ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้
ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 26
บทที่ 26
“ก็ตอนที่ฉันรู้ว่าแกหลอกฉัน ฉันก็โกรธใช่ไหม ฉันไม่รู้จะระบายกับใคร ก็เลยโทรไปเล่าให้พี่อิ่มฟังหมดเลย”
จิลลาสารภาพหน้าจ๋อย หลังการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของหมื่นอาสา ทำให้ดาวประกายต้องรีบลากเพื่อนออกมาเจรจา ด้วยการอ้างกับคนอื่นว่าจะมาเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอกห้องพักสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน
“มิน่าแกถึงหายโกรธฉันไว แล้วแกไปเล่าว่าอะไร ทำไมพี่อิ่มถึงลงทุนตามมาด้วยตัวเอง แถมยังบอกว่าจะมารับฉันกลับบ้านอีก”
“ก็เล่าทุกอย่าง ฉันจำไม่ได้หรอก แต่ก็ทุกอย่างนั่นแหละ ตอนแรกพี่อิ่มก็ไม่ว่าอะไร ถามว่าผู้ชายสองคนนั้นเป็นใคร ฉันก็บอกเท่าที่ฉันรู้ คนหนึ่งชื่อสิตะ อีกคนชื่ออนณ แล้วพี่อิ่มก็บอกว่าเขาจะจัดการเอง ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่อิ่มจะตามมา อยู่ๆ เมื่อตอนตีห้าก็โทรมาบอกว่าถึงอินชอนแล้ว แล้วพอฉันบอกว่าฉันไม่ได้อยู่ที่โซล เขาก็นั่งบัสรอบแรกตามมาถึงนี่เลย สงสัยจะเป็นห่วงแกมาก แกก็ไม่น่าเรียกฉันออกมาคุยแบบนี้ น่าจะทำตัวปกติๆ เขาจะได้คิดว่าไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรยังไง นอนอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ พี่อิ่มก็ต้องรู้แล้วล่ะว่ามีอะไร แล้วฉันจะทำยังไง ฉันยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้หรอกนะ”
“แกก็อ้อนพี่อิ่มสิ พี่อิ่มใจดีจะตาย ไม่เคยขัดใจแกอยู่แล้ว”
นั่นเป็นความจริงตลอดมา จนกระทั่งเธอได้เห็นสายตาของพี่ชายข้างบ้านเมื่อครู่นั่นแหละ... ตึงเครียด จริงจังที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ แล้วอย่างนี้เธอจะกล้าพูดอะไรอีกเล่า
“เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า ปล่อยให้พี่อิ่มอยู่กับคุณสิตะ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
แล้วคนที่ลากเพื่อนออกมาก็รีบร้อนเดินนำกลับเข้าไป แต่แล้วสาวร่างบางก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเพียงเตียงที่ว่างเปล่า
“คุณสิตะออกไปคุยกับหมอน่ะครับ” อนณที่ยืนรออยู่เอ่ยอย่างอ่านความคิดเธอออก สาวร่างบางขมวดคิ้ว ก่อนที่เพื่อนจะถามในสิ่งที่เธอเองก็สงสัย
“แล้วพี่อิ่มล่ะ”
“ไปกับคุณสิตะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไร จิลลาพยักหน้า ขณะที่ดาวประกายรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
สวนหย่อมขนาดย่อมด้านข้างของโรงพยาบาล อาบด้วยแสงทองแห่งรุ่งอรุณ แต่กระนั้นก็ยังร้างผู้คน เพราะอากาศที่เหน็บหนาวและหิมะที่ยังเกลื่อนพื้น
ชายหนุ่มที่เพิ่งโดนแทงแต่ปฏิเสธจะนั่งรถเข็นก้าวย่างอย่างช้าๆ โดยมีผู้ชายร่างสูงใหญ่พอกันในเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินเข้มเดินอยู่ข้างๆ เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดอะไร ในที่สุดสิตะก็ทนไม่ไหว
“คุณขอให้ผมออกมาคุยด้วย มีธุระอะไรหรือครับ” ลงท้ายด้วยคำสุภาพแต่น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้าง สายตาคมกริบที่มองอีกฝ่ายก็เป็นไปอย่างสังเกต
นอกจากรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กันที่น่าจะได้มาจากการทำงานใช้กำลังกลางแจ้ง ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น อีกทั้งหน้าตาคมเข้มแบบชาติไทย ดูอย่างไรก็ไม่มีเค้าโครงเดียวกับดาวประกาย
เรียกว่าพี่... เป็นพี่แบบไหนกันแน่
“ผมได้ยินเรื่องของคุณจากจูน เลยอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับน้องสาวของผม” หมื่นอาสาถามตรงๆ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้า ทำให้สิตะเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกผมก่อนว่าคุณกับดาวประกายเป็นอะไรกัน แล้วผมจะตัดสินใจเอง ว่าควรจะบอกคุณไหม”
“ครอบครัวของเรารู้จักกัน เธอเป็นเหมือนน้องสาว”
แค่เหมือน? ก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ
“แล้วคุณจะอยากรู้เรื่องของผมกับเธอไปทำไม” สิตะถามเสียงห้วนไม่ยอมให้ แต่หมื่นอาสาก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ กลับกันสีหน้าของเขามีแค่ความหนักใจเท่านั้น
“ผมเป็นห่วงดาว”
“ห่วงทำไม ผมไม่เคยทำอะไรเธอ”
ชายหนุ่มผิวเข้มไม่ได้ตอบ แต่สายตาที่มองกลับมาเหมือนต้องการพูดว่า แล้วที่ผ่านมา... การที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาลครั้งแล้วครั้งเล่านั่นล่ะ
“เป็นคุณ คุณจะห่วงไหม”
คำถามที่ย้อนกลับทำให้สิตะนิ่งไป ยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “ห่วง...ยิ่งกว่าชีวิต”
“ผมไม่ได้มาเพื่อกีดกัดหรือจะมาตำหนิคุณ แต่ผมแค่ต้องการปกป้องคนในครอบครัวของผม ผมไม่อยากให้เธอเสียใจไปมากกว่านี้”
หมื่นอาสาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบาดลึกลงไปในใจของสิตะอยู่ดี
“ผมอยากดูแลเธอ” ชายหนุ่มในชุดคนไข้แต่สวมทับด้วยโค้ทตัวหนาเอ่ยเสียงเศร้า แต่จริงจังและจริงใจ คนฟังเองก็รับรู้ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“คุณจะได้ดูแลเธอ ถ้าปัญหาของคุณถูกจัดการเรียบร้อย”
เพราะพี่ชายไม่เคยบังคับ หนึ่งคำสั่งที่มีในยามนี้จึงทำให้ดาวประกายไม่รู้วิธีต่อต้าน หญิงสาวร่างบางที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล จึงได้แต่ส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายอีกคน หวังว่าเขาจะพยายาม ‘ยื้อ’ เวลาการอยู่ด้วยกันออกไป แต่สิตะที่รั้นกับคุณหมอว่าจะกลับที่พักพร้อมกับเธอกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง จนเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่า นี่เขา ‘รัก’ เธอจริงๆ หรือเปล่า
“ดาวขึ้นไปเก็บของนะ พี่จะรอข้างล่าง” หมื่นอาสาที่คอยประกบเธอไม่คลายสายตาเอ่ยออกมา ขณะก้าวเข้าโฮสเทล ดาวประกายพยายามอีกครั้งด้วยการหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ก้าวตามมาด้านหลัง แต่ยังไม่ทันจะส่งสัญญาณใดๆ กลุ่มคนที่นั่งรออยู่บนโซฟาก็ปราดเข้ามาหา
“คุณสิตะ ดาวประกาย เป็นยังไงกันบ้าง” พลัชเป็นคนแรกที่ร้องทัก ขณะที่ช่อชมพูซึ่งมีสีหน้าอ่อนเพลียและวิตกกังวลเดินเข้ามาช้าๆ
“สิ... เจ็บมากไหม”
“ดีขึ้นแล้ว” เขาตอบสั้นๆ ก่อนที่เทียนแก้วจะได้ถามบ้าง
“ดาวประกาย... คุณโอเคหรือเปล่า”
“โอเคค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณสิตะต่างหากที่โดนแทง หมอให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอีกคืนด้วยซ้ำ แต่เขาก็ดื้อจะออกมา เออ นี่พี่อิ่มค่ะ เป็นพี่ชายของฉัน ตามมาจากเมืองไทย จะมารับฉันกลับบ้าน” ประโยคหลังเธอเน้นเสียงดัง ถ้าตะโกนใส่หูบางคนได้ คงทำไปแล้ว
“ฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
“กลับไหนครับ” พลัชเอ่ยถาม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครตอบเขาหรือเปล่า เพราะคำถามก่อนยังเหมือนไม่มีใครได้ยิน
แต่เพราะคราวนี้มีดาวประกายเงยหน้ามองเพื่อรอฟังเหมือนกัน สิตะจึงตอบเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินกันถ้วนทั่วว่า
“ฉันจะกลับเมืองไทย”
เพราะหลังจากที่สิตะประกาศเช่นนั้น หมื่นอาสาก็มีอาการแปลกๆ จนจิลลาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร ในขณะที่เพื่อนไปเก็บกระเป๋า เธอที่ไม่มีสัมภาระอะไรมากมายจึงใช้เวลานั้นนัดพี่ชายข้างบ้านออกมาคุย แต่จังหวะที่เดินนำออกมายังระเบียงหน้าที่พัก สาวผิวเข้มก็ได้เห็นช่อชมพูกำลังยืนโทรศัพท์ท่าทางลับๆ ล่อๆ ด้วยหน้าที่ที่อนณไหว้วาน ทำให้เธอรีบเบิ่งตากว้าง กางหูผึ่งเพื่อสังเกต
“ว่าไงเรา มีอะไรจะคุยกับพี่” เสียงทุ้มต่ำจากหนุ่มชาวสวนผิวคร้ามแดด นอกจากจิลลาจะได้ยิน ‘เป้าหมาย’ ของเธอก็พลอยรู้ตัวไปด้วย
สาวผิวเข้มทำหน้าเซ็งเมื่อช่อชมพูหันมา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตัดบทและวางสายลงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวร่างบางระหงในชุดหรูพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนเดินคอตรงแน่วกลับเข้าไปในอาคาร จิลลามองตามอย่างแสนเสียดาย ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ข้างกายจะเอ่ยถามขึ้นอีก
“จูน มีอะไรหรือเปล่า”
คนที่พยายามทำตัวเป็นนักสืบถึงกับสะดุ้ง ก่อนรีบส่ายหน้า “เปล่าพี่ ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรแล้วเรียกพี่ออกมาทำไม หนาวนะเนี่ย ไม่คิดว่าเกาหลีจะหนาวขนาดนี้”
“แหม ก็นี่มันเกาหลีนะพี่อิ่ม ไม่ใช่สระบุรีบ้านเรา มันก็ต้องหนาวอย่างนี้แหละ”
“จูนคงชินแล้วสินะ มาอยู่ที่นี่หลายปี แต่พี่ว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะ ก่อนที่พี่จะแข็งตาย” เอ่ยจบหมื่นอาสาก็ทำท่าจะกลับไป จิลลาที่นึกขึ้นได้จึงรีบร้องห้าม
“เอ๊ย พี่อิ่ม เดี๋ยวๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“อ้าว ไหนบอกไม่มี”
“มีๆ มีเรื่องยายปลาดาว ทำไมอยู่ๆ พี่อิ่มก็รีบร้อนจะพามันกลับ พี่อิ่มก็เพิ่งมาถึงเองนะ จะรีบไปไหน”
“พี่ฟังเรื่องที่เราเล่าแล้ว พี่ไม่คิดว่าดาวควรอยู่ที่นี่”
“อ้าว.... นี่เพราะฉันอีกแล้วเหรอเนี่ย เอายังไงดี คืออย่างนี้นะพี่อิ่ม ตอนนั้นน่ะ ฉันโทรไปหาพี่ตอนหงุดหงิดไง พี่ก็รู้ใช่ไหมคนหงุดหงิดพูดจาอะไรมา คนฟังก็ต้องบวกลบคูณหารดีๆ เพราะว่ามันจะใส่อารมณ์เยอะกว่าความจริง ฉันก็เป็นแบบนั้นแหละ พี่อิ่มอย่าถือสาเลยนะ”
“พี่ไม่ได้ถือสาแต่พี่เป็นห่วง แล้วสิ่งที่พี่เห็นวันนี้ ก็ยิ่งทำให้พี่ไม่สบายใจ.... อยู่ที่นี่ดาวไม่ปลอดภัยเลย”
“ก็จริง แต่ว่า...เอิ่ม ยังไงดีล่ะ พี่อิ่มพอดูออกใช่ไหม ว่าพี่เสือ... คุณสิตะนั่นแหละกับยายปลาดาวของเรามันคิดอะไรกัน”
“นั่นแหละ ที่พี่ยิ่งห่วง”
“ทำไมอ่ะ พี่อิ่มไม่ชอบเขาเหรอ”
หมื่นอาสานิ่งคิดเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสม ก่อนสุดท้ายเขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พี่เป็นห่วง”
“ห่วงอีกล่ะ พี่อิ่มห่วงปลาดาวมันจังเลย มันโตแล้วนะพี่ ปล่อยๆ มันบ้างเถอะ ถึงพี่เสือจะมีศัตรู แต่ก็ให้เขาดูแลกันเองไหม คือไม่ใช่ฉันไม่ห่วงมันนะ แต่ท่าทางของพี่ตอนนี้มันเหมือนกีดกันอ่ะ แบบไม่อยากให้ปลาดาวติดต่อ ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกัน ทำไมอ่ะพี่ ทำไมถึงไม่ชอบพี่เสือ”
“ถึงพี่จะไม่รู้จักคุณสิตะเป็นการส่วนตัว แต่พี่ก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้าย พี่ไม่ได้เกลียด ไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่พี่อยากให้เขาเคลียร์ปัญหาของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน เพราะลุงดำฝากฝังดาวไว้กับพี่ พี่จึงต้องดูแลดาวให้ดีที่สุด พี่ไม่อยากให้ดาวเสียใจ”
หมื่นอาสาอธิบายด้วยเหตุผล ทำให้จิลลาไม่รู้จะแย้งอย่างไรเลยได้แต่ถอนหายใจ
“กีดกันคนรักกัน มันก็ทำให้เสียใจได้นะ... แต่เอาเถอะ ในเมื่อพี่อิ่มตัดสินใจจะทำอย่างนี้ ฉันจะว่าอะไรได้ ฉันไปเก็บกระเป๋ากลับโซลบ้างดีกว่า ไปล่ะนะ” จิลลาตัดบทก่อนเดินจากไป และเมื่อสาวผิวเข้มลับเข้าประตูกระจกไปแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามเข้มก็ผ่อนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะดังขึ้นพอดี
“อืม... ว่าไงเอิบ” หมื่นอาสาทักทายพันพิทักษ์...น้องชายที่โทรเข้ามาอย่างรู้จังหวะ ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจนปลายสายทางเมืองไทยสัมผัสได้
“เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วปลาดาวปลอดภัยไหม”
“ปลอดภัย แต่ไม่น่าไว้ใจ”
“ทำไม หรือเพราะผู้ชายคนนั้น” ตำรวจหนุ่มถามเร็วตามนิสัยคนใจร้อน ขณะที่ชายตอบสั้นๆ
“อืม...”
“ดาวไม่รู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร”
“ไม่รู้”
“แล้วนายไม่คิดจะบอกหรือไง”
“ไม่รู้จะบอกเพื่ออะไร”
“ก็บอกให้เตรียมใจไง ยังไงปลาดาวก็ควรจะได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่”
“ดาวรักไปแล้วนะ แล้วฉันจะพูดได้ไงล่ะว่าเขาเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีก่อน”
“ยิ่งมันรักก็ต้องยิ่งบอก นายจะให้น้องมันรู้ทีหลังได้ไง” พันพิทักษ์ว่า ซึ่งทำให้หมื่นอาสาหนักใจกว่าเก่า
“ถ้าคุณสิตะไม่ได้เป็นคนขับรถคันนั้น ถ้าลุงดำไม่ได้เสีย ฉันคงไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้....”
“แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องให้ปลาดาวเป็นคนตัดสินใจ” ปลายทางทิ้งท้าย ก่อนที่หนุ่มชาวสวนจะวางสายลงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
และเพราะจมอยู่กับความคิดตัวเอง ทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนในบริเวณนั้นแอบฟังอยู่
-------------------------
ปริศนาเริ่มคลี่คลายแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
“ก็ตอนที่ฉันรู้ว่าแกหลอกฉัน ฉันก็โกรธใช่ไหม ฉันไม่รู้จะระบายกับใคร ก็เลยโทรไปเล่าให้พี่อิ่มฟังหมดเลย”
จิลลาสารภาพหน้าจ๋อย หลังการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของหมื่นอาสา ทำให้ดาวประกายต้องรีบลากเพื่อนออกมาเจรจา ด้วยการอ้างกับคนอื่นว่าจะมาเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอกห้องพักสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน
“มิน่าแกถึงหายโกรธฉันไว แล้วแกไปเล่าว่าอะไร ทำไมพี่อิ่มถึงลงทุนตามมาด้วยตัวเอง แถมยังบอกว่าจะมารับฉันกลับบ้านอีก”
“ก็เล่าทุกอย่าง ฉันจำไม่ได้หรอก แต่ก็ทุกอย่างนั่นแหละ ตอนแรกพี่อิ่มก็ไม่ว่าอะไร ถามว่าผู้ชายสองคนนั้นเป็นใคร ฉันก็บอกเท่าที่ฉันรู้ คนหนึ่งชื่อสิตะ อีกคนชื่ออนณ แล้วพี่อิ่มก็บอกว่าเขาจะจัดการเอง ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่อิ่มจะตามมา อยู่ๆ เมื่อตอนตีห้าก็โทรมาบอกว่าถึงอินชอนแล้ว แล้วพอฉันบอกว่าฉันไม่ได้อยู่ที่โซล เขาก็นั่งบัสรอบแรกตามมาถึงนี่เลย สงสัยจะเป็นห่วงแกมาก แกก็ไม่น่าเรียกฉันออกมาคุยแบบนี้ น่าจะทำตัวปกติๆ เขาจะได้คิดว่าไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรยังไง นอนอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ พี่อิ่มก็ต้องรู้แล้วล่ะว่ามีอะไร แล้วฉันจะทำยังไง ฉันยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้หรอกนะ”
“แกก็อ้อนพี่อิ่มสิ พี่อิ่มใจดีจะตาย ไม่เคยขัดใจแกอยู่แล้ว”
นั่นเป็นความจริงตลอดมา จนกระทั่งเธอได้เห็นสายตาของพี่ชายข้างบ้านเมื่อครู่นั่นแหละ... ตึงเครียด จริงจังที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ แล้วอย่างนี้เธอจะกล้าพูดอะไรอีกเล่า
“เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า ปล่อยให้พี่อิ่มอยู่กับคุณสิตะ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
แล้วคนที่ลากเพื่อนออกมาก็รีบร้อนเดินนำกลับเข้าไป แต่แล้วสาวร่างบางก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเพียงเตียงที่ว่างเปล่า
“คุณสิตะออกไปคุยกับหมอน่ะครับ” อนณที่ยืนรออยู่เอ่ยอย่างอ่านความคิดเธอออก สาวร่างบางขมวดคิ้ว ก่อนที่เพื่อนจะถามในสิ่งที่เธอเองก็สงสัย
“แล้วพี่อิ่มล่ะ”
“ไปกับคุณสิตะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไร จิลลาพยักหน้า ขณะที่ดาวประกายรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
สวนหย่อมขนาดย่อมด้านข้างของโรงพยาบาล อาบด้วยแสงทองแห่งรุ่งอรุณ แต่กระนั้นก็ยังร้างผู้คน เพราะอากาศที่เหน็บหนาวและหิมะที่ยังเกลื่อนพื้น
ชายหนุ่มที่เพิ่งโดนแทงแต่ปฏิเสธจะนั่งรถเข็นก้าวย่างอย่างช้าๆ โดยมีผู้ชายร่างสูงใหญ่พอกันในเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินเข้มเดินอยู่ข้างๆ เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดอะไร ในที่สุดสิตะก็ทนไม่ไหว
“คุณขอให้ผมออกมาคุยด้วย มีธุระอะไรหรือครับ” ลงท้ายด้วยคำสุภาพแต่น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้าง สายตาคมกริบที่มองอีกฝ่ายก็เป็นไปอย่างสังเกต
นอกจากรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กันที่น่าจะได้มาจากการทำงานใช้กำลังกลางแจ้ง ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น อีกทั้งหน้าตาคมเข้มแบบชาติไทย ดูอย่างไรก็ไม่มีเค้าโครงเดียวกับดาวประกาย
เรียกว่าพี่... เป็นพี่แบบไหนกันแน่
“ผมได้ยินเรื่องของคุณจากจูน เลยอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับน้องสาวของผม” หมื่นอาสาถามตรงๆ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้า ทำให้สิตะเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกผมก่อนว่าคุณกับดาวประกายเป็นอะไรกัน แล้วผมจะตัดสินใจเอง ว่าควรจะบอกคุณไหม”
“ครอบครัวของเรารู้จักกัน เธอเป็นเหมือนน้องสาว”
แค่เหมือน? ก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ
“แล้วคุณจะอยากรู้เรื่องของผมกับเธอไปทำไม” สิตะถามเสียงห้วนไม่ยอมให้ แต่หมื่นอาสาก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ กลับกันสีหน้าของเขามีแค่ความหนักใจเท่านั้น
“ผมเป็นห่วงดาว”
“ห่วงทำไม ผมไม่เคยทำอะไรเธอ”
ชายหนุ่มผิวเข้มไม่ได้ตอบ แต่สายตาที่มองกลับมาเหมือนต้องการพูดว่า แล้วที่ผ่านมา... การที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาลครั้งแล้วครั้งเล่านั่นล่ะ
“เป็นคุณ คุณจะห่วงไหม”
คำถามที่ย้อนกลับทำให้สิตะนิ่งไป ยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “ห่วง...ยิ่งกว่าชีวิต”
“ผมไม่ได้มาเพื่อกีดกัดหรือจะมาตำหนิคุณ แต่ผมแค่ต้องการปกป้องคนในครอบครัวของผม ผมไม่อยากให้เธอเสียใจไปมากกว่านี้”
หมื่นอาสาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบาดลึกลงไปในใจของสิตะอยู่ดี
“ผมอยากดูแลเธอ” ชายหนุ่มในชุดคนไข้แต่สวมทับด้วยโค้ทตัวหนาเอ่ยเสียงเศร้า แต่จริงจังและจริงใจ คนฟังเองก็รับรู้ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“คุณจะได้ดูแลเธอ ถ้าปัญหาของคุณถูกจัดการเรียบร้อย”
เพราะพี่ชายไม่เคยบังคับ หนึ่งคำสั่งที่มีในยามนี้จึงทำให้ดาวประกายไม่รู้วิธีต่อต้าน หญิงสาวร่างบางที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล จึงได้แต่ส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายอีกคน หวังว่าเขาจะพยายาม ‘ยื้อ’ เวลาการอยู่ด้วยกันออกไป แต่สิตะที่รั้นกับคุณหมอว่าจะกลับที่พักพร้อมกับเธอกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง จนเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่า นี่เขา ‘รัก’ เธอจริงๆ หรือเปล่า
“ดาวขึ้นไปเก็บของนะ พี่จะรอข้างล่าง” หมื่นอาสาที่คอยประกบเธอไม่คลายสายตาเอ่ยออกมา ขณะก้าวเข้าโฮสเทล ดาวประกายพยายามอีกครั้งด้วยการหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ก้าวตามมาด้านหลัง แต่ยังไม่ทันจะส่งสัญญาณใดๆ กลุ่มคนที่นั่งรออยู่บนโซฟาก็ปราดเข้ามาหา
“คุณสิตะ ดาวประกาย เป็นยังไงกันบ้าง” พลัชเป็นคนแรกที่ร้องทัก ขณะที่ช่อชมพูซึ่งมีสีหน้าอ่อนเพลียและวิตกกังวลเดินเข้ามาช้าๆ
“สิ... เจ็บมากไหม”
“ดีขึ้นแล้ว” เขาตอบสั้นๆ ก่อนที่เทียนแก้วจะได้ถามบ้าง
“ดาวประกาย... คุณโอเคหรือเปล่า”
“โอเคค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณสิตะต่างหากที่โดนแทง หมอให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอีกคืนด้วยซ้ำ แต่เขาก็ดื้อจะออกมา เออ นี่พี่อิ่มค่ะ เป็นพี่ชายของฉัน ตามมาจากเมืองไทย จะมารับฉันกลับบ้าน” ประโยคหลังเธอเน้นเสียงดัง ถ้าตะโกนใส่หูบางคนได้ คงทำไปแล้ว
“ฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
“กลับไหนครับ” พลัชเอ่ยถาม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครตอบเขาหรือเปล่า เพราะคำถามก่อนยังเหมือนไม่มีใครได้ยิน
แต่เพราะคราวนี้มีดาวประกายเงยหน้ามองเพื่อรอฟังเหมือนกัน สิตะจึงตอบเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินกันถ้วนทั่วว่า
“ฉันจะกลับเมืองไทย”
เพราะหลังจากที่สิตะประกาศเช่นนั้น หมื่นอาสาก็มีอาการแปลกๆ จนจิลลาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร ในขณะที่เพื่อนไปเก็บกระเป๋า เธอที่ไม่มีสัมภาระอะไรมากมายจึงใช้เวลานั้นนัดพี่ชายข้างบ้านออกมาคุย แต่จังหวะที่เดินนำออกมายังระเบียงหน้าที่พัก สาวผิวเข้มก็ได้เห็นช่อชมพูกำลังยืนโทรศัพท์ท่าทางลับๆ ล่อๆ ด้วยหน้าที่ที่อนณไหว้วาน ทำให้เธอรีบเบิ่งตากว้าง กางหูผึ่งเพื่อสังเกต
“ว่าไงเรา มีอะไรจะคุยกับพี่” เสียงทุ้มต่ำจากหนุ่มชาวสวนผิวคร้ามแดด นอกจากจิลลาจะได้ยิน ‘เป้าหมาย’ ของเธอก็พลอยรู้ตัวไปด้วย
สาวผิวเข้มทำหน้าเซ็งเมื่อช่อชมพูหันมา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตัดบทและวางสายลงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวร่างบางระหงในชุดหรูพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนเดินคอตรงแน่วกลับเข้าไปในอาคาร จิลลามองตามอย่างแสนเสียดาย ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ข้างกายจะเอ่ยถามขึ้นอีก
“จูน มีอะไรหรือเปล่า”
คนที่พยายามทำตัวเป็นนักสืบถึงกับสะดุ้ง ก่อนรีบส่ายหน้า “เปล่าพี่ ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรแล้วเรียกพี่ออกมาทำไม หนาวนะเนี่ย ไม่คิดว่าเกาหลีจะหนาวขนาดนี้”
“แหม ก็นี่มันเกาหลีนะพี่อิ่ม ไม่ใช่สระบุรีบ้านเรา มันก็ต้องหนาวอย่างนี้แหละ”
“จูนคงชินแล้วสินะ มาอยู่ที่นี่หลายปี แต่พี่ว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะ ก่อนที่พี่จะแข็งตาย” เอ่ยจบหมื่นอาสาก็ทำท่าจะกลับไป จิลลาที่นึกขึ้นได้จึงรีบร้องห้าม
“เอ๊ย พี่อิ่ม เดี๋ยวๆ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“อ้าว ไหนบอกไม่มี”
“มีๆ มีเรื่องยายปลาดาว ทำไมอยู่ๆ พี่อิ่มก็รีบร้อนจะพามันกลับ พี่อิ่มก็เพิ่งมาถึงเองนะ จะรีบไปไหน”
“พี่ฟังเรื่องที่เราเล่าแล้ว พี่ไม่คิดว่าดาวควรอยู่ที่นี่”
“อ้าว.... นี่เพราะฉันอีกแล้วเหรอเนี่ย เอายังไงดี คืออย่างนี้นะพี่อิ่ม ตอนนั้นน่ะ ฉันโทรไปหาพี่ตอนหงุดหงิดไง พี่ก็รู้ใช่ไหมคนหงุดหงิดพูดจาอะไรมา คนฟังก็ต้องบวกลบคูณหารดีๆ เพราะว่ามันจะใส่อารมณ์เยอะกว่าความจริง ฉันก็เป็นแบบนั้นแหละ พี่อิ่มอย่าถือสาเลยนะ”
“พี่ไม่ได้ถือสาแต่พี่เป็นห่วง แล้วสิ่งที่พี่เห็นวันนี้ ก็ยิ่งทำให้พี่ไม่สบายใจ.... อยู่ที่นี่ดาวไม่ปลอดภัยเลย”
“ก็จริง แต่ว่า...เอิ่ม ยังไงดีล่ะ พี่อิ่มพอดูออกใช่ไหม ว่าพี่เสือ... คุณสิตะนั่นแหละกับยายปลาดาวของเรามันคิดอะไรกัน”
“นั่นแหละ ที่พี่ยิ่งห่วง”
“ทำไมอ่ะ พี่อิ่มไม่ชอบเขาเหรอ”
หมื่นอาสานิ่งคิดเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสม ก่อนสุดท้ายเขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พี่เป็นห่วง”
“ห่วงอีกล่ะ พี่อิ่มห่วงปลาดาวมันจังเลย มันโตแล้วนะพี่ ปล่อยๆ มันบ้างเถอะ ถึงพี่เสือจะมีศัตรู แต่ก็ให้เขาดูแลกันเองไหม คือไม่ใช่ฉันไม่ห่วงมันนะ แต่ท่าทางของพี่ตอนนี้มันเหมือนกีดกันอ่ะ แบบไม่อยากให้ปลาดาวติดต่อ ไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยวกัน ทำไมอ่ะพี่ ทำไมถึงไม่ชอบพี่เสือ”
“ถึงพี่จะไม่รู้จักคุณสิตะเป็นการส่วนตัว แต่พี่ก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้าย พี่ไม่ได้เกลียด ไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่พี่อยากให้เขาเคลียร์ปัญหาของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน เพราะลุงดำฝากฝังดาวไว้กับพี่ พี่จึงต้องดูแลดาวให้ดีที่สุด พี่ไม่อยากให้ดาวเสียใจ”
หมื่นอาสาอธิบายด้วยเหตุผล ทำให้จิลลาไม่รู้จะแย้งอย่างไรเลยได้แต่ถอนหายใจ
“กีดกันคนรักกัน มันก็ทำให้เสียใจได้นะ... แต่เอาเถอะ ในเมื่อพี่อิ่มตัดสินใจจะทำอย่างนี้ ฉันจะว่าอะไรได้ ฉันไปเก็บกระเป๋ากลับโซลบ้างดีกว่า ไปล่ะนะ” จิลลาตัดบทก่อนเดินจากไป และเมื่อสาวผิวเข้มลับเข้าประตูกระจกไปแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามเข้มก็ผ่อนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงจะดังขึ้นพอดี
“อืม... ว่าไงเอิบ” หมื่นอาสาทักทายพันพิทักษ์...น้องชายที่โทรเข้ามาอย่างรู้จังหวะ ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจนปลายสายทางเมืองไทยสัมผัสได้
“เป็นยังไงบ้าง ทางนั้นเรียบร้อยดีหรือเปล่า แล้วปลาดาวปลอดภัยไหม”
“ปลอดภัย แต่ไม่น่าไว้ใจ”
“ทำไม หรือเพราะผู้ชายคนนั้น” ตำรวจหนุ่มถามเร็วตามนิสัยคนใจร้อน ขณะที่ชายตอบสั้นๆ
“อืม...”
“ดาวไม่รู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร”
“ไม่รู้”
“แล้วนายไม่คิดจะบอกหรือไง”
“ไม่รู้จะบอกเพื่ออะไร”
“ก็บอกให้เตรียมใจไง ยังไงปลาดาวก็ควรจะได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่”
“ดาวรักไปแล้วนะ แล้วฉันจะพูดได้ไงล่ะว่าเขาเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีก่อน”
“ยิ่งมันรักก็ต้องยิ่งบอก นายจะให้น้องมันรู้ทีหลังได้ไง” พันพิทักษ์ว่า ซึ่งทำให้หมื่นอาสาหนักใจกว่าเก่า
“ถ้าคุณสิตะไม่ได้เป็นคนขับรถคันนั้น ถ้าลุงดำไม่ได้เสีย ฉันคงไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้....”
“แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องให้ปลาดาวเป็นคนตัดสินใจ” ปลายทางทิ้งท้าย ก่อนที่หนุ่มชาวสวนจะวางสายลงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
และเพราะจมอยู่กับความคิดตัวเอง ทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนในบริเวณนั้นแอบฟังอยู่
-------------------------
ปริศนาเริ่มคลี่คลายแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 เม.ย. 2556, 00:18:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 เม.ย. 2556, 00:18:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1332
<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 19 | ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 27 >> |
goldensun 24 เม.ย. 2556, 17:21:03 น.
จะดราม่าแล้วแน่เลย รถที่สิตะขับ ทำให้พ่อดาวตาย ว่าแต่ ใครแอบได้ยินกันล่ะ
จะดราม่าแล้วแน่เลย รถที่สิตะขับ ทำให้พ่อดาวตาย ว่าแต่ ใครแอบได้ยินกันล่ะ