เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๒๑ : สายใยแห่งรัก

ยังไม่ได้รีไรต์นะคะ ผิดพลาดตรงไหนขออภัยล่วงหน้า
ปล...ตอนแรกบอกว่าจะจบบทที่ 22 แหะๆ อาจจบไม่ได้แล้วค่ะ น่าจะเลยไปบทที่ 23 หรือ 24 เลยยย (เขียนเรื่องแนวนี้ทีไรยาวทุกที ตั้งแต่หนึ่งในหทัย หทัยบรรณาการ จนมาเรื่องนี้ >.< )



กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกนำมาวางลงตรงหน้านั้น มีลายเส้นจากดินสอวาดเป็นรูปเป็นร่าง บอกเส้นสายทางเดินอันคดเคี้ยว มีลำธารหรือแม่น้ำสายยาวพาดผ่านไปมาสองสามสาย บางตำแหน่งเป็นรูปต้นไม้ที่วาดอย่างลวกๆ บางแห่งเป็นอาคารบ้านเรือนเล็กๆ บางแห่งกลับเป็นตึกขนาดใหญ่เรียงติดกันโดยมีกำแพงล้อมรอบซึ่งด้านหลังเป็นท้องทะลันกว้างไกล ไม่ต้องมีชื่อระบุ คนที่กำลังสำรวจอย่างตั้งใจก็รู้ดีว่า ณ ที่นั้นคือพระราชวังหลวง

ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงก้มพระพักตร์ทำความเข้าพระทัยกับแผนที่การเดินทางซึ่งทรงส่งอัศนัยไปขอร้องหม่อมเจ้าหญิงอังศุมาลินให้วาดให้ แม้ลายเส้นจะไม่งดงาม และน้ำหนักของดินสอที่กดย้ำลงไปในแต่ละตำแหน่งจะเบาไปบ้าง หรือหนักไปบ้างก็ยังมีประโยชน์สำหรับพระองค์ในยามนี้...ในยามที่ต้องระแวดระวังภัยและช่วยเหลือตัวเองให้ได้หากมีอันตรายถาโถมเข้ามา

“เจ้าจำได้หมดรึยังอัศนัย”

ราชองครักษ์ของพระองค์นับว่ามีความจำเป็นเลิศ ช่างสังเกต และมีสติรอบคอบรอบยู่เสมอ ดูอย่างตอนต่อสู้กับเจ้าชายสุริเยนทร์สิ หากเป็นคนอื่นอาจจะมุ่งมั่นเพียงแค่การฟาดฟันให้ชนะ หรือจับตัวคนผู้นั้นให้ได้ คงไม่มีใครสู้พลาง สังเกตไปพลางอย่างเขาได้หรอก หรือถ้ามีก็คงน้อยกว่าน้อย

“ได้หมดแล้วกระหม่อม”

อย่างที่คาดไว้ อัศนัยเป็นที่พึ่งของพระองค์ได้เสมอ!

ฟ้าหญิงอุษาวดีพยักพระพักตร์ แย้มพระโอษฐ์ชื่นชม พับแผนที่นั้นถือไว้ในพระหัตถ์ สาวพระบาทไปที่พระบัญชร ก่อนจะเลิกพระวิสูตรเล็กน้อยเพื่อทอดพระเนตรไปยังเบื้องล่าง ซึ่งบัดนี้คุณหญิงพิศเพลินนำรถเทียมม้ารูปทรงละม้ายฟักทองมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว

“อัศนัย เจ้าไปพาวลาหกมาให้เราหน่อย ถ้าเราเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว จะตามลงไป”

ชายหนุ่มรับคำ โค้งคำนับ ก่อนถอยหลังออกจากห้องทรงพระอักษรไปอย่างเงียบเชียบ

ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงเพ่งมองคุณหญิงหน้ากลมที่กำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายอีกพักใหญ่ จึงผละจากมา สาวพระบาทผ่านบานพระทวารเล็กกลับสู่ห้องบรรทมซึ่งนาราเตรียมฉลองพระองค์ไว้ให้แล้ว

“ขอบใจนะนารา”

ทรงวางแผนที่ไว้ปลายพระแท่นบรรทม ก่อนหันพระปฤษฎางค์ให้นาราช่วยในการถอดและสวมใส่ฉลองพระองค์ชุดใหม่

“นาราไม่ต้องไปหรอกนะ ขืนไปเราคงห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไร”

ถ้อยตรัสนี้ทรงคุ้นเหลือเกิน เพราะใครคนหนึ่งก็เคยพูดกรอกหูอยู่บ่อยๆ

สุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยนั้น ยังทรงจำได้ แม่นยำทุกคำ และทุกจังหวะจะโคนในการเน้นย้ำ...ทรงทราบดีพระสวามีไม่อยากให้พระองค์ได้รับอันตราย หากก็เพราะความเป็นห่วงอีกเหมือนกัน จึงทำให้พระองค์ดื้อรั้นและดึงดันไม่ยอมกลับสิขเรศเสียที

เอาเถอะ! รอให้จับเสด็จอาอมายาวีได้ก่อนเถอะ ถ้าพี่ชลยังอยากให้ไป พระองค์ก็จะไปแต่โดยดี!

“ไม่ได้หรอกเพคะ หม่อมฉันต้องไปด้วย”

เสียงของนาราปลุกให้พระองค์เก็บสุรเสียงห้าวลึกของพระสวามีไว้ และหันมาจดจ่อกับทุกถ้อยคำของอีกฝ่าย

“หม่อมฉันต้องรับใช้และดูแลพระองค์ตลอดเวลาเพคะ”

คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ตลอดเวลาที่ไหน เมื่อคืนเจ้าหายจ้อยไปเลย”

เป็นคำโต้แย้งที่ทำให้นาราอาปากค้างเป็นปกติ หากครั้งนี้แก้มของเธอแดงก่ำเป็นลูกตำลึงเลยทีเดียว

“โธ่! ทูลกระหม่อม! เวลาแบบนั้นจะให้หม่อมฉันอยู่ด้วยได้ยังไงล่ะเพคะ ไม่ได๊ ไม่ได้เพค้า!”

ท่ามกลางความเคร่งเครียดและอันตรายที่มารุมล้อมพร้อมที่จะประหัตประหารพระองค์ได้ทุกเมื่อนั้น กลับทรงยังมีพระอารมณ์ขัน ทรงพระสรวลดังก้องกับวาจาและท่าทางของนางกำนัลคนสนิท ก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมากอด...กอดเฉกเช่นเพื่อนกอดเพื่อน มิใช่เจ้าชีวิตกอดข้ารับใช้ผู้ภักดี

“ขอบใจนะนารา ขอบใจที่ดูแลเรามาตลอด ขอบใจที่เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพี่สาวที่น่ารัก” ทรงกระซิบอ่อนหวาน เจือเสียงสรวลน้อยๆในประโยคสุดท้าย “ขอบใจมากที่ทนเราได้”

“ทูลกระหม่อม!”

ความงุนงง ซาบซึ้งและตื้นตันทำให้นาราคิดหาคำพูดอะไรไม่ได้นอกจากร้องเรียกเจ้าชีวิตของตนเอง น้ำตาปริ่มขอบตาเมื่อหญิงวดีจุ๊บเบาๆที่แก้มสองข้าง ส่งผ่านความรักและความห่วงใยมายังหัวใจอันจงรักภักดีเสมอมา

“เจ้ารอเราอยู่ที่นี่นะ เราจะรีบกลับ”

นี่ก็เช่นกัน...ทรงซึมซับถ้อยตรัสของพระสวามีมาจนหมด ราวกับจิตวิญญาณของพระองค์เชื่อมต่อกับของพระสวามีอย่างมั่นคง แน่นหนาและยากจะตัดให้ขาดสะบั้น

“ถ้าหม่อมฉันขอไปด้วย”

“เราไม่ให้ไป!” รับสั่งเสียงกร้าวดุ ก่อนจะอ่อนโยนในถ้อยตรัสถัดมา “เราจะรีบกลับจริงๆ ไม่เถลไถลไปไหนหรอกน่า”

ทรงหวังไว้ว่าจะไม่มีเหตุร้าย หากลางสังหรณ์ในพระทัยก็รุนแรงจนไม่กล้าคาดหวังมากจนเกินไปนัก

ฟ้าหญิงอุษาวดีหันไปสำรวจองค์เองในกระจก เห็นฉลองพระองค์รัดกุมสีดำเรียบร้อยดีแล้ว จึงหยิบแผนที่มาสอดเก็บไว้ด้านใน ฉวยกริชซึ่งวางไว้ใต้พระเขนยมาคาดกับผ้าคาดบั้นพระองค์ และสาวพระบาทไปหยิบดาบกับคันธนู หันมาสบตานาราเป็นเชิงลาอีกครั้ง ก่อนเสด็จตัวปลิวออกจากห้องบรรทมไป

ลงมาถึงด้านล่าง ยังไม่มีวี่แววของอัศนัย มีเพียงคนขับรถม้าซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนกับคุณหญิงพิศเพลินที่แทบจะถลาเข้ามากอดทันทีที่ทรงปรากฏกาย หากพอเห็นฉลองพระองค์ที่สวมก็ชะงัก ขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่เห็นพระองค์หอบอาวุธมาครบมือ! ทว่า...น่าชื่นชมเสียจริง เวลาเพียงเสี้ยวขณะจิตเท่านั้น คุณหญิงพิศเพลินก็สามารถฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียบขาวเป็นเงาเรียงกันเป็นระเบียบ

“หม่อมฉันนำรถม้ามารอแล้วเพคะ!”

แววตาเรียวเล็กคู่นั้นทอประกายกระตือรือร้นและเปี่ยมด้วยความหวังบางอย่าง...ทรงสัมผัสได้ แต่ไม่เข้าพระทัยในความวาดหวังที่ซุกซ่อนไว้ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว!

“เชิญประทับเพคะ”

คุณหญิงหันไปพยักเพยิดกับคนขับรถม้า เรียกให้อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูรถให้

“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ค่อยชอบนั่งรถม้า”

คนฟังถึงกับอึ้งกิมกี่ ปากเผยออ้าเล็กน้อย ขณะตากะพริบปริบๆจ้องมองพระพักตร์อ่อนละมุนของคนพูดอย่างงุนงง กระทั่งอัศนัยพาม้าสองตัวมาถึงพอดี ฟ้าหญิงอุษาวดีจึงเข้าไปลูบแผงคอของเจ้าวลาหก ยิ้มแย้มเล่นหัวกับมันอยู่อึดใจจึงหันมาตรัสกับคุณหญิงพิศเพลินว่า

“เราจะขี่เจ้าวลาหกไป คุณหญิงก็นั่งรถม้าไปกับท่านหมอวิรุณเถอะนะ เราจะล่วงหน้าไปก่อน”

ใช้พาหนะขององค์เองย่อมเป็นการดีกว่าต้องอยู่ในที่คุมขังที่อีกฝ่ายเตรียมไว้!

“แล้วเจอกันที่พนาวัลย์นะ ตามไปเร็วๆล่ะ”

ตรัสเสร็จก็ตวัดพระองค์ขึ้นไปประทับบนหลังม้า ยกพระหัตถ์โบกเป็นเชิงลา กำลังจะตะโกนสั่งให้เจ้าวลาหกเหยาะย่างไปข้างหน้า คุณหญิงหน้ากลมก็ปราดเข้ามาขวาง ละล่ำละลักถามว่า

“ทรงรู้ทางหรือเพคะ” เจ้าตัวเลียริมฝีปากอันแห้งผากของตนเอง ก่อนเอ่ยรัวเร็วต่อไปว่า “ทางไปคดเคี้ยวมากนะเพคะ ถ้าไม่ชำนาญทางอาจจะหลง”

หลงทาง...ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในกำมือของคนประสงค์ร้ายล่ะน่า!

ในพระทัยโต้กลับไปเช่นนั้น หากพระพักตร์ยังคงแย้มยิ้มอ่อนโยน

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณหญิง คนของเรารู้จักทาง พาเราไปได้” เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะค้านก็รีบตัดบทโดยเร็ว “คุยกันแค่นี้เถอะ กว่าจะไปกว่าจะกลับ เราไม่อยากค้างที่นู่นหรอก!”

คราวนี้ ‘จบ’ จริงๆ...ไม่มีการต่อความยาวสาวความยืด ไม่สนว่าคุณหญิงช่างนินทาคนนั้นจะยืนขวางทางของเจ้าวลาหกอยู่ ทรงกระตุกบังเหียน ตะโกนสั่งความอย่างดุดัน อาชาตัวพ่วงพีก็พ่นลมหายใจฟืดฟาด ส่งเสียงร้องตอบรับ แถมยังรู้พระทัยเจ้าของ กลั่นแกล้งคุณหญิงพิศเพลินด้วยการยกขาคู่หน้าขึ้นข่มขวัญ ชวนให้คนที่ยืนขวางอยู่กรีดร้องวี้ดว้าย วิ่งไปหลับหลังต้นไม้ใหญ่แทบไม่ทัน

ฟ้าหญิงอุษาวดีแทบจะกลั้นเสียงสรวลไม่ไหว โพล่งออกมาอยู่คำหนึ่งสั้นๆ จนต้องรีบเปลี่ยนเป็นเสียงสั่งการให้เจ้าวลาหกทะยานไปเบื้องหน้า กระนั้นก็ยังไม่วายหันมาตะโกนบอกคุณหญิงซึ่งยังทำหน้าตาแตกตื่นอย่างน่าขันว่า

“รีบตามไปนะคุณหญิง! เราจะไปรออยู่ที่นู่นก่อนน้า! แล้วเจอกัน!”

ทรงหันกลับไปมองหนทางที่มุ่งสู่ประตูพระราชวังด้วยรอยแย้มสรวลขบขันกึ่งสาแก่พระทัย...เพียงได้กลั่นแกล้ง กวนประสาท คุณหญิงช่างนินทาและประจบประแจงคนนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะปลดเปลื้องความกังวลในพระทัยไปได้ชั่วขณะหนึ่ง



ขบวนเดินทางของฟ้าชายชลธิศธราดลซึ่งล่วงหน้ามาก่อนนั้น ประกอบไปด้วยราชองครักษ์ห้านาย ทหารห้านาย เจ้าคุณกลาโหม เจ้าคุณมหาดไทย และเจ้าคุณคลังซึ่งรบเร้าจะตามมาด้วย โดยให้เหตุผลว่า

‘ไปกันหลายๆคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะได้ช่วยๆกันพ่ะย่ะค่ะ’

ฟ้าชายชลไม่เห็นเช่นนั้น ทรงเห็นว่าการพาเจ้าคุณคลังร่างท้วมผู้ไม่เคยจับดาบฝึกปรือหรือเผชิญกับสนามรบมาก่อนนั้น แทนที่จะเป็นการช่วย น่าจะกลายเป็นภาระเสียมากกว่า แต่เพราะเวลาไม่คอยท่า เรื่องสำคัญกำลังรอให้พระองค์ไปจัดการจึงทรงปล่อยเลยตามเลย

ทรงพยักพระพักตร์ แล้วสั่งให้อาชาทรงโผนทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน การเดินทางอย่างเร่งรีบทำให้เกือบจะถึงที่หมายในตอนเที่ยงวัน ทรงสั่งให้หยุดพักอยู่ตรงชายป่าแห่งหนึ่ง เงยพระพักตร์มองดวงตะวัน และก้มลงสำรวจแผนที่ เพียงอึดใจก็เรียกราชองครักษ์คนสนิทสามสี่คนมาหารือ ก้าวพระบาทนำไปยังใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งหากไกลจากที่พักพอสมควร เป็นการป้องกันไม่ให้มีใครมาสอดแนม กระนั้นสุ้มเสียงที่ใช้ยามปรึกษากันก็ยังเบาแสนเบา

“เจ้าไปสำรวจข้างหน้ามาแล้ว เป็นไงบ้าง มีอะไรผิดปกติไหม”

โฆษิตซึ่งรั้งอยู่ท้ายขบวนได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นคนลอบไปสำรวจหนทางเบื้องหน้าก่อนจะหยุดพักแรม นายทหารหนุ่มทำงานได้เงียบเชียบ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อถึงจุดพักแรมก็กลับมารวมกลุ่มได้ทันการณ์พอดี

“พื้นที่โดยรอบไม่มีอะไรผิดปกติกระหม่อม เพียงแต่...มีคาราวานพ่อค้าอยู่กลุ่มหนึ่งพักแรมอยู่ไม่ไกล ถ้ามาทางนี้คงจะมุ่งหน้าไปหมู่บ้านพนาวัลย์พ่ะย่ะค่ะ”

“มีอะไรน่าสงสัยรึเปล่า”

“เอ่อ...ก็ไม่เชิงสงสัย เพียงแต่...ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด คนคนหนึ่งในนั้นน่าจะเป็น...ฟ้าชายรุทรบดินทร์พ่ะย่ะค่!”

ความประหลาดใจเปล่งแสงชัดเจนอยู่ในดวงเนตรสีนิล วูบหนึ่งที่โทสะฉายฉานราวกับพระนามของฟ้าชายรุทรบดินทร์เป็นสิ่งต้องห้าม หากได้ยินเมื่อใดก็ตามจะทรงขุ่นมัวในพระอารมณ์ในทันที!

“ลอบเข้ามาอีกแล้วหรือ? มาทำไมกัน?”

ชั่วขณะหนึ่งทรงนึกถึงพระชายา

...หรือนัดแนะกับวดีอีกแล้ว?

พระขนงพลันขมวดเข้าหากันทันที หากก็ต้องเก็บกดไว้เพราะภารกิจที่ต้องทำสำคัญกว่า พระองค์รีบชี้จุดจุดหนึ่งในแผนที่ซึ่งเป็นจุดที่สายข่าวคนหนึ่งแจ้งมาว่ามีเป็นแหล่งซ่องสุมของกบฏ เสด็จอาอมายาวีก็ทรงประทับ ณ ที่นั้นด้วย ทรงเลื่อนพระหัตถ์ไปจากตำแหน่งนั้นไปตามเส้นทางที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านต่างๆ

“พนาวัลย์อยู่ใกล้สุด น่าจะเป็นอีกฐานที่มั่นของพวกมัน” ตรัสเสร็จก็ชี้พระดัชนีไปทางราชิดผู้ยืนอยู่ตรงข้าม “เจ้าต้องแยกตัวไปสำรวจหมู่บ้านนี้ก่อน ตรวจดูว่ามีคนแปลกหน้า มีทหาร หรือมีอะไรผิดปกติบ้าง ส่วนเจ้า...” ทรงวางพระหัตถ์ลงบนบ่าของกษิดิษ มองจ้องดวงตาที่แข็งกร้าวคู่นั้น ก่อนตรัสว่า “เจ้าต้องหาทางส่งข่าวไปบอกวสุให้ได้ว่าเรามาถึงแล้ว”

“แค่นั้นหรือกระหม่อม?”

“แค่นั้น เมื่อไหร่ที่วสุรู้ว่าเรามาถึง เขาจะรู้เองว่าต้องทำยังไง”

ประชุมเสร็จจึงสั่งให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ส่วนพระองค์ก็ขึ้นควบอาชาทรง เป็นผู้นำในการนำทางทหารอ้อมหมู่บ้านพนาวัลย์ เพื่อไปตั้งฐานบัญชาการกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง รอกำลังเสริมที่จะตามมาทีหลัง และรอเวลาอันเหมาะสมเพื่อบุกทลายฐานที่มั่นของพวกกบฏให้ราบเป็นหน้ากลอง!




ความไม่ชำนาญเส้นทางทำให้มาถึงล่าช้ากว่าปกติ กระนั้นฟาหญิงอุษาวดีก็ต้องสำรวจหมู่บ้านพนาวัลย์แห่งนั้นไปพลางๆระหว่างรอ บ้านเรือนหลังเล็กส่วนมากเป็นชั้นเดียวเรียงรายกันสองข้างทาง เปิดที่ว่างตรงกลางไว้เป็นทางเดินของรถม้าหรือเกวียนขนสัมภาระ ทอดยามตั้งแต่ปากทางเข้าไปจนสุดลูกหูลูกตา

ฉากหลังที่ทำให้ผู้มาเยือนส่วนใหญ่ต้องทอดสายตามองคือภูเขาลูกย่อมทางด้านหลังที่เรียงรายกันเป็นทิวแถว นับเป็นปราการธรรมชาติในการแบ่งปันเขตแดนระหว่างวสุนทรากับคิมหันต์นคร

ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงกวาดพระเนตรสำรวจโดยรอบอยู่อึดใจจึงกระตุกบังเหียนให้เจ้าวลาหกพาเข้าไปด้านใน ชาวบ้านหลายสิบคนเดินขวักไขว่ บ้างก็ขนสินค้าใส่เกวียนเพื่อนำไปขาย บ้างก็กำลังสานกระบุงหรือตะกร้าอยู่ตรงชานเรือนด้านหน้า บ้างก็กำลังผ่าฟืนแล้วแบ่งเป็นมัดๆวางขายอยู่ตรงหน้าบ้านนั่นเอง มาจนถึงกลางๆหมู่บ้านที่บ้านเรือนเริ่มหนาตาจึงเห็นร้านค้าสักร้าน ส่วนใหญ่เป็นแผงขายผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ทรงพบร้านดื่มสุราเมรัยร้านหนึ่งที่มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย เป็นร้านชั้นเดียวสร้างจากไม้ไผ่ ด้านในมีโต๊ะเรียงรายแออัด และมีคนนั่งดื่มค่อนข้างมาก แม้จะยังเป็นเวลากลางวันอยู่ก็ตาม

ยามนั้นตะวันเคลื่อนจากกลางฟ้ามามากแล้ว คุณหญิงพิศเพลินกับท่านหมอวิรุณน่าจะมาถึงเสียที หากด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบการเดินทางถึงล่าช้ากว่าปกติ พระองค์ทอดถอนพระทัยกึ่งสงสัยกึ่งหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินพระทัยกระโดดลงจากหลังเจ้าวลาหก จับบังเหียนไว้ด้วยพระหัตถ์ข้างที่ถนัด แล้วใช้สองพระบาทเดินสำรวจแทน

มีชาวบ้านอุ้มเด็กตัวจ้อยวิ่งเข้าๆออกๆบ้านไม้สองชั้นที่ด้านล่างเปิดโล่งอย่างไม่ขาดสาย ด้านหน้ามีป้ายซึ่งทำขึ้นมาอย่างลวกๆห้อยอยู่ ความที่ตัวอักษรค่อนข้างเล็ก จึงต้องสาวพระบาทเข้าไปใกล้ให้มากพอที่จะอ่านออก

‘โรงหมอ’

ที่นี่คงเป็นบ้านของหมอคนนั้น...คนที่คุณหญิงพิศเพลินว่าเป็นหมอที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาแต่อาศัยเพียงการจดจำ

หนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งอุ้มเด็กหญิงร่างผอมในอ้อมกอดวิ่งพราดพราดเข้ามาในร้านเรียกความสนพระทัยของพระองค์จนต้องหันไปมอง ชะโงกผ่านประตูเข้าไปด้านใน เห็นชายผู้นั้นพูดอะไรบางอย่างกับคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะไม้ซึ่งกำลังเอื้อมมือมาแตะตามเนื้อตามตัวของเด็กคนนั้น จับชีพจรอยู่ครู่ แล้วส่ายหน้า ชายผู้นั้นถึงกับคว้ามือคนตรงหน้าไว้ พร้อมกับละล่ำละลักร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา หากคนเป็นหมอก็หาช่วยได้ไม่ อาจเพราะไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง ทำให้พอพบเจอโรงบางอย่างซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงไม่อาจจ่ายยาหรือหาวิธีการรักษาอันเหมาะสมได้

ฟ้าหญิงอุษาวดีในฉลองพระองค์แบบบุรุษทอดถอนพระอัสสาสะยาว รีบสาวพระบาทเข้าไปด้านใน หยุดยืนอยู่หน้าชายร่างผอมเกร็งผู้สวมชุดขาวทั้งชุด และเก็บผมเผ้าของตนไว้ภายใต้ผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน

“เจ้ารอก่อน ข้ากำลังดูอาการเด็กคนนี้อยู่”

เพียงตวัดสายตามาเห็นเจ้าของโรงหมอก็บอกด้วยเสียงเคร่งเครียด หากพระองค์ไม่ใส่พระทัย เมื่อทรุดองค์ลงนั่งยองๆแล้วจับเนื้อจับตัวของเด็กคนนั้น ทั้งหน้าผาก ซอกคอ และลำแขนที่ผอมแห้งราวกับมีแต่หนังหุ้มกระดูก

“ไข้สูงมาก”

ชายร่างใหญ่ผู้นั้นพยักหน้าหงึกหงัก น้ำตากบตาเมื่อเอ่ยรัวเร็วเจือสะอื้นว่า

“เป็นไข้มาหลายวันแล้ว ทานยาเท่าไหร่ไข้ก็ไม่ลด กินอะไรก็ไม่ได้ เพราะกินเข้าไปเท่าไหร่ก็อาเจียนออกมาเท่านั้น แถมยังท้องเสียด้วย วันนี้ถ่ายไปหลายครั้งจนหมดเรี่ยวแรงแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว”

อาการเช่นนั้นน่าจะเป็นอาการท้องร่วง หากทานยาถูกกับโรคก็คงหายภายในสองสามวัน แต่หมอคนนี้คงจ่ายยาผิดเพี้ยนไป อาการจึงยังไม่ดีขึ้นเช่นนี้

“เอางี้สิ...กลับไปบ้านไปเช็ดตัวนะ แล้วก็ให้ดื่มน้ำเยอะๆ อาจจะพอบรรเทาอาการได้”

พระองค์ไม่ได้ร่ำเรียนทางการแพทย์มา ที่ช่วยได้ก็คงเพียงเท่านี้ ให้คำแนะนำเบื้องต้น ประทังความรุนแรง และยื้อชีวิตของเด็กไว้จนกว่าท่านหมอวิรุณจะมาถึง

“ขอบใจมากท่าน ขอบใจมาก!”

ชายผู้นั้นคงหมดสิ้นหนทางจริงๆ ไม่ว่าใครให้คำแนะนำอะไรเขาก็พร้อมยอมทำตามทุกอย่างของเพียงให้ลูกสาวหายจากโรคนี้อย่างสิ้นเชิง

“เจ้าไปรอที่บ้านก่อน หมอจากในเมืองกำลังจะมาถึง”

“หมอในเมือง? จริงหรือท่าน!”

“จริงสิ เราจะปดเจ้าไปทำไม” ตรัสพลางแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยน “ถ้าหมอมาถึงเมื่อไหร่ เราจะรีบพาไปตรวจลูกสาวเจ้า ว่าแต่...บ้านเจ้าอยู่ไหนล่ะ”

ชายผู้นั้นผุดลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าร้าน ชี้มือไปยังบ้านหลังน้อยฝั่งตรงข้ามที่ชานเรือนด้านหน้ามีหญิงชราผู้หนึ่งกำลังเย็บเสื้ออยู่

“อยู่ตรงนั้นท่าน” ตอบเสร็จก็หันมาสำรวจพระองค์ “ท่านคงมาจากในเมืองใช่ไหม เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรึเปล่า แล้วมาทำอะไรที่นี่”

“เจ้านี่ถามเยอะจริง!” ทรงบ่นเล็กน้อยก่อนตอบว่า “เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองอะไรนั่นหรอก เพียงแค่พาหมอคนหนึ่งมาตรวจอาการของเด็กที่นี่เท่านั้น เพราะได้ยินมาว่าล้มป่วยกันเกือบทั้งหมู่บ้าน รักษาเท่าไหร่ก็รักษาไม่หาย”

“ใช่แล้วท่าน ลูกๆหลานๆของหมู่บ้านเรา ล้มป่วยกันแทบทุกคน ไม่รู้เพราะอะไร”

ทรงพยักพระพักตร์รับรู้ก่อนเร่งเร้าให้อีกฝ่ายพาลูกสาวกลับไปบ้านก่อน ยังไม่ทันจะเดินจากไป หมอประจำหมู่บ้านก็ปราดเข้ามายืนขวางทาง

“เมื่อกี้เจ้าว่าไรนะ จะมีหมอมางั้นหรือ”

“อื้อ!” ตรัสตอบสั้นๆ พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับว่า...แล้วทำไม!

“ได้ไง ที่นี่มีข้าประจำอยู่แล้ว ถ้าหมอคนอื่นมาก็แย่งหน้าที่ข้าน่ะสิ”

“หน้าที่เจ้า?! พูดมาได้!” ทรงแค่นพระสุรเสียง ทอดถอนพระทัยหนักๆแล้วรับสั่งอย่างดุดันว่า “เจ้ารักษาพวกเขาได้หรือ! เจ้าร่ำเรียนการแพทย์มารึเปล่า หรืออาศัยเพียงแค่การจดจำและอยากรู้อยากลองมั่วซั่วของตัวเอง!”

เป็นคำยอกย้อนที่ทำให้หมอพื้นบ้านผู้นั้นเงียบสนิท หน้าซีดลงเป็นลำดับจนขาวไร้สีเลือด!

“ถ้าเจ้ารักษาเด็กๆไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ หรือจะให้ดี ปิดโรงหมดนี้ซะ แล้วไปร่ำเรียนให้เรียบร้อยเสียก่อน”

ทรงแนะนำอย่างเมตตา หากอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ

“ข้าจะไปเรียนได้ยังไง ข้าไม่มีเงิน”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ขอเพียงเจ้าใฝ่รู้และอยากเป็นหมอจริงๆ ข้าจะส่งเสียให้เจ้าเรียนเอง”

ราวกับปาฏิหาริย์หล่นทับใส่ศีรษะของเขา ชายร่างผอมผู้นั้นถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น คุกเข่าสองข้างลงตรงเบื้องพระพักตร์ แล้วคว้าสองพระบาทของพระองค์ไว้ อัศนัยเกือบจะพุ่งเข้ามาอารักขา แต่ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบยกพระหัตถ์ห้ามเสียก่อน

“จริงหรือท่าน! ท่านจะส่งเสียข้าจริงๆน่ะหรือ”

“เพราะเจ้ามีจิตใจอยากรักษาผู้คนหรอก ข้าถึงอยากช่วยให้เจ้ามีความรู้ทางด้านนี้จริงๆ”

เขาก้มหน้าหมอบกราบ แทบจะจุมพิตรองพระบาทเปื้อนๆของพระองค์เสียด้วยซ้ำไป

“ขอบคุณมาก ขอบคุณท่านมาก! ท่านเหมือนเทพยดามาโปรดข้าจริงๆ!”

ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างเป็นสุข รู้สึกถึงพระหทัยที่ชุ่มชื่นเพราะได้ช่วยเหลือคนผู้หนึ่งให้ก้าวไปถึงฝั่นฝัน...แล้วใครอีกคนล่ะ พระองค์จะสามารถเกื้อหนุน โอบประคอง รวมถึงผลักดันให้ใครคนนั้นก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และมีฐานราชบัลลังก์อันมั่นคงได้หรือไม่

ทรงขบคิด ก่อนส่ายพระพักตร์

ไม่จำเป็นเลย! พี่ชลเก่งกาจ มีความสามารถ แม้จะใจอ่อนไปบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอและขลาดกลัวจนไม่มีความเป็นผู้นำ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมาย แค่ให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือดูแลในยามที่มีปัญหา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่สำคัญ พี่ชลเองก็มีคนคอยถวายความจงรักภักดีมากมาย มีคนพร้อมพลีชีพให้อีกเยอะแยะ ถ้าขจัดกลุ่มกบฏให้หมดไปจากแผ่นดินได้ คิมหันต์นครคงว่างเว้นจากศึกภายในไปอีกแสนนาน และน่าจะเจริญรุดหน้ากว่าใครเพื่อนในแถบนี้

พระดำริของอันรื่นรมย์ของพระองค์ค่อยๆกลืนหายไปกับดวงตะวันที่คล้อยต่ำจนแตะริมเส้นขอบฟ้า ความกังวลถาโถมเข้าใส่พระหทัยเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของคุณหญิงพิศเพลินกับท่านวิรุณเลย

ทรงใช้โรงหมอแห่งนั้นเป็นที่พักชั่วคราว เจ้าของบ้านนำพระสุธารสมาถวาย แต่ก็ไม่มีพระอารมณ์จะเสวย ได้แต่ทรงพระดำเนินไปมาอย่างร้อนพระทัย ไม่ได้กลัวว่าจะกลับดึกหรือกลัวเรื่องร้ายแรงอะไรหรอก หากเป็นห่วงอาการของพวกเด็กๆต่างหาก

กระทั่งแสงสีส้มทอไปเกือบทั่วผืนฟ้า อัศนัยซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าโรงหมอ เห็นรถเทียมม้าแล่นเข้ามาในหมู่บ้านก็รีบเข้ามาทูลทันที ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เสียเวลารออยู่ด้านใน รีบขึ้นควบเจ้าวลาหก ให้มันพาไปพบผู้ที่เพิ่งมาถึงอย่างเร่งร้อน

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมาถึงช้าเพราะล้อรถม้าหลุด ต้องเสียเวลาเปลี่ยนอยู่หลายชั่วยามเพคะ”

นั่นคือเหตุผลของการมาถึงที่แสนล่าช้า ฟ้าหญิงอุษาวดีรับฟังกึ่งๆไม่ใส่พระทัย เพราะปราดเข้าไปหาท่านหมอวิรุณ รีบคว้าแขนและลากให้เดินตามไปยังบ้านของชายร่างใหญ่ที่ทรงให้สัญญาไว้ทันที

ใช้เวลาตรวจไม่นาน ท่านหมอวิรุณก็จ่ายยาสมุนไพรให้ห่อหนึ่ง ใช้ต้มดื่มทุกเช้าเย็น ชายผู้นั้นแทบจะก้มกราบด้วยความดีใจและคาดหวังว่าหมอจากในเมืองผู้นี้จะรักษาลูกสาวของตัวเองได้ จากบ้านหลังนั้น คุณหญิงพิศเพลินก็พาไปเยี่ยมเยียนเกือบทุกบ้าน กว่าจะครบก็ค่อนดึกแล้ว การเดินทางกลับย่อมลำบาก

“ค้างที่นี่สักคืนเถอะนะเพคะ”

แม้จะระแวง แต่กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ หากเดินทาง แล้วระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น การสู้และป้องกันตัวเองจะทำได้ยากกว่า ทรงตัดสินพระทัยพักอยู่ที่นั่น ในโรงพักแรมเล็กๆ เก่าๆโทรมๆซึ่งใช้เป็นที่พักของพวกพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปผ่านมา

“ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่นะเพคะ”

ก่อนออกจากห้อง คุณหญิงพิศเพลินซึ่งยกพระสุธารสมาถวายก็พูดเสียงอ่อย สุ้มเสียงเหมือนสำนึกผิด “หม่อมฉันขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์ตองลำบากเพียงนี้...”

ท่าทางคงจะคร่ำครวญอีกนานเหมือนคำประจบประแจงที่แล้วๆมา จึงทรงยกพระหัตถ์ตัดบทเสียก่อนที่จะปวดพระเศียร

“ไม่เป็นไร เราอยู่ได้ ไปพักผ่อนเถอะ”

ปากที่เผยออ้าหุบฉับ เสียงที่ครวญคร่ำราวกับเสียใจอย่างสุดซึ้งกลืนหายไปในลำคอ หากคุณหญิงพิศเพลินก็ยังไม่ยอมขยับกาย ทูลถามอีกว่า

“เสวยพระสุธารสสักหน่อยสิเพคะ จะได้บรรทมสบาย”

ทรงหรี่พระเนตรจับจ้องกาบรรจุชาดินเผาที่วางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ไว้พระทัย

หากคุณหญิงช่างนินทาใส่อะไรลงไปในนั้น คืนนี้ร่างของพระองค์อาจจะต้องถูกฝังไว้ที่ไหนสักที่บริเวณนี้นี่แหละ!

ทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนรับสั่งเน้นย้ำทุกคำอย่างช้าชัด

“ถ้าเราอยากดื่มเราจะดื่มเอง” จากนั้นจึงสาวพระบาทไปยังพระแกล หันพระปฤษฎางค์ให้ แล้วตรัสอย่างเด็ดขาดว่า “ไปพักผ่อนได้แล้วคุณหญิง เราอยากอยู่คนเดียว!”

แว่วเสียงฝีเท้า เสียงประตูเปิดและปิดเบาๆ จึงทอดถอนพระทัยยาว ทอดพระเนตรจับจ้องเสี้ยวจันทราเบื้องบน วันนี้เป็นคืนเดือนมืด ทุกอย่างจึงสลัวราง บรรยากาศดูหมองหม่นอย่างไรไม่ทราบได้

ทรงปล่อยให้พระดำริลอยล่องไปถึงพระสวามีผู้บัดนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย กำลังประชุมเคร่งเครียด หรือกำลังประทับอยู่ในกระโจมอย่างเป็นสุขก็สุดรู้ สายใยที่ผูกพันกันมาแต่เยาว์วัยทำให้ความห่วงหวงท่วมท้นอยู่ในพระอุระ ...มากเสียจนต้องส่งอัศนัยไปสืบข่าวคราว แม้ราชองครักษ์ภักดีจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก

‘เจ้าก็เห็นแล้วว่าที่นี่ไม่น่ากลัว ไปเถอะ เราจะดูแลตัวเอง’

‘แต่...’

‘ชีวิตเราก็คือชีวิตพี่ชล ลมหายใจเราก็คือลมหายใจของพี่ชล เจ้าจงรักภักดีกับเราแล้ว ก็ต้องจงรักภักดีกับพี่ชลด้วย ตอนนี้พี่ชลตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเรา เจ้าจะทำนิ่งเฉยเช่นนี้จริงๆหรือ?’

ถ้อยตรัสยืดยาวทำให้ชายหนุ่มไม่อาจแย้ง ได้แค่รับคำและปฏิบัติตามพระบัญชาแต่โดยดี

ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงนั่งชมดาว ชมจันทร์ระหว่างรอข่าวสารจากราชองครักษ์ เพียงครู่เท่านั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เราบอกแล้วไงว่าอยากอยู่คนเดียว!”

คราวนี้ผู้มาเยือนมิใช่สตรีแสนน่ารำคาญอย่างคุณหญิงพิศเพลิน แต่กลับเป็นเด็กสาวร่างผ่ายผอมที่ท่านวิรุณให้การรักษาเป็นคนแรก กับอีกคนหนึ่งคือเด็กชายอายุอานามหกเจ็ดขวบยืนแอบอยู่หลังผู้แก่วัยกว่า

เด็กทั้งสองแม้หน้าตาจะซีดเซียว แต่ก็ดีกว่าตอนที่ทรงพบครั้งแรกมาก แสดงว่ายาของท่านวิรุณใช้ได้ผล!

“อ้าว...นึกว่าใคร” ทรงทรุดองค์ลงนั่งยองๆ วางพระหัตถ์บนศีรษะเล็ก “มาหาพี่ถึงนี่มีอะไรให้พี่ช่วยหรือจ๊ะ”

“พวกเราไม่ได้มาให้ช่วยค่ะ แต่เอาขนมมาให้” เด็กสาวตอบเสียงใส ยื่นตะกร้าสานขนาดเล็กบรรจุขนมทรงสี่เหลี่ยมสีขาวให้พระองค์ ขณะที่เด็กชายขี้อายขยับปากขมุบขมิบ กระนั้นพระองค์ก็ยังได้ยิน

“ตอบแทนที่พี่สาวพาหมอมารักษาพวกเราครับ”

ทรงรับตะกร้ามาถือไว้ พร้อมกับหอมแก้มเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนของเด็กทั้งสอง

“ขอบใจมากจ้ะ”

“แม่ของหนูทำสุดฝีมือเลย กินให้หมดเลยนะคะ” เด็กสาวว่าทิ้งท้ายก่อนจะโลกมือจากไป

ฟ้าหญิงอุษาวดีกลับเข้ามาด้านใน สาวพระบาทมาที่โต๊ะทรงกลมกลางห้อง วางตะกร้าขนมลงบนนั้น ก่อนจะก้มๆเงยๆ สูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า สำรวจมันอยู่นานกว่าจะจับชิ้นหนึ่งส่งเข้าไปในพระโอษฐ์

เอาน่า...ของตอบแทนที่มาจากเด็กๆคงไม่เป็นไรหรอก

เด็กที่บริสุทธิ์สดใสและไร้เล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นคงไม่อาจหาญแสดงละครหลอกพระองค์อย่างแนบเนียนได้เพียงนี้หรอกกระมัง

ดำริพลางหยิบอีกชิ้นพระโอษฐ์ เคี้ยวหมุบหมับ เพียงครู่เดียวก็หมดทั้งตะกร้า ความกระหายทำให้ต้องแลมองพระสุธารสที่วางอยู่เคียงกัน ทรงเปิดฝากา สูดดมกลิ่นทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่อาจแยกแยะได้ว่าในนั้นมียาพิษ หรืออะไรแปลกปลอมหรือไม่ ทรงจ้องมันอยู่นานก่อนตัดสินพระทัย

อย่าเลย! ไปขอน้ำกับเจ้าของที่พักดีกว่า!

ดำริเสร็จก็ก้าวพระบาทออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างซึ่งเป็นห้องโถงและร้านอาหาร มีคนงานนั่งสัปหงกอยู่ตรงพื้นที่ต้อนรับทางด้านหน้า ทรงรี่เข้าไปหา ร้องเรียกเบาๆ พอฝ่ายนั้นสะลึมสะลือ ปรือตามอง ก็ตรัสขอเสียงใส

“ขอน้ำสักกาได้ไหม”

“หือ? น้ำ?” ฝ่ายนั้นต้องสลัดศีรษะขับไล่ความง่วงงุนอยู่อึดใจ จึงพยักหน้ารับ เดินหายเข้าไปหลังร้านก่อนกลับมาพร้อมกาดินเผาบรรจุน้ำใสเย็น

“ขอบใจมาก” รับสั่งเสร็จก็กลับขึ้นห้อง เสวยน้ำในการอย่างสำราญพระทัย เพียงอึดใจเท่านั้นความง่วงก็จู่โจมอย่างรุนแรง พระองค์แทบจะล้มฟุบไปกับโต๊ะเสียด้วยซ้ำ ยังดีที่ประคองตัวเองมาถึงเตียงนอนเล็กๆซึ่งตั้งชิดผนังได้ เพียงแค่พระเศียรแตะพระเขนยแข็งๆ นิทรารมณ์ก็มาเยือน พาพระองค์จมดิ่งไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่าในทันใด



เรือนไม้ไผ่หลังเล็กสร้างอย่างง่ายๆตั้งอยู่เป็นเงาตะคุ่มใต้ต้นไม้สูงใหญ่ กิ่งไม้ไหวเอนก่อเกิดเป็นรูปเงาทาบทับลงบนหลังคา วูบไหวไปตามลำแสงจันทราที่สาดมากระทบ อากาศยามดึกเย็นจัดด้วยเป็นพื้นที่ใกล้ภูเขา สายลมที่โหมพัดยิ่งนำมาความหนาวเหน็บมาเยือนจนคนที่กำลังถือถาดบรรจุถ้วยชาถึงกับตัวสั่น

จากกระโจมที่พักไปยังเรือนไม้ไผ่ค่อนข้างไกล หากก็มีไต้จุดเรียงรายเป็นระยะๆมอบแสงสว่าง ช่วยให้พอเห็นทางว่าตรงไหนเป็นหลุมเป็นบ่อ ตรงไหนเป็นรากไม้ หรือตรงไหนมีก้อนหินขนาดใหญ่ขวางอยู่บ้าง

ชายผู้นั้นเดินห่อไหล่ ก้าวเท้ายาวๆ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นเห็นชัดแต่เพียงดวงตาที่ส่องประกายวาววาม มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม หากก็ฉาบด้วยความหวั่นกลัวบางอย่างบางเบา

‘งาน’ ที่ได้รับมือว่าสำคัญและเสี่ยงชีวิตกว่าใครหากถูกจับได้ กระนั้นความจงรักภักดีและความซาบซึ้งในน้ำพระทัยที่มีต่อฟ้าชายชลธิศธราดลก็มากพอที่จะทำให้เขากระโดดเข้ามาทำงานนี้อย่างไม่ลังเล

‘เจ้าต้องเป็นสายลับให้เรา เสี่ยงมาก...ถ้าถูกจับได้ ชีวิตเจ้าจะจบสิ้นลงเมื่อนั้น คิดให้ดีนะวสุ!’

‘กระหม่อมยินดีทำพ่ะย่ะค่ะ!’

เขาตอบรับโดยไม่อิดออด ไม่เสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมาเต็มเปี่ยมด้วยความเข้มแข็งห้าวหาญ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะพร้อมยอมพลีชีพเพื่อว่าที่กษัตริย์พระองค์นี้เพียงองค์เดียว!

จากวันนั้นผ่านมาเพียงไม่กี่วัน เขาก็แฝงตัวเข้ามาในกลุ่มกบฏได้สำเร็จ คนที่รู้มีแค่ไม่กี่คน นอกจากฟ้าชายชล กับโฆษิตแล้ว ยังมีกษิดิษ ราชิด และราชองครักษ์คนสนิทอีกสี่ห้าคน นอกนั้นไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นสายข่าวให้กับพระองค์ ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขาหาโอกาสหนีออกจากคุกได้ เป็นเวลาเดียวกับที่พ่อแม่ของเขาอันตรธานหายไปราวกับเป็นคนสาบสูญ แท้ที่จริงแล้วราชิดกับกษิดิษ พาพวกท่านไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัยโดยไม่มีใครตามไปรบกวนได้

จากนั้นคือการแสดงละคร เขาหนีหัวซุกหัวซุนในสภาพสะบักสะบอม หลบซ่อนตัวอยู่อย่างลำบากยากเข็ญ เพียงไม่นานพวกมันก็ติดเบ็ด มันส่งทหารนายหนึ่งมาหาเขา เสนอทรัพย์ศฤงคารให้จำนวนหนึ่งพร้อมกับสุมไฟแค้นให้เขาว่า

‘เจ้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะมันนะวสุ! มาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าหญิงอมายาวีสิ ถ้าพระองค์ได้ขึ้นเป็นพระพันปีหลวง เจ้าจะได้อยู่สุขสบาย ตำแหน่งหน้าที่การงานรุดหน้ากว่าใครแน่!’

นั่นคือการหว่านล้อม เชิญชวนที่ทรงประสิทธิผลต่อคนโลภมาก แต่สำหรับเขา...ผู้ยึดการตอบแทนบุญคุณและความภักดีเป็นที่หนึ่ง คำพูดเหล่านั้นจึงเพียงลมพัดผ่านหู เข้าและออกโดยไม่ซึมซับเข้าสู่หัวใจของเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว!

หลังจากวันนั้น เขาใช้ชีวิตกับกลุ่มกบฏทั้งวันทั้งคืน ตีสนิท และสอดแนมทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทุกคนไว้ใจเขา รวมถึงเจ้าหญิงอมายาวีด้วย ทรงไว้พระทัยถึงขั้นเรียกใช้เขาให้มาบีบนวดอยู่บ่อยครั้ง หากที่น่าเจ็บใจคือเขาไม่อาจล้วงความลับได้ว่ามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนใดที่ร่วมในขบวนการนี้บ้าง

จากทีแรก ฟ้าชายชลทรงส่งให้เขามาหาที่ซ่องสุมของพวกกบฏ จึงเปลี่ยนเป็นการล่ารายชื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายอีกด้วย การแฝงตัวของเขาจึงยาวนานกว่าปกติ เขาต้องสะดุ้งตื่นทุกคืน เมื่อฝันถึงคมดาบที่ตวัดผ่านศีรษะ เป็นการลงโทษหลังจากจับได้ว่าเขาเป็นสายลับ!

วันนี้ก็เช่นกัน หน้าที่สำคัญที่เขาได้รับคำสั่ง และเป็นหน้าที่ซึ่งมีเขาเพียงคนเดียวที่ทำได้ นั่นคือการวางยานอนหลับเจ้าหญิงอมายาวี

‘เราอยากได้ตัวเสด็จอาอย่างละม่อม ไม่อยากให้เสียเลือดเสียเนื้อมากมาย ถ้าจับคนบงการได้ ลูกสมุนก็น่าจะแปรพักตร์หลายคนทีเดียว’ ฟ้าชายชลตรัสด้วยเสียงเคร่งขรึมก่อนหันมาจ้องเขาด้วยแววเนตรจริงจัง ‘เจ้าต้องวางยานอนหลับพระองค์ แล้วพามาให้เรา’

‘กระหม่อมคนเดียว...คงไม่ไหว’

‘เราจะส่งคนไปช่วย เจ้าเพียงแค่เขียนจดหมายบอกเวลาที่เจ้าจะลงมือไว้ แล้วคนของเราจะลอบเข้าไปช่วยเจ้าพาเสด็จอาออกมาเอง’

คืนนี้คือคืนนัดหมาย เขาตั้งใจจะวางยานอนหลับเจ้าหญิงอมายาวี และจะลอบออกจากฐานที่มั่น เขียนบอกเวลานัดหมายให้คนของฟ้าชายชลลอบเข้ามานำตัวพระองค์ออกไป

วสุดึงความคิดกลับคืน ขณะยังคงก้าวย่างทั้งแผ่วเบา เงียบเชียบราวกับฝึกมาเป็นอย่างดี

เมื่อมาถึงหน้าประตูก็ยังไม่มีใครในบ้านสำเหนียกว่ามีผู้มาเยือน อาจเพราะเรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องสำคัญ หรือเป็นเรื่องที่วาดหวังไว้ ความหวาดระแวง รอบคอบจึงลดระดับลงไปมากโข

เสียงพูดคุยดังเล็ดลอดออกมาจากภายใน เสียงหนึ่งค่อนข้างใหญ่และทุ้มต่ำแปร่งหู อีกเสียงเล็กแหลมกว่า แต่ทรงอำนาจกว่ามาก

“ว่ายังไง สำเร็จรึเปล่า”

คนที่อยู่ด้านนอก กำลังจะเคาะประตู จึงชะงักมือค้างอยู่กลางอากาศ แล้วแนบหน้ากับประตูมากขึ้นเพื่อมองผ่านรอยแยกของซี่ไม้ เพื่อดูว่าเสียงใหญ่ๆนั้นเป็นของผู้ใด

“อะไรที่เป็นงานกระหม่อม พระองค์จะไม่มีวันผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”

“หมายความว่า...เจ้าเด็กนั่นมันอยู่ในกำมือเราแล้ว?”

ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆในลำคอ ก้มศีรษะลงต่ำแล้วเอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงราวกับผู้ชนะว่า

“มันอยู่ในโรงพักแรมที่หมู่บ้านพนาวัลย์แล้วกระหม่อม...รับรองว่าพระองค์จะได้ตัวอุษาวดีภายในรุ่งสางนี้อย่างที่ทรงปรารถนาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

คำว่าอุษาวดีทำให้คนแอบฟังแทบจะทำถ้วยน้ำชาในมือหลุดร่วง

...อย่าว่าแต่ร่วงเลย แค่ทำให้มันกระทบกัน ศีรษะของเขาก็คงจะหลุดในเวลาเพียงพริบตาเดียว!

โชคดีที่เขามีประสาทกล้าแข็งพอที่จะบังคับให้มือตัวเองไม่สั่น มีสติมากพอที่จะค่อยๆเดินถอยหลัง รีบรุดจากมาเสียก่อนใครคนใดคนหนึ่งในนั้นจะเปิดประตูออกมาเห็น ชายหนุ่มอาศัยความมืดและช่วงเวลาเปลี่ยนเวรยาม กลับมาที่กระโจมที่พักซึ่งเพื่อนๆที่อาศัยอยู่ด้วยกันซุกตัวนอนหลับอย่างสบายใต้ผ่าห่มหมดแล้ว

ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งวังเวง หากก็ดีสำหรับเขา เพราะการเดินตรวจตราหรือเฝ้าเวรยามจะยิ่งเปราะบาง

ร่างสูงซ่อนตัวไปในเงามืดของต้นไม้ ห่างจากกระโจมหลายสิบหลัง เข้าไปในป่าลึก ตรงไปทางตะวันตก จนถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่เป็นเพียงต้นเดียวที่มีดอกเอื้องสีเหลืองนวลทาบอยู่ลำต้นสีน้ำตาลเข้ม ให้ความอ่อนหวานนุ่มนวลแทนที่จะเป็นความแข็งแกร่งแห้งแล้ง

เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ คว้าหินก้อนหนึ่งที่วางรวมกับอีกสิบก้อนใกล้ต้นไม้ต้นนั้นขึ้นมา แล้วลงมือขุด เพียงครู่เดียวก็เจอกระดาษพับทบนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น เขาหยิบมันขึ้นมา คว้าดินสอที่สอดเก็บไว้ตรงผ้าคาดเอวขึ้นมาเขียน อาศัยเพียงแสงจากดวงจันทร์เบื้องบน สลัวรางแต่ยามสายตาชินกับความมืดแล้วก็สามารถมองเห็นพอที่จะเขียนได้ เมื่อเสร็จแล้วจึงพับเก็บมันไว้ที่เดิม เอาดินกลับฝัง แล้วลุกขึ้นยืน ก้มมองดินที่กลบนิ่งนาน

คืนนี้คงต้องปรับเปลี่ยนแผนเสียก่อน รอฟังข่าวจากฟ้าชายชล แล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย

วสุทอดถอนใจแล้วเงยหน้ามองจันทราที่กำลังราแสง

อีกครึ่งชั่วยามจะถึงเวลานัด ขอให้กษิดิษมาถึงก่อนเวลาด้วยเถอะ! เพราะถ้าช้ากว่านี้ ฟ้าหญิงอุษาวดีจะตกอยู่ในสภาพเช่นไรก็สุดรู้!



โปรดติดตามตอนต่อไป...




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2557, 11:07:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2557, 22:25:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1950





<< บทที่ ๒๐ : เพียงใจเจ้า (๒) จบบท {deleted}   บทที่ ๒๒ : ดวงดาวแห่งรัก(๑){Deleted} >>
Sukhumvit66 28 ม.ค. 2557, 11:27:13 น.
แหม่...ท่านหญิงมาช่วยหรือนี่


คิมหันตุ์ 28 ม.ค. 2557, 12:01:48 น.
ตายแล้ว ทำไงดี พลาดจนได้ ฮึ่ย!!


แว่นใส 28 ม.ค. 2557, 13:10:13 น.
ใครวางแผนอีกเนี่ย จะเอาตัววดีไปไหน


เคสิยาห์ 28 ม.ค. 2557, 16:38:25 น.
ไรท์เก่งมาก คนอ่านติดงอมแงมเลย


Zephyr 28 ม.ค. 2557, 18:45:13 น.
วดี อ๊ายยยย หลงกลจนได้
ไม่น่า ตกลงหวังให้วดีตามมา แล้วจับไปต่อรองพี่ชลสินะ
แผนเยอะ จริงๆ


konhin 28 ม.ค. 2557, 22:23:08 น.
วดีน้อวดี ต้องหัดระวังตัวกว่านี้


wind 28 ม.ค. 2557, 22:36:40 น.
วดีซนจนได้เรื่อง


นักอ่านเหนียวหนึบ 28 ม.ค. 2557, 23:13:54 น.
อ๊ายยยย มันส์หยดจนใกล้จบเลยนะฮะ ติดตามๆๆๆ


nasa 29 ม.ค. 2557, 22:37:50 น.
เอ่อ ก็ว่าวดีรอบคอบแล้วนะ ยังโดนจนได้ อย่านะบอกว่าคนทั้งหมู่บ้านเป็นกบฎน่ะ รวมเด็กน้อยถูกหลอกใช้รึเปล่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account