หวานรักในลมหนาว
หวานรักในลมหนาวเป็นหนึ่งนิยายใน ชุดลัดฟ้าไปหารัก โปรเจ็กล่าสุดของ สนพ.กรีนมายด์ค่ะ โดยธีมเรื่องจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยลาฌีนุสได้เลือกประเทศภูฏานและญี่ปุ่นมาเป็นโจทย์ความรักในครั้งนี้ของพระ-นาง สไตล์เรื่องจะเป็นแนวรักหวานๆ ค่ะ

ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ

+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
Tags: หวานรักในลมหนาว,ภูฎาน

ตอน: บทที่ 5 บังเอิญหรือพรหมลิขิต?

บทที่ 5 บังเอิญหรือพรหมลิขิต?



1 ปีต่อมา

สายการบินดรุ๊กแอร์กำลังนำเครื่องลงจอดที่สนามบินพาโร ประเทศภูฏาน ผู้โดยสารสาวในชุดเสื้อยืดสีเทาสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีชมพูอ่อนขนมิงค์นั่งมองข้อความบนกระดาษที่จดเอาไว้หลังจากที่ได้รับอีเมลจากเพื่อนให้มาช่วยงานแต่งงานของญาติผู้พี่ของเธอ

สิ่งที่เธอจดไว้บนกระดาษคือเลขทะเบียนรถ 3 ตัวสุดท้ายและชื่อของคนที่ทำหน้าที่มารับเธอที่สนามบินเพื่อพาไปส่งที่บ้านของเพื่อนรักเนื่องจากไม่สะดวกมารับเองเพราะกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานญาติที่เธอถูกขอร้องให้มาช่วยแต่งหน้าเจ้าสาวและบรรดาญาติผู้หญิงอีกเกือบ 10 คน

925 ซันเก

มือเรียวปลดเข็มขัดนิรภัยหลังจากที่เครื่องบินเข้าสู่รันเวย์เรียบร้อย ก่อนจะยืนขึ้นหยิบกระเป๋าเดินทางที่ติดตัวมาเพียงใบเดียว ใบหน้าหวานยิ้มให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ตอนนี้เธอกำลังนึกถึงเพื่อนสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบปี กำลังคิดว่าหากเจอหน้ากันสิ่งแรกที่จะทำคือเข้าไปหยิกแก้มอิ่มของเพื่อนแรงๆ แล้วค่อยสวมกอดด้วยความคิดถึง

ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของหญิงสาวแตะพื้น เธอก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอเริ่มต้นท่องเที่ยวไปในที่ๆ ไม่คุ้นเคยเป็นครั้งแรก ชนมนยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก ทั้งที่เมื่อหลายปีก่อนภูฏานนับเป็นประเทศที่ถูกพูดถึงมากในแง่ของความสวยงาม นับตั้งแต่เจ้าชายจิกมีซึ่งปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์จิกมีเสด็จไปร่วมงานฉลองราชสมบัติครบ 60 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประเทศไทย

ประเทศเล็กๆ อย่างภูฏานที่ก็เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะพระสิริโฉมงดงามและพระจริยาวัตรอันน่าชื่นชมจึงทำให้เรื่องราวของภูฏานเป็นที่สนใจของคนไทยขึ้นมาทันที

เธอยอมรับว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่ามีประเทศเล็กๆ ที่ชื่อว่าภูฏานอยู่บนโลกใบนี้ หนำซ้ำยังเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยคั่นกลางระหว่างประเทศอินเดียและจีน เธอเริ่มรู้จักประเทศนี้มากขึ้นเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและได้พบกับเพื่อนสาวชาวภูฏานที่เข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยในไทยจนเกิดเป็นความสนิทสนมเป็นเพื่อนรักกันมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งที่เพื่อนสนิทของเธอเป็นชาวภูฏานแท้ๆ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มาเยี่ยมหล่อนถึงที่นี่

ลมเย็นๆ ที่ปะทะผิวกายทำให้ร่างบางกระชับเสื้อหนาวตัวเองเข้ามาอีกนิด ดวงตากลมโตชะเง้อมองหารถที่เพื่อนเธอส่งมารับ เธอเห็นผู้ร่วมเดินทางหลายคนที่ส่วนใหญ่จะมาเป็นคณะเดินตามกันไปยังรถนำเที่ยว โดยจะมีชาวภูฏานที่อยู่ในชุดประจำชาติคอยต้อนรับ ซึ่งถ้าให้เดาเธอคิดว่าน่าจะเป็นไกด์

ชนมนกวาดสายตาไปรอบๆ สนามบินอีกครั้งเพื่อหาป้ายทะเบียนรถที่เธอได้รับมาจากเพื่อนสาว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นรถคันดังกล่าว จากการกวาดสายตามองเมื่อครู่เธอสังเกตเห็นว่าไม่มีชายภูฏานคนไหนใส่ชุดสากลเลย ทุกคนล้วนแต่ใส่ชุดประจำชาติ และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือป้ายทะเบียนรถทุกคันในที่นี่เป็นสีแดง



ด้านคนที่กำลังวิ่งวุ่นกับสถานที่จัดงานแต่งงานก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งหน้าเครียดเมื่อทราบจากมหาดเล็กในวังที่เธอจัดส่งให้ไปรับเพื่อนรักที่สนามบินเกิดท้องเสียกะทันหัน และคนขับรถคนอื่นๆ ล้วนติดหน้าที่ไปซื้อของที่จะใช้ในงานกันหมด ตอนนี้จึงมีแค่รถแต่ไม่มีคนขับ

“พี่พาโรคะ เดยุลขอรบกวนเวลาพี่สักครู่ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกคนร่างสูงที่เพิ่งวางหนังสือภาษาอังกฤษในมือลง เผยให้เห็นใบหน้าขาวที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเข้ม

คนถูกขอเวลาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นญาติผู้น้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า”

“ตายแล้ว อะไรกันนี่พี่ยังไม่จัดการกับหนวดเคราของพี่อีกเหรอคะ งานจะเร่มอยู่พรุ่งนี้ ท่านลุงมาเห็นเดี๋ยวก็ได้โดนดุหรอก”

เจ้าของใบหน้ารกครึ้มยิ้มอย่างขบขัน ก่อนจะเอ่ยแก้ตัว “พี่กะว่าจะจัดการก่อนนอนคืนนี้แหละ ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ไม่ไปร่วมงานทั้งแบบนี้แน่ๆ แล้วไหนเมื่อกี้เหมือนจะให้พี่ช่วยอะไร”

“อ๋อ ใช่เกือบลืมไปเลย เดยุลรบกวนพี่ช่วยไปรับเพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้าที่สนามบินตอนนี้ได้ไหมคะ พอดีคนรถมีปัญหาเฉียบพลันนิดหน่อยค่ะ”

“เพื่อนคนไหน”

“คนที่เดยุลขอให้มาช่วยแต่งหน้าให้พี่สะใภ้เรายังไงคะ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทย คนนี้เขาเก่งนะคะเมื่อปลายปีที่แล้วได้เป็น 1 ในทีมแต่งหน้านางแบบงานแฟชั่นวีคที่อังกฤษด้วย” เห็นแววตาเป็นประกายและน้ำเสียงเวลาพูดถึงเพื่อนคนนี้ด้วยความภูมิใจก็ทำให้เขาชักสนใจขึ้นมา

“คนเดียวกับที่บอกว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกะเราน่ะเหรอ”

เดยุลพยักหน้าแรงๆ สองสามทีพร้อมกับทำหน้าแปลกใจที่พี่ชายยังจำได้

“เรียนออกแบบ แต่ไปเป็นช่างแต่งหน้า แปลกคน”

“ไม่แปลกหรอกคะ ออกแบบเธอก็ทำ เพราะแม่เธอมีห้องเสื้อ แต่เธอจะหนักมาทางเมกอัพมากกว่า เพราะชอบ เพื่อนคนนี้เขาเป็นคนที่ชอบครีเอทมากนะคะ การแต่งหน้ามันทำอะไรได้มากกว่าออกแบบเสื้อผ้า มันดูสนุกกว่า เธอเคยบอกว่าการแต่งหน้ามันสนุกตรงสามารถเปลี่ยนคนหนึ่งให้เป็นอีกคนได้ มันชัดเจนกว่าการดีไซน์เสื้อผ้าอะไรประมานนั้นค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าใจตรรกะทั้งหมดที่น้องสาวอธิบาย อย่างไรเสียผู้ชายกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีทางจูนกันติดอยู่ดี

“แล้วนี่จะให้พี่ไปรับยังไง หน้าเขาพี่ก็ไม่เคยเห็น หน้าพี่เขาก็ไม่เคยเห็น”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดยุลบอกเลขทะเบียนรถเอาไว้แล้ว พี่มีหน้าที่ขับรถไปรับเธอมาที่นี่เท่านั้นค่ะ ได้ไหมคะ”

เมื่อเห็นอาการไม่ตอบสนองของพี่ชาย หญิงสาวก็รีบโน้มน้าวอีกครั้ง “จริงๆ ถ้าเดยุลไม่ยุ่งก็อยากจะไปรับด้วยตัวเองนะคะ ไม่อยากรบกวนใคร”

“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เอากุญแจมาสิเดี๋ยวพี่ขับรถไปรับให้”

เดยุลยิ้มกว้างรีบยัดกุญแจใส่มือใหญ่ด้วยความรวดเร็วราวกับกลัวว่าถ้าช้าอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนใจ

ร่างสูงส่ายหน้าให้ญาติผู้น้องก่อนจะถูกมือเล็กๆ รุนหลังให้รีบไปที่รถ

“ขอบคุณมากนะคะพี่พาโร ยังไงฝากพาเธอไปหาเดยุลที่ห้องโถงด้วยนะคะ” หญิงสาวโบกมือให้แล้วรีบจ้ำอ้าวกลับไปกำกับงานที่ห้องโถงต่อ



ชนมนยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาเป็นรอบที่ 3 หลังจากเห็นว่าเลยเวลานัดไปเกือบ 20 นาทีแล้ว ทั้งที่พยายามใช้เวลาในการรอให้เกิดประโยชน์ด้วยการแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ในสนามบิน

ตอนนี้เธอถ่ายครบแทบจะทุกมุมแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของรถที่จะมารับเธอเลย

“มีอะไรรึเปล่านะ ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ด้วยความล้าจากการนั่งเครื่องบวกกับที่เดินเตร็ดเตร่ถ่ายรูปไปทั่วร่างบางจึงมองหาที่นั่งพัก พลันปลายหางตาเหลือบไปเห็นรถที่กำลังเคลื่อนมาจอดที่หน้าสนามบิน ป้ายทะเบียน 3 ตัวท้ายที่เธอจำได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องอาศัยโพยในมือก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

สิ่งแรกที่ทำโดยอัตโนมัติคือมองผ่านนกระจกเข้าไปดูหน้าคนขับ ทว่าไม่ทันจะได้เพ่งมองเจ้าตัวก็ลงจากรถมาให้เธอได้พิศเต็มสองตาเสียแล้ว

แขกผู้มาเยือนอย่างเธอพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บอาการตกใจเมื่อเห็นหน้าตาคนขับรถ เท่าที่เธอสังเกตในช่วงระหว่างรอคนมารับเธอก็ไม่เห็นว่าไกด์หรือชาวภูฏานคนอื่นๆ จะนิยมไว้หนวดเครารุงรังราวกับโจรป่าขนาดนี้

ยัยเดียร์ เธอส่งใครมารับฉันเนี่ย หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อนึกถึงเพื่อนสาว ดวงตากลมโตเหลือบมองที่ป้านทะเบียนรถอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาด

ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสบกับร่างสูงที่อยู่ในชุดประจำชาติสีเทาเข้ม เธอแอบเห็นเขากระตุกยิ้มจนหนวดกระดิกด้วย เห็นแล้วเธอก็หวาดๆ อยู่เหมือนกัน บางทีเธอก็อยากให้ตัวเองตาฝาดมองเลขทะเบียนรถผิดอยู่นิดๆ

ยิ้มสยามไปก่อนแล้วกัน คิดได้อย่างนั้นเธอก็ไม่รอช้า ส่งยิ้มให้เขาทันที

แววตาของชายหนุ่มจ้องเธอจนเธอต้องหุบยิ้ม รู้สึกใจคอไม่ดี เขามองเธอแปลกๆ แต่แปลกอย่างไรเธอเองก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าสายตาของเขาทำให้ชนมนทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ คูซูซังโพรา” หญิงสาวเอ่ยทักทายด้วยภาษาของชายภูฏานที่เพื่อนมักพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ

“คูซูซังโพรา” เสียงทุ้มกล่าวคำทักทายกลับ

หมดแล้วจำมาแค่นี้ หญิงสาวนึกประโยคอื่นไม่ออกไม่รู้จะพูดอะไรจึงตัดสินใจแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ “I’m Minnie,I’m Dear’s friend.” ไม่ทันจะแนะนำตัวจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยภาษาที่ทำเอาเธองงเป็นไก่ตาแตก

“ผมทราบแล้วครับว่าคุณเป็นเพื่อนของเดียร์ ขึ้นรถเถอะครับ” ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูให้พร้อมผายมือเชื้อเชิญ ร่างบางเดินตามเหมือนโดนสะกดจิต ด้วยยังอยู่ในอาการมึนงงไม่คิดว่าคนขับรถที่เพื่อนรักส่งมารับจะเข้าใจภาษาไทยแถมพูดชัดแจ๋วอีกด้วย

“ฉันไม่คิดว่าคุณพูดไทยได้เลยแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีคนเข้าใจภาษาไทยที่นี่”

ชายหนุ่มไม่ตอบ ทำเพียงแค่สบสายตาเธอผ่านกระจกส่องหลัง

ตลอดทางหญิงสาวพยายามสนใจเส้นทางรอบข้างที่รถแล่นผ่าน บ่อยครั้งที่เธอเผลอหันมามองคนขับรถก็เห็นเหมือนว่าเขาเองจะลอบมองเธออยู่ แต่พอเธอจับได้เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

อารมณ์ตื่นตาตื่นใจอยากจะชื่นชมวิวข้างทางเลยหมดลง กลายเป็นต้องมานั่งจับตาดูคนขับรถที่ทำตัวน่าสงสัยแทน

“ขอโทษนะครับ คุณจ้องผมแบบนี้ผมรู้สึกอึดอัด” ชายหนุ่มเอ่ยปากออกมาก่อนหลังปล่อยให้ความเงียบกินเวลามากว่า 20 นาที

ใบหน้าเรียวของคนผิวชมพูเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูว่าอีกฝ่ายจะโทษเธอ ขณะกำลังจะเอ่ยแย้งเธอก็ชะงักและตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเขา คิดเสียว่าพอถึงบ้านของเดยุลเธอก็หมดธุระที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว

พอถูกกล่าวโทษอย่างนั้นเธอเลยไม่หันมามองเขาอีก จนกระทั่งรถเคลื่อนเข้าไปจอดหน้าบ้านที่ค่อนข้างโอ่โถง ใหญ่โตกว่าหลายๆ หลังที่เธอเห็นผ่านตามาเมื่อครู่

“ถึงแล้วครับคุณผู้หญิง” เขาบอกหลังจากพารถเข้าไปจอดยังโรงจอดรถ แทนที่จะจอดให้เธอลงตรงหน้าประตูบ้าน

“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกเมื่อชายหนุ่มเปิดประตูรถให้

“บ้านหลังนี้จะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีในวันพรุ่งนี้ครับ เดยุลรอคุณอยู่ที่ห้องโถงแล้วเธอจะเป็นคนพาคุณไปที่ห้องพักด้วยตัวเอง” ชนมนขมวดคิ้วนึกสงสัยสรรพนามที่คนขับรถหน้าหนวดเรียกเพื่อนของเธอ แม้เธอจะไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมของภูฏานมากนัก แต่เธอเชื่อว่าที่นี่เองก็คงให้ความเคารพเชื้อพระวงศ์ไม่ต่างจากประเทศของเธอ แต่ทำไมคนขับรถคนนี้ถึงได้เรียกชื่อเพื่อนของเธอซึ่งมีเชื้อเจ้าด้วยชื่อเฉยๆ แถมยังใช้สรรพนามว่าเธออีกต่างหาก

รึว่าจริงๆ แล้วที่นี่เขาไม่ยึดติดกับสรรพนาม อะไรทำนองนั้น ชนมนคิดในใจขณะเดินตามหลังร่างสูงที่จะนำเธอไปยังห้องโถง

คิ้วที่ขมวดเมื่อครู่ค่อยๆ คลายออกจนไม่เหลือรอยขมวดเมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังก้มๆเงยๆ ตรวจดูการตกแต่งห้องจัดงานด้วยสีหน้าขะมักเขม้น ขณะที่ที่กำลังยิ้มข้างอยู่นั้นร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็หันมาหาเธอพอดี ชนมนหุบยิ้มอัตโนมัติ หญิงสาวไม่แน่ใจอีกแล้วว่าเขาแอบยิ้มมุมปากหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ สายตาเขามันบ่งบอกว่าเขาชอบใจที่เห็นอาการแบบนี้ของเธอ

“มินนี่!” เดยุลที่เงยหน้าขึ้นมาเจอเพื่อนร้องเรียกชื่อเธอเสียงดังกอดจะวิ่งเข้าไปสวมกอดให้สมความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี

“เห็นเป็นการเป็นงานแล้วอดทึ่งไม่ได้ เลยไม่อยากส่งเสียงรบกวน” ชนมนดักคอเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะต่อว่าทำไมไม่เรียกเธอ

“เบื่อจริงๆ คนรู้ทัน ไม่เจอกันตั้งนานดูสวยขึ้นดูนิ่งขึ้นนะจ๊ะ”

คนถูกชมยิ้มหวานก่อนจะบอกด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “เวลามันช่วยได้จริงๆ”

“ดีใจที่ได้เห็นเธอดูมีความสุข เอ้อ ลืมไปเลย” เดยุลเพิ่งจะนึกได้ว่าไม่ได้มีแค่เธอกับชนมนที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่ยังมีญาติผู้พี่ของเธออีกคน

“แนะนำตัวกันไปรึยังจ๊ะ” เดยุลมองเพื่อนที่ทำหน้างงๆ สลับกับมองพี่ชายที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “อะไรกัน นี่ยังไม่ได้แนะนำตัวกันอีกเหรอ พี่พอลนี่ก็ขี้แกล้งจริงๆ นี่คงไม่ได้บอกมินนี่ล่ะสิว่าไม่ใช่คนขับรถแต่เป็นพี่ชายของเดียร์น่ะ” ร่างเล็กหันไปดุพี่ชาย

ชายหนุ่มหันไปสบตาหญิงสาวอีกคนที่แสดงสีหน้าไม่ต่างจากถูกผีหลอก

“ก็เคยรู้จักกันแล้วนี่ จะต้องแนะนำทำไมอีก” คราวนี้เขาหันไปเห็นสีหน้างงงวยยกใหญ่ของเจ้าของดวงตากลมโตอดจะขำไม่ได้

“เดียร์งงไปหมดแล้ว พี่พอลหมายถึงอะไรคะ อะไรกันมินนี่เธอไปรู้จักกับพี่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามพี่เสร็จก็หันไปถามเพื่อนตัวเองซ้ำอีก

ชนมนส่ายหน้างงๆ เธอหันไปทางหน้าใบหน้ารกครึ้มอีกครั้ง คราวนี้เธอเพ่งมองเขาอย่างละเอียดลออ

จะว่าไปเค้าโครงหน้าพี่ชายเดียร์ก็คุ้นอยู่เหมือนกันนะ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอแบบนี้ที่ไหน หญิงสาวพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก เธอพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่อังกฤษ แต่เท่าที่จำได้ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เธอไปรู้จักมักจี่กับคนภูฏานเลยแม้แต่น้อย แล้วเธอจะไปรู้จักผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร!

“อะไรกันเนี่ยพี่พอล แกล้งอำรึเปล่าคะ”

พอลงั้นเหรอ ชื่อคุ้นๆ มันติดอยู่ที่ปากจริงๆ นะ ว่าเคยได้ยินที่ไหน

“ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ว่าไงครับไกด์กิตติมศักดิ์คุณชน-มน”

ชนมนหันขวับทันทีที่ได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อเธออย่างนั้น มันเหมือนกุญแจดอกสำคัญทำให้เรื่องราวต่างๆ ฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง

ผู้ชายคนนี้คือผู้ชายคนเดียวกันกับนักท่องเที่ยวที่เธอเข้าใจว่าเขาเป็นคนไทยเมื่อครั้งที่แบกเป้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นเมื่อ 1 ปีก่อน

“คุณพอล! ไม่อยากจะเชื่อคุณคือพี่ชายของเดียร์ที่เคยบอกไว้ว่าจะไปเที่ยวทริปญี่ปุ่นกับเราน่ะหรือคะ”

ตอนนี้คนที่งงที่สุดดูเหมือนจะเป็นคนกลางอย่างเดยุลที่หันซ้ายทีหันขวาทีมองดูสีหน้าเซอร์ไพรส์ของเพื่อนกับรอยยิ้มอุ่นๆ ของพี่ชายด้วยอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก

“หยุดตื่นเต้นและหยุดส่งยิ้มให้กันเดี๋ยวนะคะ ช่วยเล่ารายละเอียดให้คนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้รับทราบเรื่องด้วยได้ไหมเอ่ย”

หนุ่มสาวเจ้าของเรื่องหันไปสบตาพร้อมยิ้มให้กันก่อนจะตกลงให้ฝ่ายชายเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด

“ตอนนั้นฉันเข้าใจว่าคุณพอลเขาเป็นคนไทย แต่คงไปโตที่เมืองนอก ไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นลูกครึ่งไทย-ภูฏาน ที่สำคัญไม่คิดด้วยว่าเขาจะเป็นพี่ชายของเธอนะเดียร์ อันนี้เซอร์ไพรส์จริงๆ บังเอิญมาก”

เดยุลพยักหน้าเห็นด้วยว่านี้เป็นเรื่องบังเอิญมาก บังเอิญสุดๆ ทั้งที่เธอเองไม่ได้บอกชนมนด้วยซ้ำว่าเธอปล่อยเกาะพี่ชายไว้ที่ญี่ปุ่นตามลำพัง

“แล้วหลังจากแยกกันทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันเลยเหรอคะ” เดยุลถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

คำถามของเธอทำให้บรรยากาศสนุกสนานเมื่อครู่จืดเจื่อนจนถึงขั้นเงียบในที่สุด

พอลเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงใจร้ายไม่ทิ้งอะไรที่พอจะให้เขาติดต่อเธอได้บ้าง เขามองเธออย่างรอคอยคำตอบ อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอจะตอบว่าอย่างไร

สีหน้าเรียบๆ กับน้ำเสียงที่ดูเคร่งขึ้น แต่สายตากลับดูหม่นหมองยิ่งทำให้ต่อมสอดรู้สอดเห็นของเขาทำงาน ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะชอบยุ่งเรื่องของใคร

“มินนี่ต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นไม่ได้เอ่ยลาคุณพอลต่อหน้า พอดีมีเรื่องด่วนให้มินนี่ต้องรีบกลับไทยน่ะค่ะ” เธออธิบายเท่าที่อยากให้เขารู้ ซึ่งแน่นนอนว่าเขารู้สึกรู้สากับคำตอบเธอ

เจ้าของคำถามอย่างเดยุลถึงกับสะอึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไรเพื่อนรักของเธอจึงได้รีบกลับไทย ยิ่งเห็นเพื่อนดูหม่นๆ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เธอเลยยิ่งรู้สึกไม่ดี อยากจะกล่าวโทษตัวเองที่ถามไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่พอจะเอ่ยปาก กลับถูกมือนิ่มปรามเอาไว้ด้วยการแตะเบาๆ ที่แขนเล็กๆ ของเธอ

“แต่ก็มาเจอกันอีกจนได้ นี่นับว่าเป็นความบังเอิญครั้งที่สองได้ใช่ไหมเนี่ย” เดยุลพูดพลางหัวเราะเพื่อคลี่คลายบรรยากาศอึมครึมซึ่งก็ได้ผลพอสมควรเพราะทุกคนกลับมามีรอยยิ้มเหมือนเดิม

หญิงสาวมองญาติผู้พี่ที่มองเพื่อนเธอแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนหน้าเธอก็แอบสังเกตสีหน้าเขาที่ลุ้นในคำตอบชนมน

หรือว่านี่จะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญธรรมดาๆ แต่อาจเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้าประทานมาอย่างถูกที่ถูกเวลา คิดๆ ดูแล้วก็น่าเสียดาย ทั้งที่เธอเองก็เอ่ยถึงชนมนบ่อยครั้ง หากแต่ไม่เคยบอกชื่อออกไปเสียที พอๆ กับพี่ชายเธอที่เล่าเรื่องมิตรภาพในต่างแดนฉบับเอาตัวรอดในญี่ปุ่นให้ฟัง เขาก็ไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามของชนมนเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องคนๆ เดียวกันมาตลอด 1 ปี

ให้ตายสองคนนี้ทำให้เธออยากทำตัวเป็นกามเทพชะมัด!



+++ ในที่สุดเขาก็เจอกันแร้ววววว >__< เจอกันอีกรอบวันอาทิตย์ค่ะ ^^ +++

ขออภัยที่ไม่ได้ตอบคอมเม้นนะคะ แต่ขอบคุณทุกคอมเม้นมากๆ คนเขียนมีกำลังขึ้นเยอะ แม้ว่าจะมีคอมเม้นบ้างไม่มีบ้าง 555 แค่เข้ามาอ่านก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ ถ้าจะให้ดีออกเป็นเล่มก็ช่วยอุดหนุนสมทบทุนค่าอาหารกลางวันพนักงานเงินเดือนต่ำด้วยนะคะ กร๊ากก



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ส.ค. 2556, 21:28:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ส.ค. 2556, 21:49:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2555





<< บทที่ 4 หนีความจริง   บทที่ 6 กามเทพแสนกล >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account