ระบำดอกดิน
สังคมรอบด้านที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงเติบโตขึ้นจนกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งกายและใจ..ไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบดอกไม้
เพราะชีวิตที่ผ่านพ้นต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายมากมาย ต้องพบเจอเรื่องราวที่ดีสุดขั้วและชั่วสุดชีวิต แต่หากยึดมั่นในการทำความดี และเชื่อว่าความดีนั้นจะเป็นแรงใจให้ชีวิตได้สมความปรารถนาสักครั้ง ก็ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดๆ ในโลกที่จะทำให้หัวใจเปราะบางดวงนี้แหลกสลายไปได้
ทุกเส้นทางที่ก้าวเดินแม้จะเจือไปด้วยความขื่นขมปนสุขบ้างในบางครั้ง แต่นั่นจะเป็นเพียงจังหวะของชีวิตที่งดงามปานเริงระบำ

“มัตติกา (หล้า) บราวร์”
ดาราตัวประกอบสาวสวยที่มีใบหน้างดงามเกินหน้านางเอกของเรื่อง จนทำให้ผู้จัดละครหลายคนสนใจอยากได้เธอไปเป็นนางเอกน้องใหม่ ทว่าข่าวความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพระเอกแถวหน้าของเมืองไทย ก็ส่งกลิ่นคาวคลุ้งจนไม่มีผู้จัดคนไหนกล้าจ้าง
มัตติกาเจ็บช้ำในวงการบันเทิงเกินกว่าจะทนอยู่ได้ไหว แต่ในความโหดร้ายของโชคชะตากลับนำพาโอกาสทองที่ทุกคนหมายปอง มัตติกากลับคืนสู่วงการในรูปลักษณ์เซ็กซี่สตาร์ ความสวย สด และร้อนแรงทำให้เธอกลายเป็นที่หมายปองของผู้กำกับ พระเอก นักการเมือง รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่คนที่รู้ค่าของตัวเองดีกว่าใคร จะไม่มีวันปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นดั่งคำเปรียบเปรยที่ถูกลิขิตไว้ตั้งแต่เกิด
***แม้ใครจะมองว่าเป็นเพียง "ดอกดิน" ไร้ค่า แต่เธอก็จะไม่ด้อยค่าสำหรับตัวเอง***

“ศิรชัย ศิวกร” ดารานายแบบหนุ่มที่โด่งดังที่สุดในเมืองไทยขณะนี้ ซาตานในคราบเทพบุตรที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เว้นแม้แต่ “เธอ” แต่กว่าจะรู้ว่าพลาด เขาก็ทำสิ่งที่ไม่สมควรได้รับการอภัยไปเสียแล้ว
Tags: ระบำ, ดอกดิน, สะท้อนสังคม, ความดี, ดารา, ดราม่า, นิยาย

ตอน: เกิดจากดิน

ตอนที่ ๑
เกิดจากดิน

“ฮือออ... ฮือออ...”
เสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยันถึงค่อนดึกทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในมุ้งสีเทาเก่าจนเกือบจะขาดกำลังใกล้จะหมดความอดทนเข้ามาทุกที ชายผ้าห่มทั้งสองข้างถูกพับทบขึ้นมาปิดใบหูเพราะหวังว่าเสียงนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ผิดคลาดเพราะยิ่งพยายามจะปิดเท่าไรก็ยิ่งเหมือนเสียงนั้นจะดังอื้ออึงอยู่ภายในหัวมากขึ้นและมันทำให้เธอ..
“โว๊ย! อีหล้า! หยุดร้องซะที กูจะหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ กูจะหลับจะนอน มึงจะคร่ำครวญหาสวรรค์วิมานอะไร แม่ง! จะร้องหาโคตรพ่อโคตรแม่ของมึงรึไง อีนี่! วอนซะแล้ว มึงรีบมานอนเลยนะ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน อีหล้า! กูบอกให้หยุดร้อง! มึงจะมานอนไหม! หรือมึงจะให้กูเอามึงไปมัดกับเสาไฟ จะมานอนไหม! อีนี่! จะลองดีกับกูใช่ไหม!”
เด็กหญิงสะดุ้งสุดตัวเพราะคำด่าทอและเสียงแหลมใส่อารมณ์นั้นมันไม่ต่างจากพญามัจจุราชกำลังตวาดเหล่าดวงวิญญาณที่เธอเคยเห็นในละครทีวีที่ร้านค้าของยัยดวงซึ่งตั้งอยู่หน้าปากซอยเข้าตลาดเพราะยายมักจะใช้ให้เธอไปซื้อกะปิน้ำปลาและเครื่องครัวจิปาถะอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งนั้นเด็กหญิงมักจะถูกไปลากกลับพร้อมกับก้านมะยมที่ประเคนใส่น่องเล็กๆ นั้น เพราะดูทีวีเพลินจนลืมของที่ยายสั่งซื้อ
ดวงตาบอบช้ำเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาส่ายไปมาช้าๆ เพราะเสาไฟฟ้าต้นสูงใหญ่หน้าบ้านเป็นสิ่งที่น่าหวาดผวาแก่เธอที่สุด ในยามค่ำคืนสายลมพัดเอื่อยมีเพียงแสงไฟจากหลอดเก่าๆ ที่ไม่สามารถให้แสงสว่างได้เท่าที่ควร ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเดินเข้าออกในถนนส่วนบุคคลนี้ ทว่าเด็กน้อยวัยเพียง ๖ ปี กลับถูกจับมัดไว้กับเสาไฟฟ้าที่ทางการเพิ่งมาติดตั้งแทนเสาไม้ที่เก่าคร่ำคร่าตามอายุของตลาดเก่าในชุมชน ความทรงจำอันน่าหวาดผวาเกิดขึ้นเพียงเพราะเธอบังอาจร้องไห้คร่ำครวญหาพ่อแม่ในยามดึก ซึ่งมันจะแปลกอะไรกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่ขาดทั้งพ่อและแม่ ทั้งที่ในยามนี้อ้อมอกของแม่ควรจะเป็นที่พักพิงอย่างดีที่สุดสำหรับเด็กน้อยตาดำๆ
“โอ๊ย! น้าลมอย่าทำหล้า หล้ากลัวแล้ว อย่าทำ.. หล้าขอโทษ อย่าทำหล้าเลย ฮือ.. หล้ากลัว น้าลมหล้ากลัวแล้ว น้าลม.. ฮือ... อย่าทำหล้า.. อย่า.. น้าลม.. ฮือ...”
“มึงอยากร้องนักใช่ไหม! งั้นมึงไปร้องให้พอ ร้องอย่าหยุดนะมึง! กูจะดูสิว่าวิญญาณพ่อ วิญญาณแม่มึงจะมาหาไหม ถ้ามันรักอีลูกไร้ค่าอย่างมึงมันก็ต้องกลับมา ไม่ใช่แหก.. ไปอยู่กับฝรั่งแล้วไม่เอามึง แม่มึงทิ้งแล้วยังจะไม่เจียมตัว มานี่เลยมึง อีหล้า!”
เสียงเข่นเครียดเกินความเป็นจริง ทั้งที่เพียงแต่พี่สาวหายสาบสูญผู้เป็นน้องสาวก็ไม่น่าจะโกรธแค้นและทารุณหลานสาวได้มากขนาดนี้ แต่ลมรำเพยก็ทำ ไม่มีอะไรที่ลมรำเพยจะทำกับ “มัตติกา หรือ หล้า” หลานสาวตัวน้อยของเธอไม่ได้ มือแข็งปานคีมเหล็กบีบกระชับที่ต้นแขนเล็กๆ ก่อนจะออกแรงกระชากอย่างรุนแรงโดยไม่กลัวสักนิดว่าท่อนแขนน้อยๆ นั้นจะหลุดติดมือเธอไปบ้างหรือไม่
“น้าลมอย่าว่าแม่.. แม่รักหล้า แม่ไม่ได้ทิ้งหล้า โอ๊ย!.. น้าลมหล้าเจ็บ! น้าลม.. ปล่อยหล้านะ ฮือ.. แม่จ๋า.. พ่อจ๋า.. ยาย.. ยายจ๋าช่วยหล้าด้วย ยาย.. ฮือ...”
เสียงด่าทอด้วยแรงอารมณ์สลับกับเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวของเด็กหญิงทำให้คนที่พยายามข่มใจนอนอยู่อีกฟากหนึ่งของบ้านไม้หลังเท่ารูหนูต้องลืมตาอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาฝ้าฟางคล้ายจะมีน้ำเลี้ยงคลออยู่ในนั้นก่อนร่างท้วมจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง แม้ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวแต่หากไม่ทำอะไรเลย วันพรุ่งคงต้องคอยแต่ตอบคำถามชาวบ้านร้านตลาดอีกตามเคย และดีไม่ดีข้าวของจะพลอยขายไม่ออกไปด้วย

กับข้าวหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้ออลูมิเนียมที่เก่าและบุบเป็นบางส่วน แต่อาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ และกลิ่นหอมที่บ่งบอกได้ว่ารสชาติของอาหารคงจะอร่อยมากอย่างไม่ต้องคาดเดาทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านไม่ขาดสาย มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบจับตักแกงจืด แกงเผ็ด ปลาราดพริก ข้าวเปล่า อย่างว่องไว โดยมีหลานสาวตัวน้อยๆ คอยรับถุงบรรจุอาหารเหล่านั้นพร้อมกับจับมัดหนังยางอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กัน
อาหารในถุงที่มีอยู่ ๓ ใน ๔ ส่วนทำให้พอมีพื้นที่สำหรับใช้มัดปากถุง เด็กหญิงขยายปากถุงให้อากาศเข้าเพียงนิดก่อนจะทบพับปากถุงลงมาเป็นชั้นเล็กๆ กันอากาศออก จับจีบถุงพร้อมใช้หนังยางรัดอย่างว่องไว บริเวณด้านนอกที่อาจเปื้อนอาหารถูกเช็ดด้วยผ้าขี้ริ้วที่มองออกว่าคงเป็นเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าของยายเล็กเจ้าของร้าน
“อุ๊ย! หลานสาวพี่เล็กเก่งจัง ตัวแค่เมี่ยงช่วยยายได้แล้ว โถ.. จับมัดก็เรียบร้อยด้วยลูก พี่เล็กงั้นฉันเอานี่ นี่ และก็นี่เพิ่มด้วยจ้ะ ชอบใจหลานมันต้องช่วยอุดหนุนยายเยอะๆ หน่อย จริงไหมลูก”
“จ้ะ..” เด็กหญิงตัวน้อยรับคำพลางยิ้มแหยๆ เพราะยังเกรงสายตาผู้เป็นยายที่มองมาอย่างปรามๆ อยู่ในที แต่ก็ยังแอบลอบมองหญิงชราท่าทางใจดีที่รู้ได้โดยอัตโนมัติว่าเป็นคนรวยเจ้าของที่และเจ้าของตลาดที่เธอกับยายอาศัยมาตั้งแผงขายเข้าแกงอยู่ทุกๆ เช้า
“อ้าว.. นี่มันวันพุธหนิ แล้วไม่ไปโรงเรียนหรือจ้ะ”
เด็กน้อยชำเลืองมองผู้เป็นยายอย่างต้องการคำตอบ เธอก็ไม่รู้ว่าต้องไปโรงเรียนหรือเปล่าเพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับยายเธอก็ไม่เคยได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ เลยสักครั้ง
“คงไม่ให้มันไปหรอกแม่พิศ แค่นี้ก็ไม่พอจะซื้อข้าวสารกรอกหม้อกันแล้ว ถ้าให้มันไปโรงเรียนอีกคน คงต้องกินแกลบกันแน่ ไหนจะค่าชุด กระเป๋า รองเท้า ไหนจะค่าหนังสือเรียน ต้องห่อข้าวไปกินอีก โอย.. สารพัด แล้วฉันจะมีปัญญาอะไรให้มันไป”
“อ้าว! ก็ไหนใครเขาว่ากันว่าหนูฟ้าได้สามีฝรั่งไม่ใช่เรอะ ฉันก็พานคิดว่าพี่เล็กมีตังค์เสียอีก เห็นเจ้าเมฆกับเจ้าหมอกก็ไม่ได้ทำงานทำการอะไรกัน ยังคิดว่าสงสัยพี่เล็กจะมีเงินเลี้ยง”
หากเป็นคนอื่นมาเอ่ยถามแบบนี้แกคงจะด่าเปิง ทว่าน้ำเสียงของเจ้าของตลาดและเจ้าของที่ดินที่แกอาศัยปลูกบ้านเก่าๆ ซุกหัวนอนมาตั้งแต่ผัวยังไม่ตาย ไม่ได้เจือไปด้วยความเยาะเย้ยหรือสมเพชแต่อย่างไร ทว่าเป็นการถามออกมาจากความรู้สึกสงสัยจริงๆ ทั้งยังเจือไปด้วยความเป็นห่วงจนแกต้องถอนหายใจออกมาอย่างจนใจในชีวิตที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง
“เฮ้อ! พูดถึงมันแล้วก็กลุ้ม โตจนมีลูกมีเมียได้กันแล้ว ฉันก็ยังต้องเลี้ยงพวกมันอยู่ ก็เพราะอย่างนี้น่ะซิถึงให้นังหล้ามันไปโรงเรียนไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนไปส่งเสียมัน อีกอย่างฉันก็ไม่อยากให้มันเรียนด้วยล่ะแม่พิศ เรียนมากสุดท้ายก็คงไม่พ้นจะเป็นแบบแม่มัน เรียนไปหาผัวไปสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น” เสียงตอบอย่างเอือมระอาเจือความเศร้าที่ปลายน้ำเสียงจนคนฟังรับรู้ได้
ลูก ๔ คนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้เป็นต้นเหตุของความเศร้าในน้ำเสียงนั้น ฟ้ารุ่งลูกสาวคนโตหนีตามผู้ชายไปตั้งแต่ยังเรียนอยู่แค่ ม.๔ และไม่นานก็หอบลูกกับผัวมากราบขอขมาแก ลมรำเพยลูกสาวคนที่สองจบแค่ ม.๓ ทำงานโรงงานในละแวกบ้านก็ปากร้ายเสียจนหาสามีไม่ได้ ส่วนเมฆลูกชายคนที่สามและหมอกลูกชายคนสุดท้องก็ไม่เอาคุ้งเอาอ่าว วันๆ เอาแต่นอนเหมือนคนติดยาหรือไม่ก็ไปคลุกอยู่ในบ่อนที่ตรอกนายชัย แต่แกก็ไม่รู้จะทำยังไง จะไปบอกให้ตำรวจมาจับมาตรวจแกก็สงสารลูก เผื่อตรวจพบสารเสพติดเข้ามาจะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ และไหนจะยังภาระตัวล่าสุดที่แกเพิ่งได้รับมรดกจากลูกสาวคนโตเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้..
ดวงตาฝ้าฟางหันมองหลานสาวเพียงคนเดียวของแก หลานที่นำความชอกช้ำมาให้แกไม่รู้จักจบสิ้น เริ่มตั้งแต่ฟ้ารุ่งหนีตามนิธิพ่อของเด็กหญิงหล้าไปไม่ว่าแกจะเฝ้าตามหาไปทุกที่ทุกทางแต่ก็ไม่เจอ ครั้งนั้นแกเสียใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะตั้งแต่ผัวแกตายจากไป แกต้องเฝ้าเลี้ยงดูลูกเพียงลำพังตลอดมา ฟ้ารุ่งที่หน้าตาสวยงามขนาดทางจังหวัดส่งคนมาขอให้แกพาลูกไปประกวดนางงามแต่แกก็ไม่ยอมเพราะคาดหวังไว้กับลูกสาวคนนี้สูงมาก ฟ้ารุ่งเรียนเก่ง อ่อนหวาน เป็นลูกที่นำมาแต่ความภาคภูมิใจให้กับแก นางสาวฟ้ารุ่งในวันนั้นใฝ่ฝันที่จะเป็นคุณหมอ เพื่อรักษาคนไข้และเพื่อดูแลแม่ให้มีแต่สุขภาพที่ดี ลูกสาวแม่ค้าขายข้าวแกงแต่กลับมีความคิดแบบนั้นมีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่ปลาบปลื้มใจ แต่แล้วเมื่อฟ้ารุ่งจากไปแกก็ไม่ต่างไปจากคนหัวใจสลาย
หนึ่งปีผ่านไปฟ้ารุ่งกลับมาพร้อมลูกและสามี แม้ลูกสาวและลูกเขยจะมากราบขอขมาลาโทษแต่แกก็ทำใจให้ญาติดีและอุ้มชูหลานสาวคนนี้ไม่ไหว เพราะหัวใจแกชอกช้ำจนไม่เหลือช่องว่างให้ใครอีกแล้ว ฟ้ารุ่งอยู่กับสามีอีกจังหวัดหนึ่งนานๆ ทีถึงจะมาเยี่ยมแกสักครั้ง ซึ่งแกก็ถือว่าดีเพราะจะได้ไม่ต้องลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย เพราะแกก็ไม่สนิทใจกับลูกเขยนักเลงหัวไม้คนนี้เลยสักนิด แต่มันเหมือนเป็นวิบากกรรมเพราะสามีของฟ้ารุ่งติดคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา ศาลตัดสินจำคุกกว่า ๑๐ ปี เด็กหญิงหล้าที่เพิ่ง ๓ ขวบกว่า ต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามีเพราะฟ้ารุ่งต้องไปหาทำงานเพื่อเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกต้องรับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน มันก็เหมือนอย่างแกที่รับลูกเขยไม่ได้เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิมาเสียชีวิตลงในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธีเสียผู้เสียคนมีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบถึงได้มาจบชีวิตเยี่ยงนี้
ผลพวงของความผิดพลาดจึงกลายเป็นเด็กหญิงหล้าไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อ ๓ เดือนก่อนฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานพัทยา แล้วจะส่งเสียค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่จนแล้วจนรอด ๓ เดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งก็หายเข้ากลีบเมฆ มีแต่แกต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้อีก ๑ คน ทั้งต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหล้ายิ่งกว่าใครๆ มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ตัวว่าจะรังเกียจหรือจะเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวจะต้องเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จะเกลียดก็รู้สึกก้ำกึ่งในความคิดตัวเอง
“พี่เล็ก.. ให้เด็กมันไปโรงเรียนเถอะ ฉันขอร้องล่ะ นี่อายุอานามก็น่าจะเข้าโรงเรียนได้แล้วมั้ง อายุเท่าไรแล้วลูก”
“เออ.. ๖ ขวบจ้ะ”
ดวงตาหวาดๆ หันมองยายและมองคุณยายพิศเจ้าของที่ดินสลับกันไปมา เพราะเธอต้องดูปฏิกิริยาของยายว่าอยากให้เธอพูดหรือเปล่า เพราะแม่สั่งไว้ว่าไม่ให้ดื้อกับยายเพราะยายทำงานหนัก เธอต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังสิ่งที่ยายสอน อย่าทำอะไรให้ยายต้องเสียใจ
“หล้า.. อย่าดื้อกับยายนะลูก หนูต้องเป็นเด็กดี ต้องเชื่อฟังที่ยายสอน อย่าทำให้ยายเสียใจเหมือนกับแม่” คำพูดและแววตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของแม่เธอจำได้ดี
“อืม.. ต้องเข้าเรียนแล้วล่ะ พี่เล็กนะพี่ ให้เด็กมันอยู่อย่างนี้สงสารมัน ดูแววตาสิ ดูฉลาดเชียว พี่เล็กเชื่อฉันเถอะ ให้.. ชื่ออะไรนะลูก”
“หล้า.. จ้ะ”
“อืม.. ให้หนูหล้าไปเข้าโรงเรียนเถอะ เรื่องเสื้อผ้า หนังสือหนังหาไม่ต้องกลัว ฉันจะให้หนูปานหาให้ ค่าเล่าเรียนก็ไม่ต้องเสียฉันจะขอทุนให้เอง พี่เล็กไม่ต้องออกค่าอะไรเลย ฉันจะจัดการให้ทั้งหมด”
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแววระยิบระยับกับสิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้คุณยายพิศรู้สึกเอื้อเอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยนี้มากยิ่งขึ้น แต่ผู้เป็นยายของเด็กน่ะสิ เหมือนคนครุ่นคิดไม่ตกซะอย่างนั้น
“ดูตาเขาสิพี่ ดีใจไหมลูกที่จะได้ไปโรงเรียน”
คำถามมัดมือชกทำให้ยายเล็กหน้าเครียดขึ้นมาในทันที แต่จะให้ปล่อยไปก็คงไม่ได้ เพราะความผิดของแม่ก็ไม่ควรจะมาลงที่เด็กด้วย
“เด็กควรได้เรียนหนังสือนะพี่ และในสมัยนี้ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วไม่รู้หนังสือจะไปทำงานทำการอะไรได้ ก็จะมีแต่คนคอยเอารัดเอาเปรียบ ดีไม่ดีอาจถูกล่อลวงเอาอีก ให้ครูปานพาไปโรงเรียนนะลูก”
“นะ.. หนู หนูแล้วแต่ยายค่ะ ยะ.. ยาย.. ยายให้หนูไปหรือเปล่าจ๊ะ”
ดวงตาวับวาบไปด้วยหยาดน้ำเครือคลอทำให้ยายเล็กเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พลางคิดในใจว่าทำไมนะถึงไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยนอกจากคุณยายพิศคนเดียวในเวลานี้ เพราะจะได้หลีกหนีสถานการณ์แสนจะอึดอัดนี้เสียที ยิ่งเห็นแววดีใจในดวงตากลมโตคู่นั้น แกก็ยิ่งอยากจะเก็บของปิดร้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“แล้วถ้าไปเรียนแล้วไม่ได้ทุนขึ้นมา ฉันจะทำยังไงล่ะแม่พิศ ถึงตอนนั้นเป็นฉันนะที่จะลำบาก ไอ้ลำพังค่าชุดค่าหนังสือนั่นก็จ่ายครั้งเดียว แต่เงินค่าขนมค่าข้าวไปโรงเรียนฉันให้ไม่ได้หรอกนะ”
“นะ.. หนู หนูไม่กินอะไรก็ได้จ้ะ หนูจะไม่กินอะไรเลย”
“พี่เล็ก ทุนไม่ได้ฉันก็จะให้เอง โถ.. แม่คุณของยาย ถ้าไม่ได้ทุนคุณยายก็จะส่งเสียหนูเองนะลูก”
เด็กหญิงที่ระล่ำระลักพูดออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทำให้คุณยายพิศอดไม่ได้ที่จะกวักมือเรียกเด็กหญิงเข้าไปกอดปลอบขวัญและเสียงสะอื้นฮึกฮักก็ทำให้คนแก่ถึงกับน้ำตาคลอตามไปด้วย
“นะพี่เล็ก ไปพรุ่งนี้เลยนะพี่ ฉันจะให้หนูปานทำเรื่องให้ทั้งหมด ว่าแต่หนูหล้าชื่อจริงว่าอะไรลูก นามสกุลด้วย คุณยายจะให้คุณครูปานใจพาหนูเข้าโรงเรียน”
“ชื่อเด็กหญิงมัตติกา บัวสีเผือด.. ค่ะ” ชื่อและนามสกุลที่แม่มักจะถามและให้เธอตอบก่อนเข้านอนทุกครั้ง แม่ว่าเวลาไปโรงเรียนคุณครูถามจะได้ตอบถูก และเธอก็จะได้ไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้แล้ว
แววตาสุกสกาวแหงนหน้าขึ้นมองคุณยายใจดีก่อนจะยิ้มจนแก้มหยีตาหยี ส่งผลให้คุณยายพิศยิ่งโอบกอดเพื่อจะรับขวัญที่บินหนีไปเพราะความทุกข์ระทมแห่งวัยเยาว์ ที่ไม่ควรเลยสักนิดที่เด็กอายุเพียงเท่านี้จะต้องมาพบเจอปัญหาสารพัน ปัญหาที่เด็กอย่างเธอไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยสักนิด

“เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ”
“มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชจริง หน้าตาก็รึจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ.. ฉลาดเอาเรื่องเลยล่ะ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ”
“ยังไงกันคะแม่”
“ก็หนูปานคิดดูสิลูก พอแม่ถามว่าอยากไปโรงเรียนไหม เด็กนั่นหันไปมองหน้าพี่เล็กแล้วตอบแม่ว่า.. หนูแล้วแต่ยาย และพอพี่เล็กแกถามเรื่องค่าขนมไปโรงเรียน หนูหล้าแกก็บอกว่า.. หนูจะไม่กินอะไรเลย ปานดูสิลูก แม่งี๊น้ำตาจะไหล อยากจะรู้นักว่ายัยหนูฟ้าใจคอทำด้วยอะไร ทำไมปล่อยให้ลูกลำบากอย่างนี้”
“ฟ้าเขาคงมีเหตุผลน่ะค่ะแม่”
หนูปานหรือคุณครูปานใจ นึกถึงแม่เด็ก “ฟ้ารุ่ง” แม่ของเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เธอเห็นหอบตะกร้าข้าวต้มมัดเข้าไปใน “ตรอกนายชัย” ซึ่งเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ความสงสัยใคร่รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่หน้าตาจิ้มลิ้มนี้เป็นลูกหลานใครกัน ทำไมถึงได้ปล่อยให้เด็กเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้นและจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้จึงต้องเดินตามเข้าไปดู
“อ้าว.. ครูปานมาทำอะไรในนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาเล่น” เสียงร้องทักจากแม่ค้าในบ่อนทำให้คุณครูปานใจหันไปยิ้มเพราะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
“โธ่! พี่อิ่ม ปานเล่นเป็นที่ไหนกันจ๊ะ แค่จะตามมาดูเด็ก”
“เด็ก.. อ้อ.. อีหล้าเรอะ”
“ชื่อหล้าหรือจ๊ะ”
“อ้าว.. ครูปานไม่รู้จักเด็กมันหรอกเรอะ ก็หลานยายเล็ก ลูกนังฟ้ามันไง นี่แม่มันมาทิ้งไว้ ๓ เดือนแล้ว ยายเล็กบ่นทุกวัน แต่เด็กมันดีนะเห็นมันตัวแค่นี้แต่มันช่วยงานยายมันทุกอย่างนั่นแหละ นี่มันก็เอาขนมมาขายทุกวัน”
“แล้วเขาคิดตังค์ถูกหรือจ๊ะ ตัวเล็กกระเปี๊ยกเดียว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า.. มันจะถูกอาไร้.. หนังสือหนังหาก็ไม่ได้เรียน นี่ก็อาศัยแค่ว่าคนซื้อไม่โกงเท่านั้นแหละ จ่ายเงินเอง ทอนเงินเอง ถ้าเป็นร้านเจ๊นะ เจ๊งไปนานแล้ว”
ใบหน้าเศร้าๆ รอยยิ้มและคำขอบคุณที่เด็กหญิงมีให้กับคนซื้อทำให้เธอรู้สึกตื้อๆ เพราะไม่คิดว่าฟ้ารุ่งเพื่อนสนิทในวัยเด็ก เพื่อนที่แสนจะอ่อนหวานและมองเห็นแต่ความสวยงามของโลกใบนี้จะทอดทิ้งลูกน้อยไปอย่างไม่ใยดี ยิ่งเห็นเด็กน้อยมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่มาก เธอก็ยิ่งสะทดสะท้อนใจ กลายเป็นว่าไม่สามารถสลัดความไม่สบายใจนี้ไปได้เลยสักวัน จนต้องคิดหาหนทางให้เด็กได้เรียนหนังสือ และแม่ของเธอก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด เพราะคุณยายพิศซะอย่างใครๆ ก็เกรงใจ
“คุยอะไรกันครับคุณแม่.. คุณลูก..”
“คุณย่า.. คุณอา..”
“ตาธาน.. พ่อรบหลานย่า”
เสียงทุ้มเจือความสุภาพและเสียงใสๆ ของเด็กชายที่กำลังจะกลายเป็นหนุ่มน้อยๆ เอ่ยทักจากด้านหลังทำให้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองต้องหันมองและยิ้มด้วยความสุข ผู้เป็นย่าอ้าแขนรอรับร่างเด็กชายตัวน้อยที่อีกไม่กี่ปีก็คงจะกลายเป็นหนุ่มหล่อไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ส่วนคนเป็นอาก็อ้าแขนรอหลานชายที่จะโผเข้ามาหาด้วยความคิดถึงเช่นเดียวกัน

“อะไรนะแม่! แม่คิดยังไงถึงจะให้อีหล้ามันไปเรียน คนอย่างมัน.. เดี๋ยวลูกไม้มันก็หล่นไม่ไกลต้นหรอก.. เอ่อ.. ฉันไม่ได้ว่าแม่นะ ฉันหมายถึงมันเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร หน้าตาอย่างมันคงมีผัวก่อนเรียนจบแน่ๆ”
ลมรำเพยที่อารมณ์ขึ้นเมื่อรู้ว่ายายเล็กจะให้หล้าไปเรียนหนังสือต้องทำท่าคอย่นเพราะสายตาของผู้เป็นแม่ที่ตวัดขึ้นมองอย่างไม่พอใจ แม่ที่เคยใจดีกับลูกๆ ต้องกลับกลายเป็นคนแก่ที่เป็นโรคซึมเศร้าอมทุกข์เพราะความรักลูกมากตัวเดียว เมื่อเสียใจมากก็ทำให้ไม่มีแรงกายแรงใจจะทำอะไรต่อได้ ลูกอีก ๓ คนที่เหลือจึงถูกทิ้งขว้างไม่ดูแลเหมือนดังเคย แต่เมื่อทำใจได้ แม่ก็กลายเป็นคนเย็นชาไม่เคยคุยเล่นหัวกับลูกๆ คนใดอีกเลย จนกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ของทุกคนภายในบ้านไม่ต่างไปจากสนิมเหล็กที่รอคอยการผุกร่อน
“ก็ไม่ได้อยากให้มันไปเรียน ก็แค่เกรงใจแม่พิศเขา” น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยตอบก่อนจะก้มหน้าก้มตาเจียรใบตองสำหรับทำขนมในช่วงเช้ามืดต่อ
“จะไปเกรงใจเขาทำไมกันแม่ ก็แค่คนรวย ไม่เห็นจะอยากญาติดีด้วยซ้ำ เชอะ!”
“มึงไม่อยากแต่กูอยาก เวลาไม่มีเงินมีทองให้พวกมึงใช้ ก็ได้แม่พิศนี่แหละที่ให้หยิบให้ยืม ทั้งบ้านช่องนี่ก็ที่ของเขา ค่าเช่าที่เขาก็ไม่เคยจะมาทวงถามเอากับกู ถ้ากูไม่เกรงใจเขา วันข้างหน้ากูขาดเงินกูจะไปเอาได้เรอะ และอีกอย่างกูก็ไม่ได้เสียเงินสักบาท แม่พิศแกว่าหนูปานจะจัดการให้ทั้งหมด”
“เชอะ! คนรวย ก็ดี! ทำนาบนหลังคนมานานก็ควรจะช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง”
“นี่! นังลม อย่าให้มันมากนักนะ แม่พิศเขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำแบบนั้น ใครยากจนข้นแค้นก็ไม่เคยต้องจ่ายดอกสักบาท อย่างกูนี่ไง เงินต้นกูก็ยังไม่คืนและอย่าฝันเรื่องดอก กูคงไม่มีปัญญาหาให้หรอก และน้ำหน้าอย่างมึงก็คงไม่ช่วยกูด้วย”
“ทำไมแม่ น้ำหน้าอย่างฉันมันเป็นไง อย่างน้อยฉันก็ยังหาเงินมาเป็นค่าน้ำค่าไฟให้แม่ได้ล่ะน่า ไม่เหมือนนังลูกสุดสวาทของแม่ อิอิ.. ขนาดตัวไม่อยู่ยังอุตส่าห์ส่งลูกมาเป็นตัวแทน หลงกันเข้าไปเถอะ วันนึงมันเจริญรอยตามแม่มัน แล้วแม่จะรู้สึก แม่ไม่รู้เหรอว่าชื่อมันแปลว่าอะไร”
สายตาของผู้เป็นแม่ที่มองตรงมาทำให้ลมรำเพยต้องกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น สายตากราดเกรี้ยวรังเกียจที่เธอไม่รู้ว่าแม่รังเกียจตัวเธอหรือว่ารังเกียจอดีตที่เจ็บปวดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนที่เธอรังเกียจอย่างถึงที่สุด แม้ตัวไม่อยู่ก็ยังอุตส่าห์ส่งตัวแทนมาให้คอยทิ่มตำจิตใจ
“มัตติกามันแปลว่าดินยังไงล่ะแม่ หนำซ้ำอีหล้าก็ยังแปลว่าดินเหมือนกัน แล้วแม่ยังคิดว่ามันจะไปเป็นนางฟ้านางสวรรค์ได้ยังไง อย่าไปหวังให้มันกลายเป็นดอกฟ้าเข้าล่ะ เพราะยังไงอีนี่มันก็เป็นได้แค่.. ดอกดิน เท่านั้น แม่ฟังคำฉันไว้ อีหล้ามันเป็นได้แค่ดอกดินเท่านั้น อีดอกดิน อิอิ..”
เสียงหัวเราะบาดลึกของลมรำเพยไม่เพียงทำให้ยายเล็กต้องปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บปวด แต่เสียงหัวเราะนั้นมีผลกับคนที่นั่งตัวลีบติดอยู่ข้างฝาบ้าน ฝากระดานแผ่นเล็กๆ นั้นไม่สามารถลดทานเสียงที่ส่งผ่านมาได้เลยสักนิด มือน้อยๆ ที่กำลังลูบลำตัวลูกสุนัขจรจัดคล้ายจะสั่นเล็กน้อย ดวงตากลมโตดำขลับส่อแววเศร้าก่อนจะซบใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตาลงกับลูกสุนัขตัวน้อยที่โอบอุ้มไว้ด้วยความถนอม



ชนิตร์นันท์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2557, 21:15:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2557, 21:15:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 905





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account