ฤารัก

Tags: นักเขียน ณิชาภัทร คุณภัทร เครือออน

ตอน: ตอนที่ 1

สวัสดีค่ะ เอามาฝากอีกเรื่องหนึ่ง จะโพสต์สลับกันนะคะ^^

ฤารัก

บทที่ 1


Just be friend (เพียงเพื่อน...)
บทที่ 1

"เฮ้ย! เลคเชอร์แคลของไอ้ฝ้ายอยู่กับใครวะ"
"ไอ้ปอนด์ มันเพิ่งเอาไปก็อปเมื่อกี๊"
“จริงดิ ได้สั่งเผื่อข้ามั้ยวะ"
"ไม่ว่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าเอ็งจะเอารึเปล่า"
"อ้าว! ไอ้เพื่อนเวร ข้าก็ต้องเอาสิวะไม่เคยจดเลคเชอร์เองนี่หว่า แล้วนี่ไอ้ปอนด์มันเอาไปก็อปที่ไหน"
"ร้านเฮียเอกใต้หอสมุด"
"เออ เดี๋ยวข้าไปสั่งก็อปเพิ่ม จะไปกินข้าวกันที่ร้านเจ๊ณีใช่มั้ยวะสั่งให้ข้าด้วย เหมือนเดิม" ...


ภาพเหตุการณ์คลับคล้ายกับวันวานเก่าๆ จะแตกต่างกันก็เพียงตัวผู้ดำเนินเรื่องที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลาเรียกรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาแต่งแต้มบนดวงหน้าของหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์แปลกแยกไปจากผู้คนรอบกายเกือบสิ้นเชิง ด้วยผมที่เกล้าเป็นมวยสูง ดวงหน้าเรียวรีรูปไข่แต่งเติมสีสันจากเครื่องสำอางค่อนข้างเข้มเหมาะกับงานกลางคืน เรือนร่างแบบบางสูงตามมาตรฐานของหญิงไทยถูกปกคลุมด้วยเดรสสั้นสีเขียวอ่อน เธอก้าวเดินด้วยช่วงก้าวพอดีๆ ไม่ได้รีบเร่งหากก็ไม่ถึงกับเนิบช้าไปบนทางเดินปูด้วยอิฐรูปตัวหนอนมีหลังคากันแดดทำจากพลาสติกทรงโค้งสีฟ้าปกคลุมสวนกับกลุ่มหนุ่มสาวซึ่งส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงและกระโปรงสีดำ
กี่ปีแล้วนะ... สามหรือสี่ปีที่เธอก้าวเท้าออกจากรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้วโผผินบินไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ในต่างประเทศ ก่อนจะก้าวออกมาผจญชะตาในมหาวิทยาลัยชีวิตอย่างเต็มตัว

อาคารเรียนหลังเก่าหลายหลังสมัยที่เธอยังมีฐานะเป็นนักศึกษาคนหนึ่งของที่นี่ถูกทุบทำลายไปจนหมดแล้ว สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้จึงเป็นภาพของอาคารสูงหลังใหม่รูปลักษณ์ทันสมัยซึ่งตั้งตระหง่านขึ้นมาแทนที่ แม้สิ่งปลูกสร้างและอะไรหลายๆ อย่างจะดูแปลกตาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากกลิ่นอายบรรยากาศเก่าๆ ก็ยังคงอยู่ให้ความรู้สึกคุ้นชินเมื่อศิษย์เก่าเช่นเธอย่างเท้ากลับเข้ามาอีกครั้ง
หญิงสาวหยิบการ์ดทำมือทำจากกระดาษสาสีหวานขึ้นมาดูซ้ำเมื่อมาหยุดอยู่บริเวณเชิงบันไดทางขึ้นไปยังหอประชุมของมหาวิทยาลัย

"Physics Night 17th "
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 25XX เวลา 19.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัย...

มันจะเป็นยังไงนะ ถ้าได้พบกันอีกครั้ง ก็แค่... ส่งยิ้ม ทักทายกันตามปกติ แบบนั้นเหรอ? อืม… มันก็ต้องเป็น
แบบนั้นสิ หรือว่า... เธอจะร้องไห้รึไง หญิงสาวถามตอบอยู่กับตัวเองภายในใจก่อนจะโคลงศีรษะเมื่อรู้สึกตัวว่าท่าจะบ้ามากขึ้นทุกที

"อ้าว ป้า งานเค้าเริ่มไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินหรอก ข้างบนน่ะมีทั้งปอป กระสือ กระหังเลยนะ" เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง หากคนยืนใจลอยยังไม่ทันได้หันไปมองเลยด้วยซ้ำก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือพาขึ้นบันไดไปพร้อมกันเสียแล้ว

ฝ่ามือหนาใหญ่ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานแต่ยังจำได้ดีว่าเป็นของใครเมื่อได้มาสัมผัสอีกครั้งคลายออก แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมปล่อยมือของเธอสักที สองเท้าของเขาที่พาเธอวิ่งขึ้นมาจนแทบไม่ได้หยุดหายใจยอมหยุดลงที่เชิงพักบันไดก่อนจะถึงทางเข้าหอประชุม แล้วผู้ชายที่เธอแน่ใจว่ามีเขาแค่เพียงคนเดียวที่กล้าทำกับเธอแบบนี้ก็ผินหน้ากลับมา

"ไง กลับมาได้ซะทีนะ" เสียงกลั้วหัวเราะดังทักขึ้นมา ทั้งนัยน์ตาคู่คมและใบหน้าหล่อเหลาของเขาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มขี้เล่นที่เธอเคยเห็นและคุ้นชินมาโดยตลอด

หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในเดรสสั้นสีเขียวอ่อนซึ่งตอนนี้มีสภาพแทบไม่แตกต่างไปจากปลาทองอ้าปากพะงาบๆ งับอากาศ ไหล่ลาดบางสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหอบหายใจ จนเมื่อเจ้าตัวได้สูดออกซิเจนเข้าไปเต็มปอดแล้วมีแรงขึ้นมานั่นแหละจึงตวาดแหวออกมา

"วิน!"

หากเสียงดุจนเขียวนั่นจะมีผลทำให้ชายหนุ่มรู้สำนึกรึก็ไม่ เขากลับหัวเราะเยาะคนที่กำลังหอบแฮ่กๆ จนตัวโยน
แวบหนึ่ง… หญิงสาวรู้สึกราวกับว่ามองเห็นภาพของเด็กหนุ่มในวันวานซ้อนทับร่างของชายหนุ่มคนปัจจุบันที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

"เหมือนตอนนั้นเลย จำได้ไหม" เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ขำไปด้วยหนุ่มขี้เล่นก็พยายามกลั้นหัวเราะแล้วหันมาเคาะกล่องความทรงจำในอดีตบ้าง คงหวังว่าเธอจะหายฉิวและมีอารมณ์ดีขึ้น

หญิงสาวถอนหายใจ อยากจะตะโกนออกไปนักว่าจำไม่ได้ ไม่! แม้สักเสี้ยวเดียว หากเธอก็ทำไม่ได้ ในเมื่อความเป็นจริงมันตรงกันข้าม ว่าแล้วก็นึกอิจฉาคอมพิวเตอร์ขึ้นมาครามครันที่สามารถกดปุ่มดีลีตหรือฟอร์แมตไฟล์ที่ไม่ต้องการทิ้งไปได้ ถ้าความทรงจำของคนเราสามารถลบทิ้งได้แบบนั้นก็คงดี เธอจะได้ไม่ต้องจดต้องจำและทนทรมานเพราะเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาอยู่แบบนี้…






“อ๊าย! ไม่นะ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดคำ สี่สิบสามบรรทัด ไม่ๆๆ มันต้องไม่ใช่ความจริง ฉันแค่ฝันร้าย” หญิงสาวผมสีน้ำตาลไหม้ดัดเป็นลอนหลวมๆ สั้นระต้นคอโวยเสียงลั่นขณะยกสองมือขึ้นปิดหน้าพลางส่ายศีรษะไปมาอย่างรับไม่ได้ก่อนจะซบหน้าลงกับแล็ปท็อป

“เก้าร้อยกว่าคำก็ไม่เลวนี่แก สิบวันก็ได้ตั้งเก้าพันคำเข้าไปแล้ว สู้ๆ ยายแพต” หญิงสาวร่างเล็กผมตรงยาวสวม
เดรสสองชิ้นโดยชิ้นข้างในเป็นเดรสแขนกุดสีส้มสวมทับด้วยเสื้อถักสีขาวเอ่ยปลอบไปพลางเก็บแก้วเช็ดโต๊ะไปพลาง

“นั่นน่ะสิคะพี่แพต ถึงวันนี้จะได้แค่สี่สิบสามบรรทัด แต่วันก่อนๆ พี่แพตก็เขียนได้ตั้งเก้าสิบกว่าหน้าแล้วนี่คะ เดี๋ยวมะรืนมะเรื่องก็ครบร้อยหน้าแล้ว” เป็นหญิงสาวเรือนร่างสูงโปร่งผมยาวดัดเป็นคลื่นที่กำลังเช็ดล้างภาชนะอยู่หน้าซิงค์ด้านหลังเคาน์เตอร์ที่พูดขึ้นมาบ้าง

นิชาภัทรเงยหน้าขึ้นมาจากแล็ปท็อป “มันไม่ใช่อย่างที่พวกแกเข้าใจน่ะสิ ยะหยา ยายรุ่ง เก้าสิบกว่าหน้าที่ว่านั่นมันแป้กเขียนไม่ออกมาเป็นอาทิตย์จนฉันต้องส่งมันลงไหดองไปอีกเรื่องแล้ว ส่วนไอ้เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดคำ สี่สิบสามบรรทัดนี่น่ะมันเป็นพล็อตเรื่องใหม่ที่ฉันเพิ่งเริ่มเขียนเมื่อวานนี้ แล้วพวกแกคิดดูสิทั้งที่เพิ่งเริ่มสดๆ ร้อนๆ เลยนะ แต่มันดันแป้ก เป๋จอดสนิทตั้งแต่บรรทัดที่สี่สิบสาม แล้วนิยายเรื่องที่สามในชีวิตของฉันล่ะจะทำยังไง อย่าบอกนะว่ามันเป็นได้แค่ฝัน ฮือๆ” โอดครวญต่อไป

ญาณินีลำเลียงถ้วยกาแฟและภาชนะที่ใช้แล้วลงในซิงค์ให้แพรวรุ่งทำหน้าที่เช็ดล้างต่อไป สองสาวเงยหน้าสบตากันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยไม่รู้ว่าจะช่วยนัก(อยาก)เขียนจอมแป้กได้อย่างไร ที่ผ่านมาพวกเธอก็เป็นแค่นักอ่านไม่เคยคิดฝันจะพรมมือลงบนแป้นพิมพ์ปั้นแต่งจินตนาการผ่านตัวอักษรเป็นเรื่องราวความรักแสนหวานเสียที

“แกไม่ลองเปลี่ยนแนวดูบ้างล่ะแพต ตอนนี้แกเขียนโรแมนติกคอมเมดี้อยู่ใช่ไหม บางทีมันอาจไม่ใช่ทางของแกก็ได้ ลองเปลี่ยนมาเขียนดราม่า ไม่ก็สืบสวนสอบสวนดูบ้างสิ ไม่แน่แกอาจจะบอนทูบีแนวนี้ก็ได้นะ”

“อีโรติกก็น่าสนใจนะคะ รุ่งเห็นนิยายแนวนี้วางเกลื่อนแผงเลย น่าจะเขียนง่ายรึเปล่าคะพี่แพตใครๆ เขาถึงชอบเขียนกัน”

“ง่ายที่ไหนกันล่ะ แต่ที่เห็นวางจนล้นแผงก็เพราะว่าแนวนี้กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด” นัก(อยาก)เขียนถอนหายใจ “ยังไงก็ช่างเถอะ อีโรติกามันไม่ใช่แนวของฉัน ในหัวฉันไม่มีพล็อตแนวนี้เลยจะนั่งเทียนเขียนได้ยังไง ขนาดโรแมนติกคอมเมดี้แนวถนัดที่มีพล็อตอยู่เต็มหัวยังเขียนแทบไม่ออก”

“ในเมื่อพล็อตก็มีอยู่แล้วในหัว งั้นปัญหาของแกมันคืออะไรล่ะแพต” ญาณินีถามขึ้นมาเผื่อว่ารู้ปัญหาแล้วจะช่วยเพื่อนได้บ้าง

นิชาภัทรส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิแก มันบอกไม่ถูก ไอเดียฉันมีเยอะแยะเต็มไปหมดแต่พอจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรดันเขียนไม่ออกซะงั้น” บอกเสียงละเหี่ยใจ

“หยุดเขียนสักพักแล้วหาอย่างอื่นทำดีไหมคะพี่แพต อย่างดูหนัง ดูซีรี่ย์เกาหลี ไม่ก็ลองไปสมัครเรียนคอร์สสั้นๆ อย่างวาดรูป ออกแบบอัญมณี ทำเบเกอรี่ ชงกาแฟ นอกจากจะได้ความรู้แล้วพี่แพตยังจะได้ไอเดียใหม่ๆ มาใช้ในนิยายด้วย เอาไหมคะเดี๋ยวรุ่งไปเป็นเพื่อน ช่วงนี้กำลังว่างอยู่พอดี” แพรวรุ่งซึ่งเพิ่งจบปริญญาตรีและกำลังรอผลสอบเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทเสนอขึ้นมาบ้าง

“ไม่เอาอ่ะยายรุ่ง ตอนนี้พี่ไม่มีอารมณ์จะทำอย่างอื่นเลยบ่องตง” แต่ยังมีอารมณ์ใช้ศัพท์แสลงที่ผุดขึ้นมาใหม่แทบไม่เว้นวันในโซเชียลเน็ตเวิร์ก

“เฮ้อ รุ่งก็ไม่รู้จะช่วยพี่แพตยังไงแล้วเหมือนกัน ทั้งปีก็อ่านหนังสือมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยส่วนใหญ่เจ็ดบรรทัดต่อปีแค่ไม่เท่าไหร่เอง บ่องตง” ฝ่ายญาติผู้น้องบอกเสียงเพลีย

“พูดถึงเรื่องเรียน แกเพิ่งสมัครเข้าร่วมเวิร์คช็อปเรียนเขียนนิยายกับครูแก้ว นักเขียนคนเก่งมานี่นา อย่าบอกนะว่ามันไม่ช่วยอะไรแกเลย” ญาณินีถามอย่างนึกขึ้นได้

“เฮ้อ” นิชาภัทรถอนหายใจนำ “จะว่าไงดีล่ะแก ความจริงเวิร์คช็อปมันก็โอเคช่วยให้ฉันรู้หลักรู้แนวการเขียนที่ดีๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่รู้เพราะรู้มากเกินไปหรือเปล่าว่ะแก แบบว่าการเขียนแบบนั้นก็ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ควร มันเลยทำให้ฉันเกร็งจนเขียนไม่ออก”

“เป็นงั้นไป” ญาณินีและแพรวรุ่งเอ่ยขึ้นแล้วถอนหายใจพร้อมกัน ขนาดเทคคอร์สเรียนกับมืออาชีพโดยตรงมาแล้วยังช่วยอะไรแทบไม่ได้ แล้วนักอ่านมือสมัครเล่นเช่นพวกเธอจะช่วยยังไงไหว ที่พอจะทำได้จึงมีแต่เป็นแรงกายและแรงใจเท่านั้น

“ถ้าแป้กสนิทคิดอะไรไม่ออกก็ไม่ต้องคิดหรอกค่ะพี่แพต กินก่อนดีกว่าเผื่อจินตนาการจะบรรเจิด รุ่งอุตส่าห์ทำสุดฝีมือเลยนะคะนี่” แพรวรุ่งบอกพลางวางถ้วยแก้วใสบรรจุลูกพีชในนำเชื่อมใส่น้ำแข็งบดลงบนโต๊ะตรงหน้าญาติผู้พี่

“อุตส่าห์เทจากกระป๋องสุดฝีมือล่ะสิยายรุ่ง”

“ถึงจะแค่เทจากกระป๋อง แต่รุ่งก็ทำด้วยใจนะคะ”

“ย่ะ” แยกเขี้ยวยอมรับคล้ายเสียไม่ได้ หากแท้ที่จริงแล้วรู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของเพื่อนและญาติผู้น้องอยู่เสมอ ถึงแม้บางครั้งทั้งสองจะให้คำปรึกษาหรือช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ก็จะไม่เคยทอดทิ้งเธอไปไหนคอยอยู่ข้างเคียงกันเสมอมา

“ว่าไปแล้วนักเขียนเก่งๆ เป็นมืออาชีพอย่างครูแก้วก็เคยประสบกับปัญหาไรเตอร์บล็อกเหมือนกันนะ แกลองทำสารพัดวิธีแต่ทำยังไงก็เขียนไม่ออก สุดท้ายเลยต้องใช้ไม้ตาย…” นักอยากเขียนแต่กลับเขียนไม่ออกเปรยขึ้นมาระหว่างละเลียดของหวานเย็นชื่นใจ

“หือ… มีไม้ตายด้วย ถ้างั้นแกก็ลองทำตามวิธีของครูแก้วดูสิจะมัวนั่งเครียดอยู่ทำไม”

“ก็อยากอยู่ แต่นั่นมันไม้ตายสุดท้ายเลยนะแก แล้วมันก็ทำตามกันไม่ได้ง่ายๆ ด้วยนี่สิ”

“วิธีอะไรเหรอคะพี่แพต ถึงจะทำตามไม่ได้ง่ายๆ”

“นั่นน่ะสิ วิธีอะไร”

เห็นท่าทางสงสัยใคร่รู้ของคนใกล้ชิดทั้งสองแล้วนิชาภัทรก็ถอนหายใจก่อนจะยอมเฉลยออกมา “ถ้าถึงจุดวิกฤตเขียนไม่ออกจริงๆ ครูแก้วบอกว่าให้ตัดใจซะ” บอกเสียงเรียบเรื่อย

“หา! อะไรนะ ตัดใจงั้นเหรอ ครูแก้วของพี่บ้าไปแล้วรึเปล่า มันใช่วิธีแก้ปัญหาไหมนั่น” แพรวรุ่งถามเสียงตื่น ขณะที่ญาณินีอ้าปากค้างพูดไม่ออกก่อนจะหุบปากฉับพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวรุ่นน้อง

“ใช่สิ ครูแก้วบอกว่าให้ตัดใจจาก…” เว้นจังหวะเรียกความสนใจเล็กน้อยก่อนจะต่อประโยคว่า “ทุกๆ อย่าง อาจจะเป็นงานประจำ คนรัก ครอบครัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอุปสรรคทำให้เราทุ่มเทกับงานเขียนได้ไม่เต็มที่ แล้วปลีกวิเวกไปอยู่บนเกาะที่ไม่มีคนรู้จักทีนี้ก็จะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเขียนอย่างเดียวไม่มีอะไรมากวนใจ แล้วนิยายเล่มที่สาม สี่ ห้า หรือว่าเล่มไหนๆ ก็จะไม่ใช่แค่ฝันกลางวันแต่จะฝันที่เป็นจริงเสียที”

“แต่ว่าถึงขั้นให้ตัดใจจากงานประจำ คนรัก ครอบครัวเลยเนี่ยนะ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอแก ฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักเขียนรุ่นใหม่หลายคนเขาก็ยังเขียนนิยายควบคู่ไปกับการทำงานประจำได้เลย” ญาณิณีแย้งเสียงเครียด

“นั่นมันก็ถูก ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีปัญหาเขียนไม่ออกเหมือนอย่างฉันถึงเขียนนิยายไปด้วยทำงานประจำไปด้วยได้อย่างชิวๆ แต่สำหรับฉันแกก็รู้ว่าลองมาหลายวิธีแล้วแต่มันก็ยังแป้กสนิทเหมือนเดิม ฉันคงมาถึงจุดวิกฤตอย่างที่ครูแก้วว่าแล้วจริงๆ” บอกเสียงเศร้า

“แต่ว่า… เพื่อนิยายพี่แพตจะต้องตัดใจจากงานประจำ คนรัก ครอบครัวเลยเหรอคะ โอเค ตอนนี้พี่แพตไม่ได้ทำงานประจำแล้วก็ไม่มีคนรักด้วย แต่กับครอบครัว คุณป้า… พี่แพตถึงขั้นจะตัดขาดกับคุณป้าเลยเหรอคะ” แพรวรุ่งทำหน้าเหมือนรับไม่ได้

“เฮ้ย!ไม่ใช่อย่างนั้น เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วยายรุ่ง” นิชาภัทรปฏิเสธเสียงหลง “พี่ไม่ได้พูดว่าตัดขาดสักหน่อย แค่ตัดใจปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตลอดไป ถ้าโชคดีจินตนาการลื่นไหลก็อาจจะแค่สองสามเดือน แต่ถ้าโชคร้ายหัวสมองตีบตันก็อาจจะลากยาวไปนานกว่านั้น”

สองสาวพยักหน้ารับรู้ก่อนญาณินีจะพูดขึ้นว่า “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าขั้นเทพอย่างครูแก้วก็เคยเขียนนิยายไม่ออก”

“นั่นสิ ได้ยินทีแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ครูแก้วยืนยันว่าเคยเป็นจริงๆ แกบอกว่าแกก็คนธรรมดาทั่วไปมันก็มีช่วงวิกฤตแป้กสนิทจนต้องตัดใจจากบ้านเกิดเมืองนอนปลีกวิเวกไปเขียนนิยายไกลถึงหมู่เกาะโซโลมอน”

“หมู่เกาะโซโลมอน? ที่ไหนน่ะไม่คุ้นหูเลย นี่อย่าบอกนะว่าแกก็กำลังคิดจะปลีกวิเวกไปหาแรงบันดาลใจถึงเกาะชื่อแปลกนั่น”

“ถ้าไปได้ มันก็ไม่เลวนะแก” บอกเสียงเพ้อๆ แววตาล่องลอยคล้ายอยู่ในห้วงฝัน

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะพี่แพต คุณป้าไม่มีทางยอม” เป็นแพรวรุ่งที่พ่นน้ำลายดับฝันลงทันใด

นิชาภัทรค้อนขวับ “ถึงแกไม่พูดฉันก็รู้อยู่เต็มอกแล้วย่ะ ฮือ… นิยายเล่มที่สามของฉัน” ฟุบหน้าคร่ำครวญกับแล็ป
ท็อปอีกครั้ง

ญาณินีดีดนิ้วเปาะ “หมู่เกาะโซโลมอน แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเกาะสักเกาะในประเทศไทยมันก็ไม่แน่นะแก”
คนครวญคร่ำเงยหน้าขึ้นมา “หือ แกหมายความว่า…”

“ฉันเห็นด้วยถ้าแกคิดจะปลีกวิเวกไปเขียนนิยาย แต่คงต้องเปลี่ยนจากหมู่เกาะโซโลมอนเป็นเสม็ด หลีเป๊ะ หรือตาชัย ไม่ก็เกาะสักเกาะในอาณาเขตประเทศเราเอง”

“แล้วเรื่องงานล่ะแก ถ้าฉันไม่อยู่ใครจะรับผิดชอบ” ครั้นพอจะมองเห็นทางออกก็ยังไม่วายมีอุปสรรคขวางกั้นอยู่ดี เพราะถึงแม้นิชาภัทรจะลาออกจากงานประจำหลายปีแล้วแต่เธอก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ ปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เธอได้เข้ามาบริหารจัดการดูแลการจัดเก็บรายได้อันเกิดจากอสังหาริมทรัพย์มากมายของครอบครัว ทั้งที่ดินเปล่า คอนโด อพาร์ตเมนต์ และอาคารพาณิชย์แทนผู้เป็นแม่ซึ่งรับช่วงดูแลต่อจากคุณตามาอีกที นอกจากนั้นแล้วหญิงสาวยังมีธุรกิจส่วนตัวที่ลงขันทำด้วยกันกับเพื่อนสนิทซึ่งก็คือญาณินี เปิดร้านค้าออนไลน์ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับและกระเป๋าแบรนด์เนมอีกด้วย แม้จะทำงานถึงสองอย่างด้วยกันแต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดีมีระบบระเบียบมาตั้งแต่ต้นทำให้เธอเหลือเวลาว่างค่อนข้างมาก และเวลาเหล่านั้นเธอก็ใช้มันหมดไปกับการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะนิยายที่เธอติดเป็นพิเศษ ครั้นพออ่านมากๆ เข้าประกอบกับได้เห็นนักเขียนรุ่นใหม่ๆ ผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด เธอจึงนึกอยากจะเป็นนักเขียนกับเขาบ้าง แล้วฝันของเธอก็เป็นจริงขึ้นมาหลังจากใช้เวลาว่างที่มีทุ่มเทกับงานเขียนไปเกือบปี นิชาภัทรมีนิยายเล่มแรกเป็นของตัวเองตอนอายุยี่สิบเจ็ดปี และหลังจากนั้นอีกครึ่งปีเธอก็คลอดนิยายเล่มที่สองตามมา ผลงานทั้งสองเรื่องได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี นัก(อยาก)เขียนสาวมีกลุ่มแฟนคลับคอยติดตามผลงานอยู่กลุ่มหนึ่ง แม้จะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ หากมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีและปลาบปลื้มใจมาก เธอตั้งมั่นว่าจะเขียนนิยายต่อไป หากผ่านไปแล้วสองปีกว่านิยายเล่มที่สามก็ยังไม่มีวี่แววจะลืมตาขึ้นมาดูโลกร้อนๆ ใบนี้ได้เลย

“ถ้าหมายถึงร้านค้าออนไลน์ของเราสองคนล่ะก็ แกไว้ใจฉันไหมล่ะ” ญาณินีถามหยั่งเชิง

“เรื่องไว้ใจฉันไว้ใจอยู่แล้ว แต่แกจะไหวเหรอไหนจะต้องดูแลคอฟฟี่ช็อปอีก” อดเกรงใจไม่ได้เพราะนอกจากร้านค้าออนไลน์ที่ร่วมหุ้นกันแล้ว เพื่อนยังสวมหมวกอีกใบเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่พวกเธอกำลังปักหลักปรึกษาปัญหากันอยู่ตอนนี้ด้วย

ญาณินีไหวไหล่ “ถ้าแกเกรงใจกลัวว่าจะเอาเปรียบฉันเกินไปล่ะก็ ไม่ต้องคิดมากหรอกเพราะหลังจากแกทำตามฝันเขียนนิยายเรื่องที่สามจบเมื่อไหร่ฉันก็มีเรื่องจะขอจากแกบ้างเหมือนกัน”

“หือ” นิชาภัทรขมวดคิ้ว

หญิงสาวเจ้าของร้านกาแฟหลับตาพริ้มก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วบอกความต้องการของตัวเองออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ฉันเคยฝันว่าจะออกเดินทางท่องโลกกว้างมานานแล้วแกแต่ไม่สบโอกาสสักที ตอนแรกก็ติดปัญหาเรื่องพอกเก็ตมันนี่ แต่มาตอนนี้มันนี่พร้อมก็ดันไม่มีเวลา ฉันก็เลยคิดว่าถ้าแกทำความฝันของตัวแกสำเร็จเมื่อไหร่ ฉันก็จะขอเดินตามความฝันของตัวเองบ้าง ไม่นานหรอกแกแค่เดือนสองเดือนหรืออย่างมากก็สามเดือน ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของแกที่ต้องรับผิดชอบร้านค้าออนไลน์ของเรารวมทั้งคอฟฟี่ช็อปของฉันด้วย”

“เฮ้ย! คอฟฟี่ช็อปนี่ด้วยเหรอ”

“ถูก”

“แกแน่ใจเหรอยะหยา โอเค เรื่องร้านค้าออนไลน์น่ะไม่มีปัญหาฉันดูแลได้ แต่คอฟฟี่ช็อปนี่สิแกแน่ใจ?”

ญาณินียักไหล่ง่ายๆ “ทีแกยังไว้ใจฉันเลยแล้วทำไมฉันจะไว้ใจแกบ้างไม่ได้ ว่าไง โอไหม”

แม้เรื่องที่เพื่อนขอจะไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่พอคิดสะระตะดูแล้วมันก็ไม่น่าจะยากจนเกินไป ว่าไปแล้วมันก็ยุติธรรมดีนิชาภัทรจึงยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้า “โอเค ตกลงตามนี้” ก่อนจะหุบยิ้มฉับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าปัญหายังไม่จบ “เรื่องร้านค้าออนไลน์ของเราสองคนเคลียร์แล้ว แต่ธุรกิจที่บ้านฉันนี่สิแกจะทำยังไง”

“ถ้าพี่แพตไม่ว่าอะไร รุ่งดูแลให้ก็ได้นะคะ” แพรวรุ่งเสนอตัวช่วยเหลือบ้าง

นิชาภัทรส่งยิ้มให้ญาติผู้น้อง “พี่จะว่าอะไรได้ล่ะ นอกจากจะบอกว่าขอบใจ” แม้จะเพิ่งเรียนจบแต่บัณฑิตหมาดๆ คนนี้ก็มีประสบการณ์ช่วยเหลืองานเธอมามากพอควร และจากผลงานที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าผ่านโปรฯ แต่ก็ยังไม่วายติดปัญหา “แล้วถ้าแกสอบต่อโทได้ล่ะยายรุ่ง ก็ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันไม่หนักไปเหรอ เก่งๆ อย่างแกต้องสอบได้อยู่แล้วล่ะ”

“ในเมื่อพี่แพตเชื่อว่ารุ่งเก่งต้องสอบได้ก็น่าจะเพิ่มความเชื่อมั่นไปอีกอย่างว่ารุ่งสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้สิคะ”

“แน่ใจนะ”

“ที่สุดในชีวิตค่ะ” แพรวรุ่งเชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ

“ย่ะ แม่คนเก่ง” ไม่วายประชดแต่ก็อดยิ้มยินดีไม่ได้ “แอ่นอกมั่นใจขนาดนี้อยากได้อะไรยะ ไหนลองบอกมาซิ ถ้ามากไปฉันก็ไม่โอหรอกนะ” รีบพูดดักคอเอาไว้ก่อน

คนมั่นใจทำหน้าเหลอหลา “รุ่งยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ” หากวินาทีถัดมาดวงหน้าใสก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ในเมื่อพี่แพตเสนอขึ้นมา รุ่งเป็นเด็กก็ไม่ควรปฏิเสธความหวังดีจากผู้ใหญ่ใช่ไหมล่ะคะ งั้นก็ขอเป็นแพ็กเกจทัวร์ตามรอยซีรีส์เกาหลีแล้วกันค่ะ”

ฝ่ายผู้ใหญ่ส่ายหน้าเอือม “ฉันว่าแล้ว” หยุดถอนหายใจปลดปลง “แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้อง โอก็ได้ย่ะ” ยังไม่วายไว้ท่าทั้งที่จริงก็เต็มใจและคิดจะให้ของขวัญสักอย่างเนื่องในโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรของญาติผู้น้องอยู่แล้ว

“เย้! ขอบคุณมากค่ะพี่แพต” แพรวรุ่งกระโดดกอดญาติผู้พี่ด้วยความยินดี

“อื้อ ไม่เป็นไร ปล่อยได้แล้วยายรุ่ง ฉันหายใจไม่ออก” อดประท้วงขึ้นมาไม่ได้เมื่อถูกคนอายุน้อยกว่าแต่รูปร่างกลับสูงหนากว่ากอดรัดจนแน่นทั้งยังไม่ยอมปล่อยเสียที

แพรวรุ่งรัดวงแขนแน่นๆ แกล้งญาติผู้พี่เป็นการส่งท้ายก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดออกหันไปตีมือกับหญิงสาวเจ้าของร้านกาแฟแล้วสรุปว่า “ข้อหนึ่ง ตัดใจจากเรื่องงาน เคลียร์ ไม่มีปัญหา ข้อสอง ตัดใจจากคนรัก อันนี้ก็โนพร็อบเล็มเพราะพี่แพต โฉด… เอ้ย! โสดสนิทไม่มีแฟน ทีนี้ก็เหลือข้อสาม…” ท้ายประโยคลากเสียงยานคางอย่างมีนัยยะ

“คุณแม่/คุณน้า/คุณป้า” ทั้งสามสาวได้แต่ครางถึงบุคคลที่เข้าใจตรงกันว่า เป็นอุปสรรคสำคัญ!

TBC...





พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2556, 10:07:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2556, 10:07:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1291





getup 25 ก.ย. 2556, 18:23:00 น.
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ ขอบคุณค่ะ


ปลากัด 25 ก.ย. 2556, 22:56:08 น.
ขยันจังค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account