ละเมอรักคืนจันทร์เต็มดวง
ตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระจันทร์นั้นแสนเจ้าชู้และแพรวพราวไปด้วยเสน่ห์เล่ห์กล แล้วโอรสแห่งพระจันทร์เล่าจะขนาดไหน ถึงกาลโอรสจันทราต้องเลือกคู่ พระองค์ก็ดันไปเลือกธิดาพระพฤหัส ซึ่งพระจันทร์เคยไปแย่งชิงชายาของพระพฤหัส แม้นพระพฤหัสจะติดตามไปนำตัวพระชายากลับคืนมา แต่พระจันทร์ก็ยังไม่ยอมคืนให้แถมยังมีชายาเพิ่มมาอีกถึง 27 องค์ เรื่องราวบาดหมางยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบันแม้พระพฤหัสจะมีชายาใหม่แทนแล้ว เมื่อตกสู่รุ่นลูก พระพฤหัสเข้าขัดขวางด้วยรู้ว่าพระจันทร์นั้นจอมเจ้าชู้ มีมากชายา แม้จะเป็นโอรส สายโลหิตแห่งพระจันทร์ก็ย่อมตกทอดถึงกัน พระพฤหัสจึงไม่ยินยอมให้พระจันทร์สมรักกับธิดาของพระองค์
โอรสแห่งพระจันทร์จึงขอให้พระพฤหัสดำริมาว่าต้องการสิ่งใดเป็นเครื่องยืนยันในรักที่พระองค์มีต่อธิดาพระพฤหัส พระพฤหัสจึงส่งโอรสของพระจันทร์ลงไปยังเมืองมนุษย์และให้เวลาสามเดือนเพื่อพิสูจน์ว่าโอรสพระจันทร์จะไม่หลงรักและล่วงเกินนางมนุษย์ผู้ถูกเลือก โอรสแห่งพระจันทร์จึงตกลงและยินยอมทำตามเพื่อให้ได้ครองรักกับธิดาพระพฤหัส

Tags: แฟนตาซี,พระจันทร์,ความรัก,โรแมนติก,เทพ,นางฟ้า,พระพฤหัส

ตอน: โอรสแห่งพระจันทร์

ตอนที่ 1 โอรสแห่งพระจันทร์

ตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระจันทร์นั้นแสนเจ้าชู้และแพรวพราวไปด้วยเสน่ห์เล่ห์กล แล้วโอรสแห่งพระจันทร์เล่าจะขนาดไหน ถึงกาลโอรสจันทราต้องเลือกคู่ พระองค์ก็ดันไปเลือกธิดาพระพฤหัส ซึ่งพระจันทร์เคยไปแย่งชิงชายาของพระพฤหัส แม้นพระพฤหัสจะติดตามไปนำตัวพระชายากลับคืนมา แต่พระจันทร์ก็ยังไม่ยอมคืนให้แถมยังมีชายาเพิ่มมาอีกถึง 27 องค์ เรื่องราวบาดหมางยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบันแม้พระพฤหัสจะมีชายาใหม่แทนแล้ว เมื่อตกสู่รุ่นลูก พระพฤหัสเข้าขัดขวางด้วยรู้ว่าพระจันทร์นั้นจอมเจ้าชู้ มีมากชายา แม้จะเป็นโอรส สายโลหิตแห่งพระจันทร์ก็ย่อมตกทอดถึงกัน พระพฤหัสจึงไม่ยินยอมให้พระจันทร์สมรักกับธิดาของพระองค์

โอรสแห่งพระจันทร์จึงขอให้พระพฤหัสดำริมาว่าต้องการสิ่งใดเป็นเครื่องยืนยันในรักที่พระองค์มีต่อธิดาพระพฤหัส พระพฤหัสจึงส่งโอรสของพระจันทร์ลงไปยังเมืองมนุษย์และให้เวลาสามเดือนเพื่อพิสูจน์ว่าโอรสพระจันทร์จะไม่หลงรักและล่วงเกินนางมนุษย์ผู้ถูกเลือก โอรสแห่งพระจันทร์จึงตกลงและยินยอมทำตามเพื่อให้ได้ครองรักกับธิดาพระพฤหัส

แสงกัษษากร นวลผ่องอำไพในวิมานทิพย์บนสรวงสวรรค์ สีทองเรืองรองกระจ่างรัศมิ์ ปรากฏเทวบุรุษสง่างาม พิศเพ่งมองหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้ถูกเลือกแล้ว

“สามเดือน หากเจ้าพิสูจน์ตนเองได้ว่า มิมีความรักใคร่ฉันชู้สาวและความสัมพันธ์ทางกายากับนางมนุษย์ผู้นี้ ข้าจักยกธิดาแห่งข้า... พระพฤหัสให้ตามสัญญา แต่หาไม่แล้ว ก็ขอให้เป็นโมฆะตลอดกาล”

“ได้ เรายินดีทำตามข้อเสนอของท่าน”

นางมนุษย์นอนหลับคุดคู้อยู่ในผ้าห่ม เรือนกายหยาบหาได้มีรัศมีผุดผ่องละออตาดั่งเทวธิดาไม่ แล้วไซร้พระองค์จะต้องตานางด้วยเหตุผลใด

“ง่ายมาก รอก่อนเถิดหนา ธิดาแห่งพระพฤหัส สามเดือนก็แค่เพียงกระพริบตาเดียว เราจักรีบไปรับเจ้ามาเป็นพระมเหสีคู่บารมี” แต่โอรสแห่งพระจันทร์ก็ทรงลืมไปว่า เวลาในเมืองมนุษย์นั้นยาวนานกว่าบนสรวงสวรรค์ยิ่งนัก 50 ปี เมืองมนุษย์ เท่ากับ วัน 1 กับคืน 1 ของเมืองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ตามพระพุทธพจน์

ราษตรีเงียบสงัด หากแต่นิศากรประทับเฉิดฉาย บังอรหลับสนิทแถมท้ายด้วยเสียงกรนสนั่น ยิ่งทำให้เทวจันทราผงะกับกิริยาไม่สำรวมของกุลสตรีพึงควรมี

ละอองแขถูกพัดเป่าแผ่วเบาเป็นพระพายเพื่อปลุกนงคราญให้ฟื้นขึ้นจากการหลับใหล เหตุพระองค์จำต้องอยู่ร่วมเคียงวิมานเดียวกันกับนางตามกำหนดระยะเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยจึงควรจะต้องทำความรู้จักกันเอาไว้เสียก่อน ทว่า วาโยเสกกลับไม่ระคายเลยสักนิด ยังคงหลงใหลในห้วงนิทราอย่างน่าประหลาด

“ขี้เซาเสียจริงนางมนุษย์ผู้นี้ ขนาดเราใช้มนต์พระพายปลุกแล้วยังมิตื่นอีก เราควรจักปลุกนางเช่นไรดี”

พินิจพิเคราะห์อยู่นาน ครั้นจะแตะถูกผิวกายกันทั้งยังไม่รู้จักก็ออกจะไม่งามสักหน่อย จะยืนประทับรออยู่ตรงนี้ถึงรุ่งสางก็ใช่ที ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด นางแน่งน้อยก็ผินวงหน้ารีเล็กมาให้ได้ยลชัดถนัดตา

มิได้งามไปสามโลก มิได้มีกลิ่นหอมจรุงใจ มีเพียงกายหยาบเยี่ยงมนุษย์ ยามนี้โอรสแห่งพระจันทร์ไม่ได้หนักหทัยเลยแม้เพียงนิด ด้วยรูปลักษณ์ทิ้งห่างนางอัปสรสวรรค์สิ้นเชิง เป็นเพียงนารีร่างเล็ก นางเริ่มพลิกกายตะแคงข้างคล้ายจะอวดโฉมอรชร นาทีนั้นเองดวงเนตรมิได้ตั้งใจสบมองเห็น แพรพรรณโปร่งบางเบา พระทัยกระตุกวูบไหว เกือบจักเสียมารยาทล่วงเกินอิสตรีด้วยการพิศมอง

สงสัยว่ามนต์มารุต จะช่วยทำให้นางหลับลึกไปยิ่งกว่าเดิม ท่วงท่างอตัวเหมือนลูกแมวน้อยห่อกายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ไม่รู้ว่านางฝันถึงสิ่งใดถึงได้มีลักยิ้มบุ๋มข้างแก้มเป็นระยะ พระองค์อดสงสัยไม่ได้ ยื่นพักตร์ไปเมียงมองเคียงใกล้

ศศิธรส่องประกายรัศมิ์จากเรือนกายทิพย์เทวจันทร์ ต้องเปลือกตาสีมังคุดอ่อนให้กระพริบถี่ ดรุณียืดกายเกียจคร้าน นึกติติงว่าสิ่งใดมารบกวนการนิทรา ครั้นพอลืมตาขึ้น

บุรุษรูปงามเข้ามาทายทักพร้อมแสงจันทรา จ้วงขโมยหัวใจดุจนาทีนั้นนิรันดร

“ตื่นแล้วหรือ”

ชะงักงันไปพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงนางมนุษย์น้อยเป็นครั้งแรก วจีเล็กแหลมหวีดร้องกังวานเป็นคำทักทาย

“กรี๊ด!”

ครั้นโอรสแห่งนิศาบดีสดับฟัง ก็พลันนึกเหนื่อยมโน ว่านี่หรือ คำสวัสดีของชาวมนุษย์ในวันแรกที่ได้พบกัน

นารีสะดุ้งกายขึ้นรับรู้ว่าบัดนี้พระองค์สถิตอยู่เบื้องหน้า เนตรกลมวาวจ้องมาไม่กระพริบสักครา ดุจลมหายใจขาดช่วงไป ทรงแย้มโอษฐ์สรวลพลันก้มกระซิบข้างหูนางมนุษย์น้อยแผ่วบางเบา

“มิต้องกลัวเราหรอกแม่หญิง” มารุตมนต์เสกเป่าให้คลายความกังวลในบัดดล ประหนึ่งความกลัดกลัวนั้นมลายสลายไปเหลือเพียงเหตุแคลงใจ

“คุณเป็นใครคะ”

“ศีตภาณุเทวินทร์คือนามแห่งเรา แล้วแม่หญิงล่ะมีนามว่ากระไรหรือ”

ดั่งล่องลอยอยู่ในห้วงมนตรา ริมฝีปากน้อยเผยอวาดตอบไร้ข้อกังขา

“มนสิชาค่ะ”

บัดดลพระภูมิเจ้าที่แห่งเคหสถานได้ปรากฏโฉมพักตร์ด้วยน้อมรับบัญชาจากพระพฤหัส ว่าบัดนี้โอรสแห่งพระจันทร์จำต้องมาพำนักอยู่ยังวิมานเดียวกันกับนางมนุษย์ผู้ถูกเลือก เทวจันทร์เห็นดังนั้นจึงเสกเป่ามนต์พระพายอีกคราเพื่อพัดพาให้นงเยาว์กลับไปหลับใหลต่อเช่นดังเดิม

“ข้าคือภูมิเจ้าที่ของบ้านหลังนี้ ขอถวายพระพรแด่พระจันทรเทพด้วยเถิด”

“มิต้องมากพิธี”

“แลข้ามีหน้าที่คอยเป็นหูเป็นตาแทนพระพฤหัสเพื่อรายงานความเป็นไประหว่างท่านกับนางมนุษย์ผู้นั้น”

“จงทำตามพระประสงค์”

“ขอบพระทัย” จากนั้นก็เหลือเพียงรัตติกาลเงียบสงัด โอรสแห่งพระจันทร์เพ่งเนตรถึงสมาชิกในครอบครัวบ้านหลังนี้ นางมนุษย์นามมนสิชา มีพี่ชายหนึ่งคน แล้วพระองค์ก็จำแลงร่างเทวาผันแปรเป็นเรือนกายมนุษย์ในนาม ศีตภาณุ


หญิงสาวพลิกตัวอย่างเกียจคร้านหลังผ่านการหลับใหลคล้ายยาวนาน ความฝันแปลกประหลาดถึงเทพบุตรรูปงามรัศมีสีทอง มนสิชากลับไม่รู้สึกว่านั่นคือแค่ความฝัน เธอยังจำน้ำเสียงไพเราะกังวานนั้นได้

‘ศีตภาณุเทวินทร์คือนามแห่งเรา…’ เขายังถามชื่อเธอเช่นเดียวกัน แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบว่ามีร่องรอยผู้มาเยือนในสักมุมของห้องสี่เหลี่ยม

“ฝันไปหรอกเหรอ”

เสียงเคาะประตูห้องดังสองสามครั้ง เธอเสตัวให้ลงจากเตียงนอน สวมใส่สลิปเปอร์สีชมพู ลากเท้าแกรกกรากไปยังจุดหมาย
“ตื่นหรือยังยัยมน อาบน้ำแล้วลงมาหาพี่ที่ห้องนั่งเล่นด้วยนะ” กนต์ธร ผู้เป็นพี่ชายอยู่ในชุดลำลองเสื้อยืดสีขาว กางเกงผ้าสามส่วนสีน้ำตาล

“อ้าว วันนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอคะ”

“ไปแต่วันนี้ลงพื้นที่นอกเครื่องแบบน่ะ ว่าแต่เราเถอะ รีบๆ ไปอาบน้ำสิ พี่มีอะไรจะคุยด้วย เร็วๆ นะ”

“เรื่องอะไรหว่า” เธอนึกไม่ออกว่าพี่ชายอยากจะคุยกับเธอเรื่องอะไรในยามเช้าตรู่เช่นนี้

เพราะคิดว่าไม่มีใครนอกจากสองพี่น้อง เธอจึงสวมชุดอยู่บ้านซึ่งเป็นเพียงเสื้อยืดธรรมดาและกางเกงขาสั้น มัดผมลวกๆ ทาเพียงแป้งฝุ่นและอุทัยทิพย์ตามปกติ เมื่อเป็นวันพักผ่อนและยังคงอยู่ในช่วงอาชีพ ‘ว่างงาน’ จึงไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวเท่าไหร่นัก

ดวงตากลมโตมองตรงไปยังบุคคลที่สามผู้นั่งอยู่ยังโซฟาตัวยาวตรงกลาง กนต์ธรกวักมือเรียกให้น้องสาวเข้าไปหาไวๆ เธอกระพริบตาอีกครั้ง รัศมีสีทองเมื่อครู่ก็หายลับไป กลายเป็นบุรุษภูมิฐานสง่างาม

“นั่งลงสิยัยมน อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่”

“เอ่อ ค่ะ” ความตะลึงทำเอาหยุดจ้องหน้าผู้มาเยือนไปพักใหญ่ พอได้สติ เธอก็พบว่าเขามองเธออยู่เช่นเดียวกัน

“นี่คุณศีตภาณุ เพื่อนพี่เอง เขาจะมาอยู่ที่บ้านของเราเป็นเวลาสามเดือนนะ ส่วนห้องก็อยู่ห้องของพี่ ส่วนพี่จะย้ายไปอยู่ห้องเก่าของพ่อ ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ เราก็ตกงานอยู่ใช่ไหม งั้นพี่จ้างให้เราคอยดูแลเพื่อนพี่แทนก็แล้วกันนะ เขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก พาเขาออกไปเที่ยวบ้างก็ได้”

“หา ศีตภาณุเหรอ” มนสิชาแน่ใจว่าเธอได้ยินไม่ผิด เธอยังจำนามไพเราะของบุรุษลึกลับในห้วงนิทราได้เป็นอย่างดี

“หือ รู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่...” ถ้าจะบอกว่าฝันเห็นก่อน พี่ชายจะเชื่อเธอหรือ พี่ชายบอกว่าเขาเพิ่งมาจากเมืองนอก มิน่าเล่าผิวพรรณถึงได้ขาวผุดผ่อง ดูไปดูมาก็เหมือนลูกครึ่ง ดวงตาเรียวสองชั้นสีน้ำผึ้ง ใบหน้าหล่อเหลาได้รูป ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว มนสิชานึกประท้วงในใจ เหตุใดสวรรค์สร้างบุรุษมาให้หน้าตาดีกว่าสตรีเล่า

“ยังไงก็ฝากเพื่อนพี่ด้วยนะ เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อน ตามสบายนะเกลอ” เขาตบบ่าคนที่ดูอย่างไรก็น่าจะห่างไกลความเป็นเพื่อน กนต์ธรนั้นมีรูปร่างใหญ่ล่ำจากการเล่นกล้าม ผิวสีแทนเกือบไหม้เพราะไม่ค่อยได้อยู่ในร่ม อาชีพตำรวจหน่วยออกลาดตระเวนทำให้ผู้เป็นพี่ชายต้องไปโน่นมานี่บ่อยๆ พี่ชายไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลยสักครั้ง แต่หากต้องนึกภาพเพื่อนสนิทของกนต์ธรแล้วล่ะก็ มนสิชาเห็นมาดนักมวยออกมากกว่าบุรุษร่างบอบบางเช่นศีตภาณุ

“ค่ะ เอ้ย แต่เดี๋ยวสิคะพี่กนต์”

“ทำไมเล่า ก็เราเคยทำงานบริษัททัวร์มาก่อนไม่ใช่เหรอ ก็เป็นไกด์พาเพื่อนพี่เที่ยวหน่อยก็แล้วกัน วันนี้พี่คงกลับดึกหน่อยนะ พี่ไปล่ะเดี๋ยวไม่ทัน”

“โธ่พี่กนต์ เคยทำบริษัทท่องเที่ยวก็จริงแต่ไม่ได้เป็นไกด์สักหน่อย เป็นพนักงานจองโรงแรมต่างหาก เฮ้อ” มนสิชาบ่นไล่หลังเสียงมอเตอร์ไซด์ของพี่ชายไป

เหลียวกลับมามองแขกรับเชิญซึ่งนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น หญิงสาวท่าทางเงอะงะแกมเก้อเขิน เมื่ออีกฝ่ายราวกับอมรโสภณหยาดฟ้ามาดิน แล้วเธอเล่าละม้ายนังแจ๋วก้นครัวในเรือนทาส

“เอ่อ คุณทราบแล้วใช่ไหมคะว่าห้องพักของคุณอยู่ห้องไหน”

“เห็นว่าอยู่ชั้นบน”

“งั้นสัมภาระของคุณล่ะคะ ฉันจะช่วยยกขึ้นไปให้ค่ะ” เธอกวาดตามองไปรอบห้องนั่งเล่นก็ไม่พบแม้กระเป๋าสักใบ ทว่า เมื่อหมุนตัวกลับมาอีกรอบ กลับพบว่ามันถูกวางอยู่ด้านหลังของตนเอง แต่มันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

กระเป๋าเบาหวิวดุจปุยนุ่น ทำเอาคนถือแอบสงสัยว่าเขาต้องมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาตั้งสามเดือน แต่กลับเหมือนไม่ได้บรรจุความหนักอยู่ด้านในเลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าพวกผู้ชายไม่ยึดสัมภาระมากเหมือนผู้หญิงล่ะมัง เธอคิดไป พลางเปิดประตูออกกว้าง ให้เห็นห้องนอนสีครีมในบ้านทาวเฮาส์สองชั้น

“ที่นี่ล่ะค่ะห้องของพี่ชาย คุณเก็บของไปก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกันค่ะ” ในเมื่อกนต์ธรให้เธอเป็นไกด์จำเป็น มนสิชาจึงต้องระดมสมองหาสถานที่เที่ยวตามบัญชา

“พวกเจ้าอยู่วิมานคับแคบกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ เล็กกว่าวิมานของเราสิบเท่าได้ แต่มิเป็นไรหรอก เรามิถือ” โอรสแห่งพระจันทร์สามารถเนรมิตห้องหับเล็กให้กว้างขวางขึ้นได้ถนัดตา จึงมิเป็นปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งทรงนำวิมานตากอากาศส่วนพระองค์ติดมายังเมืองมนุษย์ด้วย เพียงแค่ย่อส่วน พระองค์ก็สามารถพำนักอยู่ในเคหจินดานั้นได้อย่างสะดวกสบาย

หญิงสาวกระพริบตาปริบปรับ พี่ชายบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก เธอจะไม่แปลกใจหากเขาพูดไทยคำปนอังกฤษ แต่ภาษาที่เธอได้ยินนั้นแปลกหู ราวกับหลุดมาจากยุคโบราณ

“หรือว่าเราจะหูฝาดไป ก็ไม่ได้เปิดทีวีทิ้งไว้นี่นา” เมื่อไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรอีก แถมยังปิดประตูไปคล้ายต้องการความเป็นส่วนตัว มนสิชาจึงกลับไปยังห้องของตัวเอง เลือกชุดลำลองเหมาะสมกับการไปเที่ยววัดวาอาราม แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไป เขากลับมาจากเมืองนอกแต่เป็นคนไทยต่างหาก

“ว้า แล้วจะพาไปเที่ยวที่ไหนดีล่ะนี่ คิดไม่ออกแฮะ”

คราวสมองตัน เธอจึงย้อนไปถามเขาเสียเองว่าอยากจะไปที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่เมื่อเคาะประตูอยู่นานก็ไร้เสียงตอบ
“เอ๋ หรือว่าจะหลับ” มนสิชารอคอยอยู่ร่วมชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะออกจากห้องเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวงุนงงกับเพื่อนคนนี้ของพี่ชายนักหนา หรือว่าเพิ่งมาจากต่างประเทศหมาดๆ คงจะเหนื่อย เธอจึงเปลี่ยนชุดกลับ แล้วมองนาฬิกาใกล้เที่ยง

“ตื่นมาคงจะหิว ถ้างั้นทำกับข้าวรอเลยก็แล้วกัน” เธอเข้าครัวไปโดยยังคงฉงนกับการมาเยือนของเขาไม่หาย

บุรุษรูปงามปรากฏในความฝัน ดุจเทวัญรัญจวนจิต ให้เฝ้าคิดอยู่ร่ำไป

พิภพมนุษย์มิได้มีอากาศบริสุทธิ์ดั่งแดนไตรทิพย์ เพียงแค่ลงจากบันไดสวรรค์มาครึ่งวัน โอรสแห่งพระจันทร์ก็บรรทมยาวนานจนลืมเวลา ย่อพระองค์เล็กเข้าไปอยู่ในวิมานทองซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของกนต์ธร

มนสิชาเห็นว่าคล้อยบ่ายแล้ว อาหารเริ่มจะเย็นชืด เธอตัดสินใจไปเคาะประตูปลุกเขาขึ้นมารับประทานมื้อเที่ยงเสียก่อน จากนั้นจะนอนต่อก็ค่อยว่ากันอีกที ด้วยความเป็นน้องสาวเจ้าบ้าน เดี๋ยวพี่ชายจะหาว่าเธอแล้งน้ำใจไม่ยอมเรียกแขกมาทานข้าว

“คุณศีตภาณุคะ ทานข้าวเที่ยงไหมคะ ฉันทำข้าวผัดทะเลไว้ให้น่ะค่ะ ตื่นมาทานก่อนไหมคะเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะนะคะ”

เงียบกริบ ไร้ซึ่งการขานตอบ เธอคิดว่าเขาคงจะหลับลึกไปเสียแล้ว ทว่า เมื่อลงบันไดมาสุดขั้น กลับพบว่าเขายืนอยู่ข้างหน้าเธอแล้ว

“ว้าย นี่คุณมาได้ยังไงกันคะ” เธอมั่นใจว่าก่อนหน้านั้นไร้เงาของเขาสิ้นเชิง แล้วเขามาอยู่ตรงหน้าได้อย่างไรกัน

“เจ้าปลุกเราหรือ มีธุระอันใดฤา”

รอยยิ้มพิมพ์ใจจากพักตร์เทวจันทร์มักเป็นที่ต้องตาเสมอสำหรับเหล่าอัปสรา ไม่เว้นแม้แต่เมืองมนุษย์ อนงค์ใดได้สบเนตร เป็นศรรักปักอกทุกรายไป หัวใจดวงน้อยของมนสิชาเต้นไปตามจังหวะการกระพริบตาของศีตภาณุเทวินทร์

“เราถามเจ้าอยู่นะแม่หญิง มีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่”

“โอ้ค่ะ คือว่า ฉันมาตามคุณลงไปทานข้าวเที่ยงน่ะค่ะ มีข้าวผัดทะเลนะคะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือเปล่า แล้วก็มีซุปไข่น้ำร้อนๆ ด้วยค่ะ กลัวเย็นแล้วไม่อร่อยด้วย”

“แม่หญิงมีน้ำใจนัก แต่เรา... ทานมังสวิรัติ” ครั้นจะเอ่ยไปว่า ‘อิ่มทิพย์’ นางคงไม่เข้าใจนัก ทว่า การที่พระองค์จำต้องเชื่อมต่ออยู่ในเมืองมนุษย์เป็นระยะเวลานาน ก็ควรจะต้องรับอาหารถวายจากมนุษย์บ้างเช่นกัน เป็นการเชื่อมความหยาบและความเป็นทิพย์ จักช่วยให้พระองค์ดำรงกายมนุษย์ไว้ได้นานยิ่งขึ้น

“อุ้ยกินเจเหรอคะ งั้นเดี๋ยวฉันจะไปทำใหม่ให้นะคะ รอแป๊บเดียวค่ะ”

เธอให้เขาไปรออยู่ยังห้องนั่งเล่นก่อน เทวจันทราพิศดูความคับแคบของบ้านหลังเล็ก ไม่มีคนอื่นอยู่อีกนอกจากสองพี่น้อง ในห้วงคะนึงทรงสอบถามไปยังพระภูมิเจ้าที่ ก็ได้ความว่า บุพการีทั้งสองนั้นเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนจากอุบัติเหตุรถคว่ำ ตั้งแต่นั้นมากนต์ธรเป็นคนดูแลมนสิชาเองมาตลอด

‘วิบากกรรมของมนุษย์ช่างยากเข็ญยิ่งนัก’ องค์นิศากรมิเคยเยือนเมืองมนุษย์มาก่อน มิเคยได้รับรู้ความเป็นไปอย่างใกล้ชิด หทัยอ่อนไหวด้วยสงสารมนสิชาจับใจ พระองค์ยังมีทั้งพระบิดาและพระมารดาซึ่งเป็นนางอัปสรสวรรค์ บนสรวงมีเพียงความบันเทิงเริงรมย์ มิเคยมีเรื่องสะเทือนใจดั่งเหตุสดับฟังเมื่อครู่

“ได้แล้วค่ะ รอนานไหมคะ” ข้าวผัดกับไข่เจียวร้อนๆ มนสิชาอุตส่าห์เข้าครัวไปปรุงมาให้ใหม่โดยไม่อิดออดเลยแม้เพียงคำ

“มินาน” เทวจันทร์แย้มสรวล ชวนให้นางมนุษย์น้อยเผลอต้องมนต์หัวใจ

“อร่อยไหมคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าไม่อร่อย ฉันไม่ค่อยได้ทำให้ใครทานน่ะค่ะ พี่ชายก็มักจะทานข้าวนอกบ้านเพราะเวลากลับไม่แน่นอน ก็เลยปรุงตามรสชาติที่ตัวเองชอบ”

“มิต้องกังวลหรอก เรามิได้ยึดติด ขอแค่เจ้าถวายเราด้วยใจ เพียงนั้นเราก็ถือว่าเป็นอาหารทิพย์บริสุทธิ์”

คนฟังเงี่ยหูเข้าไปใกล้อีกนิด ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“กระไรหรือ”

“ทำไมคุณถึงพูดจาแปลกๆ ล่ะคะ ภาษาอย่างกับไม่ใช่คนในสมัยนี้ ฟังดูแล้วเหมือนคนสมัยก่อน หรือไม่ก็ในละครจักรๆ วงศ์ๆ น่ะค่ะ แต่คุณคงไม่ใช่นักแสดงหรอกใช่ไหมคะ หรือถ้าใช่ คงต้องฝึกพูดให้อินกับบทสินะ”

“ถ้าเราบอกความจริงกับเจ้า เจ้าจักตกใจหรือไม่”

“ความจริงอะไรหรือคะ” ก่อนที่มนสิชาจะได้คิดไปไกล รัศมิ์เรืองแรงสีทองอำพันก็บังเกิดเบื้องหน้าจนพร่าตา หญิงสาวกระพริบตาอีกครั้งก็ปรากฏศีตภาณุ ผู้เป็นเพื่อนของพี่ชายดังเดิม ทว่า การแต่งกายกลับเปลี่ยนไป มีเพียงสังวาลทองคำประดับแผงอกกว้างเปลือยเปล่า

“นามเต็มของเราคือ ศีตภาณุเทวินทร์ หรืออีกนัยหนึ่ง เราคือโอรสแห่งพระจันทร์นั่นเอง”






ริณแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2556, 13:53:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2556, 14:08:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1172





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account