หนึ่งรักเหนือรุ้ง
เหนือฟ้า.... เออีสาวแสนสวยแห่งบริษัทโฆษณาปั้นคิด พยายามหาเงินทุกวิถีทางเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ให้แม่ หลังโดนคุณป้ามหาประลัยตามราวีทุกวัน ร้อยเล่ห์มารยาถูกนำมาใช้เพื่อดึงดูดใจลูกค้า แต่ทว่า... เิงินก้อนโตที่เธอควรจะได้รับ กลับถูกใครบางคนขัดขวาง แถมจองล้างจองผลาญไม่ยอมให้เธอไปจากบ้านของเขา

แล้วเธอจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อเขาเป็นทั้งเจ้านาย และอดีตพี่ชายที่เคยทำให้เธออกหัก การแข่งขันเพื่อชิงชัยแบบไม่มีใครยอมใครจึงเริ่มต้นขึ้น

งานนี้ไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะแพ้ใจตัวเองก่อน มาร่วมลุ้นกัน ^^


Tags: เหนือฟ้า , เพลงรัก , ชินชนะ , รัก , กุ๊กกิ๊ก

ตอน: บทที่ สิบสอง+สิบสาม : ปฏิบัติการ

ณ ลานกว้างหน้าอาคารเรียนของคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาวหน้าหมวยในชุดนักศึกษายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ และเมื่อเห็นเด็กสาวร่างบางคนหนึ่งในเครื่องแบบเดียวกัน... เสื้อสีขาว กระโปรงพลีท และรองเท้าเปปเปอร์มิ้นต์ กำลังเดินลงมาจากบันไดตึก เธอก็เอ่ยกับปลายสายทันที

“มาแล้ว”

“โอเค ขอบใจมากนะจีน”

“เดี๋ยวพี่หนึ่ง จะเอาอย่างนี้จริงๆ เหรอ” จินดาร้องถามก่อนพี่ชายจะวางสาย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบโดยไม่ต้องคิด

“จริง”

เด็กสาวเลยได้แต่ถอนหายใจเบาๆ... เมื่อเขาขอให้ช่วย เธอก็ยินดีจะช่วย แม้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของเขาเท่าไร เธอส่ายหน้า สุดท้ายก็เอ่ยสั้นๆ

“พี่หนึ่งโตแล้ว มีวุฒิภาวะมากกว่าจีน รู้นะคะว่ากำลังทำอะไรอยู่”



รู้สิ เขารู้ดีเลยล่ะว่ากำลังทำอะไร

เมื่อเห็นเด็กสาวร่างบอบบางที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท กำลังจะก้าวข้ามถนนในมหาวิทยาลัย เขาที่หลบอยู่ไม่ไกลก็รู้ดีว่าควรทำอะไรต่อ เขาสั่งให้คนขับเร่งเครื่องมอเตอร์ไซต์ไปปาดหน้า เฉียดฉิวชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะจอดลงใกล้ๆ เธอไม่ได้กรีดร้องด้วยความตกใจ มีเพียงผงะถอยไปเท่านั้น ขณะที่เขารีบก้าวลงมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขารีบถามด้วยความห่วงใย แต่เธอก็ไม่ได้ตอบ มีเพียงแต่ปรายมองคนตัวสูงกว่าด้วยหางตาเท่านั้น “ขอโทษจริงๆ พี่รีบมาก”

เธอยังคงปิดปากเงียบ ก่อนจะทำท่าเดินหนี ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยต่อ

“น้องครับ โทษทีนะ พอมีเงิน 35 ให้พี่ยืมไหม พี่ทำกระเป๋าตังค์หาย ไม่มีเงินจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซต์”

เด็กสาวชะงัก นิ่งไปอึดใจ แต่ก็ยกเท้าเตรียมจะเดินไปอีกครั้ง เขาจึงต้องก้าวไปขวางเอาไว้

“35 เองนะ ขอยืมหน่อย พี่รีบจริงๆ”

คิ้วบางของเธอขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเล็กเรียวบูดบึ้งด้วยความหงุดหงิด แต่สุดท้าย เมื่อหลบทางนั้นทีทางนี้ทีแล้วยังหนีคนตามตื้อไม่พ้น เธอก็ควักกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าหนังแบรนด์เนมขึ้นมา หยิบแบงค์ร้อยส่งให้อย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มรับมาแล้วยื่นให้วินมอเตอร์ไซต์ที่เตรียมตังค์ทอนไว้พร้อมราวกับรู้ล่วงหน้า แล้วเขาก็หันกลับมาหาก่อนที่เธอสาวเท้าหนีได้ทัน

“ขอบคุณมากนะครับ แล้วอย่างนี้พี่จะคืนเงินได้ยังไง”

ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงกระแทกลมหายใจ เขารู้ว่าเธอกำลังหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด

“ขอเบอร์ได้ไหม พี่มีเงินเมื่อไรจะได้นัดวันมาคืน”

คราวนี้เธอไม่ได้ยืนนิ่ง หากแต่ชำเลืองตาขึ้นมามอง วินาทีนั้นเอง ที่ชินชนะเข้าใจเลยว่ากิ้งกือไส้เดือนรู้สึกเช่นไร ต่ำต้อยด้อยค่า น่ารังเกียจขนาดไหน สายตาของเด็กสาว... อิงตะวัน ลูกสาวคนเดียวของอิสระ แม้จะยังไม่คมกริบเท่าบิดา แต่ก็เชื่อว่าในไม่ช้า คงฆ่าคนให้ตายได้สบาย

มิน่า ผู้เป็นพ่อถึงต้องคิดบททดสอบประหลาดๆ นี้ขึ้น อาการของอิงตะวันน่าเป็นห่วงจริงๆ

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษาที่ไปหาซื้อเมื่อเช้า กับผมทรงใหม่ที่ตัดสั้นทำให้หน้าดูเด็กลงมาก ยอมให้ ‘เป้าหมาย’ สะบัดผมสีดำขลับที่ยาวประบ่าใส่ แล้วกระแทกส้นเท้าผ่านหน้าไปโดยไม่รั้งใดๆ ไว้อีก

สำหรับการเริ่มต้น เท่านี้ก็เพียงพอ

เขารู้แล้วว่าเธอไม่ธรรมดา เย็นชายิ่งกว่ากิตติศัพท์ที่ได้ยิน แต่ทว่า ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเยียวยาไม่ได้ การที่เธอให้เงินแก่เขา แม้จะทำไปเพื่อตัดรำคาญ แต่เขาก็มองเห็นน้ำใจที่ซ่อนอยู่ลึกมากๆ ในใจเธอ

เขาคิดว่าเขาจัดการได้

ชินชนะพยักหน้ากับตัวเองด้วยความหมายมั่น ในหัวกำลังร่างแผนการขั้นต่อไป แต่แล้วก็อดคิดไปถึงคู่แข่งคนสำคัญไม่ได้

ขณะที่เขามาหลอกเด็กอยู่อย่างนี้ แม่น้องสาวตัวดีของเขาลงมือทำสิ่งใดอยู่



“คุณหนูกลับมาแล้ว....”

หญิงวัยกลางคนร่างอวบอ้วนในเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวกับกระโปรงผ้าซิ่นสีน้ำเงินเอ่ยเสียงดัง หลังเห็นรถเบนซ์คันหรูแล่นผ่านประตูเหล็กบานใหญ่เข้ามา ก่อนที่จะถึงบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ความชุลมุนเล็กๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อคนงานทุกคนต้องละมือจากกิจกรรมที่ทำอยู่ แล้วปรี่เข้ามาประจำที่บริเวณโถงติดประตู

และเมื่อร่างเล็กบอบของเด็กสาวในชุดนักศึกษาที่ก้าวลงจากรถเรียบร้อย เดินขึ้นบันไดมา เสียงทักทายของทุกคนก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“สวัสดีค่ะคุณหนูอิง”

เป็นหน้าที่ที่ต้องเอ่ย‘แค่นั้น’ แต่วันนี้กลับมีอีกเสียงแหลมต่อขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“กลับมาแล้วเหรอคะคุณหนูอิง”

‘คุณหนูอิง’ หันขวับไปมองต้นเสียง คิ้วบางขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ ขณะคนรับใช้คนอื่นต่างกลืนน้ำลายเฮือก

“ป้าอำไพ ที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้รับคนตาบอดเข้ามาทำงาน”

อิงตะวันเอ่ยชื่ออำไพ... หญิงวัยกลางคนหัวหน้าแม่บ้านซึ่งรับผิดชอบดูแลทุกอย่างภายในคฤหาสน์หลังนี้ แต่สายตากลับจ้องเขม็งไปยังคนที่เสนอหน้าทักทาย ทำเอาหญิงสาวร่างบางที่สวมเสื้อผ้าเชยๆ แบบเดียวกับคนอื่นถึงกับอึ้ง ที่ได้ยินมาคือลูกสาวของอิสระชอบเก็บตัว ไม่พูดไม่สุงสิงกับใคร แล้ววาจาก้าวร้าวรุนแรงเหล่านี้เพิ่มมาจากไหน

“ขอโทษค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าจะอบรมเองค่ะ คุณหนูไปพักผ่อนก่อนนะคะ” อำไพเอ่ยอย่างเอาใจ คุณหนูของบ้านเบ้ปากก่อนเชิดหน้าขึ้นบันไดหินอ่อนขนาดกว้างขึ้นไปยังชั้นบน และทันทีที่เสียงประตูห้องพักส่วนตัวถูกกระแทกลงอย่างแรง เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากทุกคนก็ดังขึ้นเกือบจะนาทีเดียวกัน

“คิดว่าจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกเสียแล้ว”

“ใช่ ตอนที่คุณหนูหันมา คิดว่าไม่รอดแน่งานนี้”

“กล้ามากนะที่ไปพูดอย่างนั้น ไม่รู้ฤทธิ์คุณหนูอิงซะแล้ว”

ใครหลายคนพลัดกันเอ่ย ก่อนวงสนทนาจะแตกเมื่ออำไพแทรกขึ้น

“พอได้แล้ว พูดมากกันจริง มีงานอะไรก็ไปทำสิ” หัวหน้าแม่บ้านว่าเสียงเข้ม ก่อนจะหันมาตำหนิเด็กใหม่ “ฉันบอกกฎในบ้านนี้ไปแล้วใช่ไหม ห้ามพูดอะไรมากกว่าที่คุณหนูถาม มีเรื่องอะไรจะเรียนให้คุณหนูทราบต้องบอกผ่านฉัน และถ้าคุณหนูไม่เรียก ก็ไม่มีสิทธิ์เสนอหน้าไปยุ่ง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมไม่รู้จักจำนะ”

ทำไมจะไม่จำ แต่มันทำไม่ได้ต่างหาก เธอไม่ได้ขอร้องอิสระเพื่อมาเป็นคนรับใช้ใคร ตำแหน่งพี่เลี้ยงคนสนิทต่างหากที่เธอระบุ แล้วจะให้เธอมาเชื่อฟังคอยทำตามคำสั่งของหัวหน้าแม่บ้านเนี่ยนะ เมินเสียเถอะ

“คุณหนูอิงเป็นอย่างนี้เสมอเลยเหรอคะ”

หญิงสาวที่ลงทุนแปลงโฉมขนานใหญ่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพื่องานนี้ เธอถึงกับโกรกผมดำสนิท แล้วมวยไว้กลางศีรษะเหมือนครูอาวุโสที่สอนภาษาไทยตอนมัธยม แถมยังไม่เขียนคิ้ว ไม่ติดขนตา ไม่กรีดอายลายเนอร์ และไม่ปัดบลัชออน (แต่ขอทารองพื้นอ่อนๆ ป้องกันหน้ามันสักหน่อย) เธอยอมสลัดคราบเหนือฟ้า เออีสาวสุดมั่น ไปเป็น ’น้อยหน่า’ ยายหน้าจืดแต่งตัวเฉิ่ม ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องหาทางใกล้ชิดอิงตะวันให้จงได้

“ไม่ใช่หน้าที่ของหล่อนที่ต้องยุ่ง”

“แต่ฉันสมัครมาเป็นพี่เลี้ยงคุณหนูอิง คุณอิสระไม่ได้บอกคุณหัวหน้าแม่บ้านเหรอคะ”

“หน้าที่ดูแลคุณหนู ฉันเป็นคนจัดการเอง หล่อนอย่าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเส้นที่คุณอิสระฝากมาแล้วจะมายุ่งย่ามอะไรในบ้านนี้ได้ ที่นี่ไม่มีพี่เลี้ยง มีแต่คนรับใช้ ถ้าไม่เข้าใจก็ลาออกไปซะ” อำไพกระแทกเสียงตอบด้วยความไม่พอใจ ทำเอาเหนือฟ้าอดขุ่นเคืองไม่ได้ เธอว่าเธอก็ถามดีๆ แล้วนะ

“ดุจังเลยนะคะคุณหัวหน้าแม่บ้าน ไม่รู้เพราะว่าคุณดุอย่างนี้หรือเปล่า คุณหนูเลยเลียนแบบ”

“หล่อนหมายความว่ายังไง”

“คุณหัวหน้าแม่บ้านอยากรู้จริงๆ หรือแค่ถามเพราะอยากหาเรื่องล่ะคะ ถ้าต้องการเหตุผล เพื่อเอาไปคิด ไปวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ ฉันก็พอจะอธิบายให้ฟังได้ แต่ถ้าต้องการฟังเพราะอยากรู้ว่าฉันหลอกด่าคุณหรือเปล่า ฟังด้วยอคติ ฉันขออนุญาตไม่พูดไม่ตอบอะไรก็แล้วกันนะคะ ฉันเพิ่งมาใหม่ ยังไม่อยากมีเรื่องกับใคร”

“นี่หล่อน!!!” อำไพขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ เธอไม่เคยเจอเด็กคนไหนยอกย้อนขนาดนี้ อยากจะต่อว่าด้วยความโกรธ แต่เมื่อสายตาเหลือบเห็นว่าเด็กรับใช้คนอื่นในบ้านกำลังแอบดูอยู่ หลังเสาบ้าง หลังประตูบ้าง เธอก็เปลี่ยนเป็นตำหนิตามประสาคนที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิสูงกว่า “ถ้าหล่อนทำตัวให้ปกติ ก็จะไม่มีเรื่องกับใคร อยู่ที่นี่ ก็เคารพเชื่อฟังฉัน ปฏิบัติตามกฎ อย่าก่อเรื่องอะไรอีก อย่าให้ฉันต้องเตือนหล่อนเป็นครั้งที่สอง เพราะต่อให้เป็นเด็กที่เพื่อนคุณอิสระฝากมา แต่ถ้าความประพฤติแย่ ฉันก็มีสิทธิ์จะไล่ออกได้”

อำไพเอ่ยจบก็สะบัดหน้าหนีไป เหนือฟ้าย่นหน้าไล่หลัง แต่ยังไม่ทันทำอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือที่เหน็บไว้ตรงเอวก็ดังขึ้นพอดี

ไม่ใช่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ หากเป็นโทรศัพท์เครื่องเล็กราคาถูกแบบไร้ระบบสัมผัส แต่บนหน้าจอก็บอกชัดได้เหมือนกันว่าใครโทรมา นางสาวน้อยหน่าลังเลว่าจะรับดีไหม แต่สุดท้ายเธอก็กดและกรอกเสียงหวานลงไป

“สวัสดีค่ะคุณก้อง”



ตอนว่างๆ ไม่ยักจะโทรมานัด ก้องพิภพช่างเลือกวันเวลาได้เหมาะเหม็งอะไรอย่างนี้

เหนือฟ้าแอบประชดในใจ ขณะย่องออกมาทางประตูหลังของคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่ให้สายตาสัปปะรดของหัวหน้าแม่บ้านสังเกตเห็นได้ อาศัยความมืดของเงาไม้พลางกาย หลบๆ ซ่อนๆ ราวกับนักโจรกรรม อาศัยวาทศิลป์เล็กน้อย ในการตอบคำถามกับยามหน้าประตู ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปยังรถญี่ปุ่นที่จอดแอบอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้าน จัดการแปลงร่างด้วยวิชาขั้นสูงภายในรถคันเล็ก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ใบหน้ารูปหัวใจก็สวยพริ้งด้วยเครื่องสำอาง ร่างบางสวมใส่มินิเดรสเลื่อมสีม่วง ที่เผยท่อนขาขาวเนียนตามแบบฉบับ โดยไม่ลืมปล่อยผมดัดลอนให้ยาวสยายถึงกลางหลัง แม้จะเป็นสีดำ แต่เธอก็เชื่อว่าตัวเธอยังคงโดดเด่นเตะตาอยู่ดี

เออีสาวยิ้มให้กระจกบานเล็กด้วยความมั่นใจ ก่อนเข้าเกียร์แล้วออกสตาร์ท แต่ยามที่รถแล่นผ่านหน้าบ้านของอิสระ เธอก็ต้องชะลอความเร็วด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งกำลังกระโดดลงจากรั้ว

สมองสั่งให้บีบแตรเพื่อเรียกรปภ. แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเธอได้เห็นชัดๆ ร่างเล็กบางในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่แบกเป้แล้วเดินดุ่มๆ ไปตามถนนของหมู่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง เธอก็ออกตัวติดตามไปทันที

ค่ำมืดป่านนี้ คุณหนูอิงกำลังหนีไปไหนกัน

บทที่ 13

“สวัสดีค่ะคุณก้อง...”

เสียงทักทายจากเออีสาวที่เพิ่งก้าวมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางเมือง ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิใกล้โต๊ะตัวเตี้ยเงยหน้าขึ้น ก้องพิภพยิ้มกว้างก่อนลุกขึ้นต้อนรับ “สวัสดีครับคุณเหนือ”

“คุณก้องมานานหรือยังคะ เหนือนี่แย่จริงๆ มาช้ากว่าคุณก้องตลอดเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมบอกไปแล้วไงว่าสำหรับคุณเหนือ ผมรอได้ เชิญนั่งครับ” เขาผายมือไปยังที่ว่างข้างกาย เหนือฟ้าลังเลอยู่ครู่ แม้ปกติเธอจะยอมนั่งข้างๆ เพื่อแถมขาขาวๆ เป็นอาหารตาสำหรับการเจรจา แต่ทว่าการคุกเข่าหรือพับเพียบบนพื้นอาจอันตรายเกินไป ชายกระโปรงอาจร่นขึ้นจนถึงไหนต่อไหน เกรงว่าอาจทำให้เธอขาดทุนเอาได้

แต่คิดอีกที... เพราะมัวแต่ขับตามรถที่มารับอิงตะวันหน้าหมู่บ้าน ทำให้มาตามนัดช้าไปกว่าชั่วโมง เขาอุตส่าห์อดทนรอโดยไม่ด่า แล้วเธอจะไม่ตอบแทนเขาเลยเหรอ…. คิดอย่างนั้นเธอก็ตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งข้างชายหนุ่ม โดยไม่ลืมหยิบผ้าพันคอชีฟองลายเสือดาวในกระเป๋าขึ้นมาคลุมต้นขา ก่อนเอ่ยถามโดยไม่สนใจสายตาแสนเสียดายของคนข้างๆ

“คุณก้องบอกว่างานมีปัญหา ยังไงเหรอคะ ในส่วนของครีเอทีฟหรือว่าโปรดักชันที่ไม่ถูกใจ คุณก้องบอกได้เลยนะคะ เหนือจะจัดการให้เอง”

“มีปัญหาเดียวล่ะครับ... คือผมคิดถึงคุณเหนือ”

เจอลูกนี้เข้าไป เหนือฟ้าก็ชะงัก แต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ก็แสร้งยิ้มเอียงอาย

“คุณก้องพูดแบบนี้ ไม่กลัวเหนือคิดจริงเหรอคะ”

“ก็ผมพูดจริง คุณเหนือจะคิดจริงก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ” เขาว่า ก่อนเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้ เหนือฟ้ารู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเธอกำลังเสียวซ่านสะท้านไหว ที่ขนลุกขนชันอย่างนี้ น่าจะเป็นเพราะความสยองมากกว่า

ผู้ชายเจ้าชู้ชอบฉวยโอกาส เธอล่ะเกลียดเข้าไส้ ถ้าทำได้เธอคงรีบชักมือกลับแล้วสะบัดก้นลุกหนีไปแล้ว แต่เพราะหน้าที่ที่ค้ำคอ เออีสาวจึงได้แต่ฝืนยิ้ม พลางคิดว่าจะหาทางหลบเลี่ยงสถานการณ์นี้อย่างไร ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้อย่างฉับไว

“อุ้ย... โทรศัพท์สั่นน่ะค่ะ” เธอว่า อาศัยจังหวะที่เขาชะงัก รีบชักมือข้างที่ถูกกุมไว้ออกมาแล้วจัดการล้วงมันเข้าไปในกระเป๋า กดเปิดหน้าจอให้มีแสงไฟเข้า แล้วหันไปบอกเขาด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ “เหนือขออนุญาตไปคุยโทรศัพท์แปปนึงนะคะ คุณก้องสั่งอาหารก่อนได้เลยนะคะ”

“แล้วคุณเหนืออยากทานอะไรล่ะครับ”

“อยากทานทุกอย่าง...ที่คุณก้องเลือกให้น่ะค่ะ” เธอหยอดคำหวานก่อนรีบลุกขึ้น จังหวะนั้นเอง ที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจริงๆ

อัยย่ะ!!! จะโทรเข้ามาทำไมตอนนี้นะ ก่อนหน้านี้สักสองสามนาทีทำไมไม่โทรมา

“เอิ่ม พอดีสายหลุดน่ะค่ะ เขาก็เลยโทรมาใหม่” เธอรีบแก้ตัว ก่อนนึกได้ว่ามันไม่จำเป็น ก้องพิภพไม่ใช่คนที่ชอบจับผิด เขาแทบไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติด้วยซ้ำ

หญิงสาวเลยส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนสาวเท้ายาวๆ ไปไกลจนถึงหน้าร้าน เมื่อเห็นว่าปลอดคนแน่แล้วจึงกดรับและกรอกเสียงลงไป

“ว่ายังไงขิม ได้เรื่องอะไรบ้าง ตกลงว่าคุณหนูอิงไปที่ไหน”

เหนือฟ้ายิงคำถามด้วยความอยากรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีนัด เธอก็คงไม่โทรศัพท์ไปขอร้องให้เพื่อนรักทำหน้าที่ติดตามเป้าหมายแทนเธอหรอก โชคดีที่ขีโรชามียานพาหนะเป็นมอเตอร์ไซต์ และกำลัง’ซิ่ง’ อยู่ไม่ไกลสี่แยกไฟแดงที่รถของเธอและอิงตะวันจอดติดอยู่ จึงจำใจยอมมารับช่วงสะกดรอยให้ ไม่เช่นนั้น ไม่ก้องพิภพที่ต้องรอเก้อ ก็เป็นเธอที่คงอดรู้ว่าลูกสาวของอิสะกำลังจะไปไหน

“ว่าไงล่ะขิม อย่าบอกนะว่าคลาดกัน”

“ปทุมวัน”

“อะไรปทุมวัน โรงเรียนเพาะช่าง โรงแรม หรือว่าวัด”

“ที่ร้างแถวสี่แยกปทุมวัน”

“ที่ร้าง!?! เอ๊ย แกตามรถผิดคันหรือเปล่า คุณหนูจอมเหวี่ยงนั่นน่ะนะจะไปที่ร้าง ไปทำไม เอ๊ะ หรือว่า... ที่นั่นจะเป็นแหล่งซ่องสุม นี่คุณหนูอิงติดยาด้วยเหรอ!!!”

เออีสาวว่าด้วยความตกใจ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเพื่อนมาตามสาย

“ฟังสิวะกำลังจะบอก คุณหนูตัวเล็กนั่นไม่ได้ติดยา แต่ที่มาที่เนี่ย เพราะมาทำอย่างอื่น”

“ทำอย่างอื่นอะไร นี่ขิม แกอย่าชักช้าได้ไหม ฉันอยากรู้ รีบบอกมาเถอะ คุณหนูอิงไปทำอะไรที่นั่น”

ขีโรชาเงียบไปพัก ราวกับต้องการดูภาพตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะตอบสั้นๆ

“พ่นกำแพง”



เสียงลูกเหล็กที่ถูกเขย่าดังขึ้นท่ามกลางแสงสว่างจากสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ มือเล็กกระชับกระป๋องสีคู่ใจเอาไว้ ก่อนปลายนิ้วจะกดลงบนหัวฉีด วงแขนตวัดขึ้นลงอย่างชำนาญ ไม่นาน... ภาพร่างในหัวก็ปรากฏอยู่บนผนังกว้าง

ดวงตากลมแต่คมกริบของเด็กสาวร่างเล็กนิ่งมองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่อารมณ์ที่กักเก็บมานานก็ถูกปลดปล่อยไปพร้อมกับสีสเปรย์ที่ฉีดพ่น เพียงได้ยินเสียงเขย่ากระป๋อง ได้สูดดมกลิ่นทินเนอร์ที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ เธอก็ผ่อนคลายจากความอึดอัดทั้งหลาย เด็กสาวเหลียวมองไปรอบกาย เหล่าศิลปินกราฟฟิตี้ หรือที่เรียกตัวเองว่าไรเตอร์ (writer) กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการสร้างผลงานร่วมกัน

งาน Production คือการผสมผสานกราฟฟิตี้หลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นตัวอักษร และแบบที่เป็นตัวการ์ตูนหรือเรียกว่าคาแรกเตอร์ โดยมีไรเตอร์หลายกลุ่มนัดรวมตัวกันเพื่อช่วยกันสร้างสรรค์ คืนนี้เองก็เช่นกัน ที่กลุ่มกราฟิตี้ซึ่งเธอเป็นสมาชิก นัดไรเตอร์สังกัดอื่นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมกันพ่นงานในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต

ต่างคนต่างที่มา ไม่ต้องรู้จัก ไม่ต้องรู้ที่ไป แค่ได้เจอได้ทำงานที่ชอบด้วยกัน ก็สร้างความสุขได้

ไม่ต้องมีครอบครัว ไม่ต้องมีเพื่อน ไม่ต้องมีคนรักคนสนใจ แล้วทำไมจะมีความสุขไม่ได้... ในเมื่อเธอไม่เคยจำเป็นสำหรับชีวิตใคร ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครสำคัญสำหรับชีวิตเธอ

อิงตะวันบอกตัวเอง.... ก่อนลงมือทำงานต่อไปเงียบๆ



เหนือฟ้าไม่อาจสลัดความคิดถึงถึงลูกสาวของอิสระลงได้เลย

แม้ตอนแรกที่ได้ยินคำบอกเล่าของเพื่อน เธอจะคิดว่าเกิดการเข้าใจผิด แต่เมื่อฝ่ายนั้นส่งรูปแอบถ่ายมาให้... ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางในเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ แค่เห็นหัวทุยๆ ผมสีดำยาวประบ่า และเสี้ยวหน้าที่ต้องแสงจ้าของสปอร์ตไลท์ การยืนยันที่ควรทำให้มั่นใจ กลับสร้างความหนักใจให้ทันที

ทำไมคุณหนูจอมเหวี่ยงถึงไปทำอะไรแบบนั้น... เออีสาวครุ่นคิดตลอดมื้ออาหาร แม้ตอนที่ต้องรับมือกับการลวนลามของก้องพิภพ เธอก็ยังไม่คลายสงสัย อาจเป็นเพราะเธอยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะบนกำแพงเท่าใด จึงไม่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่ทำงานแบบนั้นได้ รอให้เธอกลับไปศึกษาข้อมูลให้พร้อมกว่านี้ เธอคงมีคำตอบ

คิดอย่างนั้น เออีสาวก็พยายามเร่งเวลาให้อาหารมื้อค่ำนี้จบลงไวๆ เธอต้องซ่อนยิ้มแห่งความดีใจเอาไว้ เมื่อก้องพิภพเรียกพนักงานมาเช็คบิล มื้อนี้เป็นเพราะความคิดถึงของเขาไม่ใช่เรื่องงาน เขาจึงเป็นคนจ่าย ซึ่งชายหนุ่มก็ดูจะเต็มใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่หันมายิ้มหวานแล้วชวนเธอไปดื่มต่อ

ข้ออ้างเพื่อปฏิเสธรอจ่ออยู่ปลายลิ้น แต่เมื่อทั้งคู่เดินเคียงกันไปยังทางออกของร้าน เหนือฟ้าก็ชะงัก เมื่อได้เห็นว่าใครกำลังเดินสวนเข้ามา

ร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาวจัดในเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลไหม้ หลับตาข้างเดียวมองผ่านก็ยังรู้ว่าเป็นใคร และต่อให้เขาจะตัดผมใหม่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงหลายปี แต่เธอก็ยังจำได้ ที่ประหลาดใจคือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาต่างหาก... หญิงสาวร่างอวบอิ่มในเดรสมียี่ห้อพิมพ์ลายดอกไม้ ถึงจะเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่เธอก็นึกออกทันทีแล้วว่าใคร

“คุณพราวพัช....สวัสดีค่ะ” เหนือฟ้าทักทายไปโดยอัตโนมัติ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง เพราะฝ่ายนั้นมากับผู้ชาย... เอิ่ม เธอหมายถึงเจ้านายของเธอ

“สวัสดีค่ะคุณเหนือฟ้า... ไม่ทราบนะคะว่าคุณมาด้วย”

“คุณเหนือฟ้าไม่ได้มาด้วยหรอกครับ เธอมากับลูกค้าของเธอน่ะ” เป็นชินชนะที่รีบตอบแทนให้ ราวกับกลัวว่าใครจะเข้าใจผิด “สวัสดีครับ ผมชินชนะ เป็นเจ้านายของคุณเหนือ แล้วก็นี่ คุณพราวพัช เลขาฯ ของคุณอิสระ”

ชายหนุ่มแนะนำอย่างเป็นทางการ ด้วยสีหน้า น้ำเสียง และท่าทางที่ไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ราวกับเธอว่าเป็น ‘แค่’ ลูกน้องที่บังเอิญเจอกันเท่านั้น เหนือฟ้าที่ลอบมองอดหงุดหงิดไม่ได้ ปากก็บอกว่า ‘พี่ยังรักเธอไม่คลาย’ แล้วดูสิ ไม่เจอกันสองสามวัน คลายจนหลวมไม่รู้จะหลวมยังไงแล้ว

หึ... อย่างว่าแหละ เธอจะไปคาดหวังอะไรมากมายกับคำพูดของผู้ชายอย่างเขา

“สวัสดีครับ ผมก้องพิภพครับ” ชายหนุ่มข้างตัวเธอเอ่ยบ้าง ก่อนยื่นนามบัตรของตนส่งให้เลขาฯ สาวคนสวยของนักธุรกิจใหญ่ซึ่งเขาเองก็รู้จัก และขณะที่เธอมัวแต่นึกเข่นเขี้ยวผู้ชายอีกคน เขาก็ทำการตัดบทเรียบร้อย

“เสียดายนะครับที่เราไม่ได้ร่วมโต๊ะกัน ไว้เจอกันคราวหน้า คงได้คุยกันมากกว่านี้... ไปกันเถอะครับคุณเหนือ”

ประโยคหลังเขาหันมาเอ่ยกับเธอ เหนือฟ้าเลยยิ้มรับ แล้วยกมือไหว้อย่างสวยงามให้คนที่บังเอิญผ่านมาเจอ

“ลานะคะ คุณชินชนะ คุณพราวพัช ขอให้ทานอาหารให้อร่อยนะคะ”



ถึงปากจะอวยพร แต่ในใจกลับบริกรรมคำแช่งสาป... ขอให้สำลัก ขอให้กินไม่อิ่ม ขอให้ซุปเต้าเจี้ยวลวกลิ้น ขอให้เจอปลาดิบไม่สุก...

หญิงสาวร่างบางนั่งคิดพลางเคาะนิ้วบนพวงมาลัย หลังจากสลัดลูกค้ามือปลาหมึกอย่างก้องพิภพมาได้ด้วยการอ้างว่าไม่สบาย เธอก็ยังไม่สามารถสตาร์ทรถแล้วออกไปจากที่นี่ได้เสียที สายตาคอยเหลือบมองสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนเบาะข้างๆ คาดว่าอีกไม่นาน ‘ผู้ชายคนนั้น’ คงโทรมาหาเหมือนตอนที่เขาเห็นเธอกับมาวิน แต่จนแล้วจนรอด... จนเด็กรับรถเดินมาเคาะกระจกถามว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า หน้าจอโทรศัพท์ก็ยังเป็นสีดำมืด ไร้วี่แววว่าใครจะเรียกเข้า

เออีสาวเลยถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นเพราะเธอหึงหวงหวนไห้อาลัยในตัวผู้ชายคนนั้น นี่ถ้าหญิงงามที่เขาควงไม่ใช่เลขาฯ ของอิสระ เธอจะไม่เจียดเศษเสี้ยวความสนใจไปให้เขาเลย ก็มีอย่างที่ไหน ใช้วิธีสกปรก หว่านเสน่ห์ใส่ลูกน้องของลูกค้า คงหวังว่าจะได้รับประโยชน์เรื่องอิงตะวันล่ะสิ อย่างนี้มันโกงกันชัดๆ... เหนือฟ้าคิดด้วยความไม่พอใจ ก่อนในที่สุดจะผลุนผลันลงจากรถแล้วก้าวฉับๆ กลับเข้าไปในร้าน ถามพนักงานในชุดกิโมโนว่าผู้ชายที่เธอทักทายก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหน และเมื่อฝ่ายนั้นผายมือไปยังห้องพิเศษที่มีประตูไม้กรุด้วยกระดาษสาปิดมิดชิด อารมณ์ขุ่นมัวยิ่งทวีเป็นความเคืองโกรธ

....พี่เคยทำอะไรให้รุ้งนักหนาเหรอ รุ้งถึงเกลียดพี่นัก... นั่นคือถ้อยคำที่เขาเคยตัดพ้อเธอ มาดูสิ มาดูตัวเองตอนนี้สิ เขาจะได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงให้อภัยเขาไม่ได้

เหนือฟ้ามองบานประตูที่ปิดสนิท รู้สึกหายใจติดขัด ยิ่งเห็นรองเท้าผู้ชายและส้นสูงของสตรีที่วางเคียงกันใต้แผ่นไม้ที่ยกพื้น หัวใจเธอหวิวๆ โหวงๆ แปลกๆ เธอพยายามสูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์ให้ปกติ แต่โดยไม่รู้ตัวเลย เธอก็เดินเข้าไปใกล้บานไม้นั้น แล้วเอาหูแนบฟังการเคลื่อนไหวด้านใน...ก็แค่อยากรู้ว่าเขาพูดอะไร เกี่ยวกับเรื่องงานบ้างไหม แค่นั้นแหละ...

เสียงเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ทำให้เหนือฟ้าต้องขยับเข้าไปใกล้กว่าเก่า แต่ขณะที่ทุ่มความตั้งใจทั้งหมดไปที่การแอบฟัง เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจของใครบางคนก็ดังขึ้น

“คุณเหนือฟ้า นี่คุณกำลังทำอะไรน่ะ”







--------------------------------

คุณ OhLaLa คุณ sukhumvitt66 คุณ ดังปัณณ์ คุณเดิมเดิม : อีกประมาณ... 10 ตอน เฉลยแน่ค่ะ 555555 นานไปไหม
คุณแตงกวา : กำลังใจเกินร้อยเลยค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ
คุณ ภาวิน : ขอบคุณมากค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้สนุกสนานเบิกบานใจกับการอ่านค้าาา









ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2556, 00:01:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2556, 17:55:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1602





<< บทที่ สิบเอ็ด :แข่งขัน (ลบ)   บทที่ สิบสี่ : โลกกลมเกินไปหรือเปล่า >>
OhLaLa 11 ก.ค. 2556, 00:54:39 น.
ฮากับคำสาปแช่งของรุ้ง 'ขอให้เจอปลาดิบไม่สุก'


พันธุ์แตงกวา 11 ก.ค. 2556, 07:51:56 น.
ยายขิมจะโทร.มาทำไมตอนนี้ฮ่าๆๆ เหนือฟ้าก็เนียนต่อได้อีก เจ๋งจ๊าบสุดๆ ท่าทางงานนี้มุมแดงจะเป็นต่อซะแล้ว ขอให้ชนะนะอุตส่าห์ลงทุนเปลี่ยนสีผมกับงดแต่งหน้า^^


ภาวิน 11 ก.ค. 2556, 10:31:22 น.
ชอบฉากพ่นกำแพง เพียงได้ยินเสียงเขย่าากระป๋อง ได้สูดดมกลิ่นทินเนอร์ที่ฟุ้งไปทั่วบริเวณ เธอก็รู้สึกผ่อนคลายจากความอึดอัดทั้งหลาย...^___^ ชอบๆ ดูเป็นอาร์ตติสดี


Sukhumvit66 11 ก.ค. 2556, 11:04:05 น.
เห้อ อิรุงตุงนัง พี่หนึ่งทำไมไม่หึงอะคราวนี้อ่ะ


ดังปัณณ์ 11 ก.ค. 2556, 13:40:05 น.
ขอให้เจอปลาดิบไม่สุก 5555+ แช่งได้น่ารักมว๊ากกกกกก


เดิมเดิม 11 ก.ค. 2556, 17:23:34 น.
ใครมาทัก รอติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account