รัน...รักที่จะฝัน
เธอ...กำลังตามหาความฝันที่ถูกซุกซ่อนไว้มานาน
เขา...กำลังตามหาความรักที่ไม่เคยได้สัมผัส
เมื่อเส้นทางของทั้งสองได้มาบรรจบกัน เรื่องราวมหัศจรรย์ที่ถักทอทุกความรู้สึกจึงเกิดขึ้น
Tags: ฝัน ซึ้ง ดนตรี

ตอน: ผู้หญิงไร้ฝันกับผู้ชายไร้รัก

ฉัน...ผู้หญิงไร้ฝัน

...หลายคนมักจะพูดว่า การไขว่คว้าทำให้ความฝันเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องยาก แต่รู้ไหม ฉันคิดว่า สิ่งที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ การตามหาความฝันที่แท้จริงของตนเอง...
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือในห้องนอน ตรงหน้าคือคอมพิวเตอร์ฉบับพกพาที่นักศึกษาแทบทุกคนจะต้องมีเอาไว้พิมพ์งานและหาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา เพื่อนร่วมห้องชาวอเมริกันของฉันยังคงหลับสบายอยู่บนเตียงนอนอีกมุมหนึ่งของห้อง เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดหลังการสอบปลายภาคมาหมาดๆ คนตะวันตกส่วนใหญ่ก็มักจะตื่นหลังเที่ยงอย่างนี้ประจำ
มือของฉันค่อยๆ คลิกเข้าไปในระบบข้อมูลออนไลน์ของมหาวิทยาลัย สายตาของฉันกวาดมองไปทั่วหน้าจอจนพบกับสิ่งที่ต้องการ...ผลการเรียน เนื่องจากวิชาที่ฉันลงเรียนสอบเสร็จไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ บรรดาศาสตราจารย์ทั้งหลายจึงบอกให้เช็คคะแนนดิบได้ภายในวันนี้ ฉันมองคะแนนของตนเองแว๊บเดียวโดยไม่มีอาการประหลาดใจ ก่อนที่สัญญาณโทรศัพท์ผ่านโปรแกรมสไกป์ยอดฮิตจะดังขึ้น ฉันค่อยๆ ใส่หูฟังที่มีไมโครโฟนในตัวก่อนจะกดปุ่มรับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่” ฉันเอ่ยทักทายบุพการีที่โทรมาเมื่อเห็นชื่อฉันออนไลน์ในระบบ ท่านทั้งสองถามถึงกำหนดการเดินทางกลับประเทศไทยของฉัน เพื่อที่จะขึ้นมารับได้ถูกวันและเวลา
“ค่ะ ใช่ค่ะ ถึงสุวรรณภูมิวันพุธตอนสี่ทุ่มค่ะ...กำลังเช็คคะแนนดิบอยู่ค่ะ...เหมือนเดิมแหละค่ะ ระดับคะแนนแบบนี้คงได้เอหมดเลย...” ฉันตอบท่านทั้งสองไปด้วยน้ำเสียงปรกติ ไม่มีอาการกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจอย่างที่คนอื่นมักจะเป็น
หลายคนมักมองว่าฉันเป็นผู้หญิงเก่ง มีความมั่นใจในตัวเองสูง เพื่อนๆ มักจะบอกว่า อิจฉาที่สมองฉันดี ไม่ต้องทำอะไรมากก็สอบได้คะแนนดี ความจริง ฉันก็เคยมีความสุขและดีใจกับสิ่งเหล่านี้ ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันจะวิ่งด้วยรอยยิ้มไปบอกคุณพ่อคุณแม่อย่างภูมิใจว่า “วันนี้คุณครูชมหนูด้วยว่าเก่ง สอบได้คะแนนเต็มอีกแล้ว”
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ...ที่ฉันเริ่มรู้สึกชินกับการประสบความสำเร็จเช่นนี้ อาจจะเป็นตั้งแต่ที่ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ถ้าให้เลือกระหว่างการเก่งหลายๆ ด้าน กับการเก่งแบบสุดๆ ด้านเดียวไปเลย แบบไหนจะดีกว่ากัน?
ฉันเฝ้ามองผู้คนรอบตัวฉันที่เรียนธรรมดา คะแนนปานกลาง หากแต่มีความมุ่งมั่นด้านใดด้านหนึ่งจนตามไปคว้าฝันของเขามาได้...ความฝันที่พวกเขาเป็นเจ้าของจริงๆ
ท่ามกลางความชื่นชมที่คนรอบข้างมีให้ฉัน นักเรียนนอก นักเรียนทุน เด็กอัจฉริยะ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาต่างตั้งฉายาให้ ฉันกลับค้นพบกว่า...ฉันก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่เรียนได้ดีในหลายๆ ด้าน แต่พวกเขาคงไม่รู้ว่า สำหรับฉัน การได้เกรดเอทุกวิชาจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อแม้กระทั่งตัวฉันเอง ยังแยกแยะไม่ได้ ว่าตนเองชอบอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข...ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นแค่ เด็กที่หาความฝันของตัวเองไม่เจอ




ผม...ผู้ชายไร้รัก

...ผู้คนรอบข้างผมมักจะบอกว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขาคือเมื่อยามที่ทำให้ความฝันของตนเองเป็นจริงได้ หากแต่วันนี้ ผมกลับค้นพบกว่า แค่การทำให้ความฝันเป็นจริงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะผมที่รู้จักตัวเองดีมาตั้งแต่เด็ก มีความฝันที่แรงกล้า และสามารถทำให้มันเป็นจริงได้เมื่อไม่นานมานี้ กลับค้นพบว่า ยังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป...
ผมนั่งจ้องมองกีต้าร์ตัวโปรดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ถ้ามีใครเดินไปดูที่ถังขยะใกล้ๆ แกรนด์เปียร์โนตัวใหญ่ในห้องนั้นจะพบกระดาษหลายต่อหลายแผ่นถูกขยำทิ้งจนเกือบเต็ม หลายวันมานี้ ผมพยายามแต่งเพลงใหม่ให้กับนักร้องในค่าย หากแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที เป็นเพราะอะไรกัน?
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องส่วนตัวของผมดังขึ้น ก่อนผู้ที่ถือวิสาสะเปิดประตูจะก้าวเข้ามาในห้อง
“ได้เวลาทานข้าวแล้วจ้ะ” คุณแม่ของผมยิ้มให้พร้อมกับเดินมาแตะที่ไหล่ผมเบาๆ ผมยิ้มให้ท่านตามปกติ หากแต่เวลานี้ ท้องของผมไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย
“ผมไม่หิวครับแม่ คุณพ่อคุณแม่ทานไปก่อนได้เลยครับ” หากแต่เมื่อหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีได้ฟังก็ทำหน้านิ่วเล็กๆ ใส่ลูกชายตัวดี
“อะไรกัน เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วนะลูก เดี๋ยวก็ล้มป่วยกันพอดี ไม่ได้แล้ว ตั้งแต่คุณพ่อให้ลูกเข้ามาทำหน้าที่รองประธานอย่างเต็มตัวชักจะทำให้ลูกของแม่กลายเป็นหนุ่มบ้างานไปเสียแล้ว สงสัยต้องไปบอกพ่อให้ลดตำแหน่ง”
“โถ่ อย่าโกรธเลยนะครับ ผมไม่หิวจริงๆ” ผมส่งสายตาอ้อนๆ ที่เคยทำเป็นประจำ สุดท้ายคุณแม่ก็มักจะแพ้ท่าทางประจบของผมแบบนี้ทุกที
“ก็ได้ แต่ว่าต้องลงมาทานข้าวเย็นนะ ไม่งั้นแม่จะเอาเรื่องจริงๆ” คุณแม่ของผมยอมแพ้โดยมีเงื่อนไข ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ให้ท่าน และมองส่งจนท่านปิดประตูลงให้ผมได้กลับเข้าสู่โลกส่วนตัวของตนอีกครั้ง
ผมมองไปที่ภายถ่ายของผมกับคุณปู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ในภาพนั้น คุณปู่กำลังสอนผมซึ่งอายุเพียงห้าขวบจับกีต้าร์ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของท่านในยามที่เล่นดนตรีเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลืม ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งยามที่ได้ฟังท่านเล่นเครื่องดนตรีไม่ว่าจะชนิดใด ด้วยความที่คุณปู่จับอะไร เล่นอะไรก็เพราะไปหมด จนผู้คนตั้งฉายาให้ท่านเป็น อัจฉริยะทางด้านดนตรี ผมซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน ซึมซับสิ่งต่างๆ ที่ท่านถ่ายทอดให้จนแน่ใจว่า ผมจะเดินตามรอยเท้าของท่าน
ยิ่งตั้งแต่คุณปู่ได้เสียชีวิตลงไปเมื่อหลายปีก่อน ผมยิ่งต้องพยายามฝึกฝนตนเอง และรวบรวมความรู้ต่างๆ ที่คุณปู่ได้ถ่ายทอดให้ผมในฐานะหลานชายที่มีพรสวรรค์เช่นท่าน ผมต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ทั้งการแข่งขันดนตรี การบริหารงานในบริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ของครอบครัว รวมถึงการแต่งเพลงให้นักร้องในค่ายหลายเพลงจนกลายเป็นที่โด่งดังติดชาร์ต จนในที่สุด คุณพ่อก็เห็นว่าผมพร้อมกับการทำหน้าที่ในฐานะรองประธานบริษัทแห่งนี้ และผมก็ต้องสานต่อความฝันของคุณปู่ให้เป็นจริง...ผมจะทำให้ทุกคนมีความสุขไปกับเสียงดนตรีของผม
อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกว่าหนังตาชักจะหนักผิดปกติ ผมจึงตัดสินใจหลับตาลงช้าๆ
ในความเลือนลางนั้น เหมือนผมจะได้ยินเสียงดนตรีที่คุ้นเคย เสียงเพลงที่คุณปู่มักเล่นเป็นประจำด้วยกีต้าร์ตัวโปรดที่ท่านมอบให้ผม
...คุณปู่ครับ ทำไมผมถึงรู้สึกว่า แม้ความฝันที่ผมเพียรพยายามทำจะเป็นจริง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ขาดหายไป คุณปู่ทราบไหมครับว่ามันคืออะไร...
...ความรักยังไงล่ะหลาน เจ้าได้ใส่ความมุ่งมั่นพยายามลงไปอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่เจ้าคงลืมไปว่า ส่วนประกอบอีกอย่างที่สำคัญที่สุดที่จะสื่อให้ผู้ชมรับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงได้ก็คือ ความรัก...
...แล้วผมจะไปหาความรักที่ว่ามาจากไหนล่ะครับ...
...ถ้าเจ้าพร้อม ปู่ก็จะทำหน้าที่สุดท้ายของตนเองในการส่งเจ้าไปถึงฝั่งฝันเสียที ปู่จะช่วยนำทางให้เจ้าไปพบกับ ความรัก ที่เจ้าตามหามานาน หลับตาลงเสียเถิด หลานรัก...


********************************
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะมีความสุขและได้รับกำลังใจไปจากนิยายเรื่องนี้นะคะ ^^



sunshinemoonlight
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2554, 07:57:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2554, 07:57:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1836





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account