ในทิวากาล>The Morning Light
ไท หนุ่มเจ้าของบาร์ที่เชียงรายผู้เลิกศรัทธาในความรัก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อเขาได้มาเจอกับนุช หญิงสาวรุ่นพี่ที่เคยพบกันในงานมินิแฟชั่นโชว์ เขาชอบเธอและเก็บเธอไว้ในใจมานาน ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าเธอนั้นมีคนอื่นอยู่แล้ว เธอมีคู่หมั้นคู่หมายที่รักกันมาก จนวันหนึ่งไทได้รู้ว่านุชถอนหมั้นและหนีมาเชียงราย เขาจึงเข้าไปช่วยเยียวยาหัวใจโดยไม่ได้บอกกล่าวทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ศรัทธาและไม่เชื่อมั่นเลยว่ารักนั้นจะสมหวัง เมื่อหัวใจสองดวงโคจรมาเจอกันในสภาพที่อ่อนแอ สองหัวใจต่างเยียวยากันและกัน เส้นทางความรักของทั้งสองเริ่มขึ้น ในแสงแห่งทิวากาล
Tags: หนุ่มเซอร์ สาวสวย ความเศร้า

ตอน: ในทิวากาล>3

“ไท”
“หะ!!”
“มาซื้อของเข้าร้านเหรอ”
ผมเออออ อ้ำอึ้ง ชูของให้ดู ทั้งๆที่ถุงนั้นมันหนักใช่ย่อย แต่ผมยกขึ้นมาถึงระดับปลายคางตัวเองเลยทีเดียว ตัวผมสูง 183ซม. คุณคิดว่าระดับคางของผมสูงขนาดไหนล่ะ
“พี่นุชมาถึงเมื่อไหร่ ออกกรุงเทพมาทำไมไม่บอกกันบ้างจะได้ไปรับ”
เธอยิ้ม รอยยิ้มอันหวานตรึงใจที่ผมไม่เคยลืมเลยตั้งแต่พบกันครั้งแรก แม้เธอจะดูอ่อนเพลียจากการเดินทาง แต่รอยยิ้มเธอยังดูสดใส “นาถไปรับน่ะ พึ่งมาถึงตอนสายๆ เห็นไทเปิดร้านดึกทุกวัน พี่กับนาถคงไม่อยากกวน”
“กวนได้ซิ”ผมรีบตอบ
เธอหัวเราะ “อย่ามา ดูสภาพก็รู้ว่านอนน้อย”
มือขวาที่ว่างอยู่ของผมยกขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองโดยอัตโนมัติ มันทำให้เธอยิ้มอีก
“มาคนเดียวเหรอ”
“อืม เดินมา”
“หือ”
“เดินมาจริงๆ”เธอยืนยันพร้อมรอยยยิ้มที่แทบทำให้ผมละลาย
“เดินมาจากไหนเนี่ย”
“สตูดิโอของนาถ”
“ก็ไกลอยู่ดี”
“ไม่เป็นไร อยู่กรุงเทพก็เดินจนชินแล้ว”
ผมพยักหน้า “แล้วได้อะไรยัง มาเดินตลาดเนี่ย”ผมพยายามบังคับอาการและเสียงตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น ผมไม่รู้ว่าเสียงและอาการของผมมันดูเหมือนคนตื่นเต้นไหม แต่ข้างในผมมันเต้นอึกทึกเหมือนมีกลองศึกกระหน่ำรัวอยู่ในข้างใน
“หิวอ่ะ แต่ยังไม่ได้อะไรเลย”
“ไปกินข้าวกับไทไหม”ผมชวน คำชวนนั้นออกมาโดยที่ผมไม่ทันได้คิดเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าผมพูดคำนี้กับเธอมาเป็นล้านครั้งแล้ว ความกลัวเริ่มจับหัวใจผม บีบคั้นให้มันเต้นติดๆขัดๆ แท้จริงแล้วผมกลัวที่จะได้อยู่ใกล้ๆเธอและทำอะไรบ้าๆ เปิ่นๆต่อหน้าเธอ ผมมักจะเป็นแบบนั้นเสมอ และแน่นอนว่ามันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผมยังคงกลัวอยู่ และแอบหวังว่าเธอจะปฏิเสธคำชวนครั้งนี้เสีย แม้ใจจริงแล้วผมจะอยากอยู่ใกล้เธอให้นานและมากที่สุดตั้งแต่พบกันครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว
“ไปก็ได้ ไปที่ไหน”
“ไปที่ร้าน….ก่อนก็ได้ ไทจะเอาของไปเก็บก่อน”
“ไม่ทำให้พี่กินเลยล่ะ”
“หะ!!!”
“ยังไม่เคยกินกับข้าวฝีมือไทเลย”
“แน่ใจเหรอ”
“แน่ใจซิ มีอะไรต้องซื้ออีกไหม ไปซื้อด้วยกัน พี่อยู่กรุงเทพไม่เคยเห็นผู้ชายจ่ายตลาด”
หัวใจผมหล่นเต้นตึกตัก มันเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะก่อนหน้านี้แล้วเริ่มเต้นรัว ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยชวนผมแบบที่เธอชวน ไม่เคยเลยจริงๆ

ขนนกที่ปลิวไปกับกระแสลม เกสรดอกหญ้าที่ถูกลมพัดกระจายอบอวลในอากาศ มวลเมฆที่ม้วนเป็นรูปร่าง พลิ้วไหวอยู่กลางท้องฟ้า คงไม่ต่างจากหัวใจผมตอนนี้ มันหลุดลอยไปแล้ว ลอยไปกับรอยยิ้มของเธอที่ทาบทาหัวใจ รอยยิ้มที่ตรึงหัวใจผมเอาไว้กับเธอในทุกเวลาที่ผมมองเธอ…ไม่ว่าตัวจริงหรือในรูปภาพ รอยยิ้มเธอเหมือนมีดแห่งความสุขที่กรีดลงบนหัวใจผมและสร้างรอยแผลเป็นแห่งความสุขที่ไม่อยากจะลบเลือน เธอน่ารักขึ้นอีกหลายเท่ายามที่เธอยิ้ม และผมไม่เคยลืมเลือนมันเลย
ยามที่เธอหันมาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ตอนที่ผมกำลังเลือกซื้อของ ผมตอบเธออย่างประหม่า เห็นแม่ค้าพ่อค้าที่รู้จักและเห็นหน้ากันประจำอมยิ้ม
“ไง ไท ซื้อเยอะไหมวันนี้”พี่รอดขายกับข้าวถามผม แกกับผมเล่นฟุตบอลด้วยกันมาเกือบสิบปีแล้ว ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กมัธยมอยู่เลย
“ไม่เยอะหรอกพี่รอด ขายดีไหมวันนี้”
“ก็ได้อยู่”แกลูบศีรษะที่เริ่มล้านของแกแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับผมแล้วหันไปชี้ที่เธอ
“แฟนใหม่เหรอไท”
ผมอึ้ง หันมองเธอ เธอเองดูตกใจระคนแปลกใจกับคำถามอยู่เหมือนกัน
“ไม่ใช่…พี่รอด”ผมรีบปฏิเสธทั้งที่ในใจก็คิดอยากตอบคำตอบที่ตรงข้ามกัน
“อย่าโกหกน่า”แกยังต่อ มือก็มัดถุงกับข้าวไปพลาง
“รีบๆเอาแหนมให้ผมเถอะ ผมรีบ”ผมรีบเสไปเรื่องงาน
แกหัวเราะ “เออๆ อ่ะ นี่แหนมของแก”
ผมรับมาและควักเงินจ่ายแกก่อนจะชวนเธอออกมา ด้วยความประหม่าหรือสิ่งใด ผมเองไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้แต่เพียงว่า ผมพาเธอเดินมาถึงรถในเวลาอันรวดเร็ว เร็วกว่าปกติที่ผมเคยเดินเสียด้วยซ้ำ

ผมอยู่เชียงรายมายี่สิบกว่าปี พึ่งเคยเห็นเชียงรายรถติดก็ปีนี้เอง มีการแข่งขันกันของสองขั้วการเมืองสูงที่นี่ ต่างฝ่ายต่างพยายามทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเอาใจประชาชน เช่นทำถนน ซ่อมท่อ นั่นทำให้เมืองเชียงรายที่มีแต่ตรอกซอกซอยและถนนซับซ้อนเต็มไปด้วยรถรา ถนนสายหลักใช้การไม่ได้เพราะการกั้นถนนเพื่อก่อสร้างใหม่ ทั้งยังมีนโยบายการเมืองที่เอื้อต่อคนรุ่นๆผมที่อยากมีรถใหม่มาขับอวดโฉม เผาผลาญน้ำมันเล่น ทีนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่รถยนต์วิ่งละลานไปหมด
ปกติผมเป็นคนขับรถเร็วและห้าว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แต่พอเธอนั่งซ้อนรถผมเท่านั้นล่ะ พฤติกรรมการขับรถของผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ผมขับรถชิดฝั่งซ้ายไปช้าๆ ของที่ซื้อมาจากตลาดไม่ได้หนักอะไร และเธอที่นั่งซ้อนข้างหลังก็ด้วย ผมมารู้ว่าตัวเองขับช้ามากเมื่อเธอสะกิดไหล่ถามว่าทำไมผมถึงขี่ช้านัก
“ผมอยากให้พี่นุชดูนั่นดูนี่บ้าง”ผมแถ
เธอหัวเราะ “ไว้ไทค่อยพาพี่มาดูก็ได้ มาทีไร เที่ยวแต่น้ำตก เบื่อแล้ว”
“งั้น…เดี๋ยวผมจะพาเที่ยวเอง”ผมรีบเสนอ
“ได้…”เสียงของเธอสดใส แม้ความรู้สึกของผมจะบอกว่ามีความอ่อนเพลียเจืออยู่ แต่ก็ยังสดใสสำหรับผม
“เริ่มวันนี้เลย ถ้าพี่นุชไหว”
“จะพาไปไหนล่ะ ทำงานไม่ใช่เหรอ”เธอจับเอวผม ผมสะดุ้งและประหม่าแต่ก็ข่มใจตัวเองเอาไว้ละบังคับรถให้ดูเหมือนผมไม่ได้ตื่นเต้น ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย แม้ผมจะเคยผ่านผู้หญิงมาบ้าง แต่ไม่เคยมีอาการแบบนี้สักครั้ง
“ไว้ผมขอคิดก่อน”ผมตอบคำถาม
“อย่าคิดนานนะ เดี๋ยวพี่จะง่วงซะก่อน”
ผมหัวเราะด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ในหัวพยายามรวบรวมสมาธิตัวเอง และดึงตัวเองกลับมาที่การขับรถและถนนอันแน่นขนัดเพราะจราจรติดขัด ตามองไปยังทางข้างหน้า ผมภาวนาขอให้ถนนจากตลาดไปร้านยาวกว่านี้และตัวเองเลิกเขินที่ได้อยู่กับเธอสักที


ตอนที่ผมพาเธอไปถึงบาร์ ลูกน้องของผมทำการเปิดบาร์เรียบร้อยแล้ว ผมหิ้วของเข้าไปเก็บในครัว เธอช่วยถือของเบาๆไปสองสามอย่าง ลูกน้องมองสาวสวยที่ตามเจ้านายมาอย่างประหลาดใจ
“แฟนใหม่อ้ายไทกา” เอก ลูกน้องชาวไทยใหญ่ของผมถาม
“ไม่ใช่ ไอ้นี่นิ”
เอกหัวเราะเอิ๊กๆ “จะไปมาจุ๊โผม ผมรู้น่า”
ผมหน้าหงิก “เดี๋ยวพัดเลย ไอ้นี่” ผมได้ยินเธอหัวเราะเบาๆอยู่ข้างหลังเลยหันมา “ไปเหอะพี่นุช ไปหาที่นั่ง กินน้ำรอไปก่อน อยากกินอะไรบอก เดี๋ยวจะทำให้กิน”
“ฮั่นแน่”เอกยังไม่เลิก
ผมหันไปทำตาขวาง อาจเพราะความเขินด้วย “แกหุงข้าวหรือยัง”
“หุงแล้วๆ”ลูกน้องจอมกวนตอบ
“เออ เดี๋ยวมาทำกับข้าว”
เราสองคนเดินออกมาจากครัว เราแทบไม่พูดอะไรกัน ผมปัดโต๊ะที่ปูผ้าปูโต๊ะใหม่ๆและยังสะอาดอยู่ เธอนั่งลง ผมยังยืนอยู่ข้างโต๊ะ
“กินอะไรดี”
“อะไรก็ได้”เธอตอบ “เอาให้อร่อยๆก็พอ”
“อืม…ได้”
ผมยิ้มให้เธอ เธอยิ้มตอบ สีหน้าเธอดูเหนื่อยเหมือนเดิม การที่ไม่ได้แต่งเติมหน้าด้วยเครื่องสำอางของเธอ ทำให้ผมเห็นรอยคล้ำใต้ตา ยิ่งผิวของเธอหมดใสและขาว แม้ไม่ขาวมากแต่ก็ขาวกว่าผิวของผมที่เป็นสีแทนจนเกือบเป็นคล้ำ และนั่นทำให้รอยนั้นยิ่งเห็นชัด
“ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย ตาคล้ำเชียว”ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ที่จะทักเรื่องรอยคล้ำใต้ตาของเธอ
“ป่าวนะ”
ผมยิ้มให้เธอแล้วเดินเข้าไปในครัว โดยไม่ลืมเปิดเพลงที่เธอชอบไว้ให้ตามที่ผมรับรู้มาจากเธอเมื่อครั้งที่พบเจอกันครั้งแรก
“เพลงนี้ชอบ”เธอบอกไล่หลังผมมา

ผมอยู่ในครัวอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมง เด็กๆที่ร้านทยอยยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ผมไม่ลืมทำเผื่อลูกน้องของผมด้วย แม้พวกเขาจะทำกันเองได้ แต่ผมก็ใจดีทำให้ แน่ล่ะวันนี้ผมใจดีเป็นพิเศษเพราะการมาของเธอ ลูกน้องทุกคนรู้ดีและไม่วายแซวผมตอนผมทำกับข้าวอย่างสุดท้ายเสร็จ

เธอเอ่ยปากชมฝีมือทำกับข้าวของผมพลางตักกับข้าวใส่จานตัวเอง ผมมองเธอ ลึกๆข้างในผมดีใจจนอธิบายกับตัวเองไม่ถูก ผมตักกับข้าวทีละอย่าง ตามองเธอที่กำลังเอร็ดอร่อยกับทุกอย่างตรงหน้าโดยไม่กลัวว่าตัวเองกินเข้าไปแล้วจะอ้วนไหม ผมเขี่ยข้าวในจานเหมือนคนที่อิ่มแล้ว ใช่ซิ…ผมอิ่ม อิ่มอกอิ่มใจกับช่วงเวลานี้ อยากหยุดนาฬิกาทุกเรือน อยากหยุดเวลาของโลก อยากหยุดพระจันทร์ที่กำลังจะขึ้นอวดโฉมบนฟ้า เพื่อจะรักษาช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
“ไม่กินล่ะ อร่อยดีออก”
“เอ่อ….”
“เป็นอะไร”
“เปล่าๆ”
เธอเลิกคิ้วมอง “กินซะ จะได้มีแรงพาพี่ไปเที่ยว”
ผมเริ่มกินตามคำบัญชา เราสองคนกินกันเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงช้อนกับส้อมที่สะกิดกับจานเซรามิค
“ลูกค้ายุ่งไหมที่ร้าน”เธอถาม ผมมองเธอที่วางช้อนแล้ว
ผมพยักหน้า “บางวันน่ะ”
“วันนี้จะเยอะไหม ถนนโล่งๆแล้วนะ”
“ดีแล้วล่ะ ที่มันโล่ง”
เธอมองหน้าผมอย่างประหลาดใจ “ทำไมอ่ะ”
“ไทจะได้มีเวลาพาเที่ยวไง”
เธอหลับตาพริ้ม ยิ้มให้ ผมแทบจะกองลงตรงนั้น นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ ครั้งสุดท้ายคือวันที่บอกลากันก่อนทุกคนจะแยกย้ายกลับบ้านเมื่อแฟชั่นโชว์ครั้งที่แล้ว เกือบปีมาแล้ว รอยยิ้มเธอไม่เหมือนใคร ทุกคนมีรอยยิ้มสวย ผมยอมรับ แต่เธอคนนี้มีรอยยิ้มที่มีพลังบางอย่างที่สะกดผมได้อย่างอยู่หมัด ความรู้สึกของผมคิดเปรียบเทียบด้วยความถนัดส่วนตัวของตัวเองว่าถ้าเป็นฟุตบอล เธอคงเป็นกองหน้าที่จบสกอร์ได้อย่างง่ายดายหรือเป็นกองหลังที่ไม่เคยมีกองหน้าคนไหนผ่านได้ หากจะให้สวยงามและอิ่มเอมใจ เธอคงเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาพร้อมความงดงามที่มีมนต์สะกดให้เราต้องมองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ถ้าไม่ถูกใจนะ พี่จะหนีกลับเลย”เธอขู่
ผมสำลักข้าว ฝืนกระเดือกทั้งหมดลงคอ “รับรองพี่จะไม่อยากกลับแน่นอน”ผมรีบตอบ
เธอหัวเราะ “จะคอยดู” เธอพูดแล้วหยิบหนังสือแต่งบ้านที่อยู่บนบาร์ข้างหลังเธอมาอ่าน ผมก้มหน้าก้มตาพยายามกิน แต่ดูเหมือนตัวเองจะอิ่มเสียแล้ว ในขณะที่เธอตั้งใจอ่าหนังสือ ผมถือโอกาสดื่มน้ำเสียสองแก้วเต็มๆ
“บ้านนี้สวยดีนะ หลังเล็กน่าอยู่”เธอเอาบ้านที่อยู่ในหนังสือให้ผมดู
“อืม ชอบบ้านแบบนี้”
“ผมชอบเหมือนกัน”
“เสียดายที่…..”
ผมมองเธอเมื่อเธอไม่พูดต่อ สีหน้าเธอเปลี่ยนไป รอยยิ้มของเธอหายไปในหลุมดำของอะไรสักอย่างก่อนจะกลับมา แต่ไม่ใช่รอยยิ้มสดใสเหมือนก่อนหน้านี้
“เสียดายอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอก ไทอิ่มยัง”
“ผมอิ่มละ”ผมบอกทั้งๆที่ข้าวเต็มจาน
“อย่าโกหกน่า”
“อิ่มจริงๆ”ผมยืนยัน
สายตาเธอเหมือนค้นหาคำตอบ แต่แล้วเธอก็ละสายตาจากผม ผมลุกขึ้นเก็บจานชามบนโต๊ะ
“เดี๋ยวช่วย”เธอบอกเมื่อผมจะเก็บเองทั้งหมด
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเอง เป็นหน้าที่ผู้ชาย”
“อ้อ ผู้ชายเค้าทำแบบนี้กันด้วยเหรอ”
ผมส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เธอ มันคงเป็นยิ้มที่ไม่สวยเหมือนเคย(ผมคิดว่าผมยิ้มไม่สวยเอามากๆ)
“ผมทำ แต่คนอื่นนี่ผมไม่รู้เหมือนกัน”
ผมยกทุกอย่างเข้าไปในครัวเพื่อรอให้ลูกน้องล้างและเหลือทิ้งไว้เพียงโต๊ะว่างเปล่ากับแก้วน้ำของเธอ ในหัวของผมกำลังคิดถึงถ้อยคำที่เธอตัดออกไป แต่แล้วก็เลิกคิดเสียเมื่อเห็นลูกน้องทำงานและถามเรื่องงานอื่นที่จะให้ทำ





สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ส.ค. 2556, 04:22:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ส.ค. 2556, 04:22:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 914





<< บทกวีคั่น>สมุดบันทึกแห่งความรัก   บทกวีคั่น>รักครั้งแรก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account