พิษแค้น แรงเสน่หา
เมื่อไฟราคะโหมไหม้ ใครก็มิอาจหยุดยั้งเขาได้ ศิวกรปลดชุดพนักงานสาวว่องไว แล้วกระชากชุดสีแดงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่สนใจใยดี
ความงามที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตาใครโดดเด่นอยู่ตรงหน้า แม้จะมีอาภรณ์ชิ้นน้อยปกปิดอยู่ แต่ก็เห็นความงามของปลายยอดอยู่รำไร ศิวกรหน้ามืดตามัว ลำคอแห้งผาก อยากจะเข้าไปลิ้มลองความหวานละมุนจากกายสาว แต่เธอกลับไม่อนุญาตให้เขาง่ายๆ

Tags: โรมานซ์-ตบจูบ

ตอน: บทนำ เริ่มเรื่อง

บทนำ เริ่มเรื่อง

ร่างสูงใหญ่นอนเหยียดกายอยู่บนเตียงผู้ป่วยโดยมีเครื่องมือทางการแพทย์ช่วยเยียวยารักษาชีวิตของเขาไว้ หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ปวีร์นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ คุณนิวัตน์และคุณนภาพรได้แต่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าดูอาการของบุตรชายคนโตด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

อีกสักระยะหนึ่ง หากอาการของปวีร์ยังคงทรงตัวอยู่แบบนี้ ท่านจะขออนุญาตคุณหมอนำตัวบุตรชายกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ท่านทั้งสองก็พร้อมจะควักเงินจ่ายอย่างไม่เสียดายเงินทองที่หามาเลย

หากแต่ตอนนี้สิ่งที่พวกท่านทำได้มีเพียงสิ่งเดียวนั่นคืออยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้แก่ปวีร์ เพราะกำลังใจจากครอบครัวคือสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด

“แม่ พี่โปรดอาการเป็นยังไงบ้าง”

ศิวกรเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงผู้ป่วย เขาเอ่ยปากถามทันทีที่มาถึงโดยที่ยังแบกสัมภาระไว้บนไหล่กว้าง แต่พอได้เห็นสภาพของพี่ชายชัดๆ แบบเต็มสองลูกตา ชายหนุ่มก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายของปวีร์ดูทรุดโทรมและซูบผอมลงมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลือเค้าความเป็นปวีร์อยู่เลย
พอมารดาโทรศัพท์ไปบอกว่าปวีร์เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง ชายหนุ่มก็รีบเคลียร์งานที่นิวเซอร์แลนด์แล้วรีบบินกลับไทยเพื่อมาดูอาการของพี่ชายทันที แต่ก็ยังช้าไปกว่าหนึ่งอาทิตย์เศษๆ

“ไม่ดีขึ้นเลยลูก ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงตอนนี้โปรดก็ยังไม่ฟื้น”
น้ำใสๆ คลอเต็มหน่วยตา แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสิบวัน แต่ท่านก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ มันรวดเร็วเกินไป ถึงลูกชายสุดที่รักไม่ได้จากไปไหน แต่การมีชีวิตอยู่แบบไม่สามารถตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวได้ก็เหมือนตายทั้งเป็น หัวอกคนเป็นแม่ย่อมรู้สึกสงสารและเสียใจเป็นธรรมดา

“คุณหมอบอกหรือเปล่าครับว่าพี่โปรดจะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

“คุณหมอระบุไม่ได้ลูก จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของโปรดเองว่าจะมีกำลังใจมากแค่ไหน อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ไม่มีใครรู้”
ก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอหนา ศิวกรสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่สามารถกักกลั้นน้ำตาไว้ได้

“ทำไมพี่โปรดถึงเกิดอุบัติเหตุได้ล่ะครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาให้รายละเอียดว่าอย่างไรบ้าง”

“ตำรวจเขาแจ้งพ่อกับแม่ว่าโปรดเมาสุราอย่างหนักทำให้สติในการขับขี่รถลดลง รถจึงเสียการควบคุมไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างถนน เสาไฟฟ้าหักไปสามต้น รอดมาได้ก็เพราะบุญรักษาพี่เขาแล้วล่ะ” คุณนภาพรลูบไล้เรือนผมหนาของบุตรชายคนโตอย่างแผ่วเบา รู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้านักที่ท่านยังมีเมตตาไม่รีบพรากชีวิตของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปจากอกผู้เป็นแม่

“แล้วปราณไม่กลับบ้านก่อนหรือลูก หอบของพะรุงพะรังเชียว เอาอะไรมาเยอะแยะ” คุณนิวัตน์เอ่ยปากถามขึ้นบ้าง หลังจากที่นั่งเงียบฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันมาได้สักพัก

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับพ่อ มีแค่เสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ผมคิดว่ากลับมาครั้งนี้คงจะต้องอยู่นานหน่อย พี่โปรดนอนป่วยอยู่แบบนี้ ผมจะกลับมาช่วยดูธุรกิจที่นี่ไปก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”

“แล้วธุรกิจโรงแรมที่โน้นล่ะ”

“ผมฝากเพื่อนสนิทดูแลให้อยู่ครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง” ศิวกรนิ่งคิดอะไรไปชั่วขณะ ก่อนที่ความสงสัยจะถูกถามขึ้นอีกครั้ง “แม่รู้ไหมครับว่าเพราะอะไรพี่โปรดถึงได้ไปดื่มเหล้าเมาขนาดนั้น ทั้งที่เมื่อก่อนพี่โปรดไม่เคยคิดที่จะแตะต้องของมึนเมาพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ”
คุณนภาพรถอนใจออกมาอย่างคิดหนัก ท่านปรายตามองใบหน้าซีดเผือดที่กำลังนอนหลับตาพริ้มของปวีร์ แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่รู้แค่ว่าที่โปรดไปเมาเหล้าก็เพราะโปรดอกหักจากผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งแม่ก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากมายหรอก แต่ทางตำรวจบอกแม่ว่าโปรดกำรูปผู้หญิงคนนี้ไว้ในมือตลอดเวลา”
รูปถ่ายขนาดพอดีถูกยื่นมาตรงหน้า ศิวกรหยิบรูปถ่ายสภาพยับยู้ยี้นั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนไว้ด้วยปากกาสีน้ำเงินด้านบนมุมขวามือ
‘นารีรักคุณโปรด’
นารี จู่ๆ คำพูดต่างๆ ที่ปวีร์เคยโทรฯ คุยกับเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นมาในความคิดของศิวกร
‘ปราณ พี่จะขอนารีแต่งงาน พี่ควรจะเซอร์ไพรส์เธอด้วยวิธีไหนดี’
วันนั้นพี่ชายของเขาโทรศัพท์มาขอคำปรึกษา ซึ่งเขาก็ให้คำปรึกษาไปเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และหลังจากวันนั้นปวีร์ก็เงียบหายไปหลายวัน พอเขามารู้ข่าวพี่ชายอีกที ปวีร์ก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว
คำว่าเซอร์ไพรส์ของปวีร์ทำให้ใบหน้าคมสันหันมองคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงพร้อมกับคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในหัว เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน แล้วเหตุใดพี่ชายของเขาต้องไปดื่มเหล้าหนักจนตนเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาจะต้องตามสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ให้จงได้ และถ้าเรื่องมันเป็นไปในแบบที่เขาคิดจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะตอบสนองผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำมือของเขาเอง!!

ศิวกรกลับบ้านมาพร้อมกับรูปถ่ายในมือ พอถึงห้องนอน ชายหนุ่มก็จัดการโทรศัพท์หานักสืบประจำตระกูลขอพบเป็นการส่วนตัวทันที

“ตามสืบประวัติผู้หญิงคนนี้ให้ฉันที ฉันต้องการรู้ชื่อจริง ที่อยู่ ญาติพี่น้องมีกี่คน ทำอาชีพอะไร และเธอกำลังคบอยู่กับใครในตอนนี้”
พอนักสืบดนัยมาถึง แต่ยังไม่ทันได้วางสัมภาระของตนเองลง ศิวกรก็บอกความต้องการของตนเองอย่างไม่รอช้า

“ได้ครับผม ด่วนแค่ไหนครับ”

“ด่วนมากที่สุด” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับความคิดบางอย่าง “ที่สำคัญ ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด แม้แต่พ่อกับแม่ของฉัน” ศิวกรหันมากำชับกับคุณนักสืบดนัยอีกครั้ง

“ครับผม ผมจะรีบตามเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ ไม่เกินสามวันแน่นอน”

“ดีมาก”

“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”

“อืม เชิญตามสบายเถอะ”

หลังจากที่นักสืบดนัยเดินออกไปจากห้องแล้ว ศิวกรก็กลับมานั่งเก้าอี้ตัวประจำ ก่อนจะเปิดลิ้นชักแล้วหยิบรูปถ่ายสมัยตอนเด็กๆ ออกมาดู นิ้วโป้งเรียวสวยลูบไล้แผ่วเบาไปที่รูปปวีร์ ตอนนั้นปวีร์ฟันหลอเพราะความขี้เกลียดแปรงฟัน ซึ่งต่างจากเขาที่มักจะชอบทาแป้งให้ตัวหอมอยู่เสมอ จนบิดามารดาต่างคิดว่าเขาเบี่ยงเบนทางเพศเสียด้วยซ้ำ คิดมาถึงจุดนี้ ศิวกรก็ยิ้มให้กับตัวเองเงียบๆ ทว่าดวงตาสีดำคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง

บ้านไม้สองชั้นสภาพเก่าทรุดโทรมที่อยู่ในซอยเปลี่ยวลึก พิรญาณ์กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน ตรงไหนรกหรือมุมไหนมีฝุ่นละอองเธอก็จัดการปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดหมดจด วันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ หญิงสาวจึงมีเวลาว่างพอที่จะจัดการทำความสะอาดบ้านเรือนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พอทำความสะอาดบ้านทั้งหลังมาได้พักใหญ่ ร่างบางก็ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จะเหลือก็แต่ห้องนอนของพรพิมลและซักผ้าเล็กๆ น้อยๆ ที่กองอยู่ในตะกร้าสี่ห้าใบนั่น

น้องคนเล็กลุกขึ้นจากโซฟาอย่างอ้อยอิ่ง แล้วเดินตรงไปหยิบจับเสื้อผ้าแยกเป็นกองๆ พอมองดูนาฬิกาเวลาก็บอกเกือบบ่ายโมงครึ่งแล้ว แต่พรพิมลก็ยังไม่ลงมาจากห้องนอนเลย ข้าวปลาอาหารก็ยังไม่ยอมลงมาทานอีกด้วย ไม่สบายหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอคิดมาถึงจุดนี้ เสียงแปร๋นๆ ของผู้เป็นพี่สาวก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด

“ข้าวเที่ยงพี่ล่ะ ทำไว้ให้หรือยัง” พรพิมลเดินลงบันไดมาพร้อมกับเอ่ยปากถาม

“อยู่ในตู้กับข้าว” พิรญาณ์ละมือจากการแยกเสื้อผ้า แล้วหันมาบ่นกับผู้เป็นพี่ “ทำไมวันนี้พี่นารีตื่นสายจัง ไปเที่ยวกลับมาดึกๆ ดื่นๆ อีกล่ะสิ ดูสิจะบ่ายสองอยู่แล้ว”

“เรื่องของฉัน แกไม่ต้องมายุ่ง แล้วก็ไม่ต้องมาสวมบทเป็นแม่คนที่สองของฉันเลยนะ”
“นาราก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของพี่นารีหรอกนะ แต่คนเขามีงานมีการต้องทำ พี่ตื่นสายโด่งขนาดเนี้ย แล้วจะให้นาราไปทำความสะอาดห้องนอนพี่เวลาไหน”

“ก็นี่ไง ฉันตื่นแล้วนี่ไง แกก็ขึ้นไปทำสิ”

“งั้นถ้าพี่นารีกินข้าวเสร็จแล้ว นาราฝากปั่นเสื้อสีขาวให้ด้วยล่ะกัน แยกไว้ให้แล้ว”

“จะบ้าเหรอ วันนี้ฉันมีธุระ”

“ธุระอะไรที่ไหนอีกล่ะ อย่าบอกนะว่ามีผู้ชายคนใหม่อีกแล้ว คนเก่าก็ยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย พี่หัดไปเยี่ยมเขาบ้างก็ได้นะ ถึงจะเลิกกันแล้วพี่ก็ควรจะมีน้ำใจกับเขาบ้าง...”

“โอ้ย! แกเลิกบ่นฉันสักทีเหอะ แกเป็นน้องสาวฉันนะ ไม่ใช่แม่!”
พรพิมลเดินกระแทกเท้าเสียงดังตึงตัง รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก นับวันยัยน้องสาวตัวดีชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน

“แล้วนั่นพี่นารีจะไปไหน ไม่กินข้าวก่อนหรือไง”
พอเห็นพรพิมลเดินออกจากบ้านไป พิรญาณ์ก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกเอือมระอากับการกระทำของพี่สาวเกินทน วันๆ ไม่เคยช่วยทำอะไรสักอย่าง ดีแต่เที่ยวพาผู้ชายเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้า

“ไม่กงไม่กินมันแล้ว! เบื่อหน้าคน!”

“เออดี! งั้นอยากไปไหนก็ไปเลย นาราไม่ง้อหรอก!”

เป็นอีกครั้งที่สองพี่น้องทะเลาะกันเสียงดังลั่นบ้าน ภาคินเดินสวนพรพิมลเข้ามาในบ้านพอดี เมื่อได้เห็นสีหน้าไม่ดีของทั้งคู่ ชายหนุ่มก็พอจะเดาเหตุการณ์ออก

“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือนารา”
พิรญาณ์ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกเหนื่อยใจอย่างไรบอกไม่ถูก เธอโยนเสื้อที่อยู่ในมือลงตะกร้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“นารารู้สึกเบื่อ แล้วก็ไม่เข้าใจในตัวพี่นารีจริงๆ เลย ทำไมพี่นารีไม่คิดอะไรบ้างเลย อายุอานามก็ปาเข้าไปจะสามสิบแล้วนะพี่โย อายุขนาดนี้ควรจะคิดถึงอนาคตตัวเองได้แล้วนะ มีคนดีๆ เข้ามาก็ไม่ยอมเลือกใครไว้สักคน แต่กลับเปลี่ยนผู้ชายอย่างกับเปลี่ยนผ้าอนามัย ใครเห็นเขาก็คิดไปในทางแย่ๆ ทำไมไม่รู้จักรักษาชื่อเสียงตัวเองบ้าง ทุกครั้งที่นาราได้ยินชาวบ้านนินทาพี่นารี นารารู้สึกโมโหจนอยากจะเอามีดไปเลาะฟันพวกนั้นทิ้งให้หมดปากเลย ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านจริงๆ เลย ทั้งหัวดำหัวหงอก”

“เอาน่า ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาไป นาราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ส่วนเรื่องของนารี นาราเป็นน้องก็คอยดูพี่เขาอยู่ห่างๆ ก็พอ อย่าไปบ่นอะไรนารีให้มากเลย นาราก็รู้ว่านารีไม่เคยเชื่อฟังใคร ขืนเราบ่นไปก็มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆ เสียสุขภาพจิตกันพอดี”

“ก็มันอดไม่ได้นี่ เห็นแล้วมันขัดหูขัดตาไปหมด”
ภาคินยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มเดินเข้าไปจับมือเรียวบางรั้งให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยีหัวหญิงสาวจนผมยุ่งเหยิง

“เลิกเครียดได้แล้ว ไปทำงานบ้านต่อดีกว่า ไหนจะให้พี่ช่วยอะไรบอกมาเลย”
พิรญาณ์มองซ้ายมองขวา หางานให้ภาคินทำตามความต้องการของชายหนุ่ม ที่เธอไม่รู้สึกเกรงใจ เพราะเป็นปกติของทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ที่ภาคินจะมาช่วยเธอทำความสะอาดบ้าน วันนี้ก็เช่นกัน

“งั้นนาราฝากพี่โยซักผ้าสีขาวทั้งหมดด้วยแล้วกัน ส่วนนาราจะขึ้นไปเก็บกวาดห้องให้พี่นารีก่อน”

“ได้เลย สบายมาก”



พิมพ์บุปผา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.พ. 2557, 09:50:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.พ. 2557, 09:59:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1123





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account