รักนายเจ้าชายปีศาจ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน:
รักนายเจ้าชายปีศาจ ตอนที่ 1
“เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความมืดภายในโถงกว้างของโบสถ์ ในแถวเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งเรียงรายอยู่ ปรากฏร่างหนึ่งนั่งนิ่งสงบมีเพียงดาวตาที่ทอประกายล้อกับแสงเทียนหน้าแท่นบูชา
หญิงสาวอายุราวยี่สิบปีเงยหน้าจ้องมองพระพักตร์ของพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขนอยู่บนผนังโบสถ์ ในใจของเธองุนงงและสับสน น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้างและร่วงลงบนอกเสื้อเชิร์ตสีเทาที่เธอสวมอยู่อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นใดๆหลุดออกมา ทว่าในดวงตานั้นบ่งบอกถึงความเศร้าเกินกว่าจะบรรยาย
ย้อนกลับไปเมื่อสามหรือสี่เดือนก่อนหน้านี้ ในเวลาที่เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มก่อตัวขึ้น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน พระสวามีเจ้าข้า โปรดอวยพรแก่ข้าพเจ้าและอาหารที่จะรับประทานนี้ เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน”ทันทีที่เสียงสวดมนต์สิ้นสุดลง มือข้างหนึ่งก็เอื้อมออกไปหาน่องไก่ทันที พร้อมกับเสียงเพี๊ยะที่ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
“โอ้ย แม่ ตีทำไมเนี่ย”เสียงหนึ่งร้องขึ้น
“ก็แกรีบทำไมนักล่ะ คิม”เสียงคนเป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง “เป็นผู้หญิงน่ะก็หัดทำอะไรให้มันเรียบร้อยบ้าง”
“พอเลยแม่ เรื่องนี้อีกแล้ว หนูก็เป็นของหนูแบบนี้”พูดจบก็คว้าน่องไก่ที่เล็งไว้แต่แรกมาด้วยมือข้างเดิม
จนผู้เป็นแม่ต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา เพราะเจ้าลูกสาวตัวดีไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด แต่ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งเติมเครื่องสำอางใดๆ เค้าโครงความหวานน่ารักจึงปรากฎให้เห็นอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวหน้าขาวใสตัดกับคิ้วสีดำเข้ม นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลทอแววขี้เล่นอยู่ไม่น้อย เรือนร่างที่บอบบางและส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบหกเซนติเมตรทำให้ดูเป็นยัยเปี๊ยก แต่โดยรวมแล้วนับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากทีเดียว
“หนูไปก่อนนะแม่”คิมในชุดนิสิตมหาวิทลัยชื่อดัง ร้องบอกจากหน้าประตูบ้าน ก่อนจะเดินออกไป
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
น้ำตาที่หยดลงบนโต๊ะกาแฟสีขาวกระจายเป็นดวง เพราะคิมยกมือขึ้นปาดมันไม่ทัน เม็ดฝนที่ซัดสาดอยู่ด้านนอกร้านกาแฟสีขาวนี้ คงไม่หนักเท่าพายุในใจหญิงสาวเธอก้มหน้าลงจ้องมองพื้นโต๊ะเพื่อเลี่ยงการสบสายตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะ
ส่วนอีกโต๊ะไม่ไกล มีชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกคู่หนึ่งนั่ง ซึ่งเมื่อพินิจดูแล้ว ใบหน้าขาวใสของทั้งสองแทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ชายหนุ่มมีดวงหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่เฉียบคม ในขณะที่ดวงหน้าหวานซึ้งและดวงตาที่กลมโตเป็นของหญิงสาว ทั้งสองเป็นฝาแฝดชายหญิงที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นเพื่อนกับคิมมาตั้งแต่มัธยม ตอนนี้ทั้งสองมีแววความเครียดฉายอยู่บนใบหน้า ดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องไปยังโต๊ะที่คิมนั่งอยู่
“มอคค่าเย็นสองแก้วเหมือนเดิมมาแล้ว เอ็ม ไอซ์”เสียงเจื้อยแจ่วดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด พร้อมถาดเครื่องดื่มที่วางลงตรงหน้าฝาแฝดทั้งสอง แล้วพี่อิน สาวสวยเจ้าของร้านกาแฟไวท์เฮาส์แห่งนี้ก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างเป็นกันเอง
“แล้วคิมกับบอยมันเป็นอะไรกันล่ะนั่น”อินกระซิบถามฝาแฝด
“ก็คิมมันไปเจอบอยอยู่กับผู้หญิงอีกคนน่ะสิพี่”เอ็มเอ่ยตอบด้วยเสียงกระซิบแหบห้าว ก่อนยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มดับกระหาย
“แค่นั้นหรอ”อินกระซิบ
“ไม่ ปัญหาคือไปเจอตอนอยู่บนเตียงน่ะสิ พี่อิน”คราวนี้เป็นเสียงหวานๆของไอซ์ที่กระซิบตอบกลับมา
“อ้อ”อินพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที
คิมยังคงฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ที่ผ่านมาไม่มีเสียงใดระหว่างคิมกับชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ จนความอึดอัดถึงขีดสุด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“บอยขอโทษนะคิม แต่คิมต้องเข้าใจบอยสิ เพราะคิมยอมให้บอยมี…”ชายหนุ่มเอ่ยไม่ทันจบประโยค หมัดเล็กๆของคิมก็เหวี่ยงเข้าที่แก้มซ้ายของเขา มีเสียงร้องโอ๊ยลอดออกมาจากปากของคิมก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะ พร้อมกุมนิ้วมือที่เคล็ดเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง น้ำใสๆที่ยังคงไหลจากดวงตาที่บวมแดงอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เธอก้าวออกมาจากร้านแล้ววิ่งไปตามทางเท้าริมถนนอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครในร้านจะห้ามได้ทัน เธอไม่สนใจฝนเม็ดใหญ่ที่ซัดใส่ใบหน้าและลำตัวจนเจ็บ เสียงร้องเรียกของสองฝาแฝดทำให้เธอเหลียวไปมองแต่ขาไม่ได้หยุดวิ่งแต่อย่างใด
เมื่อรู้ตัวอีกทีคิมกำลังเดินไปตามทางเท้าที่ทอดยาวพลางนึกว่าจะมีแท็กซี่คันไหนยอมรับเธอที่เปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าบ้าง ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกที ในขณะที่ท้องฟ้าเวลาหกโมงเย็นมืดลงอย่างรวดเร็ว วันนี้คงเป็นวันที่ฝนตกหนักที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา แถมยังมีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฉายเป็นเส้นแปลบปลาบที่ขอบฟ้าทุกด้านของกรุงเทพมหานคร
บรรยากาศหน้ากลัวแบบนี้ทำให้คิมนึกลังเลว่าจะเดินกลับไปที่ร้านพี่อินดีหรือไม่ แต่ขาของเธอยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า ในเวลานี้ไม่มีรถสักคันบนท้องถนนทำให้ความกลัวในใจของคิมเพิ่มขึ้นเรื่อย ในนาทีที่เธอหันหลังกลับตัดสินใจว่าจะเดินกลับไปร้านพี่อินดวงตากลมโตของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนนที่น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ ในใจคิมตัดสินไปแล้วว่าคงเป็นคนที่โดนรถชนอย่างแน่นอน ขาที่เคยก้าวเดินอย่างรวดเร็วตอนนี้หยุดชะงักอยู่บนทางเท้า จิตใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งมาตลอดเริ่มตื่นกลัว
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน ขาซ้ายจึงทำหน้าที่ก้าวไปข้างหน้าก่อน เมื่อเข้าไปใกล้พอคิมจึงเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุคงไม่เกินยี่สิบปี ใสเสื้อเชิร์ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำสนิท เลือดที่นองอยู่บนพื้นไหลออกมาจากแผลใหญ่ที่หน้าอกและหลัง
“นี่ นี่ นายได้ยินไหม”คิมร้องเรียกพลางเขย่าตัว
“แค่กๆ”มีเพียงเสียงไอที่ลอดออกมาจากลำคอของชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน เลือดคำโตพุ่งออกจากปากเขาลงบนตักของคิม
คิมล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า พร้อมกดเบอร์โทรหาเอ็มทันที ไม่นานรถโตโยต้า แคมรี่ สีขาวคันงามของเอ็มแล่นมาจอดด้านหลังของคิม
“คิม”เสียงเรียกสองเสียงดังพร้อมกัน แล้วเอ็มกับไอซ์ก็วิ่งมาถึง
“ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลหน่อย”คิมเร่งเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงยืนมองนิ่ง
ทั้งสองเหมือนรู้สึกตัวจึงรีบเข้ามาพยุงชายหนุ่มปริศนาขึ้นจากตักของคิม เมื่อมองหน้าฝาแฝดแล้วคิมจึงเห็นแววตาห่วงใยอย่างมากในดวงตาของทั้งคู่ ความรู้สึกผิดเหมือนก้อนอะไรสักอย่างเลื่อนมาจุกที่คอของเธอ
เมื่อฝาแฝดพยุงร่างของชายหนุ่มปริศนาไปคิมจึงเหลือบสายตาไปเห็นบางอย่างที่อยู่บนพื้นถนน มันคล้ายกับรอยใหม้สีดำรอยใหญ่อยู่บนพื้น รอยยาวแผ่กว้างแยกออกไปสองรอย คิมมองไปแล้วคล้าย…
ปีก?
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”เสียงร้องลั่นดังขึ้นในห้องพักชั้นหกของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเรียกให้คิมที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาสะดุ้งเฮือก ความที่ไม่สามารถตัดใจทิ้งคนที่ไม่มีทั้งกระเป๋าเงินและบัตรประชาชน ทำให้เธอต้องยกหูโทรศัพท์อธิบายกับแม่อยู่นานร่วมชั่วโมง แล้วตอนนี้มันก็ลงเอยที่โซฟาข้างเตียงคนใข้
“นายฟื้นแล้วหรอ”คิมเดินไปใกล้เตียงอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เธอ…ฉันอยู่ที่ไหน”ชายหนุ่มปริศนาชี้นิ้วมาที่เธอพร้อมกับพูดเสียงแหบแห้ง
“อยู่โรงพยาบาลไง”คิมตอบยังคงระแวงกับน้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกร้าวนั้น
“ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันต้องรีบไป”พูดพร้อมกระโดดลงจากเตียง ทันทีที่ทำแบบนั้นร่างของชายหนุ่มปริศนาก็ทรุดหวบลงทันที ทำให้คิมต้องรีบเข้าไปพยุงกลับไปนอนที่เตียง
“นี่ ใจเย็นๆก่อน หมอบอกว่านายบาดเจ็บภายในมากนะต้องพักอย่างน้อยเป็นอาทิตย์ แล้วยังแผลที่หน้าอกกับหลังอีก ว่าแต่นายชื่ออะไร บอกสิ”คิมผลักชายหนุ่มให้นอนลงบนเตียง
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกชื่อฉันกับเธอ”ชายหนุ่มพูด พร้อมพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ถูกมือเล็กๆสองข้างกดไว้
“นี่นายไม่คิดจะบอกชื่อตัวเองกับคนที่ช่วยชีวิตนายไว้เลยหรอ”คิมถามอย่างงุนงง
“เหอะ”ชายหนุ่มเค้นเสียงพร้อมพลิกตัวหันหลังให้
“ตามใจนาย หนุ่มน้อย ฉันชื่อคิมนะ” คิมเอ่ยเสียงหวานราวกับแม่ที่พูดกับลูกน้อยอย่างจงใจล้อเลียนชายหนุ่ม แล้วเธอก็เดินกลับไปนอนบนโซฟาตัวยาวที่มุมห้อง ในใจของคิมตอนนี้ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของแฟนหนุ่มที่นอกใจ ภาพบาดตาที่เธอเห็นในห้องของเขาทำให้เธอไม่อาจข่มตานอนลงได้
“นี่ ยัยมนุษย์เปี๊ยก”คำเรียกที่ทำให้ความคิดของคิมต้องหยุดชะงักทันที ความโกรธผสมกับความงุนงงเป็นรสชาติที่แปลกประหลาดสำหรับคิม ในใจเธออยากทุบคอหมอนี่ให้ยุบติดที่ว่าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขาด้วยซ้ำ
“มีอะไร ฉันมีชื่อนะ”น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนจากตอนแรกหน้ามือเป็นหลังมือ
“ปิดไฟบ้านั้นให้หน่อยสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สนใจน้ำเสียงแข็งกร้าวที่เธอพยายามแสดงออกเลยสักนิด
“ก็ได้”คิมเดินไปปิดสวิตซ์ไฟ แล้วเดินกับมานั่งที่โซฟา “นี่นาย ฉันชื่อคิม คนอื่นเขามีชื่อนะ แม้นายจะไม่มีก็เถอะ”คิมพูดออกไปเสียงดัง แต่พบว่าชายหนุ่มได้นอนหันหลังให้เธอไปแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“บาลล์”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความมืด
“อะไรนะ”คิมถามอย่างงุนงง
ชายหนุ่มพลิกตัวหันหน้ากลับมามองคิม แสงจันทร์ที่ส่องทะลุผ่านผ้าม่านทำให้คิมเห็นหน้าของเขาเพียงซีกเดียว ใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินยี่สิบที่มีผมและนัยต์ตาคมกริบสีดำขลับ คิ้วเข้มสีเดียวกับนัยต์ตา ประดับบนใบหน้าขาว จมูกเป็นสัน และริมฝีปากเล็กบาง แม้แต่คิมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาน่ารักไม่น้อยทีเดียวในยามที่ไม่ทำตัวกวนโมโห
“บาลล์ คือชื่อของฉัน ยัยเปี๊ยก”
“เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความมืดภายในโถงกว้างของโบสถ์ ในแถวเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งเรียงรายอยู่ ปรากฏร่างหนึ่งนั่งนิ่งสงบมีเพียงดาวตาที่ทอประกายล้อกับแสงเทียนหน้าแท่นบูชา
หญิงสาวอายุราวยี่สิบปีเงยหน้าจ้องมองพระพักตร์ของพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขนอยู่บนผนังโบสถ์ ในใจของเธองุนงงและสับสน น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้างและร่วงลงบนอกเสื้อเชิร์ตสีเทาที่เธอสวมอยู่อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นใดๆหลุดออกมา ทว่าในดวงตานั้นบ่งบอกถึงความเศร้าเกินกว่าจะบรรยาย
ย้อนกลับไปเมื่อสามหรือสี่เดือนก่อนหน้านี้ ในเวลาที่เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มก่อตัวขึ้น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน พระสวามีเจ้าข้า โปรดอวยพรแก่ข้าพเจ้าและอาหารที่จะรับประทานนี้ เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน”ทันทีที่เสียงสวดมนต์สิ้นสุดลง มือข้างหนึ่งก็เอื้อมออกไปหาน่องไก่ทันที พร้อมกับเสียงเพี๊ยะที่ดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร
“โอ้ย แม่ ตีทำไมเนี่ย”เสียงหนึ่งร้องขึ้น
“ก็แกรีบทำไมนักล่ะ คิม”เสียงคนเป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง “เป็นผู้หญิงน่ะก็หัดทำอะไรให้มันเรียบร้อยบ้าง”
“พอเลยแม่ เรื่องนี้อีกแล้ว หนูก็เป็นของหนูแบบนี้”พูดจบก็คว้าน่องไก่ที่เล็งไว้แต่แรกมาด้วยมือข้างเดิม
จนผู้เป็นแม่ต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา เพราะเจ้าลูกสาวตัวดีไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด แต่ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งเติมเครื่องสำอางใดๆ เค้าโครงความหวานน่ารักจึงปรากฎให้เห็นอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวหน้าขาวใสตัดกับคิ้วสีดำเข้ม นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลทอแววขี้เล่นอยู่ไม่น้อย เรือนร่างที่บอบบางและส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบหกเซนติเมตรทำให้ดูเป็นยัยเปี๊ยก แต่โดยรวมแล้วนับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากทีเดียว
“หนูไปก่อนนะแม่”คิมในชุดนิสิตมหาวิทลัยชื่อดัง ร้องบอกจากหน้าประตูบ้าน ก่อนจะเดินออกไป
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
น้ำตาที่หยดลงบนโต๊ะกาแฟสีขาวกระจายเป็นดวง เพราะคิมยกมือขึ้นปาดมันไม่ทัน เม็ดฝนที่ซัดสาดอยู่ด้านนอกร้านกาแฟสีขาวนี้ คงไม่หนักเท่าพายุในใจหญิงสาวเธอก้มหน้าลงจ้องมองพื้นโต๊ะเพื่อเลี่ยงการสบสายตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะ
ส่วนอีกโต๊ะไม่ไกล มีชายหนุ่มกับหญิงสาวอีกคู่หนึ่งนั่ง ซึ่งเมื่อพินิจดูแล้ว ใบหน้าขาวใสของทั้งสองแทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ชายหนุ่มมีดวงหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่เฉียบคม ในขณะที่ดวงหน้าหวานซึ้งและดวงตาที่กลมโตเป็นของหญิงสาว ทั้งสองเป็นฝาแฝดชายหญิงที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นเพื่อนกับคิมมาตั้งแต่มัธยม ตอนนี้ทั้งสองมีแววความเครียดฉายอยู่บนใบหน้า ดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องไปยังโต๊ะที่คิมนั่งอยู่
“มอคค่าเย็นสองแก้วเหมือนเดิมมาแล้ว เอ็ม ไอซ์”เสียงเจื้อยแจ่วดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด พร้อมถาดเครื่องดื่มที่วางลงตรงหน้าฝาแฝดทั้งสอง แล้วพี่อิน สาวสวยเจ้าของร้านกาแฟไวท์เฮาส์แห่งนี้ก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างเป็นกันเอง
“แล้วคิมกับบอยมันเป็นอะไรกันล่ะนั่น”อินกระซิบถามฝาแฝด
“ก็คิมมันไปเจอบอยอยู่กับผู้หญิงอีกคนน่ะสิพี่”เอ็มเอ่ยตอบด้วยเสียงกระซิบแหบห้าว ก่อนยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มดับกระหาย
“แค่นั้นหรอ”อินกระซิบ
“ไม่ ปัญหาคือไปเจอตอนอยู่บนเตียงน่ะสิ พี่อิน”คราวนี้เป็นเสียงหวานๆของไอซ์ที่กระซิบตอบกลับมา
“อ้อ”อินพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที
คิมยังคงฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ที่ผ่านมาไม่มีเสียงใดระหว่างคิมกับชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ จนความอึดอัดถึงขีดสุด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“บอยขอโทษนะคิม แต่คิมต้องเข้าใจบอยสิ เพราะคิมยอมให้บอยมี…”ชายหนุ่มเอ่ยไม่ทันจบประโยค หมัดเล็กๆของคิมก็เหวี่ยงเข้าที่แก้มซ้ายของเขา มีเสียงร้องโอ๊ยลอดออกมาจากปากของคิมก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโต๊ะ พร้อมกุมนิ้วมือที่เคล็ดเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง น้ำใสๆที่ยังคงไหลจากดวงตาที่บวมแดงอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน เธอก้าวออกมาจากร้านแล้ววิ่งไปตามทางเท้าริมถนนอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครในร้านจะห้ามได้ทัน เธอไม่สนใจฝนเม็ดใหญ่ที่ซัดใส่ใบหน้าและลำตัวจนเจ็บ เสียงร้องเรียกของสองฝาแฝดทำให้เธอเหลียวไปมองแต่ขาไม่ได้หยุดวิ่งแต่อย่างใด
เมื่อรู้ตัวอีกทีคิมกำลังเดินไปตามทางเท้าที่ทอดยาวพลางนึกว่าจะมีแท็กซี่คันไหนยอมรับเธอที่เปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าบ้าง ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกที ในขณะที่ท้องฟ้าเวลาหกโมงเย็นมืดลงอย่างรวดเร็ว วันนี้คงเป็นวันที่ฝนตกหนักที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา แถมยังมีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฉายเป็นเส้นแปลบปลาบที่ขอบฟ้าทุกด้านของกรุงเทพมหานคร
บรรยากาศหน้ากลัวแบบนี้ทำให้คิมนึกลังเลว่าจะเดินกลับไปที่ร้านพี่อินดีหรือไม่ แต่ขาของเธอยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า ในเวลานี้ไม่มีรถสักคันบนท้องถนนทำให้ความกลัวในใจของคิมเพิ่มขึ้นเรื่อย ในนาทีที่เธอหันหลังกลับตัดสินใจว่าจะเดินกลับไปร้านพี่อินดวงตากลมโตของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนนที่น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ ในใจคิมตัดสินไปแล้วว่าคงเป็นคนที่โดนรถชนอย่างแน่นอน ขาที่เคยก้าวเดินอย่างรวดเร็วตอนนี้หยุดชะงักอยู่บนทางเท้า จิตใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งมาตลอดเริ่มตื่นกลัว
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นาน ขาซ้ายจึงทำหน้าที่ก้าวไปข้างหน้าก่อน เมื่อเข้าไปใกล้พอคิมจึงเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุคงไม่เกินยี่สิบปี ใสเสื้อเชิร์ตสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำสนิท เลือดที่นองอยู่บนพื้นไหลออกมาจากแผลใหญ่ที่หน้าอกและหลัง
“นี่ นี่ นายได้ยินไหม”คิมร้องเรียกพลางเขย่าตัว
“แค่กๆ”มีเพียงเสียงไอที่ลอดออกมาจากลำคอของชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน เลือดคำโตพุ่งออกจากปากเขาลงบนตักของคิม
คิมล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า พร้อมกดเบอร์โทรหาเอ็มทันที ไม่นานรถโตโยต้า แคมรี่ สีขาวคันงามของเอ็มแล่นมาจอดด้านหลังของคิม
“คิม”เสียงเรียกสองเสียงดังพร้อมกัน แล้วเอ็มกับไอซ์ก็วิ่งมาถึง
“ช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลหน่อย”คิมเร่งเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงยืนมองนิ่ง
ทั้งสองเหมือนรู้สึกตัวจึงรีบเข้ามาพยุงชายหนุ่มปริศนาขึ้นจากตักของคิม เมื่อมองหน้าฝาแฝดแล้วคิมจึงเห็นแววตาห่วงใยอย่างมากในดวงตาของทั้งคู่ ความรู้สึกผิดเหมือนก้อนอะไรสักอย่างเลื่อนมาจุกที่คอของเธอ
เมื่อฝาแฝดพยุงร่างของชายหนุ่มปริศนาไปคิมจึงเหลือบสายตาไปเห็นบางอย่างที่อยู่บนพื้นถนน มันคล้ายกับรอยใหม้สีดำรอยใหญ่อยู่บนพื้น รอยยาวแผ่กว้างแยกออกไปสองรอย คิมมองไปแล้วคล้าย…
ปีก?
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”เสียงร้องลั่นดังขึ้นในห้องพักชั้นหกของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเรียกให้คิมที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาสะดุ้งเฮือก ความที่ไม่สามารถตัดใจทิ้งคนที่ไม่มีทั้งกระเป๋าเงินและบัตรประชาชน ทำให้เธอต้องยกหูโทรศัพท์อธิบายกับแม่อยู่นานร่วมชั่วโมง แล้วตอนนี้มันก็ลงเอยที่โซฟาข้างเตียงคนใข้
“นายฟื้นแล้วหรอ”คิมเดินไปใกล้เตียงอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เธอ…ฉันอยู่ที่ไหน”ชายหนุ่มปริศนาชี้นิ้วมาที่เธอพร้อมกับพูดเสียงแหบแห้ง
“อยู่โรงพยาบาลไง”คิมตอบยังคงระแวงกับน้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกร้าวนั้น
“ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันต้องรีบไป”พูดพร้อมกระโดดลงจากเตียง ทันทีที่ทำแบบนั้นร่างของชายหนุ่มปริศนาก็ทรุดหวบลงทันที ทำให้คิมต้องรีบเข้าไปพยุงกลับไปนอนที่เตียง
“นี่ ใจเย็นๆก่อน หมอบอกว่านายบาดเจ็บภายในมากนะต้องพักอย่างน้อยเป็นอาทิตย์ แล้วยังแผลที่หน้าอกกับหลังอีก ว่าแต่นายชื่ออะไร บอกสิ”คิมผลักชายหนุ่มให้นอนลงบนเตียง
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกชื่อฉันกับเธอ”ชายหนุ่มพูด พร้อมพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ถูกมือเล็กๆสองข้างกดไว้
“นี่นายไม่คิดจะบอกชื่อตัวเองกับคนที่ช่วยชีวิตนายไว้เลยหรอ”คิมถามอย่างงุนงง
“เหอะ”ชายหนุ่มเค้นเสียงพร้อมพลิกตัวหันหลังให้
“ตามใจนาย หนุ่มน้อย ฉันชื่อคิมนะ” คิมเอ่ยเสียงหวานราวกับแม่ที่พูดกับลูกน้อยอย่างจงใจล้อเลียนชายหนุ่ม แล้วเธอก็เดินกลับไปนอนบนโซฟาตัวยาวที่มุมห้อง ในใจของคิมตอนนี้ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของแฟนหนุ่มที่นอกใจ ภาพบาดตาที่เธอเห็นในห้องของเขาทำให้เธอไม่อาจข่มตานอนลงได้
“นี่ ยัยมนุษย์เปี๊ยก”คำเรียกที่ทำให้ความคิดของคิมต้องหยุดชะงักทันที ความโกรธผสมกับความงุนงงเป็นรสชาติที่แปลกประหลาดสำหรับคิม ในใจเธออยากทุบคอหมอนี่ให้ยุบติดที่ว่าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขาด้วยซ้ำ
“มีอะไร ฉันมีชื่อนะ”น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนจากตอนแรกหน้ามือเป็นหลังมือ
“ปิดไฟบ้านั้นให้หน่อยสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สนใจน้ำเสียงแข็งกร้าวที่เธอพยายามแสดงออกเลยสักนิด
“ก็ได้”คิมเดินไปปิดสวิตซ์ไฟ แล้วเดินกับมานั่งที่โซฟา “นี่นาย ฉันชื่อคิม คนอื่นเขามีชื่อนะ แม้นายจะไม่มีก็เถอะ”คิมพูดออกไปเสียงดัง แต่พบว่าชายหนุ่มได้นอนหันหลังให้เธอไปแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“บาลล์”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความมืด
“อะไรนะ”คิมถามอย่างงุนงง
ชายหนุ่มพลิกตัวหันหน้ากลับมามองคิม แสงจันทร์ที่ส่องทะลุผ่านผ้าม่านทำให้คิมเห็นหน้าของเขาเพียงซีกเดียว ใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินยี่สิบที่มีผมและนัยต์ตาคมกริบสีดำขลับ คิ้วเข้มสีเดียวกับนัยต์ตา ประดับบนใบหน้าขาว จมูกเป็นสัน และริมฝีปากเล็กบาง แม้แต่คิมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาน่ารักไม่น้อยทีเดียวในยามที่ไม่ทำตัวกวนโมโห
“บาลล์ คือชื่อของฉัน ยัยเปี๊ยก”
horizon
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2554, 12:46:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2554, 12:49:35 น.