ดีไซน์หัวใจ รักไร้แบบร่าง
เมื่อนักกฏหมายสาวมั่นเจ้าหลักการอย่าง "อนิสสา" เกิดจำใจต้องโดนบังคับรับมรดกของคุณป้าเป็นนิตยสารบันเทิงหัวเก่าแถมยังเชยสะบัด มันเลยต้องถึงเวลารีโนเวทเสียใหม่ แถมบรรดาคนงานก็เก่าและแก่ด้วยวัยรุ่นลุงรุ่นป้า เธอเลยต้องหาทางเดินหน้าแบบถนอมน้ำใจ แถมมีไฟท์บังคับว่าเธอจะรับคนงานใหม่ได้แค่ 3 คนไม่เกินนั้น

เรื่องราวเลยอลหม่านไปใหญ่เมื่อคอลัมนิสต์สาวเจ้ากราฟฟิคแถมเกลียดผู้ชายชีกอสุดๆ อย่าง "อัสสร" ต้องโคจรมาร่วมงานกับ "ปกรณ์" ช่างภาพหนุ่มหัวหน้าฝ่ายอาร์ตสุดตีสต์ที่แอบจีบเพื่อนร่วมงานสาวอย่างไม่ยอมให้เธอรู้ตัว

แถม "อนิสสา" ยังริอ่านตกหลุมรัก???? "ณพัฒน์" สถาปนิกหนุ่มหัวดื้อที่มาตกแต่งออฟฟิศให้ใหม่เข้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว.... แถมยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะคิดว่าเขาชอบเธอ???? หรือเปล่าเสียอีก...

งานนิตยสารรึก็ไม่เป็น บริหารคนก็ไม่เก่ง ยังต้องมาบริหารใจอีก... แบบนี้จะไหวไหมนะ....อนิสสา???
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4 สมาชิกใหม่

***หายไปเป็นสัปดาห์เพราะมัวทำโปรเจคหนึ่งอยู่... ตอนนี้กำลังเขียนตอนที่ 7 แล้วครับ
............

เปรมอรทานข้าวต้มกุ้งฝีมือประภัสสรเสร็จก็ขับรถกลับ แต่กว่าจะกลับได้ก็อ้อนแล้วอ้อนอีกกับแม่เพื่อนอย่างกับแม่ตัวเอง แต่ก็แน่ล่ะเพราะหญิงสาวไม่ได้อยู่พ่อแม่ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นเพราะผู้เป็นพ่อย้ายไปรับงานเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ประจำนิวยอร์กพร้อมกับพาแม่ไปด้วย เปรมอรในวัยมัธยมติดเพื่อนจนอิดออดที่จะไปเรียนต่อที่นู่น เธอกับปองพล—พี่ชายเลยอยู่เมืองไทยกันตามลำพัง ซึ่งปองพลก็เป็นเพื่อนสนิทกับเอกอาทิตย์อีกที

“แม่เล็กขา แพทกลับแล้วนะคะ” เปรมอรอ้อน

นางแบบคนสวยหอมแก้มลาแม่ของเพื่อนสาวก่อนกลับไปพร้อมชุดเสื้อผ้าของอนิสสา เจ้าของชุดให้ยืมใส่เพราะทนสภาพโทรมเหลือหลายของเพื่อนสาวไม่ได้หากจะปล่อยกลับไปทั้งชุดเดิม
อนิสสาโบกมือให้เพื่อนสาว โดยมีผู้เป็นแม่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“ขับรถช้าๆ นะหนูแพท” ประภัสสรเตือน
“แม่ขา” อนิสสาทำเสียงออดอ้อน ใช้สองมือรวบกอดเอวผู้เป็นมารดาจากข้างหลังแล้วก็ถูไถใบหน้ากับแผ่นหลังนั้น
“โอ๊ยๆๆๆ แม่จั๊กจี้นะยัยนิด” คนถูกกอดพยายามดิ้นให้หลุด แต่คนกอดยิ่งรัดแน่นเข้าไปใหญ่

กว่าจะแกะลูกสาวแสนซนออกจากตัวได้ คนถูกกอดก็เหนื่อยจนหอบ

“ซนพอกันทั้งลูกสาวทั้งเพื่อนลูกสาว” คนเป็นแม่เหน็บ
“อ๋อ... ป้าใหญ่เค้าโทรมาหาแม่เมื่อคืนนะ เค้าให้บอกเราว่าทำเอกสารราคาปรับปรุงออฟฟิศไปให้ป้าเค้าด้วย ป้าจะได้โอนเงินให้ แล้วก็อีกเรื่อง ป้าเค้าส่งงานเขียนเรื่องใหม่มาให้ทางเมล์แล้วนะลูก” ผู้เป็นแม่บอกเมื่อเพิ่งนึกได้
“ขอบคุณค่ะ” พูดจบอนิสสาก็ชิงขโมยกอดมารดาในท่าเดิมอีกจนโดนเอ็ด ก่อนที่เธอจะเตรียมเอกสารขึ้นรถแล้วบึ่งไปออฟฟิศเพราะเธอนัดสัมภาษณ์ไว้ตอนบ่ายนี้
.....................

ที่สำนักพิมพ์บันเทิงใจ สองสาวตรงโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกเงยหน้าขึ้นจากที่นั่งก้มอยู่ เมื่อมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าคลาสสิค รุ่นซี 50 สีบานเย็นเงาวับส่งเสียงเครื่องยนต์กระตุกต๊อกแต๊กขึ้นใกล้ๆ เจ้าของรถปลดสายรัดคางออกแขวนไว้กับก้านกระจก ตบเสื้อผ้าให้เข้ารูป โดยเฉพาะกระโปรงสั้นที่พยายามกระตุกรั้งลงมาปิดเรียวขา

เจ้าของรถชื่ออัสสร เกุตมณี วันนี้เธอมีนัดสัมภาษณ์งานที่นรีสารในตำแหน่งคอลัมนิสต์และกราฟฟิค โดยมีนัดสัมภาษณ์กับคุณอนิสสาและคุณปกรณ์

คนที่อัสสรจะต้องเจอนั่งอยู่ในออฟฟิศ อนิสสาให้เตรียมเก้าอี้ไว้อีกฟากโต๊ะ และให้ปกรณ์นั่งอยู่ไม่ห่างนัก วันนี้เธอมีนัดสัมภาษณ์ด่วนว่าที่พนักงานใหม่สามจากห้าคน

อัสสรนั่งกระสับกระส่ายรอเรียกสัมภาษณ์เป็นคนสุดท้าย ใบหน้ากลมผลัดแป้งรองพื้นบางผุดเม็ดเหงื่อพราวตรงไรผมเพราะความร้อน เม็ดหงื่อไหลย้อยลงข้างหู เธอนั่งหอบแฟ้มเอกสารตัวอย่างงานไว้กับอก เสื้อยืดคอกลมกว้างสีขาวทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำแต้มลายดอกไม้เล็กๆ กระโปรงเข้ารูปสีเขียวเป็นมันรั้งแน่นนั้นกระถดสั้นตามสภาพที่นั่งอยู่ จริงๆ แล้วนานครั้งที่อัสสรจะแต่งชุดแบบนี้เพราะมันไม่สะดวกกับการขับมอเตอร์ไซค์เอง

ชุดโปรดของเธอคือเสื้อโปโลสีเข้มกับกางเกงยีนส์ตะหาก

หญิงสาวส่งใบสมัครงานไปสิบกว่าบริษัทหลังจากไปสัมภาษณ์งานครั้งล่าสุด ก่อนจะถูกเรียกตัวสัมภาษณ์ที่นี่ เธอออกจากงานเก่ามาเกือบสองเดือนแล้ว เพราะโดนบีบจากอาร์ตไดเรกเตอร์ที่บริษัทเก่า ไอ้หมอนั่นพยายามทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด แต่เธอไม่เล่นด้วย พอไปสมัครที่ไหนก็มีแต่ให้กรอกใบสมัคร ไม่ก็เรียกสัมภาษณ์ทิ้งไว้ แต่ไม่เรียกทำงานเสียที สำคัญค่าใช้จ่ายที่ต้องกินใช้ทุกวัน จากเงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายก็หมดจนต้องยืมเพื่อนใช้จ่ายแล้วด้วย ถ้าที่นี่ไม่รับทำงานเธอก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาอย่างไร

“หนูจ๊ะ เชิญชั้นสามเลยจ้ะ” อุศเรศเดินมาเรียก

อัสสรเดินขึ้นบันไดไป สวนทางกับคนถูกสัมภาษณ์ก่อน

“สวัสดีค่ะ” อัสสรยกมือไหว้ สายตาที่มองคนสัมภาษณ์เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อตาตัวเอง—ผู้หญิงคนนี้สวยจัง แถมยังอายุน้อยแต่เป็นผู้บริหารแล้วเหรอ?
“สวัสดีค่ะ เชิญนั่ง” อนิสสาเอ่ยทักและรับไหว้ไว้
“ช่วยแนะนำตัวด้วยนะคะ” อนิสสายิ้มเป็นกันเอง

อัสสรใจชื้นมาเป็นกองเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสาวรุ่นราวใกล้เคียงตัวเอง ก่อนเอ่ยแนะนำตัวพร้อมเอาเอกสารงานที่ทำออกมาพรีเซนต์ไปพร้อม โดยใช้เวลาสัมภาษณ์อยู่เกือบยี่สิบนาที

“ขอบคุณที่มาสัมภาษณ์นะคะ” อนิสสากล่าว
“เอ่อ” อัสสรอึกอัก
“หือ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” คนสัมภาษณ์ถามเมื่อเห็นท่าทางของผู้มาสัมภาษณ์งาน
“คือ... จะว่าอะไรไหมคะถ้าจะถามว่านัสจะได้คำตอบสัมภาษณ์วันไหน?”

อนิสสาฟังคำถาม เธอจับสายตามองที่ใบหน้าอีกฝ่าย เหงื่อที่ผุดซึมบนหน้าผากจับเม็ดไหลลงมาทางข้างแก้ม สายตานั้นหลบต่ำด้วยความเกรงใจ ใบหน้าเล็กกลมก้มงุด
อนิสสาไม่ตอบอะไรครู่หนึ่ง จนคนถูกสัมภาษณ์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย

“รีบร้อนเอาคำตอบเหรอคะ?” เธอถาม อีกฝ่ายพยักหน้า
“งั้น... เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอบบ่ายฉันจะโทรไปแจ้งแล้วกันนะ” อนิสสาตอบ

อัสสรยิ้มออก คิดในใจว่าถึงไม่ได้อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องรอเหมือนที่อื่นๆ ที่รอแล้วรออีกก็ไม่ตอบกลับมา เธอยกมือไหว้ลาทั้งอนิสสาและปกรณ์ก่อนออกประตูไป

“ป้าจอมคิดว่าไหวไหมคะคนนี้ นิดถูกชะตานะ ตรงไปตรงมาดี” อนิสสาขอความเห็น
“ป้าว่าดูหัวแข็งยังไงไม่รู้ แต่ถ้าคุณหนูนิดชอบก็แล้วแต่นะคะ”
“แหม... ป้าคะ จะให้นิดตัดสินใจคนเดียวได้ยังไงคะ เค้ามาทำงานรับนิดคนเดียวที่ไหน ทำงานกับพวกเราทุกคน แต่นิดชอบจริงๆ นะ นิดมั่นใจว่ามองไม่ผิดคนหรอก” หญิงสาวพูดหนักแน่น
“ตกลงคุณหนูนิดรับคนนี้นะคะ” อนิสสาพยักหน้าตอบคำถามของปกรณ์
“ได้เด็กใหม่ๆ ไฟแรงๆ มาก็ดีค่ะ พวกป้ามันแก่จนตกยุคตกสมัยไปแล้ว จะได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงทันโลกเค้ามั่ง” เจ๊จอมออกความเห็นเชิงปรารภกับตัวเอง พร้อมกับลุกขึ้นเนื่องจากการสัมภาษณ์เสร็จหมดแล้ว
.....................

ที่ด้านล่างปกรณ์นั่งเล่นบนรถมอเตอร์ไซค์สีบานเย็นของอัสสร วันนี้เขามาพบอนิสสาตามคำสั่งของศรีสมัยผู้เป็นป้า พอมาถึงก็เห็นว่าคนที่จะต้องเจอติดสัมภาษณ์อยู่ เขาเลยลงมานั่งเล่นรอที่หน้าตึก

ชายหนุ่มกำลังนึกอยากซื้อรถใหม่อยู่พอดี แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ พอเห็นเจ้าสองล้อคันนี้จอดอยู่ก็เลยนึกอยากสำรวจดูซักหน่อย แล้วก็คิดว่าของเป็นรถใครสักคนในออฟฟิศบันเทิงใจ ว่าแล้วก็ลองขึ้นทำท่าขี่ดู ก่อนนั่งลงก้มๆ เงยๆ พิจารณาเครื่องยนต์ว่าเป็นรุ่นไหน

“ทำไรน่ะ!! จะขโมยรถเหรอ?!!” อัสสรเดินผ่านประตูผลักออกมาก็พอดีเหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งยองๆ หันหลังอยู่ข้างรถตัวเอง เธอตะโกนทันที

คนกำลังดูอยู่ตกใจ หันกลับหลังมาโดยไม่ทันระวังก็เลยกระแทกสีข้างเข้ากับรถที่ดูอยู่จนล้มฟาดใส่ม้าหินอ่อน

“กรี๊ดด.. รถช้านนนนน” อัสสรร้องเสียงหลง

เจ้าของรถวิ่งพรวดมาผลักคนทำล้มเต็มแรงจนกระเด็น ปกรณ์เองไม่คาดว่าจะเป็นแบบนี้เลยไม่ทันตั้งหลัก ล้มลงไปทั้งกระเป๋ากล้องสะพานหลังเสียงดังอัก

“ซวยแล้ว กล้องแตกเปล่าวะเนี่ย???” ชายหนุ่มรีบเปิดกระเป๋ากล้องดูทันที ส่วนอัสสรพยายามดึงรถขึ้นตั้ง
น้ำหนักรถไม่มากแต่สภาพการแต่งเนื้อแต่งตัวของหญิงสาวทำให้มันลำบากจะยก ระหว่างนั้นเธอก็เห็นว่ารถสีบานเย็นสุดรักถลอกเป็นทางยาวที่ตัวรถ ปกรณ์เองก็รีบพลิกหน้าพลิกหลังดูกล้องตัวโปรดอย่างรวดเร็ว ปรากฎว่าบอดี้เลนส์ EF 50 ตัวเก่งปากเลนส์บิ่นแตกเป็นเสี้ยวเล็ก

“นาย/เธอ” สองคนหันควับกลับมาประจันหน้า ต่างชี้นิ้วใส่หน้ากันและกัน

ยังไม่ทันจะโวยวายอีกฝ่าย แท็กซี่คันหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก็ถูกกดแตรเสียดังลั่น แรงเบรกห้ามล้อลากรถมาหยุดกึ๊กตรงที่สองคนอยู่แบบหมิ่นเหม่ ใจที่กำลังโกรธหล่นตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม มือที่กำลังชี้หน้ากันอยู่เมื่อกี้ของปกรณ์เปลี่ยนเป็นกระชากตัวอีกฝ่ายมากอดโดยสัญชาตญาณ อัสสรเองก็หลับตาปี๋ซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอด

อารมณ์ในอ้อมกอดยังไม่ทันทำงานตามบทโรแมนติก เพราะมันแค่ชั่วอึดใจเดียวที่สติของอัสสรขาดหาย พอมันกลับมาคืน เธอรีบผลักให้ตัวเองหลุดจากวงแขนที่กอด

“เพี้ยะ!!” ฝ่ามือบางถูกเกร็งเต็มที่ สัมผัสเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มแก้มอีกฝ่ายจนเสียงสนั่น ปกรณ์หน้าสะบัดตามแรงฟาดเต็มกำลัง หน้าชาดิก
“อูยยยยยย” ปกรณ์เอามือกุมหน้าตัวเอง
“ไอ้เลว ไอ้...ไอ้...ฉวยโอกาส” อัสสรตะหวาดสุดเสียง แล้วเธอก็รีบยกรถขึ้นเพื่อเข็นหนีไปจากตรงนั้น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งอาย ส่วนชายหนุ่มยังมึนๆ งงๆ เพราะฤทธิ์ฝ่ามือเล็กๆ นั่น
“คุณๆ เป็นไรหรือเปล่าคะ” คนลงมาจากรถแท็กซี่ละล่ำละลักถาม

คำถามลงหางเสียงด้วยคำว่าคะค่ะ แต่ที่ชายหนุ่มเห็นตอนเงยหน้าขึ้นมาคือ คนถามเป็นผู้ชายท่าทางตุ้งติ้งอย่างเปิดเผย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเทาฟิตเข้ารูปกับร่างกายที่ผ่านการฟิตเนส กับหน้าเนียนใสเด้ง แขนล่ำยื่นมาหมายฉุดคนที่กองอยู่กับพื้นขึ้น แต่นั่นทำเอาปกรณ์ถอยกรูดทั้งที่กองอยู่กับพื้น

“มะ...ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” ปกรณ์รีบตอบและลุกขึ้นยืนอย่างกับติดสปริงส์
“ไม่เป็นไรแน่นะคะ” น้ำเสียงพยายามหวานไถ่ถาม แถมตัวคนถามก็ขยับเข้าใกล้
“ครับ” ชายหนุ่มตอบไปขยับถอยไป

เสียงดังเมื่อกี้ทำเอาคนแถวนั้นพากันออกมามุ่งดู ปกรณ์หันซ้ายหันขวามองหาคู่กรณีแต่ตอนนี้หายตัวไปแล้ว ส่วนชายหัวใจสาวมองเห็นคนที่ออกมาจากออฟฟิศก็แล่นไปหาทันที

สองชายไม่เต็มชายกอดกันกลมด้วยความดีใจเป็นภาพที่น่าขบขันในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับชายหนุ่มผู้มีสายตาไว้มองเฉพาะนางแบบสาวๆ แบบปกรณ์แล้วมันน่าสยดสยองเป็นที่สุด

ศรีสมัยออกมาจากออฟฟิศหลังใครเห็นหน้าหลานชายก็ส่งเสียงอุทานเรียกชื่อออกมา ปกรณ์เห็นผู้เป็นป้าพอดี และปกรณ์ที่กอดกันอยู่กับคนรู้จักต่างก็นึกว่าเรียกตัวเอง

“ครับ/จ๋า” สองเสียงขานพร้อมกัน ก่อนรู้สึกตัวจนสะดุ้งโหยง
“ยัยจอม ชั้นเรียกปกรณ์--หลานชายชั้นย่ะ ไม่ได้เรียกหล่อน” ศรีสมัยรีบบอกทั้งขำ
“ก็เห็นเรียกปกรณ์ๆ ก็นึกว่าเรียกชั้นนะสิป้าศรี ไม่รู้นิก็เล่นมาชื่อเหมือนกัน”
คำพูดของปกรณ์ทำเอาทุกคนหัวเราะร่วน มีแค่ชายหนุ่มช่างภาพเท่านั้นที่หน้าบอกบุญไม่รับ
....................

ช่างภาพหนุ่มเดินตามผู้เป็นป้าไปพบอนิสสาที่ห้องทำงาน หญิงสาวกำลังเปิดแฟ้มผลงานที่ปกรณ์ฝากผู้เป็นป้ามาให้ดูล่วงหน้า บนปกแฟ้มมีนามบัตรผู้เป็นเจ้าของผลงาน “ปกรณ์ พูลพนัสศิลป์” ช่างภาพอิสระ

อนิสสาพยายามนึกภาพช่างภาพในแบบที่เธอเคยเห็นในทีวี น่าจะมีท่าทางมั่นใจในตัวเองสูงจนออกแนวเย่อหยิ่ง จองหองหน่อยๆ เจ้าอารมณ์แล้วก็เข้าใจยาก เธอนึกภาพวันที่ไปดูเปรมอรถ่ายแบบ พวกทีมช่างภาพที่ถ่ายภาพเพื่อนสาวเต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย แต่ท่าทางก็ดูเป็นมืออาชีพกันทุกคนหากว่าเธอคิดว่านั่นคือลักษณะของช่างภาพมืออาชีพ นายปกรณ์คนนี้จะคล้ายๆ กันหรือเปล่าก็ไม่รู้

“สวัสดีครับคุณอนิสสา” คำทักทายนั้นออกจากปาก แต่พออนิสสาเงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม สายตาของปกรณ์กลับมองอีกฝ่ายไม่วางตาแถมยังสติหลุดจากตัว

โดนจ้องแบบนี้อีกคนแล้วเหรอเนี่ย—อนิสสาคิดในใจ

“คุณ... คุณ... คุณปกรณ์” อนิสสาเรียก
“อั๊ก” เสียงนั้นร้องออกมาเพราะศรีสมัยที่เดินตามมาทุบหลังเข้าให้
“ไอ้กร... คุณหนูนิดเค้าเรียกตั้งหลายทีแล้ว” ศรีสมัยบ่น ส่วนอนิสสาหัวเราะขัน
“ตกลงคุณปกรณ์จะคิดค่าแรงยังไงคะ?” หญิงสาวถาม
“เรียกพี่กรก็ได้ครับ” ข่างภาพหนุ่มพยายามทำเสียงเข้มหล่อ
“ส่วนค่าจ้างค่าแรงน้องนิดจะจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่ว่าครับ” ปกรณ์ตอบเพิ่มพร้อมกับตีสนิทหญิงสาวทันที ท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยของปกรณ์เรียกฝ่ามือของผู้เป็นป้าให้หวดลงหลังศีรษะอย่างอดไม่ได้
“ไอ้กร ไอ้นี่ลามปามนะแก คุณนิดเค้าเป็นเจ้านายนะเว้ย! เดี๋ยวตีให้ตายเลย” พูดเสร็จก็เงื้อมือขึ้นอีก
“โอ๊ยๆๆๆ ป้าพอแล้ว ผมล้อเล่นนะครับ ผมล้อเล่น” ปกรณ์รีบออกตัว แต่ที่จริงก็แอบพึงพอใจในเจ้านายคนใหม่อยู่เหมือนกัน ก็ธรรมดาล่ะนะในเมื่ออนิสสาสวยน้อยเสียเมื่อไหร่
“ตกลงว่าพี่กรจะให้นิดจ้างแบบรายครั้งหรือแบบไหนดีคะ?” อนิสสาถาม
“ขอบคุณที่เรียกพี่กรนะครับน้องนิด” คนถูกถามยังคงหยอดด้วยคำพูด เลยโดยหยิกจากมือของผู้เป็นป้าจนสะดุ้งโหยง
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวป้าเอาเจ้านี่ไปคุยเรื่องค่าแรงเองนะหนูนิด รับรองว่าปากไม่ดี นิสัยไม่ดีแบบนี้ ป้าไม่ให้มากินค่าจ้างแพงๆ แน่” ศรีสมัยรีบบอก พร้อมกับกระชากแขนหลานชายตัวดีให้ลุกขึ้น

อนิสสาหัวเราะขำขัน มองดูสองคนป้าหลานง้องแง้งใส่กันจนออกจากห้องไป เธอมั่นใจว่าถึงพฤติกรรมภายนอกของช่างภาพคนนี้จะดูเจ้าชู้ไก่แจ้ แต่ไม่รู้สึกเลยว่าจะเป็นไปอย่างที่แสดงออกกับเธอจริงๆ
....................

ส่วนที่ชั้นล่าง อีกหนึ่งปกรณ์กำลังแนะนำผู้มาหาตัวเองต่อคนอื่นๆ ว่าชื่อสถาพร เป็นเพื่อนรุ่นน้องร่วมคอนโดที่ตัวเองอยู่ และบอกเป็นคนที่จะดึงมาช่วยงานในออฟฟิศอีกคนหนึ่งเพื่อเริ่มต้นการกลับสู่นิตยสารยอดฮิตอีกครั้ง

คนในออฟฟิศล้อมวงเข้ามาร่วมพูดคุยกับคนมาใหม่

สถาพรนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ยาวโดยมีปกรณ์นั่งประกอบข้าง สองคนพี่น้องนอกจากจะแต่งกายคล้ายๆ กัน อากัปกิริยาก็ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

สถาพรนั้นยังไม่ได้มาทำงานตอนนี้ แต่มาตามนัดพูดคุยกันอนิสสาตามที่ปกรณ์ได้ติดต่อไว้ล่วงหน้า เธอเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นหัวดังของเมืองไทย นอกจากนี้ยังถนัดงานวงการบันเทิงด้วย โดยเฉพาะเรื่องกอสซิบนินทา ข่าวลือและข่าวงในทั้งหลาย ตามนิสัยเข้ากับผู้คนง่ายและคุยกับใครก็สนุกสนานลัลล้า

แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยค ห้องทำงานชั้นสองก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังๆ จนป้าสมพิศที่อายุเยอะกว่าเพื่อนต้องเบรคให้เบาเสียงลง



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2556, 13:28:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2556, 13:28:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 868





<< ตอนที่ 3 เกือบไป   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account