ในทิวากาล>The Morning Light
ไท หนุ่มเจ้าของบาร์ที่เชียงรายผู้เลิกศรัทธาในความรัก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อเขาได้มาเจอกับนุช หญิงสาวรุ่นพี่ที่เคยพบกันในงานมินิแฟชั่นโชว์ เขาชอบเธอและเก็บเธอไว้ในใจมานาน ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าเธอนั้นมีคนอื่นอยู่แล้ว เธอมีคู่หมั้นคู่หมายที่รักกันมาก จนวันหนึ่งไทได้รู้ว่านุชถอนหมั้นและหนีมาเชียงราย เขาจึงเข้าไปช่วยเยียวยาหัวใจโดยไม่ได้บอกกล่าวทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ศรัทธาและไม่เชื่อมั่นเลยว่ารักนั้นจะสมหวัง เมื่อหัวใจสองดวงโคจรมาเจอกันในสภาพที่อ่อนแอ สองหัวใจต่างเยียวยากันและกัน เส้นทางความรักของทั้งสองเริ่มขึ้น ในแสงแห่งทิวากาล
Tags: หนุ่มเซอร์ สาวสวย ความเศร้า

ตอน: ในทิวากาล>4

“ท๊อป ฝากร้านด้วย”ผมบอกกับเพื่อนที่ช่วยกันทำบาร์ เขาเป็นคนที่วางไว้ใจได้ที่สุดในการดูแลร้าน แม้การทำอาหารของเขาจะยังอยู่ในขั้นศึกษาอยู่
ท๊อปพยักหน้าอย่างรู้กันกับผม “วันนี้เดี๋ยวข้าเป็นเจ้าของร้าน”
“เออ” ผมตอบรับคำหยอกของเขา “เอาไรไหม จะซื้อมาฝาก”
“บุหรี่”
“อืม…”วันนี้ผมดีใจที่เธอมาจนใจดีกับทุกคน ปกติแล้ว ท๊อปจะต้องระเห็จออกจากบาร์เพื่อไปซื้อเอง เพราะผมไม่สูบบุหรี่และไม่ค่อยชอบไปซื้อบุหรี่ให้ใครเท่าไหร่ เพราะทุกคนมักจะมองหน้าและตกตะลึงว่าทำไมผมไม่สูบทั้งที่หน้าตาเหมาะเป็นสิงห์รมควันมาก

มอเตอร์ไซค์ประจำร้านที่มีคนขับหน้าตาโกโรโกโสพอกันพาสาวสวยจากเมืองกรุงมุ่งหน้าออกจากแยกอันคับคั่งของถนนผ่านหน้าโรงพยาบาลประจำเมือง ถนนสายเล็กที่เลยสี่แยกมาเล็กน้อยพาเราสองคนผ่านไปยังย่านที่ผมขับรถผ่านไปมาจนคุ้นเคยดี สองข้างทางเต็มไปด้วยบาร์ฝรั่งและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
“แถวนี้เป็นย่านเร็กเก้ซินะ”เธอถามเมื่อเห็นกลุ่มชายในชุดสีฉูดฉาดและผมเผ้ายาวนั่งกันอยู่แทบจะทุกร้านในย่านนั้น “นาถไม่เคยพามาเส้นนี้เลย”
“เป็นย่านฝรั่งเที่ยวกันน่ะ แถวนี้คนรู้จักของไทก็พอมีบ้างเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็พวกเร็กเก้นี่แหละ”
“แต่ไทไม่ใช่ ใช่ไหม”
“แทนเป็นฮิปปี้”ผมตอบพร้อมหัวเราะ
“เขาแยกกันยังไงเหรอ พวกนี้น่ะ”
ผมเลี้ยวรถเข้าซอย เส้นนี้จะพาลัดไปยังไนท์บาซ่า สถานที่จับจ่ายซื้อของฝากยามค่ำคืน แต่ที่นั่นเธอไปบ่อยแล้ว ผมจึงจะพาเธออีกที่หนึ่ง
“ไทไม่รู้เหมือนกัน แต่ตามที่ไทคิดนะ เร็กเก้ก็คงเป็นพวกที่ชอบแต่งตัวอย่างเมื่อกี้ที่เราเห็น ฟังเพลงเร็กเก้ ส่วนฮิปปี้ก็พวกคนที่ชอบไว้ผมยาว ใส่กางเกงขาม้าอย่างที่ไทใส่อยู่ ประมาณนี้แหละมั้ง”
“คงต้องไปหาคำตอบดู”เธอว่า
“คงไม่ใช่ที่นี่แน่”
เราสองคนต่างหัวเราะ

ถนนสายเล็กผ่านย่านนักท่องเที่ยว ข้ามไปสู่วงเวียนอันเป็นหอนาฬิกาสีทองอร่ามตา รถราไม่มากอย่างตอนที่ผมไปตลาด แต่ก็ยังมีรถมากพอสมควร
“พี่นาถพาไปสวนตุงกับโคมมาหรือยัง”
“ก็เคยเดินตอนมาถนนคนเดินกับนาถ เมื่อครั้งก่อน”
“โอเค แค่ถามดูน่ะ”
“แล้วจะพาไปไหนเนี่ย”
ผมยิ้มตอบเธอ “เดี๋ยวก็รู้”
ผมขับรถผ่านสวนสาธารณะที่พึ่งพูดถึงจากนั้นเลี้ยวไปยังย่านที่มีหอพักอยู่เต็มไปหมด ย่านนี้เรียกกันว่าเกาะลอย ผมไม่เคยรู้เลยว่าทำไมเขาถึงเรียกกันอย่างนั้น แต่ที่รู้คือที่นี่ติดกับแม่น้ำกก มีโรงแรมและเกสเฮ้าส์อยู่หลายแห่ง และมีสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผมเคยโดดเรียนไปนั่งเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ
ผมจอดรถใกล้กับสนามเทนนิสของสวนสาธารณะ เธอยืนมองผู้คนที่กำลังดวลแร็กเก็ตกัน หลายคนอายุอานามคราวพ่อของผมเลยทีเดียว
“พามาดูเทนนิสเหรอ”
“ไม่ใช่”
“แล้วพามาทำไม มาเดินเล่นดูคนเล่นกีฬา รู้งี้ใส่กางเกงวอร์ม ใส่รองเท้าผ้าใบมาด้วยก็ดี”ขณะที่พูด เธอจับกระโปรงผ้าฝ้ายยาวยกขึ้นให้ผมเห็น การพูดของเธอฟังขัดหู แต่ผมรู้ว่าเธอตั้งใจกวนเอาสนุก หากเสียงของเธอไม่นุ่มและแผ่วเบา ผมอาจมีเคืองขึ้นมาก็ได้ แต่ผมชอบน้ำเสียงของเธอ มันทำให้ผมใจเย็นเสมอ
“ตามมาซิ”ผมบอกยิ้มๆ
เราเดินคู่กันเข้าไปในสวนสาธารณะ เราคุยกันเรื่องโชว์ที่กำลังจะมาถึง ผมพึ่งรู้ว่าเธอลาพักร้อนหนึ่งเดือนเพื่อมาอยู่ที่นี่กับพี่นาถ ผมยังคิดในใจว่าแฟนของเธอที่กรุงเทพจะไม่คิดจะมาตามเลยหรือไง แน่ล่ะผมรู้ว่าเธอมีแฟนอยู่ที่กรุงเทพ แต่ผมไม่ได้ถามออกไปอย่างที่ตัวเองคิดอยู่ในใจ เธอและเขารักกันมากผมรู้แค่นั้น ผมมั่นใจว่าเขายังรักกันดีและเข้าใจกันจนปล่อยให้อีกฝ่ายมาที่นี่คนเดียวได้หนึ่งเดือนเต็มๆ
บรรยากาศของสวนสาธารณะยังคงเหมือนเดิม ทั้งต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ วันนี้เราสองคนโชคดีที่ไม่เจอฝนตอนมาที่นี่ หากเจอฝน ทุกอย่างที่ผมคิดไว้คงจบกัน
“ไทมาที่นี่บ่อยไหม”
“เมื่อก่อนมาบ่อย ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ”
“ปกติไปเตะบอลไม่ใช่เหรอ ตอนเย็น”
ผมพยักหน้า “บอลก็ไปเตะ แต่จะมาที่นี่ก่อน”
“พาแฟนมาล่ะซิ”เธอถามหน้าตาเฉย
“ว่าไป ไม่เคยหรอก”ผมรีบปฏิเสธ หน้าตาของผมที่เธอเห็นคงเป็นใบหน้าของคนที่ตกใจมากแน่ ผมมั่นใจอย่างนั้น
เธอหัวเราะคิก ผมแสร้งมองไปทางสนามเทนนิสก่อนจะพาลงบันไดไปยังทางเดินอิฐ ทางเดินนี้จะพาไปยังทางเดินริมน้ำ จากตรงนั้นเราจะมองเห็นวิวสวยๆยามพระอาทิตย์ตกได้ ซึ่งตอนนี้มันกำลังเคลื่อนลงแตะขอบภูเขาที่อยู่ไกลลิบทางด้านตะวันตกของเมืองพอดี
“พระอาทิตย์สวยดี”เธอบอกผม ผมก็เออออตามก่อนจะยืนเกาะตรงราวเหล็กซึ่งกั้นพวกเราที่อยู่บนฝั่งกับลำน้ำกกเอาไว้ เธอเอาโทรศัพท์มือถือของเธออกมาถ่ายรูปพระอาทิตย์จากมุมนี้ ผมมองทุกอิริยาบถของเธออย่างไม่วางตา รู้สึกอิ่มใจที่ได้พาเธอมาและมีเธออยู่ใกล้ๆและได้มองเธออย่างนี้ แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆในหัวใจเธอเลย แต่ว่าหัวใจของผมกำลังยิ้ม ยิ้มกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ความเจ็บช้ำซึ่งกลายเป็นแผลเป็นที่คอยย้ำเตือนถึงความเฉยชาที่ผมมีให้กับความรักของตัวเองมานานหลายปีเหมือนจะหายไป ตอนนี้ในใจของผมเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่า ใครคนนั้น…คนที่จะลบรอยแผลมากมายที่ผมมีติดอยู่ในหัวใจได้คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเธอ และผมหวังว่ามันจะเป็นจริงได้
“ไท”
“หือ” ผมมองเธอที่กำลังยืนหันหน้ามาทางผม ผมพึ่งรู้ว่าเธอแอบถ่ายรูปผมตอนที่ผมกำลังเหม่อมองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังตก
“ถ่ายให้หน่อย”
ผมรับโทรศัพท์มา ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆสักเท่าไหร่ แต่พองมๆไปก็หาตัวที่ใช้ถ่ายรูปบนหน้าจอแบนๆนั้นได้ ผมมองเธอ กล้องจับที่เธอ สิ่งที่ผมจากในกล้องคือเธอกำลังยืนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้หายลับไปหลังดอยสูงถึงครึ่งหนึ่งแล้ว เธอยกมือขึ้นแตะด้านบนของดวงอาทิตย์สีส้มอมแดง คล้ายกับเธอกำลังกดมันลงไปในยอดดอย
“เรียบร้อยแล้ว”ผมส่งโทรศัพท์คืนให้
“สวยดี”เธอบอกขณะตรวจงานในโทรศัพท์
“ที่นี่เงียบ คนไม่เยอะ แล้วก็เห็นพระอาทิตย์สวยพอๆกับหลายๆที่ในเชียงราย มาซิ ไทจะพาไปอีกหลายที่เลย”
เราเดินกลับมาที่รถ ฟ้าเริ่มสลัวแล้ว ผมกำลังชั่งใจว่าจะพาเธอไปอีกที่ดีไหม เพราะที่นั่นทางค่อนข้างลำบากสักหน่อย ด้วยความห่วงถึงความปลอดภัยของเธอและชุดที่เธอใส่ ผมเลยเปลี่ยนใจกะทันหัน สะพานใหม่หรือขัวพญามังรายเป็นอีกที่ที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจ
ผู้คนเริ่มมาที่สวนสาธารณะมากขึ้นเพื่อออกกำลังกาย ผิดกับเราที่กำลังออกจากที่นี่ เคยมีเพื่อนชวนผมมาออกกำลัง เล่นฟุตซอลที่นี่ แต่ผมมักจะปฏิเสธเสมอเพราะผมเป็นพวกติดที่ ไม่ค่อยชอบย้ายไปเล่นที่อื่น
จากสวนสาธารณะ เราสามารถขับรถออกไปเจอถนนที่ทะลุไปยังขัวพญามังรายได้(ขัวแปลว่าสะพานในภาษาเหนือ) ถนนเริ่มเปิดไฟกิ่งสีส้มแล้ว ตั้งแต่ถนนที่เราจอดรถรอข้ามไปอีกฝั่งจนถึงปลายสะพานอีกด้าน ล้วนสว่างไสวไปด้วยไฟสีส้มอร่ามตา ผมขับรถพาเธอข้ามไปอีกฝั่ง แถวนั้นมีร้านรถเข็นขายอาหารและขนมอยู่หลายเจ้า แม้แต่ข้าวต้มก็ยังมี ผมเอารถไปจอดใต้สะพาน แถวนั้นมีเด็กมัธยมจอดรถกันเป็นกลุ่ม ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของเด็กๆสมัยนี้ ไม่ต่างจากการรวมตัวที่ร้านขายลูกชิ้นปิ้งหน้าโรงเรียนในสมัยผมยังเป็นเด็กนักเรียน
เด็กผู้ชายหันมามองเราสองคน ในกลุ่มมีเด็กเทคนิคและเด็กโรงเรียนเก่าของผมปะปนกันอยู่ แล้วยังมีเด็กผู้หญิงอีกสองสามคน เป็นไปได้ว่าพวกนั้นอาจกำลังมองเราด้วยความคิดที่ว่า เธอกับผมเป็นโฉมงามกับนายอสูรอยู่ก็เป็นได้
บันไดจากที่จอดรถขึ้นไปบนสะพานนั้นยาวไกลใช่เล่น ผมไม่เคยนับสักที แต่รู้ว่ามันสูงและมีที่พักนิดหน่อยเท่านั้น
“ข้างบนนี้มีที่ให้เราเดินเล่นแล้วก็ดูความสวยงามของชุมชนที่อยู่ริมน้ำ บางทีก็จะมีคนมายืนกอดคอถ่ายรูปกันกลางถนนตอนดึกๆ พี่นาถเคยพามาหรือยัง”
“เคยมาแต่ตอนกลางวัน ขับรถผ่านน่ะ”เธอตอบ
ผมพาเธอเดินมาจนถึงกลางสะพาน หยุดยืนตรงนั้น ผมยืนพิงราวกั้นที่ทำจากอลูมิเนียม ชี้ให้เธอดูอีกฝั่งหนึ่ง
“ตรงนั้นเป็นสะพานเก่า ที่เห็นไฟสว่างอยู่ลิบๆนู่น”
“ตรงนั้นเป็นที่ที่เราถ่ายรูปกันเมื่อกี้”เธอชี้ไปที่สวนสาธารณะที่เราจากมา
“อื้ม ไม่ไกลเลย”ผมหันกลับมาอีกฝั่ง เอาแขนเท้ากับราวกั้น “ตรงนั้นเป็นโรงแรมใหญ่ของที่นี่เลย อยู่มาตั้งแต่ก่อนไทเกิดเสียอีก”
เธอมองตาม “ถ้าเป็นกรุงเทพจะมีเรือผ่านไปมาเยอะแยะเลย ดูก็เพลินตาดี”
“ที่จริงไทก็อยากให้มีแบบนั้นนะ เคยเห็นตอนไปเที่ยววังหลังกับเพื่อน ตอนนั้นมีซ้อมขบวนเรือพระที่นั่งกันด้วย นานเลยกว่าจะได้ข้าม”
“พี่เคยดูหนหนึ่งนะ นานมากเลยล่ะ”
ผมยิ้มให้เธอ “เห็นที ผมคงไม่ไปล่ะแบบนั้น ยืนนานๆ เจ็บเข่า”
เธอหัวเราะคิก เป็นการหัวเราะที่น่ารักมากสำหรับผม มันไม่ใช่การแสร้งหัวเราะให้ตัวเองดูน่ารัก แต่เป็นการหัวเราะที่เป็นธรรมชาติและน่ารักอย่างไม่ต้องเสแสร้งทำ

เราอยู่บนสะพานนานกว่าครึ่งชั่วโมง เธอถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยตามเรื่องก่อนจะถามว่าจะไปไหนต่อ หรือจะกลับไปที่บาร์
“ที่สุดท้ายแล้ว ถ้าอยากจะกลับไปหาพี่นาถ ไทจะไปส่ง แต่ถ้าอยากจะไปไหนอีกก็บอกไทได้เลย”
“พี่มาแล้วไม่ห่วงร้านเลยนะ”เธอเหน็บ ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆแก้เก้อ
“ร้านเฝ้ามาทุกวันแล้ว แต่พี่นุชไม่ได้มาทุกวัน”ผมตอบยิ้มๆ
ครั้งนี้เธอยิ้มแต่ไม่พูด ผมเองก็ยิ้มให้เธอ
“ไปต่อกันเถอะ”
ผมตอบตกลง เราสองคนเดินเคียงกันย้อนกลับมาทางเดิม จากข้างบนเราได้ยินเสียงเอะอะโวยวายข้างล่างของคนกลุ่มใหญ่ ผมเริ่มคิดว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มที่มองเราก่อนหน้านี้ ผมมองเธอ เธอเหมือนยังไม่ได้สนใจ ผมเลยเงียบเสีย เมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้าย เราคงได้คำตอบ

เด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่อยู่แถวๆทางขึ้นตอนที่เราเดินลงไปถึง ผมพาเธอเดินไปที่รถโดยไม่สนใจ โชคดีอยู่บ้างที่รถเราจอดอยู่ที่ฟุตบาทอีกฝั่ง ไกลจากเด็กๆไม่ประสาพวกนั้น
“เฮ้ย แกอ่ะ”เสียงหนึ่งไล่หลังมา แต่ผมยังเฉย อาจเป็นพวกมันเรียกพวกเดียวกันก็ได้ ผมยังมองในแง่ดี มีเสียงพึมพำดังตามมา ก่อนจะมีเสียงเดิมไล่หลังมาอีก ครั้งนี้ผมหันกลับแล้วเดินไป ปล่อยให้เธอยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
“ไท”เธอวิ่งมาเกาะแขน “กลับเถอะ”
“ไม่เป็นไร ไทว่าไทเห็นบางคนที่ไทรู้จัก น่าจะพอช่วยสั่งสอนไอ้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกนี้ได้บ้าง รออยู่ตรงนี้นะ”
“ไม่”เธอเสียงแข็ง ผมรู้ดีว่าเนื้อแท้ข้างในเธอมีความห้าว พี่นาถเคยบอกผมไว้อย่างนั้น
“อันตราย”ผมเตือน “อยู่ที่นี่แหละ”
“ไม่ได้”เธอยังยืนยันคำเดิม
ผมมองไปข้างหน้า เห็นไอ้เด็กตัวการกำลังเดินมายืนอยู่หน้ากลุ่ม
“เฮ้ย เจ๋งหรอวะ”ไอ้เด็กหัวเกรียนตะโกนข้ามถนนมา
ผมเดินข้ามถนนโดยมีเธอเดินตามมาติดๆ เธอยังคงบอกให้ผมถอยกลับ ทั้งยังยืนยันจะตามไปถ้าผมไม่กลับ ผมไม่ชอบมีเรื่องและไม่ชอบอวดตัวเองว่ากล้าเก่ง เพราะผมไม่ได้เป็นพวกกล้าเก่งจากไหน แต่ผมทนเห็นเด็กไม่มีหัวคิดพวกนี้ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ได้
“ทำไม”ผมถามเมื่อข้ามมาถึง
“มองหน้าข้าเหรอ มองทำไม”
ผมมองผ่านเด็กพวกนั้น ยังมีอีกกลุ่มที่นั่งห่างออกไป ผมชี้ไปที่กลุ่มนั้น “นั่นเพื่อนพวกแกใช่ไหม”
“ทำไม พวกข้าเองแหละ”
“ไปเรียกมาให้หมดเลย”
“แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ผมกอดอก “เฮ้ย ไอ้พวกที่นั่งอยู่นั่นน่ะ มานี่ซิ” ผมตะโกนออกไป
อีกกลุ่มที่อยู่ห่างออกไปหันขวับมา เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีรุ่นน้องสมัยเรียนของผมหลายคนอยู่ในกลุ่มนั้น พวกนี้เคยไปนั่งเมากันที่บาร์หลายครั้ง พวกนั้นที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรรีบเดินมาทั้งกลุ่ม
“อ้าวพี่”คนที่เดินมาคนแรกทักพร้อมยกมือไหว้
ผมมองรุ่นน้องที่ไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียนเหมือนพวกที่กำลังจะมีเรื่องกับผมพร้อมกับยกมือรับไหว้ และแน่นอนว่ากลุ่มแรกนั้นตกตะลึงไปตามๆกัน
“ไอ้พวกนี้มันอยากมีเรื่องกับพี่น่ะปอนด์”
“ไอ้คนไหน”ปอนด์ถามพลางมองไปที่เด็กกลุ่มแรก
“ถามมันซิ”
ปอนด์หันไปยังกลุ่มเพื่อนทั้งหญิงชายที่เกาะกลุ่มกันอยู่ในความเงียบ “พวกแกคนไหนจะมีเรื่องกับพี่ข้า แกบอกข้ามาซะดีๆ”
ไม่มีใครตอบ ปอนด์มองไปทีละคนพลางเรียกชื่อเหมือนครูขานชื่อหน้าห้อง ผมกับเธอมองไปที่เด็กพวกนั้นโดยไม่พูดอะไร
“ทีอย่างนี้ล่ะเงียบ”เธอว่า เสียงของเธอห้าวเอาเรื่อง
“บอกมาเหอะพี่”ปอนด์หันมาบอก
“ไอ้คนที่ยืนหน้าสุดนี่แหละ”
อย่างไม่มีใครทันตั้งตัว ปอนด์เอาหลังมือฟาดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าคนก่อปัญหา ทั้งกลุ่มงันกันไปชั่วขณะ ปอนด์ลากคอเสื้อเด็กคนนั้นมายืนตรงหน้าผม
“ไอ้นี่รุ่นน้องโรงเรียนเราเองพี่ มันพึ่งเข้ามาใหม่ ไม่ทันเห็นพวกพี่หรอก”
ผมหัวเราะ ปอนด์กดไหล่ให้เด็กนั่นคุกเข่า “แกกราบตีนพี่ข้าเลย”
“ไม่ต้องปอนด์ ไม่ต้อง”ผมรีบห้าม
รุ่นน้องจอมห้าวของผมตบเปรี้ยงอีกทีหนึ่งจนเด็กนั่นหัวคะมำ “แกขอโทษพี่ไทเดี่ยวนี้เลย”
เด็กตัวก่อปัญหายกมือไหว้ขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก หน้าของมันแดงก่ำด้วยความโกรธและอาย ปอนด์ตบอีกครั้งหนึ่ง
“ทำดีๆ”
ทีนี้เด็กนั่นขอโทษผมอย่างดี
“ขอโทษแฟนพี่ไทด้วย”
เธอสะอึก แต่ทันได้แก้ตัว เพราะผมแก้ตัวให้ก่อน
“อ้าว นึกว่าแฟนพี่ไท ไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง นึกว่าได้แฟนแล้ว โธ่”ปอนด์พูดเมื่อรู้ว่าผมกับเธอไม่ใช่แฟนกัน ผมหัวเราะในคอ มองที่เด็กรุ่นน้องกว่าหลายปีที่ก้มหน้านิ่งอยู่โดยมีมือของปอนด์กำอยู่ที่คอเสื้อ
“ผมให้พี่ซัดมันทีหนึ่ง”ปอนด์เสนอ ผมส่ายหน้า
“ไม่เอาหรอก มันยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลย”
“แต่มันเป็นรุ่นน้องพี่ โรงเรียนเดียวกัน ทำแบบนี้ได้ไง ชื่อพี่กับเพื่อนพี่ไม่ใช่จะลืมกันง่ายๆ พี่เองนอกจากจะทำไม่ดีไว้เยอะแล้ว ยังมีความดีติดอยู่ที่โรงเรียนบ้างเหมือนกัน ทุกคนต้องรู้จัก”
“ไอ้ปอนด์ นี่จะชมหรือจะด่า”
“ชม…”มันบอกหน้าตาเฉย
“เอาล่ะ แกจำไว้เลยนะ”ผมชี้หน้าเด็กคู่กรณี “อย่าไปไล่เอาปากไปหาตีนชาวบ้านเขา อยู่กันดีๆ อย่าให้เสียชื่อตัวเองกับเสื้อที่ใส่กันอยู่ ข้าเคยเป้นอย่างพวกแกมาก่อน ข้ารู้ดีว่ามันเป็นแบบไหน”ผมมองไปที่ทุกคนที่ยืนมองอยู่ข้างหลัง “พวกแกด้วย”
ปอนด์ปล่อยเด็กคนนั้นกลับไป “วันนี้ว่าจะไปร้านพี่อยู่”
“อืม มาซิ เดี๋ยวพาพี่เขาเที่ยวสักพักก็จะกลับเข้าบาร์แล้วมั้ง”
“ไว้เจอกันพี่”
ผมยิ้มให้รุ่นน้องตัวดี บอกลากันตามประสาพี่น้องร่วมสถาบันก่อนจะชวนเธอเดินกลับมาที่รถ

เราสองคนเงียบกันมาตลอดทาง ผมเองไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอเลยหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เฝ้ากังวลว่าเธอจะคิดกับผมอย่างไร เมื่อได้เห็นผมเมื่อครู่นี้ แล้วถ้าหากผมลงไม้ลงมือกับเด็กนั่นล่ะ เธอจะมองผมอย่างไรบ้าง
ผมจอดรถ ที่สุดท้ายที่ผมพามาในเย็นนี้คือหอนาฬิกา มันเป็นการโชว์แสงและเสียงของหอนาฬิการอบสุดท้ายพอดี
ผมมองไปที่หอนาฬิกาก่อนจะหันมามองเธอ “อีกสิบกว่านาที กว่าจะมีอะไรให้ดู เราไปหาอะไรกินสักหน่อยไหม”
“ตามใจ”เธอตอบ
“ไปรถเหลืองกัน”
เธอทำหน้าสงสัย“มันมีอะไรเหรอ”
“มีกาแฟ นมร้อน ขนมปังปิ้ง”
เธอตอบตกลง ผมเดินนำเธอไปโดยที่ในใจยังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรกับเธอได้บ้างเพื่อทำให้เธอกลับมาเป็นเธอคนเดิมเหมือนตอนที่อยู่บนสะพาน
“ไทเป็นแบบไหน ตอนที่เรียนมัธยม เด็กเกเหมือนพวกนั้นเหรอ”
ผมดีใจที่เธอพูดกับผมก่อน ผมยิ้ม ความกังวลหายไปมาก ผมมองเธอ เธอมองเพื่อเค้นให้ผมตอบ สายตาเธออ่อนโยน ไม่แข็งกระด้างเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่เราเผชิญกับเหตุการณ์ระทึกขวัญกันเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน ใช่ว่าผมไม่สังเกตเธอนะ ผมสังเกตทุกอย่างที่รวมกันเป็นเธอคนนี้ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม
“ไม่นะ ก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดานี่แหละ”
“แต่ปอนด์พูดเหมือนไทเป็นหัวหน้าแก๊งเลยนะ”
ผมหัวเราะ “ไม่หรอก เพื่อนไทต่างหากล่ะ ไทก็แค่เพื่อนของพวกเขาที่สร้างชื่อกันมาทั้งดีไม่ดี ส่วนตัวไทเองก็แค่มีผลงานอยู่ในห้องสมุดบ้าง พอจะทำให้รุ่นน้องรู้จักได้”
“หนังสือเหรอ”
ผมมองเธออย่างแปลกใจ ผมไม่เคยบอกเธอเลยว่าผมเขียนหนังสือ “รู้ได้ไงว่าไทเขียนหนังสือ”
“นาถบอก”
พี่นาถอีกแล้ว พี่นาถบอกเธอหมดเลย ผมได้แต่ยักไหล่และตอบรับ

รถเหลืองยังคงคึกคัก ลุงเจ้าของร้านเป็นคนอารมณ์ดีและพูดเก่ง แกแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเก่งอีกด้วย อาจเพราะแกไม่รู้ว่าผมเป็นคนพื้นที่ พอเห็นเธอสั่งเป็นภาษาคนกรุงเทพ แกก็โฆษณาจังหวัดเชียงรายใหญ่เลย ขณะคุยมือของแกก็ทำงานไปด้วยอย่างคล่องแคล่ว
“เอ้า รีบไปเลยหนู เดี๋ยวจะมีไฟเปิดแล้ว”
เราสองคนถือนมร้อนเดินจากมา นมในแก้วกระดาษอุ่นๆอยู่ในมือขณะที่เราเดินข้ามถนนไปยังเกาะกลางที่ทำไว้สำหรับถ่ายรูปและยืนชมหอนาฬิกาโดยเฉพาะ

หอนาฬิกาอยู่ตรงหน้าเราสองคน มีเพียงที่กั้นที่ปั้นจากปูนกลายเป็นลายกนกแหลมกับถนนที่ขวางหน้าเราไว้ เราต่างคลึงแก้วกระดาษในมือ รับความอุ่นของนมในแก้วกระดาษที่ซึมซับเข้าไปข้างในร่างกายเรา ผมยืนมองหอนาฬิกาที่เริ่มเปลี่ยนสีจากไฟสีต่างๆที่สาดจากฐานของแต่ละชั้น สีแล้วสีเล่าที่เปลี่ยนวน ผสมผสานกัน เพลงเชียงรายรำลึกบรรเลงด้วยจังหวะเนิบช้า
“สวยดีนะไท มองกี่ครั้งก็สวย”
“อื้ม”
“ไทมาดูบ่อยไหม”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เธอจ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ
“แล้วทำไมพามาที่นี่ ในเมื่อตัวเองยังไม่ค่อยมาดูเลย”
“ถ้าไม่มีใครที่พิเศษมาหา ไทก็ไม่พามาหรอก”
ผมยิ้ม เธอหันไปมองหอนาฬิกา ความกังวลหายไป เรื่องที่เราเจอที่สะพานถูกลบจากกล่องความทรงจำจนหมดสิ้น




สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2556, 20:23:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2556, 17:15:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 815





<< บทกวีคั่น>รักครั้งแรก   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account