือแกร่งใส่อารมณ์โดยการกระแทกประตูปิดปังใหญ่ ขากำยำก้าวลงจากรถและเดินเร็วๆ ขึ้นบันไดหินอ่อนซึ่งทอดไปยังประตูบ้านซึ่งสร้างและตกแต่งสไตล์วินเทจ ห้องนั่งเล่นนั้นสร้างร่วมสมัยด้วยไม้ ปูนและหินอ่อน ชั้นโชว์ซึ่งมีถ้วยรางวัลการแข่งรถวางอยู่นั้นถูกฉายด้วยไฟสีเหลืองนวล

ทว่าเมื่อก้าวเข้าห้องเขากลับรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นที่ทางเดินด้านในซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับห้องโถงกลางได้

“ใคร!” เสียงเข้มตวาดอย่างดุดันเนื่องจากส่วนที่เป็นที่พักส่วนตัวของเขานั้นชายหนุ่มไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งย่าม จะมีเพียงเพื่อนสามคนกับคนดูแลเท่านั้นที่จะเข้ามาบ่อยๆ

“ดิฉันเองค่ะนายหัว” กนกรัตน์เดินออกมาจากมุมห้อง

“คุณรัตน์...แล้วทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ”

“ดิฉันไม่แน่ใจน่ะค่ะ เพราะเหมือนจะจำได้...นายหัวบอกว่าวันนี้ไม่กลับจะไปสนามแข่งรถกับคุณธาม” หลังจากฟังน้ำเสียงนายหัวหนุ่มแล้ว กนกรัตน์ก็ทราบว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ค่อยดีนักและถึงเธอจะเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ยังอดเกรงเจ้าของบ้านไม่ได้

“ไม่ไปแล้ว” คนเพิ่งเข้ามาจึงตอบสั้นๆ ก่อนถามกลับ “แล้วที่บ้านเป็นไงบ้าง”

“หมายถึง...” กนกรัตน์ทำหน้างงๆ ก่อนจะร้องอ๋อ ภายในบ้านก้องเกียรติตอนนี้ถ้าจะมีเรื่องที่ทำให้นายหัวต้องห่วงก็คงเป็นเรื่องของมิ่งกมลคนเดียวเท่านั้น “ถ้าหมายถึงน้องมิ่ง...ก็หงุดหงิดเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ คุยอะไรก็ไม่อยากจะพูดด้วย พอชวนคุยมากๆ ก็ทำอารมณ์เสียใส่ตลอด ไม่ยอมเดินไปไหนหรือพยายามจะเดินเลยอ้างว่าขาไม่มีแรงอย่างเดียว แล้วก็ขลุกอยู่แต่ในห้องของตัวเอง จะทานอาหารยังทานบนเตียงเลยค่ะ ดิฉันว่าให้คุณหมอมาดูอาการอีกทีดีไหมคะ”

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนวันที่มีพายุใหญ่ที่ลานชิน คุณวรสาภรรยาวัย 40 ปีของเอกรัฐเกิดวูบล้มลงหัวฟาดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตด้วยผลจากโรคเครียดและความดันสูง เธอกับเอกรัฐมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ ด.ญ.มิ่งกมลอายุ 7 ขวบแต่ก็เป็นเด็กที่มีปัญหาด้านสุขภาพเพราะเกิดตอนที่มารดามีอายุมากแล้ว ยิ่งพอมารดาเสียชีวิตเด็กหญิงก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจนเกิดอาการขาไม่มีแรงเดินไม่ได้ขึ้นมาซึ่งพี่ชายอย่างนายหัวนันทนะได้ให้หมอมาดูอาการแล้วและนายแพทย์ก็บอกว่าเป็นเรื่องของจิตใจเป็นส่วนใหญ่โดยมีปัญหาสุขภาพเป็นตัวประกอบด้วย

“อืม...เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนแล้วจะเข้าไปหาเหมือนกัน” ชายหนุ่มพยักหน้ารับและทำท่าจะเดินจากไป แต่อีกฝ่ายก็พึมพำอย่างลังเล

“เอ่อ...นายหัวคะ มีอีกเรื่องค่ะ...”

“อะไรอีก” ร่างสูงชะงักก่อนจะหันกลับมา หญิงวัยเกือบห้าสิบจึงขมวดคิ้วก่อนฟ้อง

“เมื่อครู่นี้ค่ะ ครูใหญ่พาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่ บอกว่าคุณเอกให้พามานอนที่บ้านนี้”

“ผู้หญิง?”

“ใช่ค่ะ ผู้หญิงค่ะนายหัว อายุน่าจะสักประมาณ 20 กว่าๆ หน้าตารูปร่างดี...” กนกรัตน์นึกถึงเสื้อสีขาวที่เธอสังเกตเห็นรอยเปื้อนแล้วขมวดคิ้ว แต่นายหัวหนุ่มไม่ชอบเรื่องที่จะต้องอธิบายมากความจึงตัดบท

“เข้าเรื่องเลยคุณรัตน์”

คนโดนสั่งจึงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเล่าเรื่องที่สามีของตนพาผู้หญิงคนนี้เข้ามาในบ้านตามคำสั่งของเอกรัฐให้ฟังและอธิบายอีกว่า

“พอดิฉันโทรไปหาคุณเอกเพื่อบอกให้ฟังว่าครูใหญ่พาแขกของคุณเอกมาฝากไว้ที่บ้านแล้ว คุณเอกแกก็รีบๆ พูดเหมือนกลัวว่าเราจะซักไซ้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วก็บอกแค่ว่าให้ช่วยดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดีให้นอนที่ห้องรับรองไปก่อนพรุ่งนี้จะรีบมา แต่อีกอย่างที่น่าแปลกก็คือ...”

“ยังมีอีกงั้นเหรอ” นันทนะถอนหายใจก่อนนั่งลงที่เก้าอี้สูงตรงเทอเรส

“ยังมีอีกน่ะสิคะ ก็คุณเอกรัฐน่ะบอกให้ดิฉันไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องข้างบนมาให้เธอคนนี้สวมใส่ หมายถึงเสื้อที่คุณสาเพิ่งซื้อก่อนตายไม่นานแล้วยังไม่ได้ใส่น่ะค่ะนายหัวว่าแปลกไหมล่ะคะ” กนกรัตน์ค้อนขวักคนที่ค่อน สำหรับนายหัวมาร์คนั้นนอกจากจะเป็นเจ้านายแล้วก็ยังเป็นบุตรชายคนเดียวของคนที่เธอเคารพรักอย่างคุณณัฐเกียรติและคุณนนทิยา อีกอย่างเธอและสามีก็เห็นอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งตอนที่ทั้งสองเสียชีวิตนั้นนันทนะก็ได้ครูใหญ่นี่แหละเป็นคนที่คอยช่วยเหลือหลายๆ อย่างในความเกรงจึงผสมไปด้วยความห่วงใยและเอ็นดู

“เสื้อผ้าของอาสา?”

“ค่ะ แถมยังบอกอีกว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ให้ใครรู้ โดยเฉพาะน้องมิ่ง ดิฉันก็เลยมาคิดๆ ดู...หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนที่เค้าลือกัน ตอนคุณสายังไม่ตายเธอเคยปรับทุกข์ให้ดิฉันฟังบ่อยว่าคุณเอกน่ะไปติดผู้หญิงกรุงเทพฯ อยู่คนหนึ่งอายุอ่อนกว่าเป็นสิบปี แล้วก็เลยไม่ค่อยอยากจะกลับมาหาลูกเมีย เธอเครียดเรื่องนี้มากเลยนะคะ ดิฉันยังคิดเลยว่านี่ต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเสียชีวิต....”

“พอเถอะ” นันทนะปรามอีกฝ่ายเพราะถึงจะรำพันอะไรขึ้นมาก็คงช่วยไม่ได้ ส่วนในใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอาสะใภ้กับน้องสาวต่างวัยเพราะถ้าอาเอกรัฐทำแบบนั้นจริงๆ ก็คงต้องมีเรื่องคุยกันแน่ๆ

นันทนะค่อนข้างจะเคารพและผูกพันกับคุณวรสาเพราะเมื่อคุณณัฐเกียรติและคุณนนทิยาเสียชีวิต ทั้งคุณวรสา คุณกนกรัตน์ และครูใหญ่ก็ช่วยดูแล ห่วงใย จัดการหลายๆ อย่างให้เขาเสมอ ด้วยเหตุนี้บุคคลทั้งสามจึงเป็นคล้ายครอบครัวและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมดก็มีความหมายต่อเขาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อสาเหตุของเรื่องนี้มาจากอาแท้ๆ ของตนเอง เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่าตนเองมีส่วนต้องรับผิดชอบ

ด้วยเหตุนี้พอได้ฟังกนกรัตน์รายงานว่ามีผู้หญิงของเอกรัฐเข้ามาอยู่ในบ้าน ใบหน้าคมก็ขมวดคิ้ว ผ่อนลมหายใจอย่างเซ็งๆ ‘วันนี้เป็นอะไรถึงได้เจอกับผู้หญิงนิสัยแบบนี้ทั้งวันเลย’

“คุณรัตน์ช่วยต่อโทรศัพท์หาอาเอกให้หน่อย แล้วก็เรียกผู้หญิงคนนั้นมาหาผมที่ห้องโถงกลางด้วย”

เป็นที่รู้กันว่าบ้านก้องเกียรตินั้นกว้างขวางและแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกทางซีกซ้ายพ่อและแม่ของเขาแบ่งให้เป็นที่พักของคุณเอกรัฐและครอบครัว โซนกลางเคยเป็นของเจ้าของบ้านแต่นายหัวนันทนะสั่งเปลี่ยนแปลงให้เป็นส่วนที่ไว้รับแขกเนื่องจากจะมีเพื่อนๆ ไปมาหาสู่อยู่บ่อยๆ และปรับปรุงโซนด้านขวาเป็นที่พักของตัวเองแทนแต่ทุกส่วนก็ล้วนเชื่อมต่อเป็นบ้านหลังเดียวกัน

เมื่อกนกรัตน์ใช้ให้เด็กไปตามชมพูนุทนั้นหญิงสาวกำลังอาบน้ำอยู่ ความเหน็ดเหนื่อยและความสกปรกทำให้เธอเพลิดเพลินกับการชำระร่างกายและขัดสีฉวีวรรณอยู่นานกว่าปกติด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ยิน เธอจึงกลับไปรายงานนันทนะว่า

“คุณเอกรัฐปิดเครื่องไม่ยอมรับสายค่ะสงสัยว่าคงติดธุระอะไรสักอย่างอยู่ละมัง ส่วนคุณชมพู...ดิฉันให้เด็กไปเรียกแล้วค่ะแต่ไม่มีใครตอบสงสัยจะหลับหรือไม่ก็เดินออกไปไหน งั้นเดี๋ยวอีกสักพักจะไปตามให้อีกทีละกันนะคะ”

“ไม่ต้อง ให้ผมคุยกับอาเอกก่อนก็แล้วกัน” นายหัวหนุ่มพูดขึ้นพร้อมบอกด้วยว่าอาบน้ำเสร็จแล้วจะเดินไปดูน้องสาวที่บ้านฝั่งซ้าย



ตอนที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ชมพูนุทสวมเสื้อสีโอรสและกางเกงสีขาวที่กนกรัตน์นำมาให้ก่อนก้าวออกจากห้องนอน เมื่อครู่เธอได้โทรบอกทางบ้านแล้วว่าตอนนี้กำลังอยู่ในบ้านก้องเกียรติ หญิงสาวจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้นแต่ในใจก็คิดถึงสิ่งที่เคยได้รู้มาตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ‘คุณอามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อมิ่งกมล อายุประมาณ 6-7 ขวบ’

“มิ่งกมลงั้นเหรอ”

ชมพูนุทพึมพำพร้อมก้าวลงบันไดมาทีละขั้น ดวงตาแวววาวมองความกว้างขวางและซับซ้อนของบ้านหลังนี้ ผนังของที่นี่ส่วนมากจะเป็นกระจกติดผ้าม่านสีออกเรียบๆ เน้นความสว่างเพื่อให้มองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก หญิงสาวเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงห้องซึ่งจัดแปลกออกไปจากส่วนกลางที่เธอพัก เพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนมากจะเป็นไม้สักพื้นปูหินอ่อนสลับกับพรมสีน้ำตาล บรรยากาศก็ดูเข้มๆ ขรึมๆ ด้วยไฟสีเหลืองนวล ชั้นโชว์ไม้สักแข็งแรงหรูหราถูกตั้งไว้เหมือนกั้นไม่ให้เห็นส่วนอื่นด้านใน และหญิงสาวก็เห็นถ้วยรางวัลมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเดินอ้อมเข้าไปและอ่านดู

“รางวัลชนะเลิศการแข่งรถประเภท...” แต่ยังไม่ทันจบก็มีเสียงดุๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้ชมพูนุทสะดุ้งอย่างตกใจและหันกลับมอง

“เธอเป็นใคร!”

และเมื่อเจ้าของเสียงกับเธอได้ประจันหน้ากันความประหลาดใจก็พุ่งพรวดขึ้นมาในสมองของทั้งคู่ทันทีแต่หญิงสาวที่ยืนอยู่มีความรู้สึกซึ่งมากกว่านั้น เธอรู้สึกว่าใจของตัวเองกำลังสั่น สั่นด้วยความกลัว!

“นายลูกพี่อันธพาล!”

“เธอ!” นายหัวหนุ่มขมวดคิ้ว เขาจำใบหน้านวลที่โผล่ออกมาจากรถโดยสารของนายโชคชัยได้ดีและน่าแปลกใจที่ตอนนี้ผู้หญิงซึ่งตนเองคิดถึงอยู่เมื่อครู่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหนำซ้ำยังเป็นในบ้านของเขาเองเสียด้วย

“ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่”

“ก็...” ชมพูนุทพยายามรวบรวมสติและมองหาทางหนีทีไล่ ตอนนี้เธอหันหลังให้ชั้นโชว์อันนั้นและเบื้องหน้าก็มีผู้ชายซึ่งตนเพิ่งหนีมายืนอยู่ “ฉันก็เป็น...แขกของเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะสิ”

“แขกของเจ้าของบ้าน” นันทนะขมวดคิ้วมุ่นและเริ่มนึกถึงสิ่งที่กนกรัตน์รายงานเมื่อครู่ “หมายความว่าเธอเป็นแขกของอาเอก”

“ใช่ รู้แล้วก็...อย่ามายุ่งกับฉัน”

ชมพูนุทคิดไปเองว่าการทวนคำพูดของนั้นคือการยอมรับคำตอบของเธอ หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นเหมือนจะประกาศให้เขารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนไร้คนรู้จักไม่ใช่คนที่เขาจะมายุ่งด้วยง่ายๆ และพร้อมๆ กันนั้นหญิงสาวก็รีบเบี่ยงตัวกลับและก้าวหนีไปทันที

“อย่ามายุ่งงั้นเหรอ”

นายหัวหนุ่มแค่นเสียงไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าพูดแบบนี้กับเขาโดยเฉพาะในบ้านหลังนี้และแถมที่นี่ยังเป็นที่ซึ่งเป็นส่วนตัวสำหรับตนเองด้วย อารมณ์กรุ่นๆ ตั้งแต่บ่ายนั้นเริ่มปะทุขึ้นในใจอีกครั้งและแน่นอนว่ามีสาเหตุมาจากผู้หญิงซึ่งกำลังเดินหนีไป

“หยุดอยู่ตรงนั้น!”

‘ใครจะหยุด’ นั่นคือคำพูดซึ่งผุดขึ้นในใจของชมพูนุทเพราะยิ่งเขาบอกให้หยุดเธอก็ยิ่งรีบก้าวจนแทบจะวิ่ง เหตุการณ์ร้ายๆ ในรถโดยสารและคำพูดที่นายโชคชัยขู่นั้นผุดขึ้นมาในหัวอย่างชัดเจน ‘ลูกพี่! ถ้าเจอคนนี้ล่ะก็คืนนี้มึงยับไม่เหลือแน่’ และถ้อยคำยืนยันจากราชาวดีกับเพื่อนก็เช่นกัน ‘เขาข่มเหงฉัน’

ด้วยเหตุนี้สิ่งเดียวที่ร่างเพรียวพอจะคิดได้ก็คือ ‘หนี’ ให้ไกลจากเขา

“ฉันบอกให้หยุดไง!”

นายหัวนันทนะตะโกนด้วยความหัวเสียทว่าหญิงสาวกลับยิ่งตกใจและหนีให้เร็วกว่าเดิมอีกทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกว่าเธอมีพิรุธ ชายหนุ่มเหลียวหากนกรัตน์เหมือนกันแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่แถวนั้น ขายาวๆ จึงตัดสินใจก้าวเร็วๆ ตามร่างเพรียวซึ่งวิ่งหนีมาที่ห้องโถงกลางและขึ้นบันไดไปชั้นบน

การวิ่งตามผู้หญิงแปลกหน้าในบ้านของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทนะอารมณ์เสียอย่างที่สุด ทว่าเขาก็รู้สึกแบบนั้นอีกไม่นานเพราะช่วงขายาวๆ ของชายหนุ่มก็ไล่ตามจนทันที่หน้าห้องรับรองนั่นเอง

“หยุด!” มือหนาคว้าแขนเพรียวไว้แต่เสียงดุๆ และการกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้ชมพูนุทตกใจ

“ปล่อยฉันนะไอ้ลูกพี่อันธพาล”

เธอสะบัดมือของเขาออกอย่างแรงแถมไม่ยอมอยู่นิ่งๆ แต่ใช้สองมือของตัวเองผลักสะเปะสะปะจนโดนเข้ากับใบหน้าคมเต็มๆ ชายหนุ่มถึงกับชะงักและขมวดคิ้วด้วยความโกรธ ทว่าหญิงสาวกลับอาศัยจังหวะนั้นเอื้อมไปคว้าลูกบิดประตูหมายจะหนีเข้าไปในห้อง

“ยัยบ้า!”

นายหัวหนุ่มตะคอกอย่างโมโหจัด เขายื่นแขนเข้าไปขวางประตูซึ่งกำลังจะปิด เสียงเนื้อไม้กระแทกเนื้อคนดัง ปึก! และคนตัวโตก็กัดฟันแน่น

“ทำอะไรน่ะ!”

ชมพูนุทร้องอย่างตกใจ ความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นนั้นมีความโกรธเจือปนอยู่ไม่น้อย เธอลืมไปหมดแล้วว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้นั้นมีอิทธิพลขนาดไหน ลืมว่าเขามีลูกน้องเป็นอันธพาลคุมถิ่น ตอนนี้เธอรู้แต่เพียงเขาเป็นคนที่อันตรายที่สุดถ้าหนีได้ก็ควรทำ! ด้วยเหตุนี้ริมฝีปากสีชมพูจึงตวาดเสียงดัง

“นายจะบ้าหรือไง เอามือออกไปนะ”

“เธอว่าใครบ้า” นายหัวหนุ่มกัดฟันถาม เจ็บ! ก็ใช่แต่โมโหมากกว่า

“ก็นายนั่นแหละไอ้ลูกพี่อันธพาล”

“กล้าเรียกฉันว่าไอ้งั้นเหรอ!”

นันทนะกัดฟันกรอด ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน หรือแม้แต่ใครคนไหนกล้าพูดจากับเขาแบบนี้ นับตั้งแต่ลานชินถึงฝั่งกระบี่คนที่จะพูดจาเล่นหัวกับเขาได้ มีแค่เพื่อนรัก 3 คนเท่านั้น ด้วยความโมโหชายหนุ่มจึงใช้แรงจากอีกมือง้างประตูจนมันเปิดออก

“นาย!”

เรี่ยวแรงของเขาทำให้ชมพูนุทตกใจอย่างที่สุดเธอถอยหลังกรูดเข้าไปในห้องและพยายามเหลียวหาสิ่งป้องกันตัว การบุกรุกเข้ามาอย่างนี้สิ่งเดียวที่หญิงสาวคิดคือเขาต้องการจะทำมิดีมิร้ายตนเองเหมือนกับที่เคยพยายามร่วมมือกับลูกน้องทำเมื่อตอนบ่าย

“ออกไปเดี๋ยวนะไอ้อันธพาล”

“เงียบปากเดี๋ยวนี้นะ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!” เสียงเข้มถามด้วยท่าทางดุดัน แต่ชมพูนุทก็แข็งใจที่จะไม่แสดงท่าทีว่ากลัวแม้ในใจจะสั่นจนแทบยืนไม่อยู่

“ทำไมจะไม่รู้ นายก็เป็นลูกพี่ของไอ้คนขับรถเมื่อกลางวันยังไงล่ะ คนอย่างพวกแกก็คิดได้แต่เรื่องเลวๆ ชั่วๆ คิดแต่จะเอาเปรียบคนอื่น ออกไปเดี๋ยวนี้นะไม่งั้น...ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณอาเอกรัฐ”

“ฟ้องอาเอก?” นันทนะกอดอกยืนขวางทางออกไว้ ไม่ได้สนใจเรื่องที่เธอกล่าวหาแต่สนใจคำที่เธอใช้เรียกญาติของตนเองมากกว่า ‘อา’ งั้นเหรอ มันดูสนิทสนมมากทีเดียว

“ใช่” ชมพูนุทมองท่าทางนิ่งๆ ของเขาและแม้ดวงตาสีเหล็กจะไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวสิ่งที่เธอขู่ แต่หญิงสาวรู้สึกว่าชื่อของเอกรัฐจะมีผลทำให้อีกฝ่ายชะงักไปจึงตัดสินใจพูดต่อ

“ฉันเป็นคนของคุณอา ถ้านายคิดจะมาทำรุ่มร่ามล่ะก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดี”

“กล้าพูดขนาดนี้เลยหรือไง ผู้หญิงอย่างเธอนี่มันไม่มีคำว่าอายอยู่ในหัวเลยงั้นสินะ แบบนี้นี่เองถึงตกลงราคากันไม่ได้” นายหัวหนุ่มเหยียดมุมปากอย่างดูแคลน

“ราคาบ้าอะไร!” ชมพูนุทตะโกนใส่ด้วยความโมโห เธอต้องฝืนใจที่จะไม่กลัว! มาจนถึงจุดนี้แล้ว เธอต้องไม่กลัว! หญิงสาวบอกกับตัวเอง “แต่...ถ้าเข้าใจก็ออกไปได้แล้ว ออกไปสิ! ออกไปซะแล้วเลิกตอแยเลิกยุ่งกับฉันเสียที”

“ฉันเนี่ยนะตอแย! ใครกันแน่ที่จะต้องไป”

นันทนะแสนจะโกรธ คนอย่างเขาเนี่ยนะจะคอยตอแยกับผู้หญิงขายตัวแบบอีกฝ่าย นี่ผู้หญิงคนนี้คิดว่าตนเองมีค่าขนาดไหนกันเชียว ถึงได้คิดแบบนั้น! มือหนาได้รูปจึงคว้ามือบางไว้อย่างแรงพร้อมหันหลังทำท่าจะลากร่างเพรียวออกไปให้พ้นๆ แต่ชมพูนุทไม่รู้จุดประสงค์ของเขา เธอรู้แค่ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีซึ่งเถื่อนเต็มไปด้วยอาการคุกคาม และเธอก็รู้แค่ว่าที่นี่คือบ้านของเอกรัฐ เธอต้องอยู่เพื่อรอเขา!

“จะพาฉันไปไหน นี่นายคิดจะทำอะไร! จะไปก็ไปคนเดียวสิ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

เธอร้องพร้อมดิ้นหนีทำให้นายหัวหนุ่มหันกลับมาทว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวเอื้อมไปคว้าแจกันซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ประตูได้และยกมันปาใส่อีกฝ่าย

ปึก!

“โอ๊ย!”

นันทนะยกมือขึ้นกุมศีรษะขณะที่แจกันสีไข่มุกร่วงลงพื้นแตกดัง เพล้ง! ชายหนุ่มหรี่ตาลงมึนไปชั่วขณะและรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นคาวเลือดและมีของเหลวข้นๆ ซึมออกมาเหนือหัวคิ้วตนเอง ฟันขาวๆ ของเขากัดกันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน คนอย่างนายหัวมาร์คแห่งลานชิน! คนที่ปกครองนักเลงหัวไม้ อันธพาลไร้ที่ซุกหัวนอนมากมายอย่างเขาต้องถูกผู้หญิงขายตัวแบบนี้ทำร้ายหรือไง? ความจริงถ้าคนที่ตะโกนปาวๆ อยู่ข้างหน้านี้เป็นผู้ชายคงโดนชกจนกรามหักหรือไม่ก็เลือดกลบปากไปแล้ว

“นาย!” ชมพูนุทชะงักไปเหมือนกันแต่พอเห็นเขาเงยหน้าขึ้นหายจากอาการมึนงงอย่างรวดเร็วและจ้องมองตนเองอย่างดุดัน หญิงสาวก็เริ่มกลัวจนหันหลังวิ่งหนี

“อยากลองดีงั้นเหรอ!”

นายหัวหนุ่มคำรามก่อนตามไปคว้าเอวคอดไว้และเหวี่ยงร่างเพรียวลงบนเตียงทั้งๆ ที่เลือดจากแผลตรงหน้าผากเริ่มซึมออกมามากขึ้น

“ดี! ฉันก็จะอยากรู้เหมือนกันว่าเธอมันขนาดไหนถึงได้ตกลงราคากับไอ้พวกนั้นไม่ได้”

“กรี๊ด!”

ชมพูนุทร้องลั่นเมื่อร่างแกร่งโผนตามขึ้นมาและจับแขนทั้งสองข้างของเธอตรึงไว้ก่อนที่จะก้มหน้าลงจูบด้วยความรุนแรงไม่ปราณีปราศรัย หนวดเครารกครึ้มนั้นคลึงเคล้าลงบนใบหน้านวลจนทั่ว และเมื่อเขาเงยหน้าหยุดการกระทำแบบนั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่าตัวเองได้กลิ่นคาวเลือดและชาที่ริมฝีปากเป็นอย่างมาก ความโกรธทำให้หญิงสาวด่าเขาไม่ยั้ง สารพัดคำที่จะนึกได้

“ปล่อยฉันนะ ไอ้เลว ไอ้คนเลว ไอ้ชั่ว ไอ้หน้ามืด ไอ้อันธพาล ไอ้บ้ากาม......”

“ที่ด่าขนาดนี้เพราะกลัวฉันจ่ายราคาไม่ดีหรือไง!”

นันทนะแค่นเสียงใส่อีกฝ่ายและกระชากคอเสื้อสีโอรสจนกระดุมหลุดขาดกระเด็นลงบนพื้นห้อง เจ้ากรรมที่ชมพูนุทไม่ได้ใส่ชั้นในเลยสักอย่าง ใบหน้าคมจึงกัดฟันแน่นก่อนก้มลงจูบไล่ตั้งแต่ซอกคอซุกไซร้จนเกือบจะถึงทรวงอกอกขาวผ่อง ความรุนแรงที่สัมผัสทำให้ผิวขาวๆ ของหญิงสาวกลายเป็นปื้นสีชมพูจัดทันที

“ปล๊อย!”

ชมพูนุททั้งเตะทั้งถีบแผดร้องลั่นปนเสียงสะอื้นแทบจะขาดใจ ทำให้นายหัวหนุ่มหยุดการการกระทำของตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอและนิ่งไปชั่วขณะ วินาทีนั้นนันทนะต้องกำมือแน่นกัดฟันห้ามความต้องการของตัวเองอย่างที่สุด

‘ทำอะไรอยู่ไอ้มาร์ค! แกควรจะลากยัยนี่ออกไปทิ้งนอกบ้านสิถึงจะถูก’

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา มือหนายึดต้นแขนกลมกลึงไว้ ส่วนอีกมือก็จับคางมนแน่นและบีบก่อนจะมองเธอด้วยสายตาดูถูก

“ฉันไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงอย่างเธอ แต่จำใส่หัวไว้ว่าอย่าใช้คำพูดแบบนั้นกับฉันอีก ฉันคือนายหัวของคนทั้งเกาะลานชิน และที่นี่! ฉันคือเจ้าของบ้าน ถ้ายังคิดจะคุยโอ้อวดว่าเป็นคนของอาเอกแล้วก็พูดจาพล่อยๆ แบบนี้อีก ฉันจะจับเธอโยนออกไปข้างนอกนั่นในสภาพที่ยิ่งกว่านี้แน่ๆ!”

พูดจบร่างกำยำก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องทันที ชมพูนุทลุกขึ้นอย่างรวดเร็วสายตามองร่างสูงที่เดินออกไปอย่างสุดแค้น มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาจากสองแก้มและพบว่ามีเลือดสดๆ ของอีกฝ่ายติดอยู่บนใบหน้าของตนเองด้วย

“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต”

หญิงสาวร้องด่าแต่พอฟันขาวๆ กระทบกับริมฝีปากนั้นเธอก็รู้สึกชาจนแสบไปหมดและชมพูนุทก็รู้ดีว่านี่เป็นเพราะรสจูบอันหยาบกระด้างของผู้ชายเมื่อครู่

“นายหัวมาร์ค นายมันซาตานชัดๆ” ร่างเพรียวพึมพำอย่างเคียดแค้นก่อนรีบลุกขึ้นและเดินเข้าห้องน้ำไปทำความสะอาดร่างกายอีกครั้งด้วยความโกรธ

ไม่นานหลังจากนั้นกนกรัตน์ก็ขึ้นมาตามให้ชมพูนุทลงไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงกลางด้วยตนเองพร้อมทั้งออกตัวว่าที่มาตามช้าไปหน่อยเพราะมัวจัดการเรื่องลูกสาวของบ้านคุณเอกรัฐอยู่ ชมพูนุทรับฟังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักและตอนนี้เธอก็ไม่อยากจะออกจากห้องไปไหนทั้งนั้นเพราะเกรงจะเจอกับนายหัวนันทนะอีก ทว่าก็อดเลียบๆ เคียงๆ ถามไม่ได้

“ขอโทษนะคะคุณรัตน์...ที่นี่...หมายถึงบ้านก้องเกียรติเนี่ย เป็นของใครเหรอคะ”

“บ้านก้องเกียรติ” กนกรัตน์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจระคนไปด้วยความสงสัย เมื่อสักครู่นั้นเธอเห็นนายหัวมาร์คตะโกนหาเครื่องมือปฐมพยาบาลด้วยท่าทางหัวเสียแบบสุดๆ อีกทั้งตอนก่อนหน้านั้นเด็กอีกคนก็ได้ยินเสียงคล้ายมีคนกำลังทะเลาะกันอยู่ที่เรือนรับรองชั้นบน

“บ้านก้องเกียรติก็ต้องเป็นของนายหัวมาร์ค...นายหัวนันทนะ หรือว่ามาร์เซล มาร์ค ก้องเกียรติศุภกร เอ๊ะแล้วคุณเอกรัฐไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณเหรอ”

ชมพูนุทส่ายศีรษะก่อนรำพึงเบาๆ “แต่คุณเอกรัฐก็นามสกุลก้องเกียรติศุภกรเหมือนกัน”

“ก็แน่สิคะคุณเอกรัฐเป็นอาแท้ๆ ของนายหัวนี่ แต่ถ้าตามสิทธิ์จริงๆ แล้วบ้านหลังนี้เป็นของคุณพ่อคุณแม่นายหัวมาร์คค่ะ ไม่ใช้บ้านของคุณเอก”

“งั้นก็หมายความว่า...” เมื่อความจริงปรากฏชัดว่าบ้านหลังนี้เป็นของนายหัวมาร์ค ชมพูนุทก็ถึงกับพูดไม่ออก กนกรัตน์จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าค่ะ เย็นนี้ชมไม่ทานอะไรดีกว่านะคะ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกก่อนคือชมรู้สึกปวดหัวน่ะค่ะ...” หญิงสาวแก้ตัว กนกรัตน์จึงเสนออีกแบบเพราะอย่างไรเธอก็มีหน้าที่ดูแลทุกอย่างในบ้านนี้และอีกฝ่ายก็เป็นแขกของคุณเอกรัฐ

“งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ ดิฉันจะทำข้าวต้มแล้วให้เด็กยกมาให้พร้อมกับยา เพราะยังไงซะคุณก็ต้องรองท้องก่อนที่จะกินยา”

ชมพูนุทได้แต่พยักหน้ารับคำ ทว่าในใจเต็มไปด้วยความสับสนและคำถามแต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากไปกว่ารอคอยให้เอกรัฐมาตอบทุกอย่างเพราะตอนนี้หญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจของตนยังสั่น ร่างกายของเธอดูเหมือนจะยังไม่หายหวาดหวั่นกับสัมผัสหยาบกระด้างที่ได้รับจนคิดว่าตนเองยังไม่พร้อม...แม้จะเพียงก้าวออกนอกห้องนี้ก็ตาม



*******************************************************

4.



คืนนั้นชมพูนุทหลับไปด้วยฤทธิ์ของยาแก้ปวดลดไข้ และพอตอนเช้าตรู่หญิงสาวก็รีบอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดเดิมของตนเองซึ่งกนกรัตน์จัดการซักแห้งมาให้เรียบร้อยแล้ว ร่างเพรียวโผล่ออกมาจากห้องมองซ้ายมองขวาเป็นอย่างดีก่อนเดินไปที่จุดซึ่งตนเองคุยโทรศัพท์กับเอกรัฐเมื่อวานและกดหมายเลขอย่างร้อนใจ ทว่ารอเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับสายหญิงสาวจึงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วๆ ออกมาจากทางปีกซ้ายของบ้าน ส่วนนั้นอยู่ตรงข้ามกับส่วนที่เธอเจอกับนายหัวนันทนะเมื่อวานด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่ลังเลที่จะเดินลงมาดู

พอเท้าเรียวเหยียบถึงห้องโถงกลางเสียงนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นและจับใจความได้ว่าเป็นเสียงเรียกของใครคนหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลจึงมองไปยังทางเดินสั้นๆ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างห้องกลางกับตึกด้านซ้าย

“เหมือนเสียงเด็กหรือว่าจะเป็นลูกสาวของคุณอา เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

ความห่วงใยบวกกับความสงสัยทำให้หญิงสาวตัดสินใจก้าวตามทางเดินซึ่งเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวบ้านด้านซ้ายซึ่งมีสองชั้น และห้องที่เธอก้าวเข้าไปนั้นก็มีลักษณะอึมครึมเพราะไม่ได้เปิดม่านเปิดไฟให้สว่าง ทั้งๆ ที่โทนสีห้องเป็นสีขาวชมพู พื้นลายไม้เล่นระดับสูงต่ำ มีกรอบรูปเจ้าแมวสีชมพูยอดฮิตซึ่งตั้งอยู่บนชั้นโชว์ติดฝาผนังและมีภาพของเอกรัฐยืนอยู่กับผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันพร้อมเด็กน้อยผมเปียซึ่งฉีกยิ้มหวานให้กล้องอย่างมีความสุข

“คุณป้า พี่อ้อย มีใครอยู่บ้าง ไปไหนกันหมดเล้ย!”

เสียงตะโกนลั่นดังขึ้นมาอีกครั้งและเมื่อไม่มีใครตอบรับก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาต้นเสียง ประตูห้องสีชมพูนั้นอยู่เยื้องๆ กับบันไดทางขึ้นชั้นสอง และเสียงร้องที่ลั่นๆ อยู่ก็หยุดชะงักลงทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ชมพูนุทเห็นเด็กผู้หญิงอายุราว 7 ขวบคนหนึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ไฟในห้องเปิดไว้เพียงสลัวๆ ม่านทั้งหมดปิดอยู่จึงเห็นคนที่นั่งบนเตียงไม่ชัดเจนนัก การเจอหน้าระหว่างคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนอยู่ในสภาพนิ่งงันกันทั้งสองฝ่ายแต่สำหรับคนบนเตียงนั้นพอรู้ตัวว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องตัวเอง ดวงตากลมโตของเด็กน้อยก็เบิกขึ้นและร้องด้วยความตกใจ

“ใครน่ะ เธอเป็นใคร!”

“คือว่า...” ชมพูนุทตั้งท่าจะอธิบายแต่ตอนนี้เองที่เธอนึกถึงคำเตือนของคุณเอกรัฐว่าถ้ามาถึงแล้วอย่าเพิ่งพบลูกสาวของเขาและอย่าบอกใครว่าเธอจะมาอยู่ในฐานะอะไรในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะกับเด็กหญิงมิ่งกมล ริมฝีปากสีชมพูจึงอ้ำอึ้งก่อนจะคิดหาคำพูด

“คือพี่มาอยู่ที่เรือนรับรองน่ะค่ะ พอดีได้ยินเสียงก็เลยเดินมาดู เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

“จริงเหรอ”

แม้ชมพูนุทจะพอเดาออกว่าเด็กคนนี้คงเป็นลูกสาวของเอกรัฐแต่เสียงที่ถามสั้นๆ ห้วนๆ นั้นทำให้เธอนึกถึงผู้ชายดุๆ ที่เธอเจอเมื่อวานมากกว่า...แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าและการกระทำของเขาหญิงสาวก็รีบสั่นศีรษะไล่ความจำร้ายพร้อมบอกคนตรงหน้า

“จริงสิคะ คุณรัตน์ยืนยันเรื่องนี้ได้”

“คุณรัตน์...คุณป้าน่ะเหรอ” พอพูดชื่อนี้ขึ้นมาเด็กหญิงก็นึกได้ เธอชี้นิ้วสั่งอีกฝ่ายราวกับเป็นเจ้านายใหญ่ “ถ้างั้น...เธอน่ะ! ไปตามคุณป้ามาให้หน่อยสิ”

ชมพูนุทมองท่าทีแบบนั้นด้วยความคาดไม่ถึงเพราะตอนนี้นอกจากเด็กผู้หญิงตรงหน้าจะชอบทำเสียงห้วนๆ แล้วยังทำท่าเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ ไม่น่ารักสมวัยเอาเสียเลย ความที่รู้แก่ใจตนเองว่าเธอและอีกฝ่ายคงต้องสนิทสนมและรู้จักกันให้มากกว่านี้หญิงสาวจึงยิ้มให้คนบนเตียง

“พี่ชื่อชมพูนุทนะคะ เรียกว่าพี่ชมพูก็ได้”

“ไม่เอา ไม่อยากรู้ชื่อ ไปตามคุณรัตน์มา!” คนบนเตียงไม่สนและเร่งด้วยท่าทางเอาแต่ใจ ชมพูนุทจึงถอนหายใจเบาๆ และมองใบหน้าของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เชิดขึ้นอย่างใจเย็นก่อนจะสอนด้วยท่าทางยิ้มๆ

“พี่ยินดีจะไปตามคุณรัตน์ให้นะจ๊ะแต่การจะใช้หรือไหว้วานคนอื่นเนี่ย พี่ว่า...เราก็ควรเรียกชื่อของเขานะเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้คนฟังรู้สึกดีกว่า แล้วน้องล่ะคะชื่ออะไร”

พอเด็กหญิงบนเตียงได้ฟัง เธอก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ปากเล็กๆ จึงทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงดุๆ ที่ชมพูนุทเริ่มจำได้แล้วก็ดังขึ้น

“มาทำอะไรที่นี่!”

“พี่มาร์ค” เด็กหญิงบนเตียงเรียกชื่อคนที่โผล่เข้ามา ดวงหน้าใสที่ขมวดอยู่เริ่มคลี่คลายกลายเป็นรอยยิ้ม “พี่มาร์คคะมิ่งอยากหาคุณป้า แต่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาต่อว่ามิ่งใหญ่เลย”

“อะไรนะ” ชมพูนุทร้องอย่างตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะตีความอย่างนั้น

“เธอทำอย่างนั้น?” นันทนะจ้องหน้าอีกฝ่ายเป็นคำถาม เหนือคิ้วของเขานั้นมีผ้าปิดแผลสีขาวเล็กๆ ติดอยู่

“น้องมิ่ง” พร้อมกันนั้นกนกรัตน์ก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง หญิงวัยเกือบ 50 หอบน้อยๆ ก่อนนั่งลงข้างๆ เด็กหญิงบนเตียง ซึ่งพอมิ่งกมลเห็นว่าตนเองมีพวกเยอะก็เริ่มร้องไห้อ้อนงอแงแสดงท่าทางจะเป็นจะตายขึ้นมาทีเดียว เสียงร่ำไห้ของน้องสาวทำให้นายหัวนันทนะยิ่งโมโห

“เธอ! มานี่”

เขาลากแขนผู้หญิงคนนั้นออกจากห้องของญาติผู้น้องทันที โดยมีปกรณ์ซึ่งยืนคอยอยู่หน้าห้องมองตามอย่างงงๆ ส่วนชมพูนุทก็พยายามขืนตัวไว้ทว่าทานแรงอีกฝ่ายไม่ได้เลย

“นี่นายจะดึงทำไมฉันเจ็บนะ”

“ยังกล้าโวยวายอีกหรือไง บอกมาสิว่าเธอทำอย่างที่น้องมิ่งบอกจริงๆ ใช่ไหม”

นันทนะปล่อยมือเรียวพลางถามเสียงเข้มแต่ชมพูนุทไม่ยอมตอบ ร่างสวยเพียงสะบัดมือออกและหันหน้าหนี เพราะการกระทำของเขาทั้งตอนนี้และเมื่อวาน จริงๆ แล้วคือทุกๆ อย่างตั้งแต่พบกันมันแสนจะเถื่อน แสนจะทราม จนเธอไม่อยากจะนึกถึง ไม่อยากพูดด้วย หรือไม่อยากมีธุระต้องพูด ต้องเกี่ยวข้องกันอีก มือเรียวจึงได้แต่คลำจุดที่อีกฝ่ายดึงมาอย่างรู้สึกเจ็บแต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบคนถามก็ยิ่งโมโห

“ฉันถามได้ยินไหม!”

ร่างเพรียวชะงักเล็กน้อยเธอหันมามองหน้าเขาเหมือนกับจะถามว่าทำไมต้องตวาดด้วย ถึงจะรู้สึกกลัวอยู่เหมือนกันแต่หญิงสาวก็บอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้คุณเอกรัฐก็จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นฉันกับนายก็คงไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก’ พอคิดได้แบบนั้นเสียงหวานก็ออกแนวกวนๆ

“ได้ยินแต่ไม่อยากตอบ”

คำพูดยียวนที่ออกมาจากปากหญิงสาวซึ่งมีประวัติไม่งามคนนี้ทำให้นันทนะขมวดคิ้วอย่างโกรธจัด ในชีวิตนี้คนตรงๆ อย่างเขาเกลียดคนโกหกเล่นลิ้นเป็นที่สุด ชายหนุ่มจึงจับบ่าบางให้หันมาหาตนเองและตวาดอย่างดุดัน

“ตอบมา!”

“ทำไมฉันต้องตอบด้วย ฉันไม่ใช่ลูกน้องของนาย ฉันมาที่นี่ก็เพราะคุณอา ถึงนายจะเป็นเจ้าของบ้านแต่ก็ไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์สั่งฉันเพราะฉะนั้นฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องตอบ”

ชมพูนุทแกะมือหนาได้รูปออก เมื่อคืนนี้หลังจากซักไซ้เพิ่มเติมจากเด็กที่ยกอาหารและยามาให้ เธอก็ได้รู้ว่าถึงนันทนะจะเป็นเจ้าของที่นี่แต่บ้านนี้ก็แบ่งเป็นสัดส่วน ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณเอกรัฐเดินทางมาถึง เธอก็จะย้ายมาอยู่ฝั่งที่เป็นบ้านของเขาทันที เมื่อคิดแบบนี้หญิงสาวจึงสะบัดหน้าหันหลังให้ก่อนก้าวผ่านทางเดินสั้นๆ ไปยังห้องโถงกลางพร้อมคิดว่านี่คงเป็นการทะเลาะกับนายหัวมาร์คครั้งสุดท้าย แต่หญิงสาวคิดผิดเพราะนันทนะก้าวตามมาพลางคว้าแขนของเธอดึงไว้!

“เดี๋ยวก่อน”

“นี่ปล่อยนะ จะมาดึงฉันทำไม”

“ที่พูดเมื่อวานไม่เข้าใจเลยใช่ไหม” นายหัวหนุ่มถามเสียงเข้ม

“เข้าใจสิ! ก็นายบอกว่าไม่ให้ฉันพูดจาไม่ดี ฉันก็พูดดีๆ แล้วไง” หญิงสาวเถียงพร้อมพยายามดึงแขนตัวเองออกจากมือของของอีกฝ่าย

“แบบนี้เธอเรียกว่าดีหรือไง” นันทนะแค่นเสียง “ท่าทางเธอคงต้องการให้ฉันสอนแบบเมื่อเย็นอีกทีสินะถึงจะได้รู้ว่าคำว่าดีของฉันหมายความว่ายังไง”

“นาย!” ชมพูนุชพูดไม่ออก ความจริงแล้วเธอพยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเมื่อวานแต่คำถามของเขากลับทำให้อดหวลคิดถึงมันอีกไม่ได้ ยิ่งหญิงสาวมองเห็นดวงตาสีเหล็กนั้นจ้องมองตั้งแต่ริมฝีปากไล่ลงมาถึงเนินอกเธอก็โกรธจนทำอะไรไม่ถูก แล้วทำไมเธอต้องพูดดีๆ กับคนแบบนี้ด้วย!

“นายมันเลว อันธพาล ไอ้คนเถื่อน ไอ้คนไร้มารยาท”

“ยังกล้าด่าฉันอีกเหรอ” นันทนะหรือนายหัวมาร์คกัดฟันกระชากร่างของชมพูนุทเข้ามาทันที หญิงสาวถึงกับกรี๊ดลั่นมือบางทุบกระหน่ำและพยายามผลักเขาให้ออกห่าง แต่ร่างกำยำไม่สะทกสะท้านมือหนากลับยิ่งรัดเอวคอดแนบลำตัวและกดร่างนุ่มจนผิวกายขาวผ่องกลายเป็นสีชมพูจัดพลางใช้อีกมือจับคางมนให้เงยหน้าขึ้น

“ปากดีอย่างนี้รู้ตัวไหมว่าจะเป็นยังไง!”

“ไม่!...ฉัน...ปล่อยฉันนะนายมาร์ค ไอ้นายหัวบ้า” ชมพูนุทดิ้นรน เสียงของเธอทำให้ปกรณ์ซึ่งเดินตามมาห่างๆ หันรีหันขวางก่อนตัดสินใจเดินกลับไปทางบ้านของเอกรัฐ

“มาร์ค!”

แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงวัย 45 ปีซึ่งก้าวเข้ามาหาคนทั้งคู่พลางถามอย่างร้อนรน

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

นายหัวหนุ่มกัดฟันมองใบหน้าสวยอย่างฝากไว้ก่อนแต่ก็ปล่อยเธอเป็นอิสระพร้อมหันมาหาผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน

“อาเอก...ผู้หญิงคนนี้เข้าไปในห้องน้องมิ่ง”

“ก็แค่เข้าไปไม่ใช่เหรอ” เอกรัฐถามหลานชายพร้อมเดินเข้ามาขั้นกลางระหว่างทั้งคู่ “แต่อาว่าแกทำท่าเหมือนกำลังจะจับผู้ร้าย"

“น้องมิ่งบอกว่าเธอพูดไม่ดี” นันทนะบอกอาสั้นๆ และปรายตามองผู้หญิงที่ยืนขมวดคิ้วอยู่

“โธ่เอ๋ย แกก็เชื่อยัยมิ่งไปซะทุกอย่าง คงอาละวาดเพราะไม่ได้อย่างใจมากกว่าแต่เอาเถอะคงไม่มีอะไรแล้วล่ะ” เอกรัฐถอนหายใจและพยายามเปลี่ยนบรรยากาศเคร่งเครียด “เมื่อกี้พอกลับเข้าบ้านปกรณ์ก็รีบรายงานซะน่าตกใจเชียว ทำเป็นไม่ชินไปได้ว่าเจ้านายแกน่ะชอบพูดเสียงดัง ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนฆ่ากันตายซะอีก”

ชมพูนุทมองเอกรัฐก่อนมองเลยไปยังนันทนะอย่างโกรธๆ ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากฆ่าเขาให้ตายจริงๆ นั่นแหละ ส่วนนายหัวหนุ่มก็เรียกลูกน้องขึ้นทันที

“กรณ์!”

“ผมแค่บอกว่านายหัวกำลังทะเลาะกับคุณ...ชมพูนุทครับ ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้จริงๆ” น้ำเสียงเอาเรื่องแบบนั้นทำให้หนุ่มวัย 25 รีบแก้ตัว

“ไม่เป็นไรนะชมพู” เอกรัฐหันมาถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง “อามาช้าไปหน่อยถ้ามีอะไรที่ทำให้ไม่สบายก็ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ค่ะ คง...ไม่เป็นไร...มั๊งคะ”

ชมพูนุทพยายามเค้นคำว่าไม่เป็นไรออกมาอย่างยากเย็น การกระทำของนายหัวนันทนะนั้นทำให้เธอทั้งอายทั้งโกรธจนอยากจะฉีกเค้าเป็นชิ้นๆ นี่ยังไม่รวมกับเรื่องเมื่อคืนและเรื่องที่เขาร่วมกับลูกน้องคิดจะทำเรื่องเลวๆ เมื่อวาน ต่อไปนี้เธอก็หวังแค่ไม่ต้องมาเจอกันอีกเท่านั้นก็พอ

“แต่ยังไงคุณอาก็ช่วยอธิบายให้คนอื่นๆ เข้าใจด้วยนะคะว่าชมมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”



**********************************************

5.



ผู้ชายทั้งสามคนยืนอยู่ในห้องโถงกลางด้วยต่างความรู้สึก เอกรัฐมีรอยยิ้มบางๆ ระบายบนสีหน้าตลอดเวลาที่มองสาวสวยวัย 24 ปี แต่นันทนะยิ่งกัดฟัน ดวงตาสีเหล็กมองใบหน้าที่เชิดขึ้นของชมพูนุทแล้วนึกหมั่นไส้อยากรู้นักว่าผู้หญิงคนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อคืนนี้หายไปไหนกัน หรือว่าพวกเธอช่างมีมารยาร้อยเล่มเกวียน งั้นก็ดีเพราะคราวหน้าเขาไม่ใจอ่อนกับเธออีกเด็ดขาด!

ขณะนั้นกนกรัตน์เดินมาจากตึงฝั่งซ้ายพอดี เธอมองบรรยากาศเคร่งเครียดในห้องโถงใหญ่ก่อนรีบอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้น้องมิ่งร้องเรียกคนโน้นคนนี้

“เมื่อเช้าดิฉันให้เด็กอ้อยเดินมาดูน้องมิ่งหนหนึ่งแล้วแต่เธอยังไม่ตื่น ดิฉันก็เลยใช้ให้ไปทำอย่างอื่นก่อนแต่ก็บอกแล้วนะคะว่าเดี๋ยวจะต้องเดินมาดูน้องมิ่งอีกที นี่คงลืมไปล่ะสิเธอเลยอาละวาดแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้ดิฉันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะคะ...”

“เลิกพูดเรื่องนี้ก่อนเถอะคุณรัตน์”

ตอนนี้นายหัวนันทนะไม่อยากฟังคำอธิบายใดๆ ทั้งนั้น เนื่องจากคำพูดทิ้งท้ายของชมพูนุทกำลังทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด กรุ่นๆ อารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“อาช่วยอธิบายเรื่องนี้หน่อย นี่ก็เสียเวลามากแล้วผมยังมีธุระและต้องข้ามไปฝั่งโน้นอีก”

‘เสียเวลา’ ชมพูนุทเองก็นึกหมั่นไส้ผู้ชายตรงหน้าอย่างที่สุด ใครกันนะที่ขอร้องหรือบอกให้เขาต้องมาเสียเวลาอยู่อย่างนี้

“คืออย่างนี้นะ” เอกรัฐนิ่งไปสักพักก่อนเริ่มอธิบาย “ชมพูเป็น...เอ่อ...น้องสาวของเพื่อนอาเอง คืออาอยากหาคนมาช่วยดูแลน้องมิ่งน่ะ”

เอ่ยจบก็ผ่อนลมหายใจน้อยๆ เหมือนโล่งอกในขณะที่กนกรัตน์สังเกตเห็นความอึกอักในคำอธิบายนั้น หญิงวัย 47 ซึ่งเป็นญาติของคุณวรสา จึงสรุปช้าๆ

“น้องสาวเพื่อน...หมายความว่าคุณเอกจ้างคุณชมพูมาเป็นพี่เลี้ยงน้องมิ่งงั้นเหรอคะ”

“ก็คล้ายๆ แบบนั้นนั่นแหละแต่ว่า..” เอกรัฐมองหน้าชมพูนุทยิ้มๆ ก่อนจะอธิบายต่อ “แต่ไม่เหมือนพวกคนงานหรือคนใช้ในบ้านเรานะ ชมพูเป็นมากกว่านั้น ผมจะให้เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องข้างๆ น้องมิ่งและก็คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนน้องมิ่ง”

จบประโยคที่ค่อนข้างยกย่องผสมความอาทรนั้นหญิงสาวที่ถูกพูดถึงก็เขม่นตามองนายหัวหนุ่มเหมือนจะบอกว่าเห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าฉันคือคนของคุณอาเลิกยุ่งกับฉันเสียทีนะ! นันทนะเห็นสายตาแบบนั้นแล้ว เขาขมวดคิ้วก่อนติงผู้เป็นอาเสียงเข้มเพราะอย่างน้อยตนก็เป็นเจ้าของบ้านก้องเกียรติทั้งหมด

“แต่จะให้ใครเข้ามาในบ้าน อาน่าจะบอกผมบ้าง”

“โทษทีละกัน” เอกรัฐมีน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจแอบแฝงอยู่ในคำขอโทษนั้นก่อนที่จะออกตัว “มันฉุกละหุกไปหน่อยน่ะ”

ทุกคนยกเว้นชมพูนุทรู้ดีว่านายหัวมาร์คนั้นเป็นคนดุ ตรงไปตรงมา และถึงเอกรัฐจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของพ่อแต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านและไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่นันทนะเกิด แถมเมื่อมาทำงานกับ KKN ก็ยังรับผิดชอบในส่วนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ก็เลยไม่ค่อยผูกพันกันในฐานะอาหลานเท่าที่ควร

ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากเอกรัฐเองเพราะเมื่อสมัยก่อนปู่กับย่าของนันทนะแบ่งสมบัติให้ลูกชายทั้งสองเท่าๆ กัน แต่เอกรัฐนั้นเป็นลูกหลงซึ่งอายุห่างจากคุณณัฐเกียรติสิบกว่าปีจึงถูกเลี้ยงอย่างตามใจและมีนิสัยรักอิสระ ชอบสบาย ชอบเที่ยวทุกประเภทรวมทั้งผู้หญิง เขาจึงขายหุ้นส่วนของตัวเองจนหมดและไปทำธุรกิจกับเพื่อนที่เมืองนอก ทว่าด้วยความที่มีนิสัยส่วนตัวรักสบายและไม่ค่อยฉลาดในเรื่องคบคน ในเวลาไม่กี่ปีเงินที่มีอยู่ก็ร่อยหรอยจนไม่เหลือ ตอนนั้นเอกรัฐอายุ 31 เขาซมซานกลับขออาศัยอยู่กับพี่ชายซึ่งช่วงนั้นนันทนะกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้แต่งงานกับคุณวรสาซึ่งเป็นญาติของคุณกนกรัตน์ตามคำแนะนำของคุณนนทิยาแต่ก็ไม่มีบุตรด้วยกันเลยจนกระทั่งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

“พอดีเมื่อวานอาเพิ่งรู้ว่าชมพูกำลังเดินทางมา...แล้วก็มีประชุมที่โรงงานด้วย...แล้วอาก็นึกว่าแกไม่อยู่บ้าน...ก็คุณรัตน์บอกว่าเมื่อวานกับวันนี้หลานจะไปสนามแข่งรถกับนายธามยังไงล่ะ จำไม่ได้หรือไง” เอกรัฐนิ่งไปสักพักก่อนอธิบายต่อช้าๆ แต่นันทนะก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี

“แต่คนที่บ้านเราก็มี ไม่เห็นจำเป็นต้องจ้างคนอื่นมาอีก”

“ก็อาไม่อยากรบกวนคนของมาร์ค พายุเพิ่งผ่านไปคนงานที่บ้านก็ลากลับบ้านเยอะอยู่เหมือนกัน แล้วบ้านก้องเกียรติก็ออกจะกว้างขวาง งานก็มีมากมายคนที่มีน่ะไม่พอจะดูแลน้องมิ่งหรอก คุณรัตน์เองก็ไม่ได้นอนอยู่ที่นี่ทุกวันเพราะต้องกลับไปบ้านคุณครูใหญ่ เหตุการณ์วันนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดีว่าเรามีคนไม่พอ อีกอย่างอาก็ไม่อยากได้คนงานทำงานบ้าน อาต้องการคนที่จะมาดูแลมิ่งจริงๆ”

ฟังเหตุผลทั้งหมดแล้วกนกรัตน์ก็ยังมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจและไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เธอเหลือบมองเจ้าของบ้านแต่ดูเหมือนตอนนี้ฝ่ายนั้นจะกำลังมองหญิงสาวที่เอกรัฐเอ่ยถึงอยู่

“จริงสิชมพูแล้วตกลงเรื่องเสื้อผ้าจะทำยังไงดีล่ะ จะให้อากลับไปขนที่กรุงเทพฯมาหรือว่าจะซื้อใหม่ดี แต่ความจริงอาว่าซื้อใหม่คงดีกว่า เดี๋ยวเอาเงินที่อาไปแล้วก็ซื้อใหม่เลยละกัน”

“อ้าว แล้วคุณชมพูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยเหรอคะ อะไรกันมาตั้งไกลขนาดนี้” กนกรัตน์ถามขึ้นอย่างจับผิด

“กระเป๋าเสื้อผ้าของเธอโดนขโมยน่ะ” เอกรัฐพูดตามที่ชมพูนุทอ้างเขาหันไปอธิบายกับนันทนะ “เมื่อวานอาก็เลยบอกให้กนกรัตน์ไปเอาเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใช้...มาให้เธอใช้ก่อน...” จบคำนั้นคนพูดก็หันไปมองชมพูนุทอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะได้รู้อะไรมากแค่ไหนแล้วและเมื่อวานเขาก็บอกเธอว่าเสื้อผ้าพวกนี้เป็นของๆ กนกรัตน์

“กระเป๋าเสื้อผ้าโดนขโมย?” นันทนะทวนคำลอยๆ ใจนึกไปถึงเรื่องที่เจอชมพูนุทบนรถของโชคชัยเมื่อวานและจำได้ว่าหญิงสาวก็ไม่มีกระเป๋าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว กนกรัตน์เลยเสริมต่ออย่างไม่เห็นด้วย

“โดนขโมยที่ไหนเหรอคะ...แต่ไม่ว่าจะฝั่งโน้นหรือฝั่งนี้ดิฉันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนโดนขโมยกระเป๋าเสื้อผ้า ถ้ากระเป๋าเงินหายก็ว่าไปอย่าง”

“คุณรัตน์”

เอกรัฐเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มซักไซ้มากเกินไปจึงส่งเสียงปรามทำให้ผู้ดูแลบ้านก้องเกียรติขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่พอใจเธอทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ที่ต้องเงียบจริงๆ ก็คงเพราะสายตาจากนายหัวหนุ่มมากกว่า ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวถึงนั้นทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเพราะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยทีเดียวที่โกหกเอกรัฐไปเมื่อวานแต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอคิดว่าน่าจะแก้ปัญหาได้

“เอ่อ...เรื่องเสื้อผ้า...”

หญิงสาวพึมพำพลางคิดว่าถ้าให้เอกรัฐกลับไปเอาชุดใหม่ที่บ้านอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และเข้าหูบิดา ซึ่งท่านคงไม่สบายใจแน่ๆ

“เรื่องเสื้อผ้า...ชมพูคิดว่าคงต้องซื้อใหม่ไปก่อน สองสามชุดคงพอแต่ว่าที่นี่จะหาซื้อได้ที่ไหนล่ะคะ”

“อาว่าไปซื้อที่ฝั่งโน้นดีกว่า” เอกรัฐบอกพร้อมทำท่านึกได้ “เอ...แต่ตอนนี้อาก็ไม่ว่างซะด้วย...จริงสิมาร์คจะไปฝั่งโน้นไม่ใช่เหรอ ฝากพาชมพูไปซื้อของบ้างสิ”

“ผมต้องไปดูคนงานที่ท่าเรือก่อน” นันทนะก็ปฏิเสธกลายๆ แต่ผู้เป็นอาไม่ได้คิดอะไร

“แต่ยังไงก็ต้องข้ามไปฝั่งโน้นไม่ใช่เหรอ ความจริงอาก็อยากจะไปเองเหมือนกันแต่ก็คงต้องคุยเรื่องนี้กับน้องมิ่งให้เข้าใจก่อน แล้วเดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ต้องไปติดต่อเรื่องลูกค้าอีก...แกก็รู้ว่างานของบริษัทน่ะมีมากขนาดไหน”

เอกรัฐอ้างไปถึงมิ่งกมลและงานบริษัทที่ตนรับผิดชอบอยู่ก่อนพูดเป็นเชิงขอร้อง

“ช่วยหน่อยนะมาร์ค อาอยู่ทางนี้จะได้คุยกับมิ่งให้เข้าใจก่อน อยู่ดีๆ ถ้าให้ชมพูเขาเดินเข้าไปบอกว่าจะมาดูแลละก็ ยัยมิ่งอาละวาดแน่ๆ”

“งั้นก็ตามมา” ที่สุดนันทนะก็พูดขึ้นอย่างตัดใจ

ไม่มีใครถามความเห็นสักคำว่าชมพูนุทอยากจะไปกับเขาไหม หญิงสาวได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีเพื่อหาจังหวะที่จะเอ่ยขัดทว่าทำไม่ได้เลย แม้กระทั่งร่างสูงของนันทนะหันหลังเดินออกไปนอกบ้านแล้วกนกรัตน์ก็ยังรีบคะยั้นคะยออีก ดูเหมือนลมหายใจของคนที่นี่จะแคร์แต่ความรู้สึกของเจ้าของบ้านแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

“ไปสิคะคุณ นายหัวไม่ชอบรอใครนานๆ นะ”

“ผมนึกว่าคุณรัตน์เข้าครัวไปแล้วซะอีก ไม่ไปหาข้าวเช้าให้ยัยมิ่งทานหรือไง ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว” เอกรัฐขัดขึ้นทำให้ชมพูนุทรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ และกนกรัตน์ก็ดูจะไม่ค่อยกลัวเขาเท่ากับความเกรงเจ้าของบ้าน

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะเพราะดิฉันโทรไปสั่งเด็กแล้ว แต่คุณเอกนั่นแหละ ช่วยเร่งผู้หญิง...คนของคุณด้วยดีกว่าเดี๋ยวนายหัวจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีก”

“แต่...ให้ชมไปกับเขา...แค่สองคนเหรอคะ” ชมพูนุทถามขึ้นพร้อมมองหน้าเอกรัฐ

“ใช่” คนถูกถามจึงพยักหน้าก่อนมองท่าทางของหญิงสาวที่ยืนอยู่และอธิบายยิ้มๆ “มาร์คเขาเป็นคนตรงๆ ดุๆ แบบนั้นเองแหละชมพูเพราะต้องดูแลคนตั้งมากมาย แต่เรื่องผู้หญิงน่ะเขาไม่มีประวัติหรอก...เหมือนพ่อของเขานั่นแหละ วางใจได้”

“วางใจได้...” ชมพูนุททวนคำของอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออกก่อนถาม “แล้วต้องไปไกลถึงฝั่งโน้นเลยเหรอคะบนเกาะนี้ไม่มีเสื้อผ้าขายเลยเหรอ”

“ก็มีเหมือนกันมั๊ง แต่ว่า...คงมีแต่พวกเสื้อผ้าแบบชาวบ้านๆ ผ้าถุง กางเกงชาวเล คงไม่มีอะไรให้เลือกเท่าไหร่หรอก” เอกรัฐยักไหล่ในขณะที่ชมพูนุทตัดสินใจทันทีเพราะการต้องอยู่ใกล้ๆ นายหัวนันทนะนานๆ นั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่ปรารถนาเอาซะเลย

“งั้น...ชมขอซื้อที่นี่ดีกว่า”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกชมพู...” เอกรัฐส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “อาว่าไปฝั่งโน้นดีกว่า ที่นี่มีแต่ของชาวบ้านๆ ไม่มีให้เลือกเท่าไหร่แล้วชมพูจะใช้ได้เหรอ”

“ใช้ได้สิคะ” ชมพูนุทรีบยืนยัน “ให้ชมรอคุณอาทำธุระเสร็จก่อนแล้วค่อยไปได้ไหมคะ”

กนกรัตน์ได้ฟังทั้งสองเถียงกันอยู่สักพักก็ส่งเสียงขัดอย่างไม่ค่อยพอใจ

“นี่คุณชมพูคะ คุณไม่รู้บ้างเลยหรือว่านานๆ ทีคุณเอกถึงจะมีเวลามาหาครอบครัว ฉะนั้นวันนี้ก็น่าจะให้น้องมิ่งได้อยู่กับคุณพ่อทั้งวันมากกว่า ทำไมคุณต้องมาขอแบ่งเวลาด้วยล่ะคะในเมื่อนายหัวก็จะต้องผ่านที่ๆ คุณจะไปอยู่แล้ว”

“คุณรัตน์!” เอกรัฐได้ฟังดังนั้นก็ทำท่าไม่พอใจรีบออกรับแทนแต่กนกนกรัตน์ก็เชิดหน้าถาม

“ดิฉันพูดอะไรผิดหรือคะ”

“ไม่ผิดแต่ไม่เห็นจำเป็นต้องพูด ผมคิดว่าคุณรัตน์น่าจะมีงานในครัวให้ต้องดูแลอีกหรือว่าเดี๋ยวนี้มาร์คเพิ่มหน้าที่ให้คุณมาคอยฟังคนอื่นคุยกันด้วย” คำไล่กรายๆ นั้นทำให้หญิงวัย 47 ขมวดคิ้วอย่างโมโหแต่ก็ยอมสะบัดหน้าเดินจากไป

ในฐานะที่กนกรัตน์เป็นผู้หญิงคนหนึ่งและเป็นญาติห่างๆ ของคุณวรสาทำให้เธอไม่ค่อยชอบเอกรัฐเท่าไหร่เพราะแค่เขาแต่งงานกับคุณวรสาได้หนึ่งปีก็เริ่มออกลายเดิมคือเจ้าชู้ซึ่งทำให้คุณวรสาเครียดจนกระทั่งความดันสูงบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้การที่ชมพูนุทเข้ามาในบ้านก้องเกียรติทั้งๆ ที่ญาติของเธอเพิ่งตายไปไม่ถึงเดือนจึงเป็นเรื่องที่น่าแคลงใจอย่างที่สุด

“ชมพูอย่าถือสาคุณรัตน์เลยนะ เธอเป็นนั้นน่ะแหละ ดุตามเจ้านาย” เอ่ยจบเอกรัฐก็ส่ายหน้าน้อยๆ

“ชมไม่คิดอะไรหรอกค่ะ...แต่ถ้าคุณอาไม่ว่างจริงๆ ชมยังไม่ซื้อพวกเสื้อผ้าก็ได้นะคะ ยังมีชุดที่คุณรัตน์เอามาให้ไว้ใส่ตอนกลางคืนกลางวันชุดนี้ก็ซักแห้งทันค่ะ แต่คุณอาอย่าบอกเรื่องนี้กับทางบ้านของชมนะคะเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต”

ชมพูนุทบอกอย่างตัดใจและเห็นด้วยกับกนกรัตน์อยู่เหมือนกันว่าตนเองจะเรื่องมากไปหรือเปล่า

“อาไม่ได้บอกใครเลยล่ะ” เอกรัฐหรี่ตามองหญิงสาว “แล้วชมพูล่ะได้คุยอะไรกับคนที่นี่หรือคนที่บ้านบ้างหรือยัง”

“ก็คุยค่ะ เมื่อวานนี้หลังจากคุยโทรศัพท์กับคุณอาแล้วชมก็โทรบอกพี่จาว่าชมมาถึงที่นี่แล้ว แต่วันนี้...โทรไปแล้วไม่มีใครรับ” คำถามบางอย่างนั้นถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอของชมพูนุทเพราะเธอกลับมาคิดดูแล้วก็เห็นว่าบางเรื่องก็สมควรที่จะคุยกับที่บ้านก่อน

“งั้นเอาเป็นว่าถ้าชมพูไม่อยากออกไปตอนนี้ เย็นๆ หรือพรุ่งนี้เช้าอาจะพาไปตลาดที่ท่าเรือเองก็ได้ ดีเหมือนกัน เย็นนี้ชมพูจะได้กินข้าวกับน้องมิ่งด้วย” เอกรัฐยิ้มกว้างทันทีที่รู้ว่าชมพูนุทยังไม่ได้คุยรายละเอียดกับคนที่บ้าน ซึ่งตอนนี้หญิงสาวก็กำลังกังวลเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้ละกันนะคะ แล้ว...เมื่อไหร่ชมถึงจะย้ายไปอยู่ฝั่งโน้นข้างๆ น้องมิ่งล่ะคะคุณอา”

“คงต้องให้อาพูดกับมิ่งให้รู้เรื่องก่อน คือ...เพราะไม่มีแม่..แกก็ยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง วันๆ ก็คลุกอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกไปไหนเลย”

“น่าสงสารนะคะ” ชมพูนุทพูดเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เอกรัฐจึงมองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูก่อนจะบอก

“งั้นเดี๋ยวอาไปบอกนายมาร์คก่อนก็แล้วกัน ชมพูก็หาอะไรทำไปก่อนอยากจะเดินเล่นหรือว่ายน้ำที่สระหลังบ้านก็ได้นะ”

ชมพูนุทพยักหน้ารับคำพร้อมเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองและมองผ่านกระจกใสลงมาด้านหน้าบ้าน นัยน์ตาสวยสีน้ำตาลเห็นว่าเอกรัฐเดินออกไปพูดบางอย่างกับนายหัวนันทนะและเขาก็ขมวดคิ้วมองกลับขึ้นมายังจุดที่เธอยืนอยู่ ทำให้ร่างเพรียวถึงกับสะดุ้งน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวเพราะแม้ปากจะบอกว่าไม่กลัวแต่ในใจกลับรู้สึกหวาดๆ และถึงอยากจะลืมแต่ก็ยังจำสัมผัสเมื่อคืนของเขาได้ดี



“หมายความว่าเธอจะรอไปพร้อมกับอา”

ใบหน้าคมของนายหัวหนุ่มเชิดขึ้นขณะที่คิ้วเข้มขมวดชนกัน ดวงตาสีเหล็กมองขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมถามเอกรัฐด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อีกฝ่ายจึงพยักหน้า

“อืม...ก็ทำนองนั้นแหละ”

“ทำไมต้องมากเรื่องด้วย?” นันทนะชักอารมณ์เสียที่อุตสาห์รอแล้วก็ยังมีปัญหา

“ชมพูเค้ายังไม่คุ้นกับที่นี่น่ะสิ เขาเป็นผู้หญิงจะให้ไปไหนมาไหนกับผู้ชายที่ไม่รู้จักน่ะมันไม่เหมาะ” เอกรัฐออกรับแทนทำให้นายหัวหนุ่มเหยียดมุมปาก

“ดูท่าทางอาจะคุ้นเคย รู้ใจผู้หญิงคนนี้จังเลยนะครับ”

“ก็...” เอกรัฐอึ้งไป เขามองหลานชายก่อนอ้าง “ก็อาเคยเจอกับชมพูเค้ามาก่อนแล้วอย่างน้อยที่นี่อาก็เป็นคนเดียวที่เขารู้จักและรู้จักเขาดีที่สุด”

“แต่เมื่อวานผมเห็นเธออยู่กับพวกของนายภักดีที่ฝั่งโน้น”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ชมพูไม่เคยมาที่นี่เลยแล้วจะรู้จักคนพวกนั้นได้ยังไง อาว่าแกตาฝาดมากกว่า” เอกรัฐส่ายหน้าอย่างมั่นใจ

“ผมเห็นเธอคุยกับลูกสาวของนายภักดีด้วย”

“เอ...หรือเขาอาจจะรู้จักกันมาก่อน” พอหลานพูดถึงสองครั้งเอกรัฐก็ชักไม่แน่ใจเพราะว่าราชาวดีนั้นเป็นผู้หญิงและสังคมยุคนี้ก็แสนจะไฮเทค เขาจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่อาจจะรู้จักกันมาก่อน แต่ก็คิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

“ก็...ดีนี่ถ้าชมพูรู้จักราชาวดีจริงก็ดี อาจะได้เบาใจว่าเขามีเพื่อนอยู่แถวนี้บ้าง อาว่าเราสองคนเลิกพูดเรื่องกันดีกว่านะ แหม! นี่อาชักสงสัยแล้วสิว่ามีอีกาตัวไหนคาบเอาอะไรมาเที่ยวฟ้องหรือเปล่ามาร์คถึงได้ดูขี้สงสัยผิดปกติแบบนี้” เอกรัฐพูดในทำนองเล่นๆ มากกว่าทว่าคนที่ถูกหยอกไม่ได้หัวเราะและคิดว่าดีเหมือนกันที่ผู้เป็นอาเปิดช่องขึ้นมา

“เมื่ออาทิตย์ก่อนผู้จัดการนพที่โรงงานสมุทรสาครบอกผมว่าอาไม่ได้ไปประชุมที่โรงงานหลายครั้งแล้ว โทรตามก็ปิดเครื่อง”

“นี่อะไรกันอีกล่ะ คนละเรื่องเดียวกันหรือไง” เอกรัฐเปลี่ยนสีหน้าทันที เขารีบโวยวายและพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เอาล่ะเลิกพูดเรื่องพวกนี้กันจริงๆ เสียทีดีกว่า...เออ! แล้วตกลงว่าเย็นนี้จะกลับมากินข้าวด้วยกันหรือเปล่า”

นันทนะมองผู้เป็นอานิ่งๆ เพราะแม้สิ่งที่พูดขึ้นมานั้นจะดูเหมือนเป็นคนละเรื่องแต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ เขามองขึ้นไปที่ชั้นสองอีกครั้งก่อนพูดกับอาอย่างจริงจัง

“ผมไม่อยากเดาว่าอาหายไปไหนบ่อยๆ เพราะถ้างานไม่มีปัญหาผมก็ไม่อยากเรื่องมาก แต่ในฐานะคนที่เป็นญาติกันผมก็อยากจะบอกอาว่า ถ้าอามีเวลาไปหาเศษหาเลยกับผู้หญิงพวกนี้ ผมว่าอาน่าจะเอาเวลาพวกนั้นมาชดเชยให้น้องมิ่งมากกว่า ตอนนี้น้องมิ่งไม่มีอาสาอยู่ด้วยเหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับและเธอก็ไม่ยอมเดินออกไปไหนเลยถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปหมอบอกว่าเธออาจจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิตก็ได้”

“มาร์ค!” เอกรัฐแค่นเสียงขมวดคิ้วทันที ฟันขาวขบกันจนแน่นด้วยความโกรธเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นันทนะพูดตรงๆ โดยไม่เกรงใจเขาแบบนี้ แต่นายหัวนันทนะก็มีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้เกรงอีกฝ่ายแต่อย่างใด ด้วยถือว่าตนพูดความจริงเขารู้ดีว่าอาของตนชอบทำตัวเหลวไหลและชอบใช้เรื่องงานมาอ้างในการไปเที่ยวที่ต่างๆ แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายมีเงินใช้ตลอดทั้งๆ ที่รายได้ก็มีเพียงเงินเดือนกับหุ้นใน KKN ที่พ่อของเขายกให้ใหม่แค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

“แกพูดเหมือนกับอาเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่สนใจลูก ก็ที่อาพาชมพูมาที่นี่ก็เพราะเหตุผลนี้ไง!”

“ผู้หญิงคนนั้น...ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะทำให้น้องมิ่งดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่”

เอ่ยจบหลานชายยืดตัวตรง มือหนาได้รูปจับแผลที่หัวคิ้วก่อนจะกอดอกด้วยท่าทางของนายเหมืองใหญ่ที่ปกครองคนเกือบทั้งลานชิน

“แต่อาไว้ใจเธอ” เอกรัฐรีบพูดขึ้นทันที ความจริงเขาโกรธมากแต่ก็ต้องระงับอารมณ์เพราะวันนี้มีเรื่องที่ต้องพึ่งพาอีกฝ่าย “ส่วนเรื่องนั้น แกก็น่าจะเข้าใจนะมาร์คว่าผู้ชายเราก็ต้องมีบ้างไอ้เรื่องผู้หญิงน่ะแต่อาก็ไม่เคยทำให้งานของมาร์คเสียเลยนะ แล้วอีกอย่างอากับอาผู้หญิงของแกก็ไม่ได้แต่งงานกับด้วยความรัก แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่แนะนำ อาไม่อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะเพราะยังไงคุณสาเค้าก็ตายไปแล้ว แต่ถ้าเผื่อ...อาจะมีใครสักคนมาแทนที่เธออาก็รับรองว่าจะพยายามหาคนที่เข้ากับน้องมิ่งให้ได้มากที่สุด”

“อาพูดแบบนี้ทั้งๆ ที่อาสาเพิ่งตายไปแค่สิบกว่าวันอย่างนั้นหรือครับ” นายหัวนันทนะชักเสียงดังขมวดคิ้วมุ่น ความที่เอกรัฐเป็นญาติของตัวเองทำให้เขายิ่งโกรธ และนึกเคืองไปถึงผู้หญิงที่กำลังมาใกล้ชิดน้องสาวตัวเองอย่างที่สุด

“อาแค่พูดเผื่อเอาไว้เท่านั้นเอง” เอกรัฐรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวอีกฝ่ายอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ “แต่ยังไงๆ อาก็ไว้ใจชมพูและก็คิดว่าเขาจะสามารถดูแลน้องมิ่งได้”

“แต่ผมไม่ไว้ใจเธอ!” นายหัวหนุ่มประกาศกร้าว “ก็ได้! ถ้าอาจะให้เธออยู่ที่นี่ในบ้านหลังนี้ ผมก็มีวิธีปกครองของผมเหมือนกัน”

“ก็เอาสิ แกเป็นเจ้าของบ้านนี่” น้ำเสียงของผู้อาเจือปนไปด้วยความไม่พอใจและพยายามเข้าเรื่อง “เอาล่ะ...ถ้าสบายใจแล้วก็เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า อามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นจะปรึกษา”

“มีอะไรอีกงั้นเหรอครับ”

“คือ...วันนี้...อาอยากให้หลานโอนเงินเข้าบัญชีให้อาหน่อย” เอกรัฐรีบพูดประโยคหลังเหมือนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาไม่หมด

“เงิน...ค่าอะไรครับ”

“คืออย่างนี้นะ...อาต้องจ่ายเงินเดือนให้ชมพูเค้าล่วงหน้าน่ะ”

“เงินเดือนล่วงหน้า?” นันทนะขมวดคิ้ว อีกฝ่ายจึงกัดฟันอธิบายสองสามเดือนมานี้เขาหมุนเงินไม่ทันจริงๆ จึงต้องบากหน้ามาพูดเรื่องนี้กับหลานชาย

“คือที่บ้านชมพูเค้ากำลังเดือดร้อนเรื่องเงินน่ะเลยขอเบิกล่วงหน้าก่อน ก็ช่วยเหลือกันนั่นแหละแกก็รู้ว่าอาน่ะขี้สงสาร แต่ว่า...ช่วงนี้อาไม่เงินก้อนสักเท่าไหร่หมดไปกับงานศพก็เยอะก็เลยอยากจะ...”

“เท่าไหร่ครับ” นันทนะขัดขึ้นเพราะไม่อยากฟังผู้เป็นอาอ้างอะไรไปมากกว่านี้

“สาม...เอ่อ...ห้าแสน” เอกรัฐรีบบอก

“อะไรนะครับ” เงินจำนวนห้าแสนไม่ใช่เงินจำนวนมากสำหรับนายหัวนันทนะ แต่มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจและไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลยสำหรับการจ้างผู้หญิงคนหนึ่งในตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็ก สิ่งนี้ทำให้เขานึกชังผู้หญิงคนนี้เพิ่มมากขึ้นอีก

“...ก็ห้าแสนน่ะสิ ยังไงหลานก็ช่วยจัดการโอนเข้าบัญชีอาให้ด้วยนะ เดี๋ยวอาก็ต้องใช้เงินตอนไปพบลูกค้าที่มาเลเซียอีก เอ่อ...อาไปก่อนก็แล้วกันป่านนี้น้องมิ่งรอแย่แล้ว” พูดจบเอกรัฐก็รีบเดินหนีไปทันทีเหมือนกลัวว่าหลานจะซักอะไรหรือปฏิเสธคำขอของตน



*********************************************************
6.



แม้ว่าเย็นนั้นเอกรัฐจะนัดกับชมพูนุทแล้วว่าจะพาไปซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดท่าเรือของเกาะลานชิน ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ เขากลับไม่อยู่และให้กนกรัตน์บอกเรื่องนี้กับเธอแทน

“คุณเอกรัฐมีธุระด่วน คงพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าไม่ได้แล้ว”

“อ้าว” หญิงสาวร้องเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายตัดสินปัญหาให้

“เอาอย่างนี้ละกัน คุณถอดชุดนี้มา เดี๋ยวดิฉันจะให้เด็กเอาไปซักรีดให้แล้วคุณก็ใส่ชุดที่เอามาให้เมื่อวานนอนไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนเย็นนี้คุณน้องมิ่งแกก็เพลียที่เล่นกับคุณพ่อมาทั้งวันเลยทานมื้อเย็นเร็วแล้วก็เข้าห้องไปแล้ว แต่เรื่องของคุณ...คุณเอกคงบอกน้องไว้แล้วล่ะ ไว้ค่อยเริ่มหน้าที่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” กนกรัตน์ดูไว้ท่าทีกับชมพูนุทมากขึ้นอีกเพราะยังรู้สึกสงสัยข้องใจในสถานะของอีกฝ่ายอยู่

“ก็ได้ค่ะ”

ชมพูนุทสังเกตเห็นเหมือนกันแต่เธอก็ต้องรับคำอย่างไม่รู้ทำอย่างไรดี การที่เอกรัฐจากไปง่ายๆ หลังจากคุยกันได้ไม่กี่คำแบบนี้ก็เหมือนทิ้งให้เธอต้องผจญกับทุกๆ เรื่องภายในบ้านก้องเกียรติเพียงลำพังแต่เมื่อคิดอีกที...เอกรัฐก็ประกาศชัดๆ แล้วว่าจะให้เธอมาทำอะไรในบ้านหลังนี้

’สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คืออยู่ให้ห่างนายหัวซาตานนั่นมากกว่า’ ด้วยความคิดนี้เย็นนั้นหญิงสาวจึงปฏิเสธอาหารเย็นไปเหมือนเคยเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านจะกลับเข้ามาหรือยัง

คนที่เธอนึกถึงนั้นกลับมาถึงบ้านตอนหัวค่ำ วันนี้เขาจงใจเดินเข้าประตูห้องโถงกลางทั้งๆ ที่ทุกครั้งจะใช้ประตูบ้านด้านขวาซึ่งเป็นเขตส่วนตัวของตน ชายหนุ่มสวนกับกนกรัตน์ที่เดินหน้ามุ่ยเข้ามาจากด้านหลังและเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเธอก็รีบฟ้องทันที

“ดูนี่สิคะนายหัว”

“อะไร” นันทนะหยุดยืนและยกมือขึ้นกอดอกอย่างที่เขาชอบทำ

“เสื้อคุณสาน่ะสิคะ ดิฉันก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน คือเมื่อตอนสายๆ ให้เด็กขึ้นไปเอาตะกร้าผ้าที่ห้องของผู้หญิงคนนั้นลงมาซัก แต่ดูนี่สิคะ เสื้อคุณสาที่เอาให้เธอไปเมื่อวานทำไมกระดุมมันถึงขาดหลุดรุ่ยแบบนี้ล่ะ นี่ดิฉันกำลังจะขึ้นไปถามอยู่พอดี อะไรกันแค่ใส่นอนทำไมต้องทำแบบนี้หรือว่าจะไม่ชอบเมียของคุณเอกเพราะอยากจะเข้ามาแทนที่ก็ลงกับสื้อผ้าของเธอ แบบนี้ใช้ไม่ได้นะคะนายหัว”

กนกรัตน์บ่นยาวๆ อย่างไม่พอใจ นายหัวหนุ่มจึงดึงเสื้อสีโอรสนั้นมาถือไว้ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมมันถึงอยู่ในสภาพนี้ ริมฝีปากหยักได้รูปบอกกนกรัตน์ว่าไม่ต้องขึ้นไปถามชมพูนุทและให้เลิกพูดถึงเรื่องนี้

“แต่ว่า...”

คนฟ้องถึงกับอึ้งผสมงง แต่ชายหนุ่มก็ไม่อธิบายอะไร ร่างสูงเดินกลับมายังส่วนซึ่งเป็นที่พักของตนเองและยกเสื้อสีโอรสที่ในมือขึ้นมาดู ใจประหวัดนึกถึงร่างกายอวบอิ่มที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อตัวนี้

“ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ผู้หญิงอย่างเธอก็แค่ขนมหวาน ไม่มีวันกลายเป็นอาหารจานหลักไปได้หรอก!”



ตอนเช้าของวันต่อมาชมพูนุทแต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ถูกซักรีดเรียบร้อยเดินลงมาที่ห้องครัวใหญ่ของบ้านก้องเกียรติซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังใกล้ๆ กับสระน้ำและหญิงสาวก็ลงมือทำข้าวต้มกุ้งเป็นอาหารเช้าให้ลูกสาวคุณเอกรัฐ มือเรียวยกถาดอาหารไปที่บ้านฝั่งซ้ายหลังทราบจากกนกรัตน์ว่าน้องมิ่งตื่นแต่เช้ารออยู่แล้วและบอกให้เธอนำข้าวต้มเข้าไปในห้องนอนของคุณหนูเลย

“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ”

“ใครน่ะ”

“พี่เองค่ะ” ผู้เข้ามายิ้มให้ ก่อนมองเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเตียงและมองบรรยากาศทึบๆ ในห้องนั้นก่อนตัดสินใจชวน “พี่ว่าเราไปทานข้าวข้างนอกกันดีกว่าไหม”

“พ่อล่ะ” มิ่งกมลไม่ตอบแต่ถามกลับ “พ่ออยู่ไหม”

คำถามห้วนๆ นั้นทำให้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงติดคำพูดไม่น่ารักแบบนี้มาจากญาติผู้พี่แน่ๆ และทำให้ชมพูนุทคิดว่าเธอจะสอนให้น้องมิ่งพูดจาให้น่ารักกว่านี้ ซึ่งก่อนอื่นเธอก็ควรจะเกลี้ยกล่อมและช่วยอุ้มน้องมิ่งออกไปทานข้าวที่ห้องด้านหน้านึกได้ดังนี้ดวงตาสีน้ำตาลจึงเหลียวหาที่วางข้าวต้มและสังเกตเห็นโต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง เธอถือถาดไปที่นั่นพลางตอบ

“คุณพ่อไม่อยู่หรอกค่ะ กลับไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น”

“กลับแล้ว!” มิ่งกมลแผดเสียงร้องเหมือนไม่ทราบในข้อนี้มาก่อน ทำให้ชมพูนุทซึ่งกำลังก้มลงรู้สึกตกใจ เธอวางถาดข้าวต้มลงและตอบอย่างงงๆ

“ก็ใช่...ค่ะ พ่อน้องมิ่งกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่มีใครบอกน้องมิ่งเลยเหรอ”

“ไม่! ไม่จริง พ่อบอกว่าเช้านี้จะมากินข้าวกับมิ่งก่อนแล้วค่อยไป โกหกใช่ไหม อย่ามาโกหกนะ คนอะไรนิสัยไม่ดีเลย!”

“พี่ไม่ได้โกหกนะคะ”

“ไม่จริง” มิ่งกมลไม่เชื่ออีกฝ่าย ดวงตาของเด็กหญิงวัย 7 ขวบเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจจนกลายเป็นโมโห เธอหันขวับมาด้านข้างหมายจะหาอะไรสักอย่างขว้างปาให้สาแก่อารมณ์ มือเล็กๆ จึงคว้าถ้วยข้าวต้มหวังจะเทประชด

“อย่าทำแบบนั้นค่ะมันร้อน”

ชมพูนุทร้องพร้อมยื่นมาเข้าไปประคองและมันก็ร้อนจริงๆ อย่างที่เธอบอกเพราะเด็กหญิงมิ่งกมลถึงกับร้องจ๊ากและสะบัดมันทิ้งทันที ข้าวต้มร้อนฉ่ากระเซ็นไปทั่วโดนทั้งตัวคนที่อยู่บนเตียงและคนที่ยืนอยู่

‘เพล้ง!’ ถ้วยกระเบื้องแตกกระจัดกระจายเสียงของมันดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของเด็กหญิง

“กรี๊ด!”

“โอ๊ย” ข้าวต้มร้อนๆ นั้นหกโดนมือจนชมพูนุทต้องสะบัดเร่าๆ หญิงสาวร้อนแต่ก็ต้องอดทนเพราะห่วงเด็กหญิงมากกว่า ความรีบก้าวทำให้เธอก้าวเหยียบเศษกระเบื้องเล็กๆ ที่พื้นด้วย

“น้องมิ่งคะ เป็นไงบ้าง”

ชมพูนุทฝืนความเจ็บรีบดึงผ้าที่คลุมท่อนล่างของเด็กหญิงออกและหยิบกระดาษทิชชูเช็ดตามตัวอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนมิ่งกมลจะไม่ได้เป็นอะไรมากเพราะห่มผ้าหนาๆ อยู่ ทว่าด้วยความตกใจบวกกับความโกรธทำให้เด็กหญิงกระถดตัวหนีและยิ่งอาละวาด เธอสะบัดมือพร้อมผลักหญิงสาวอย่าเอาเป็นเอาตาย

“ออกไป๊! จะหาพ่อ จะหาพ่อ”

เสียงกรีดร้องของมิ่งกมลเรียกให้พี่ชายวิ่งเข้ามาที่ห้องนั้นอีกเช่นเคย ชายหนุ่มมองภาพที่ชมพูนุทยื้อมือน้องสาวไว้แล้วตวาดลั่น

“เธอกำลังทำอะไร!”

“พี่มาร์ค!” มิ่งกมลร้องไห้โฮ “พ่อล่ะ พ่อล่ะ ใครเอาพ่อของมิ่งไป เมื่อวานพ่อบอกว่าจะอยู่ทานข้าวเช้ากับมิ่ง แล้วทำไมพี่คนนี้มาพูดกับมิ่งแบบนี้ นิสัยไม่ดีเลย พ่อล่ะ มิ่งจะหาพ่อ”

“เธอพูดอะไรกับน้องมิ่ง” นายหัวนันทนะก้าวเข้ามาในห้องเขามองเศษกระเบื้องที่แตกกระจายก่อนบอกกนกรัตน์ที่รีบตามมา “เรียกเด็กมาเก็บด้วย”

“น้องมิ่ง” ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินอ้อมมาอีกด้านของเตียงและบอกน้องสาวต่างวัยด้วยเสียงอ่อนโยนนั่นเป็นเสียงที่ชมพูนุทไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดเป็น “พ่อไปทำงานให้พี่ ไม่ได้หนีไปไหนหรอก อีกไม่กี่วันก็คงกลับมา...แล้วมิ่งก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะอีกหน่อยพี่จะให้พ่อกลับมาอยู่ที่ลานชินกับมิ่งทุกวัน”

“จริงเหรอคะ” มิ่งกมลหยุดร้องไห้เป็นปลิดทิ้ง ชมพูนุทเห็นแบบนั้นก็ทำท่าจะเดินออกไปแต่อีกฝ่ายกลับสั่งเสียงเข้ม

“อย่าเพิ่งไป ยืนอยู่ตรงนั้น!”

หญิงสาวจึงกัดฟันแต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้เธอควรทำตามคำสั่งเขาไปก่อนไม่งั้นมิ่งกมลก็อาจจะอาละวาดขึ้นมาอีก นายหัวหนุ่มหันกลับมาที่น้องสาวและปลอบ

“จริงสิ น้องมิ่งก็รู้ว่าพี่ไม่เคยโกหก มิ่งต้องรักษาตัวดีๆ พ่อจะได้ดีใจที่เห็นมิ่งแข็งแรง” แม้กำลังพูดแต่นายหัวหนุ่มก็สำรวจตามตัวน้องสาวไปด้วยเขาเห็นรอยแดงๆ เล็กน้อยบริเวณแขนจึงแตะบริเวณนั้นและถาม

“เจ็บไหม”

เนื่องจากมิ่งกมลห่มผ้าอยู่ข้ามต้มจึงไม่ได้โดนตัวเธอจังๆ แต่ที่ร้องไห้คงเป็นเพราะความตกใจและเรื่องอื่นมากกว่า เด็กหญิงจึงส่ายศีรษะ

“ไม่หรอกค่ะ” เธอมองชมพูนุทที่กำลังกัดฟันข่มความเจ็บของตัวเองแล้วหันหน้าหนีด้วยความไม่คุ้น “มิ่งไม่ชอบพี่คนนี้ มิ่งอยากหาคุณป้า”

กนกรัตน์ยืนรออยู่แถวนั้นอยู่แล้ว เธอจึงก้าวเข้าไปหาลูกสาวเจ้านายซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน นายหัวหนุ่มจึงหันมาถามเบาๆ

“ไม่มีใครบอกน้องมิ่งหรือไงว่าพ่อกลับไปแล้ว”

“ก็คิดจะบอกเช้านี้นั่นแหละค่ะ นายหัวก็รู้ว่าต้องค่อยๆ บอกแก ขืนโผงผางพูดไปเลยก็เป็นเรื่องเสียเปล่าๆ แต่ใครจะรู้ว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลเด็กน่ะจะไม่มีวิธีบอกที่นุ่มนวลจนทำให้น้องมิ่งต้องอาละวาดแบบนี้ นี่เหรอคะจะมาดูแลน้องมิ่ง?”

กนกรัตน์พึมพำตอบเช่นกัน ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและสั่ง
“งั้นเดี๋ยวให้ใครไปบอกกรณ์ว่าให้หาคนงานมาทำงานบ้านเพิ่มอีกสักคนสองคน ด่วนด้วย!”

ส่วนตัวเขาเองก็ดึงชมพูนุทให้ตามออกมาจนถึงห้องนั่งเล่นของมิ่งกมล หญิงสาวกัดฟันและต้องเขย่งเท้าตามเนื่องจากเหยียบเศษกระเบื้องไปเมื่อครู่

“โอ๊ย! ปล่อยนะ”

ชมพูนุทเจ็บจนน้ำตาแทบไหลเธอสะบัดแขนออกจากเขาอย่างแรงและล้มทันที นันทนะมองอาการของอีกฝ่ายด้วยความเย็นชาด้วยคิดว่าเธอแกล้งสำออยกลบเกลี่อนความผิด

“เธอพูดอะไรทำไมน้องมิ่งถึงเป็นแบบนั้น”

“ฉัน...” หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบเพราะเจ็บจนพูดไม่ออก เธอแสบมือที่โดนข้าวต้มร้อน เจ็บเท้าที่เหยียบโดนเศษกระเบื้อง มือเรียวจับเท้าของตัวเองไว้และเห็นว่ามีเลือดไหลออกมา แต่นันทนะกลับยิ่งโมโหเขาก้มลงกระชากแขนจนเธอร้องลั่น

“ฉันถามได้ยินไหม”

“โอ๊ย”

ตอนนั้นนายหัวหนุ่มจึงเห็นว่าเท้าของเธอมีเลือดซึมออกมาและมือเรียวก็แดงจนเห็นได้ชัด มือหนาที่จับแขนของหญิงสาวไว้แน่นจึงคลายออกก่อนก้มตัวลงและช้อนขาเรียวขึ้นทันที

“จะทำอะไร”

ชมพูนุทโวยวายแต่สภาพของเธอตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากร้องลั่นทั้งเจ็บทั้งหวาดกลัวว่าเขาจะทำอะไร

นายหัวนันทนะก้าวผ่านห้องโถงกลางเดินผ่านทางเดินสั้นๆ ซึ่งมีผนังเป็นกระจกใสก่อนก้าวไปในห้องซึ่งออกแบบด้วยไม้ผสมผสานกับวัสดุสมัยใหม่สไตล์วินเทจออกโทนสีน้ำตาลเข้ม ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบตู้โชว์ไม้ที่มีถ้วยรางวัลวางไว้หลายอันและโยนเธอลงบนโซฟาหนานุ่มขนาดใหญ่แบบเอนนอนได้เบื้องหน้าจอโทรทัศน์ 32 นิ้ว จากนั้นก็วางกล่องปฐมพยาบาลลงบนโต๊ะตรงหน้า ซึ่งเธอเกือบคิดอยู่แล้วว่าเขาก็มีมนุษยธรรมพอที่จะเป็นห่วงถ้าไม่ได้ยินเสียงห้วนๆ ดังออกมาเสียก่อน

“ทำแผลซะ เร็วๆ!”

ชมพูนุทกัดฟันมองใบหน้าคมดวงตาสีเหล็กที่แสนจะเย็นชา ก่อนคว้ากล่องใบนั้นก้มหน้าก้มตาทาครีมที่หลังมือพลางใช้สำลีพันก้านเขี่ยเศษกระเบื้องที่ยังติดอยู่บริเวณฝ่าเท้า ใบหน้านวลเหยเกพร้อมร้องเบาๆ แต่ก็ยังอุตสาห์เหลือบเห็นสายตาเหยียดๆ ของเจ้าของบ้านจนได้

“ก็มันเจ็บ!” สายตาดูถูกแบบนั้นทำให้เธอทนไม่ได้และโวยวายด้วยความลืมตัว “เจ็บก็ร้อง ผิดด้วยหรือไง ถ้าไม่อยากมองก็หันออกไปไกลๆ สิ ไม่เห็นต้องมาทำหน้าเหมือนโดนใครเหยียบเท้าแบบนั้นเลย”

“นี่เธอ” นายหัวหนุ่มคว้ามือที่กำลังจิ้มยารักษาแผลสดทันควันทำให้ขวดยาที่หญิงสาวถือหกกระจายใส่เสื้อสีขาวของเธอ ริมฝีปากสีชมพูร้องว๊ายขึ้นมาทันที ตอนนี้เสื้อของเธอมีทั้งร่องรอยเศษข้าวต้มเป็นดอกเป็นดวงและสีเหลืองแดงๆ จากยาทาแผล แต่คนที่บีบมือเธอไว้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเขาคำรามอย่างดุดัน

“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น อย่าพูดแบบนี้อีก”

“รู้แล้วๆ โธ่เอ๊ย เปรอะหมดเลยเห็นไหม...” ชมพูนุทถอนหายใจพร้อมยันตัวลุกขึ้นยืน “งั้น...ฉันไปได้แล้วใช่ไหม”

“ไม่ได้!”

“เอ๊ะ นายจะเอายังไงกันแน่” คนโดนห้ามจึงชักอารมณ์ขึ้น “ฉันอยู่นายก็ทำท่าหงุดหงิดใส่จะไปก็ไม่ให้ไปอีก ฉันไม่ได้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้เพื่อมานั่งให้นายทำเสียงดุๆ ใส่อย่างเดียวนะ ฉันมาทำงาน ฉันมีหน้าที่ต้องดูแลน้องมิ่ง แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังจะกลับไปทำหน้าที่ของฉัน”

“ไม่ต้องทำเพราะ...ฉันไล่เธอออก” นันทนะบอกเสียงเย็น

“อะไรนะ”

“ฉัน-ไล่-เธอ-ออก” นายหัวหนุ่มเน้นเสียงเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะดูแลน้องสาวของตัวเองได้อีกต่อไป การที่เธอทำให้มิ่งกมลร้องไห้สองครั้งนั้นมากเกินพอแล้วแต่ชมพูนุทไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด

“อะไร ทำไม ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด”

“เธอไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ เธอทำให้น้องมิ่งร้องไห้สองครั้งแล้ว” นันทนะอธิบายสั้นๆ แต่หญิงสาวส่ายหน้าไม่ยอมรับ

“มั่วชัดๆ ฉันไม่เคยทำอะไรน้องมิ่งเลย นายมีสิทธิ์อะไรที่จะมาทำแบบนั้น แล้วฉันก็เป็นลูกจ้างของอาเอกไม่ใช่ลูกจ้างของนายเพราะฉะนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์จะมาไล่ฉันออก”

“ทำไมจะไม่มีในเมื่อเงินเดือนล่วงหน้าของเธอเป็นเงินของฉัน” นายหัวนันทนะลุกขึ้นยืนตรงหน้าของหญิงสาวและสั่ง “ไปเก็บของ เดี๋ยวจะให้คนไปส่งฝั่งโน้น”

“ไม่จริง...อย่ามาอ้างหน่อยเลย ฉันไม่เชื่อนายหรอก” ชมพูนุทเริ่มขมวดคิ้ว มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเอกรัฐหลายเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน...แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เธอตกลงกับเอกรัฐว่าเขาจะจ่ายเงินให้เธอก่อนก้อนหนึ่งเมื่อเดินทางมาทำงานที่เกาะลานชิน

“เชื่อหรือไม่มันก็เรื่องของเธอ แต่ที่นี่คือบ้านของฉัน! ฉันบอกให้ไปเธอก็ต้องไป” นันทนะตัดบทอย่างรำคาญและเมื่อเจอไม้นี้ชมพูนุทก็เริ่มพูดไม่ออก

“แต่ว่า...”

“ไปเก็บของแล้วไปให้พ้นๆ ซะ” นัยน์ตาสีเหล็กนั้นแสนจะเย็นชา ไร้ซึ่งความปราณีและเห็นใจผิดกับท่าทางที่เขาพูดกับน้องสาวเมื่อครู่จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว

ชมพูนุทมีท่าทีลังเลเพราะจริงอย่างที่นายหัวนันทนะบอกว่าจะเชื่อหรือไม่เขาก็มีสิทธิ์ไล่เธอออกเพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเขา ส่วนเรื่องเงินถึงมันจะโอนเข้าบัญชีไปแล้วแต่เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเงินของเขาหรือของอาเอกกันแน่ แต่ที่สุดแล้วหญิงสาวก็คิดว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมต้องมายอมรับคำตัดสินมั่วๆ ของอีกฝ่ายด้วยถ้ายอมง่ายๆ ก็เหมือนเธอยอมรับว่าตัวเองแกล้งมิ่งกมลงั้นสิ

“ฉันไม่ไป”

“อะไรนะ”

“ฉันไม่สนใจหรอกว่าเงินนั่นจะเป็นของใคร ฉันรู้แต่ว่าคุณอาเป็นคนบอกให้ฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นถ้าจะมีคนไล่ก็ต้องเป็นคุณอาเอกรัฐเหมือนกัน” ชมพูนุทนึกฮึดขึ้นมาและพยายามหาเหตุผลที่เขาจงเกลียดจงชังจนอยากจะไล่เธอออก

“ถามจริงๆ เถอะทำไมนายต้องมาตัดสินฉันมั่วๆ แบบนี้ หรือว่าที่นายอยากจะไล่ฉันเพราะกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องเลวๆ ที่นายกับลูกน้องทำเมื่อวันก่อนมาประจานที่ลานชินใช่ไหม กลัวคนที่นี่จะรู้ธาตุแท้ของนายอย่างนั้นสินะ”

“พูดดีๆ นะ ฉันกับลูกน้องของฉันไปทำอะไรเธอ” นันทนะขมวดคิ้วมุ่น

“กินอยู่ปากอยากอยู่กับท้อง แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ต่อไปนี้ถึงเราจะต้องอยู่บ้านเดียวกันแต่ถ้านายไม่มายุ่งเกี่ยวกับฉันหรือเรื่องของฉันอีก ฉันก็จะไม่พูดเรื่องบนรถวันนั้นเพราะจะพยายามคิดว่า...ให้ทานหมาแมวมันไป” ชมพูนุทเริ่มคิดว่าตัวเองได้เปรียบและควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

“เธอนี่มัน!”

แต่ละคำพูดของเธอนั้นเหมือนยิ่งโยนไม้ฟืนเข้ากองไฟคุกรุ่น และเมื่อไล่แล้วอีกฝ่ายไม่ยอมไปนายหัวนันทนะก็ยิ่งขมวดคิ้วไม่คิดเลยว่าจะมีผู้หญิงหน้าด้านขนาดนี้หลงเหลืออยู่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้จนชมพูนุทถอยหนีไปติดเคาเตอร์ไม้สำหรับชงเครื่องดื่ม คนที่คิดว่าตัวเองได้เปรียบจึงหน้าตาตื่นโวยวาย

“จะทำอะไร ถอยไปนะ”

“ฉันถามจริงๆ เถอะที่เธออยากอยู่ที่นี่เพราะอะไร เพราะอยากจะทำตัวเป็นแม่ของน้องมิ่งแทนอาสาทั้งๆ ที่เธอเพิ่งตายไปไม่กี่วันอย่างนั้นเหรอ” มือหนาได้รูปจับแขนเรียวเอาไว้พร้อมใช้มืออีกข้างยันกับเคาเตอร์ด้านหลังเป็นการขวางไม่ให้หนี

“เมียของคุณอาเพิ่งตาย...” ชมพูนุทเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ นันทนะจึงถามเรียบๆ

“อย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เธอมาจนถึงเกาะลานชินโดยไม่รู้มาก่อนเลยหรือไงว่าอาสาเพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่วันนี้ ไม่เห็นเลยหรือไงว่าทุกคนที่นี่ใส่ชุดดำกันหมด แล้วไม่รู้เลยเหรอว่าชุดที่ใส่เมื่อวานมันคือชุดของอาสา ไม่กลัวคนเค้าจะนินทาบ้างหรือไง”

“ก็ใช่...เมียคุณอาตายไปแล้ว...แต่เสื้อผ้านั่น”

“อ้อ งั้นเธอมาที่นี่เพราะอยากเป็นเมียอาเอกแทนงั้นสิ มิน่าล่ะเมื่อวันก่อนถึงได้ตกลงราคากับพวกไอ้โชคไม่ได้”

ตอนนี้ในหัวของชมพูนุทเต็มไปด้วยหลายๆ เรื่อง สีหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยความตกใจและความคาดไม่ถึง แต่พอกายกำยำขยับเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็พยายามตั้งสติและนึกถึงเรื่องของผู้ชายตรงหน้าเพียงอย่างเดียวก่อน

“ในที่สุดนายก็ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าเป็นรู้จักไอ้พวกนั้นเป็นลูกพี่ของพวกมันจริงๆ ใช่ไหม ดีแล้ว! งั้นนายก็ถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องของนายกับลูกน้องไปประจานให้ทั่วเกาะเลยเชียว”

ถึงปากจะไล่อีกฝ่ายแต่ร่างสวยกลับต้องถอยจนหลังติดกับเคาเตอร์เครื่องดื่ม เพราะนอกจากนันทนะจะไม่เชื่อแล้วเขายังเหยียดมุมปากอย่างสมเพชอีกด้วย

“เธอกล้างั้นเหรอเพราะนั่นมันเหมือนประจานตัวเธอด้วยเหมือนกัน แล้วอีกอย่างที่เธอจะควรรู้ก็คือฉันไม่ใช่ลูกพี่ของไอ้สองคนนั่น แต่...ฉันโง่เองที่คิดจะช่วยผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งจากมือพวกนั้น ใครจะรู้ล่ะว่าที่แท้ก็แค่ตกลงราคากันไม่ได้”

“ราคาบ้าอะไรกัน นี่นายอย่ามาดูถูกฉันนะ”

หญิงสาวขยับจะเงื้อมือขึ้นตบอีกฝ่ายแต่ร่างกำยำก็ยิ่งเบียดชิดจนเธอทำอะไรไม่ได้ ยิ่งร่างเพรียวฮึดฮัดกายนุ่มก็ยิ่งเสียดสีกับร่างกำยำและความรู้สึกบางอย่างก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจของชายหนุ่มทันที

“ตอนแรกฉันก็ว่าจะไล่เธอไปให้พ้นๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะอย่างน้อยฉันก็น่าจะได้อะไรจากเงินที่เสียไปบ้าง” จบคำนั้นมือหนาได้รูปก็จับคางมนเงยขึ้นและจูบเธออย่างรุนแรง ชมพูนุททั้งดิ้นทั้งทุบแต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะเทือน นายหัวหนุ่มทั้งกอดทั้งรัดลุกล้ำเธอไปทั่วทั้งตัว



********************************************







แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2556, 10:22:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2556, 08:21:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1471





หมูอ้วน 30 พ.ค. 2556, 14:11:33 น.
พี่แพร ลงแค่ 6 บท หรือว่า จะมาลงเรื่อย ๆ ค่ะ


แพรพริมา 30 พ.ค. 2556, 19:21:30 น.
เรื่องนี้ลงแค่ 6 บทค่ะ เพราะวางแผงตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่เอามาให้อ่านกันเป็นตัวอย่างจ้า ส่วนอีกเรื่องจะมาลงเรื่อยๆ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมโพสเรื่องนี้แล้วมันหายไป งงๆๆๆ


แพรพริมา 30 พ.ค. 2556, 19:21:55 น.
โพสเรื่องนี้แล้วอีกเรื่องมันหายปายยย


Zephyr 30 พ.ค. 2556, 22:22:29 น.
อ่านแล้ว งงๆแหะ
สงสัยต้องไปหามาอ่านเต็มๆ


แพรพริมา 31 พ.ค. 2556, 08:10:50 น.
ฝากด้วยนะคะ คุณ Zephyr หาไม่เจอบอกน๊า จะช่วยหา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account