ภรรยากำมะลอ(ที่รัก)
เมื่อสาววัยจะเข้าเลขสามอยากกระโดดลงจากคาน
โชคชะตาก็ชักพาหนุ่มหล่อเหลือร้ายมาให้พบพาน
ด้วยเงื่อนไขที่ไม่อาจปฏฺเสธได้

(ลิขสิทธิ์งานเขียนเรื่องนี้เป็นของสนพ.Touch Publishing)
++เปิดให้ทดลองอ่านบางส่วนเท่านั้น++
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตัวอย่างเนื้อเรื่อง

ภรรยากำมะลอ(ที่รัก)

ประพันธ์โดย...กันต์ระพี

(ลิขสิทธิ์งานเขียนเรื่องนี้เป็นของสนพ. Touch Publishing)

ตัวอย่างเนื้อเรื่อง....

“ฉันว่าจะเลิกตามหาผู้ชายในฝันแล้ว”
“อะไรนะ! ก็ไหนแกบอกว่าจะหาเขาให้พบไม่ใช่เหรอ” เพลินพิศหันขวับ หล่อนแทบจะสำลักกาแฟที่เพิ่งยกขึ้นจิบ รับไม่ได้กับคำพูดเนือยๆ ของวสา ก็ความฝันสูงสุดของสาววัยจะเข้าเลขสามจะมีอะไร นอกเสียจากได้ลงจากคานเสียที
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ก็กี่ปีแล้วล่ะที่ฉันรอหมอนั่น จนป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่โผล่มาสักที ไม่รู้มัวไปทำอะไรอยู่”
“สงสัยเนื้อคู่แกคงยังไม่เกิดมั้ง หรือไม่เขาก็อาจจะเป็นคนต่างชาติ แบบว่าแกอยู่ชาตินี้แล้วเขาอยู่ชาติหน้าหรือเปล่า” เพลินพิศกระเซ้า พลางตักคัพเค้กแสนอร่อยเข้าปากอย่างไม่ยี่หระกับการเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวเอง ไม่อยากให้เพื่อนซีเรียสกับเรื่องดังกล่าว แต่วสาไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย
“ก็คงจะจริงอย่างที่แกว่า บางทีฉันอาจจะไม่มีดวงเรื่องนี้เลยก็ได้”
“บ้าน่า ฉันก็พูดขำๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“ก็จะไม่ให้คิดได้ยังไงกัน ทุกครั้งที่ฉันปิ๊งใครหรือคิดว่าเขาคนนั้นคือคนที่ใช่ทีไร ถ้าหมอนั่นไม่เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วก็แอ๊บแมนเสียเป็นส่วนใหญ่”
“เอาน่า...ถึงโลกจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน แต่ฉันก็เชื่อว่าผู้ชายที่มีด้ายแดงผูกติดนิ้วก้อยเชื่อมโยงกับเราจะต้องเป็นแมนร้อยเปอร์เซ็นต์ และฉันก็จะได้พบเขาเร็วๆ นี้” เพลินพิศให้กำลังใจตัวเอง หล่อนไม่เคยหยุดฝัน ไม่เช่นนั้น...คงไม่พูดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยท่าทางเอียงอาย
“อย่าฝันเฟื่องไปนักเลย”
“ถึงฉันจะฝันเฟื่อง แต่ฉันก็ยังมีความฝันละน่า ไม่เหมือนแกหรอก...พิลึกคน อายุเพิ่งจะยี่สิบแปดก็ทำท่าไม่สนผู้ชายเสียแล้ว”
“ก็ฉันเบื่อนี่นา ถ้าต้องมานั่งรอคอยใครสักคนที่ไม่รู้ว่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า สู้เอาเวลาไปเรียนทำขนมชงกาแฟยังสนุกกว่า” วสาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ปลงเสียแล้ว กับความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีทางจะเป็นจริงไปได้
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันว่าจะปรับปรุงร้านใหม่...แกว่าดีไหม”
“จะปรับปรุงไปทำไมกัน ทำอย่างกับว่าวันๆ มีลูกค้าเข้าร้านแกเป็นร้อยอย่างนั้นแหละ”
“ก็เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงต้องปรับปรุงร้านใหม่ อยากทำให้ครบวงจร อีกหน่อยพอใครๆ พูดถึงวสาเบเกอรี่ก็จะนึกถึงขนมปังนุ่มๆ กับเค้กแสนอร่อยและก็กาแฟหอมกรุ่น ทีนี้ล่ะ...ที่นี่ก็จะกลายเป็นจุดนัดพบแห่งใหม่ ที่ใครต่อใครก็ต้องนัดกันมานั่งจิบกาแฟไปละเลียดขนมไป”
“ที่แกพูดมาออกแนวเพ้อฝันมากกว่าฉันเสียอีก นี่แกจะไม่สนผู้ชายแล้วจริงๆ แล้วใช่ไหมวสา ถึงได้คิดจะหันมาเอาดีกับการเป็นนางซินทำขนมหน้าเตาอบ”
“อืม...” วสายิ้ม ทุกครั้งที่ได้กลิ่นขนมปังอบใหม่ๆ หล่อนมักจะนึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ บ่อยครั้งที่เห็นท่านยืนปาดเหงื่ออยู่หน้าเตาอบ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับคนในครอบครัว นั่นเป็นภาพความทรงจำดีๆ ที่ไม่เคยเลือนไปจากใจ หล่อนอยากเป็นอย่างมารดา อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่คงเป็นได้แค่ความฝัน
“งั้นก็ตามใจ ว่าแต่...จะปรับปรุงร้านเนี่ย แกมีทุนแล้วเหรอ”
“ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้างนิดหน่อย ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรมากหรอก ก็แค่อยากเปลี่ยนโต๊ะเปลี่ยนเก้าอี้แล้วก็ทาสีใหม่ ถ้าไม่ต้องจ้างช่างก็น่าจะพอ แต่เดือนนี้คงต้องขอผัดผ่อนค่าเช่าตึกเขาไปก่อน เพราะฉันต้องเอาเงินมาหมุนใช้ในร้าน”
“งั้นฉันจะช่วยแนะนำแขกที่มาจองห้องจัดเลี้ยงกับทางโรงแรมว่าเค้กร้านแกอร่อยมาก แกจะได้มีรายได้เข้าร้านอีกทาง”
“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ”
“แต่ฉันไม่ทำให้ฟรีๆ หรอกนะ เย็นนี้แกต้องไปกับฉันก่อน”
“ไปไหน?”
“ก็ไปงานเลี้ยงต้อนรับริค อัลเฟลิค เจ้านายคนใหม่ของฉันไง เขาจะเข้ามาบริหารงานที่โรงแรมดิอิมปาร์คแทนพ่อแม่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ” เพลินพิศเอ่ยถึงสถานที่ทำงานระดับห้าดาวอันเป็นสถานที่จัดเลี้ยงในคืนนี้ ซึ่งหล่อนเป็นพนักงานโรงแรมในแผนกขายและการตลาด มีหน้าที่ติดต่อประสานกับลูกค้าที่มาจองห้องเพื่อจัดเลี้ยงหรือสัมมนา รวมทั้งประสานงานกับบริษัททัวร์ต่างๆ ซึ่งเป็นตัวแทนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักเป็นกลุ่ม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ”
“เกี่ยวสิ ก็ฉันจะเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสที่แกตัดสินใจจะจองคานทองนิเวศน์อย่างเป็นทางการแล้ว แต่จะให้พาไปเลี้ยงเองก็คงไม่ไหว เพราะกลางเดือนแบบนี้กระเป๋าแฟบ ฉันก็เลยคิดว่าจะลากแกไปกินให้เต็มคราบในงานนี้ทีเดียวเลย เป็นไง...ความคิดฉันเจ๋งไหม”
“ฉันล่ะเชื่อแกเลยยัยเพลิน ถามจริงๆ เถอะ เวลาเดินเนี่ยเกลือหล่นบ้างหรือเปล่า” วสาค่อน ก็มีอย่างที่ไหน...ปากก็บอกว่าจะเลี้ยงแต่ไม่ยอมควักเนื้อ ซ้ำยังลากหล่อนไปอาศัยใบบุญคนอื่นอีก คงไม่มีใครคิดพิสดารเหมือนแม่เพื่อนสาวของหล่อน
“แหม...ก็นานๆ ทีจะมีโอกาสได้กินของฟรีสักทีนี่นา แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าคืนนี้ทางโรงแรมเลี้ยงอาหารนานาชาติด้วยนะ มีทั้งไทย จีน ฝรั่ง อาหารอิตาเลี่ยนก็มีนะแก ว่าไง...จะไปกับฉันหรือเปล่า”
“ก็ได้ ไปก็ได้”
วสาตอบรับออกไปอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากปิดร้านแล้วอาบน้ำเข้านอน เพราะเหนื่อยกับการอบขนมมาทั้งวันแล้ว แต่อีกใจก็อยากไปทำความรู้จักกับริค อัลเฟลิคเจ้าของโรงแรมดิอิมปาร์คคนใหม่ เพราะหล่อนต้องจ่ายค่าเช่าตึกหลังนี้ให้กับทางโรงแรมทุกเดือน
สืบเนื่องมาจากโรเบิร์ต อัลเฟลิคมหาเศรษฐีชาวต่างชาติซึ่งมีหัวทางด้านธุรกิจ เขาเห็นลู่ทางว่าธุรกิจโรงแรมกำลังจะเฟื่องฟูเลยส่งคนออกกว้านซื้อที่ดินและตึกรามบ้านช่องแถบนี้ เพราะต้องการพื้นที่กว้างเป็นผืนเดียวเพื่อสร้างโรงแรมดิอิมปาร์ค
ในตอนนั้นเจ้าของตึกที่วสาเช่าอยู่ก็ขายที่ดินให้โรเบิร์ตเช่นกัน แต่โชคดีที่หล่อนไม่ถูกขับไล่ เพราะได้รับความกรุณาจากทิพอาภาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับบิดามารดาผู้ล่วงลับ นางช่วยพูดกับโรเบิร์ตผู้เป็นสามี โดยอ้างถึงบุญคุณของเพื่อนสนิทที่เคยให้ที่พักพิงเมื่อครั้งที่นางตกอับหย่าขาดกับสามีเก่า
แม้วสาจะรู้ว่าทิพอาภาทำไปเพราะต้องการทดแทนคุณบิดามารดา แต่หล่อนก็ซาบซึ้งใจนัก เพราะรู้มาว่าตึกที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนโดยตกแต่งชั้นล่างเป็นร้านเบเกอรี่มาถึงทุกวันนี้ แรกทีเดียววิศวกรสั่งให้ทุบทิ้งเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกของโรงแรม เพราะตึกหลังนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่ด้านหน้า แต่หลังจากทิพอาภาปรึกษากับโรเบิร์ต ก็ปรับเปลี่ยนไปใช้พื้นที่ทางด้านข้างเป็นทางเข้าออกแทน...



วสาออกอาการประหม่า เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงที่คลาคล่ำไปด้วยพนักงานหลายระดับชั้นของโรงแรมดิอิมปาร์ค หล่อนไม่เคยชินกับการตกเป็นเป้าสายตาของคนหมู่มาก ทำให้อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ากระซิบกระซาบกับเพื่อนสนิทเมื่อนั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่ง
“ยัยเพลิน แกช่วยดูหน่อยสิว่าฉันเป็นยังไงมั่ง”
“ก็โอเคนี่ ถามทำไมเหรอ” เพลินพิศหันมองเพื่อนสาวแล้วไล่สายตาสำรวจชุดเดรสทิ้งชายสีครีมเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ก็เห็นว่าไม่ได้โป๊เปลือยจนเกินไป หากแต่เรียบหรูดูดีเหมาะที่จะใส่ออกงานสังคม
“คือ...ฉันไม่ค่อยมั่นใจน่ะ”
วสาบอกเสียงเบาแล้วยิ้มเจื่อน ไม่บ่อยนักที่จะหยิบเสื้อผ้าหรูหรากับรองเท้าส้นสูงออกจากตู้มาสวมใส่ เพราะวันๆ อยู่หน้าเตาอบไม่ค่อยได้ออกงานสังคม ก็มักจะเคยชินกับการสวมรองเท้าส้นเตี้ยกับชุดลำลองพื้นๆ ที่มีผ้ากันเปื้อนผูกติด
“งั้นก็ยิ้มได้เลยเพื่อน เพราะวันนี้นางซินอย่างแกสวยเสียยิ่งกว่านางฟ้าอีก”
“ประชดใช่ไหม”
“เปล่า...ถ้าไม่เชื่อก็ลองมองดูรอบๆ สิ มีหนุ่มๆ จ้องจะเขมือบแกทั้งนั้น”
“บ้าน่า! พูดอะไรน่าเกลียดชะมัด” แม้วสาจะเอ็ดออกไป แต่ก็ไม่วายหันมอง ครั้นหันเห็นหนุ่มหน้าอ่อนหน้าแก่ที่มองมาตาเยิ้มส่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยก็ถอนหายใจออกมา แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่ากะล่อนเหลือร้าย ดีไม่ดี...บางรายอาจจะเป็นพวกเมียเผลอแล้วเจอกัน ซึ่งไม่ใช่สเป็กของหล่อน
ในจังหวะจะดึงสายตากลับ วสาก็เหลือบเห็นผู้ชายมาดเท่ที่กำลังสนทนากับคนนั่งร่วมโต๊ะด้านหน้าสุด ถึงเขาจะไม่ได้มองมาทางหล่อน แต่ซีกหน้าที่กอปรด้วยสันกรามกระด้างอย่างบุรุษและคิ้วเข้มที่พาดเหนือดวงตาตลอดจนทรงผมที่ตัดสั้นทันสมัย ก็ทำให้หัวใจของหล่อนกระตุกและเต้นผิดจังหวะขึ้นมา
คนนี้แหละใช่เลย!
“ยัยเพลิน...แกรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม” วสาสะกิดแขนเพื่อนสาวยิกโดยไม่ละสายตาไปจากชายหนุ่มมาดเท่ที่หมายตาไว้
“คนไหนเหรอ?”
“ก็คนนั้นไง คนที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุด ที่แต่งตัวเท่ๆ ใส่สูทไม่ผูกไทค์นั่นไง”
“อ๋อ...คงเป็นคนของริค อัลเฟลิคที่จะเข้ามาบริหารงานในโรงแรมน่ะ” เพลินพิศตอบโดยไม่ต้องคิด แม้จะไม่รู้ว่าผู้ชายคนที่วสาถามถึงนั้นเป็นใคร เพราะทิศทางที่เพื่อนสาวพยักพเยิดหน้าให้มองตามคือโต๊ะวีไอพีที่จัดไว้สำหรับผู้บริหาร
“แล้วพอจะรู้ไหมว่าเขาชื่ออะไร”
“ฉันก็นั่งอยู่กับแกตรงนี้แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่ชื่อหมอนั่นเลย แม้แต่ริค อัลเฟลิค เจ้าของโรงแรมนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เป็นไปได้ยังไงกัน?”
“ก็เขากับคนของเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อเช้านี้ รูปสักใบก็ไม่มีแจกให้พนักงาน แล้วฉันจะรู้ไหมว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง จะมีก็แต่พนักงานระดับสูงที่ทำงานมานานแล้วนั่นแหละที่จะรู้จักริค อัลเฟลิค”
“งั้นเหรอ”
“อืม...ว่าแต่แกเถอะ อยากรู้ชื่อหมอนั่นไปทำไม ก็ไหนบอกว่าไม่สนผู้ชายแล้วไง”
“แหม...ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเองแหละ”
“ไม่จริงมั้ง สเป็กก็บอกมาตามตรงเถอะน่า” เพลินพิศกระทบไหล่วสาเชิงกระเซ้า ครั้นเห็นดวงตาของอีกฝ่ายทอประกายก็ลอบยิ้ม หากเดาไม่ผิด แม่เพื่อนสาวตัวดีคงเปลี่ยนใจอีกตามเคย ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะหล่อนไม่อยากให้วสาหันไปเกาะคานทั้งที่อายุอานามยังไม่เท่าไหร่ ไม่เช่นนั้น...คงไม่ชวนมางานนี้ และนี่ก็สบโอกาสเหมาะเลยยุส่ง
“ถ้าสนก็ลุยเลยสิ จะมัวรออะไรอยู่”
“จะบ้าเหรอ ฉันเป็นผู้หญิงนะ”
“แล้วยังไงล่ะ ถ้าแกอยากรู้จักเขา แต่กลัวเสียฟอร์มก็ใช้วิธีเดิมๆ สิ”
วสาได้ยินคำแนะนำราวกับอ่านใจออกก็ยิ้มพราย ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ทราบดีว่าวิธีเดิมๆ ที่เพลินพิศพูดถึง คือจับตามองเป้าหมายแล้วหาโอกาสเดินชน จากนั้นก็ทำทีเป็นขอโทษแล้วถือโอกาสแนะนำตัว ง่ายๆ แค่นี้ หล่อนก็จะทราบชื่อและได้ทำความรู้จักกับหนุ่มหล่อคนนั้นอย่างเนียนๆ เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกจะไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามกลับมาตามมารยาท...


อีกด้านหนึ่ง ริค อัลเฟลิคนั่งฟังการสนทนาเงียบๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเปิดปากแสดงความคิดเห็น ภายใต้ใบหน้าเงียบขรึมที่ปราศจากความรู้สึก เขากำลังจับตามองวศินที่หัวเราะจนพุงกระเพื่อม เพราะทราบมาว่าผู้บริหารระดับสูงคนนี้เป็นคนสนิทของแอนนิต้า ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของโรเบิร์ตพ่อบุญธรรมของเขา
แต่แอนนิต้าไม่นับญาติกับริค ซ้ำยังดูแคลน เพราะเห็นว่าเขาเป็นลูกติดของทิพอาภาภรรยาชาวไทยของน้องชาย ไม่ใช่สายเลือดที่ถือกำเนิดจากตระกูลอัลเฟลิค ซึ่งนางก็คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดกิจการโรงแรมดิอิมปาร์คต่อจากโรเบิร์ต ทว่ากลับไม่เป็นไปตามที่คิด นางได้รับส่วนแบ่งแค่น้อยนิด แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากก่นด่าและสาปแช่งน้องชายไปตามเรื่องตามราว
ซึ่งการที่ริคเข้ามากุมบังเหียนโรงแรมดิอิมปาร์คในฐานะทายาทโดยชอบธรรมผู้มีสิทธิ์ขาดในกิจการและทรัพย์สินอื่นๆ แต่เพียงผู้เดียว ก็ทำให้วศินที่ได้รับการแต่งตั้งจากแอนนิต้าให้ขึ้นมาบริหารงานแทนก่อนหน้านั้นรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก รวมทั้งไม่พอใจที่ถูกลิดรอนอำนาจลง
“ขอบคุณที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับผม แต่คุณน่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะมันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร นี่ผมเองก็ยังนึกน่าเสียดายที่ไม่ทราบล่วงหน้าว่าคุณจะเดินทางมา ไม่อย่างนั้นคงมีเวลาเตรียมงานและเชิญพวกสื่อมวลชน...” วศินพล่ามไปเรื่อยจนริคต้องเตือน
“คุณคงไม่เข้าใจที่ผมพูดสินะ”
“เอ๋?”
“ผมมาที่นี่เพื่อทำงาน ไม่ต้องการงานเลี้ยงสังสรรค์” ริคลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาหมดความอดทนและเบื่อหน่ายที่จะนั่งฟังคนประจบสอพลอพร่ำพูดเรื่องไร้สาระ อีกทั้งยังไม่ชอบงานเลี้ยงที่มีแต่คำป้อยอของคนที่เล่นไปตามบทบาทของสังคม ถึงแม้ว่าการต้อนรับเจ้านายคนใหม่จะกลายเป็นประเพณีไปแล้วก็ตาม
“เอ่อ...เดี๋ยวสิครับ คือผมไม่มีเจตนาที่จะ...” วศินหน้าเสียรีบลุกขึ้นอย่างลนลาน
“คุณวศิน ผมคิดว่าผมเสียเวลามามากพอแล้ว และผมก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก ถ้าคุณสงสัยหรือมีปัญหาอะไรก็สอบถามจากปีเตอร์ก็แล้วกัน เพราะเลขาส่วนตัวของผมคนนี้ เขาสามารถตอบข้อข้องใจของคุณได้ดีไม่แพ้ผม” ริคพยักพเยิดหน้าไปทางคนที่นั่งด้านข้างเชิงแนะนำ แล้วก้าวออกจากห้องจัดเลี้ยงโดยไม่สนใจวศินอีก
สำหรับเขาแล้ว...ปีเตอร์เป็นทั้งเพื่อนและคนสนิท เป็นคู่หูที่รู้ใจ เป็นมือขวา เป็นเลขาส่วนตัว และอีกหลากหลายตามแต่จะสรรหามาตั้งตามวาระและโอกาส เขาไว้วางใจปีเตอร์มากกว่าใคร เพราะหมอนั่นติดตามเขาราวกับเงาตามตัวมาตั้งแต่เล็ก จึงรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี
แม้ริคจะหัวเสีย ที่จู่ๆ ก็ถูกดึงให้เข้ามานั่งเป็นหุ่นเชิดในงานเลี้ยงแทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน แต่ก็สะกดอารมณ์เหล่านั้นไว้ ซึ่งเขาคงได้กลับบ้านตามความตั้งใจ ถ้าไม่มีใครบางคนจู่โจมเขาระหว่างทางเสียก่อน
“เอ้ย!” อารามตกใจ ริคออกแรงผลักคนที่กระชากแขนเขาให้เข้ามายืนในมุมลับตาคน เมื่อรับรู้ได้ถึงอาการกอดรัดนัวเนียไม่ต่างจากปลาหมึก
“เดี๋ยวนี้คุณรังเกียจฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
ริคชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกระเง้ากระงอดตัดพ้อออกมา ครั้นมองหน้าอีกฝ่ายถนัดตาก็ต้องแปลกประหลาดใจ เมื่อพบว่าอตีดคู่รักของเขาเมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยยืนอยู่ตรงหน้า
กี่ปีแล้วนะ...ที่เขาไม่ได้พบหล่อน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง
“โรนิก้า!”
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะริค” แหม่มผมทองโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ หวังจะสานต่อความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่ครานั้นถูกบิดามารดาของริคกีดกัน ด้วยการใช้เงินก้อนโตฟาดหัวให้ก้าวออกไปจากชีวิตเขา เพราะท่านทั้งสองจับได้ว่าหล่อนคบหาผู้ชายมากหน้าและไม่อยากให้บุตรชายมายุ่งเกี่ยว
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”
“พอดีฉันมาเที่ยวเมืองไทยกับเพื่อนแล้วเห็นคุณที่สนามบินก็เลยตามมาที่นี่” โรนิก้าปดออกไป ทั้งที่ดีใจจนเนื้อเต้น เมื่อทราบข่าวว่าบิดามารดาของริคเสียชีวิตจากหน้าหนังสือพิมพ์ และเนื้อความในนั้นก็ระบุว่าเขาเดินทางมาบริหารงานที่โรงแรมดิอิมปาร์ค ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวที่สืบทอดกิจการของตระกูลอัลเฟลิค
เรื่องดังกล่าวนั้นประจวบเหมาะกับที่เคิร์กคู่รักรายล่าสุดคิดจะมาจับธุรกิจที่เมืองไทย หล่อนก็เลยถือโอกาสติดสอยห้อยตามมาด้วย เพราะตั้งใจจะจับริคให้ได้ เนื่องจากหนุ่มนักธุรกิจอนาคตไกลคนนี้เหนือกว่าเคิร์กทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอายุ หน้าตา ทรัพย์สิน หรือเรื่องบนเตียงที่ทำให้หล่อนร้อนได้ทุกอณู
“ฉันดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง แล้วคุณล่ะริค”
โรนิก้าพาตัวเข้าไปแนบชิดแล้วช้อนตาขึ้นมอง ครั้นริคเห็นหล่อนทอดสะพานเชิญชวนเป็นนัยก็ตอบรับอย่างยินดี ด้วยการโน้มหน้าลงสัมผัสกลีบปากอิ่มแทนคำตอบ...


ฝ่ายวสาเห็นหนุ่มหล่อที่หมายตาก้าวออกจากห้องจัดเลี้ยง ก็ไม่รอช้าที่ลุกขึ้นตามคำยั่วยุของเพลินพิศ ด้วยเห็นว่าสบโอกาสเหมาะที่จะทำตามแผนการที่วางไว้ ทว่าเมื่อก้าวออกมาด้านนอกกลับไม่พบเป้าหมายราวกับเขาล่องหนหายตัวได้ ทำให้หล่อนต้องยืนคว้าง หันซ้ายแลขวาชะเง้อชะแง้มองหา
“ไปไหนของเขานะ ก็เห็นอยู่นี่นาว่าเพิ่งเดินออกมา”
วสาบ่นอุบ ในจังหวะเดินผ่านมุมลับตาคนก็ต้องชะงัก เมื่อหางตาเห็นอะไรบางอย่าง ครั้นถอยกลับไปดูก็ต้องเบิกตากว้าง ตกตะลึง เมื่อเห็นชายหนุ่มที่หมายตายืนกอดจูบอย่างดูดดื่มกับแหม่มผมทองอยู่ในมุมนั้น
อารามตกใจ วสารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติพลางถอยกรูด ทว่าด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวัง อีกทั้งยังไม่มีตาหลัง ข้อศอกของหล่อนก็เลยกระแทกเข้ากลับแจกันดอกไม้ใบเขื่องที่ประดับประดาอยู่ตามทางเดิน
“อุ๊ย!”
วสาอุทานออกมาไม่เบานัก พลางหันขวับจับแจกันแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกขอบคุณตัวเองที่มีความไวเป็นเลิศ ทำให้คว้ามันเอาไว้ได้ก่อนจะตกถึงพื้น ครั้นวางแจกันในจุดเดิมแล้วหันกลับก็หน้าเจื่อน เมื่อพบว่าชายหญิงที่ยืนกอดจูบกันอย่างดูดดื่มเมื่อครู่ เวลานี้ผละออกจากกันหันมองหล่อนเป็นตาเดียว
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ”
วสาละล่ำละลักบอก รู้สึกผิด เมื่อเห็นแหม่มผมทองส่งสายตามองมาเหมือนตำหนิก็รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกิน หล่อนไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้น ไวเท่าความคิด วสาหมุนตัวกลับแล้วจ้ำอ้าว ทว่ารองเท้าเจ้ากรรมนั้นไม่เป็นใจเอาเสียเลย จู่ๆ ส้นก็หัก ทำให้หล่อนเสียหลักล้มลงไปนั่งจับกบ
“ว้ายย!”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลุกไหวไหม มา...ผมช่วย”
วสามองมือที่ยื่นมาตรงหน้า นึกขอบคุณคนมีน้ำใจ ครั้นช้อนตาขึ้นมองแล้วพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือผู้ชายที่หมายตาไว้ก็หน้าแดงซ่าน ไม่กล้ารับความช่วยเหลือ เพราะอับอายเกินกว่าจะทำเช่นนั้น และหล่อนคงนั่งอายม้วนต่วนอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่เหลือบเห็นอะไรบางอย่าง
“นี่! อย่ามองนะ”
วสาแหวออกมาอย่างลืมตัว พลางตลบชายกระโปรงที่ร่นขึ้นจนเห็นชั้นในลายคิขุอาโนเนะ ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงในวัยเดียวกันที่มักจะสวมใส่ชั้นในเนื้อบางเบา บ้างก็เป็นลูกไม้แลเซ็กซี่ แม้วสาจะอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่หล่อนก็กัดฟันลุกขึ้นลากขาพาตัวเองออกจากโรงแรมอย่างลืมเจ็บลืมอาย โดยไม่คิดจะหันหน้ากลับไปมองผู้ชายที่ทำให้หัวใจของหล่อนกระตุกอีกเลย...


ยี่สิบนาทีให้หลัง โทรศัพท์ของเพลินพิศก็ดังขึ้น ทำให้หล่อนต้องปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนๆ ออกมารับโทรศัพท์ ครั้นได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของคนโทรเข้าก็ใจไม่ดี รีบวิ่งแจ้นมาที่ร้านวสาเบเกอรี่ ก็พบว่าแม่เพื่อนสาวตัวดีนั่งชันเข่าเป่าปี่อยู่กลางร้าน
“แกเป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมวสา”
“ฮือ...ฉันจะทำยังไงดีล่ะยัยเพลิน ฉันจะทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ มีเรื่องอะไรก็เล่ามา จู่ๆ แกมาถามฉันแบบนี้ แล้วฉันจะตอบถูกเหรอ” เพลินพิศลูบหลังลูบไหล่วสาที่โผเข้าหาแล้วปล่อยโฮออกมาชุดใหญ่ ไม่สบายใจที่เห็นเพื่อนอยู่ในสภาพนี้
“ว่าไง...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า พอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหม”
วสาพยักหน้าหงึกๆ สงบสติอารมณ์ได้ก็ดันตัวออกห่างพลางยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตา ก่อนจะเล่าเหตุการณ์แสนอับอายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้เพลินพิศฟัง
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง”
“แค่นี้ที่ไหนกัน ถ้าใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้หรอก” วสาชักหน้าง้ำ เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน
“มันก็แค่อุบัติเหตุน่า”
“ฉันรู้ แต่มันไม่ควรเกิดกับฉันในเวลานั้น”
“แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้มันเลยตามเลยไปเถอะน่า ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“จะไม่ให้คิดได้ยังไงกัน ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละว่าเขาเห็นกางเกงในฉันด้วย ตอนนี้ฉันคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาเขาไปแล้ว มันน่าอายชะมัด ต่อไปฉันคงไม่กล้าสู้หน้าเขาอีกแล้ว”
“ถ้าแกอายมากนัก คราวหน้าถ้าบังเอิญพบกันก็หลบซะก็หมดเรื่อง”
“แต่ฉันอยากเจอเขานี่นา”
“ก็ไหนแกบอกว่าไม่สนผู้ชายแล้วไง” เพลินพิศท้วง
“โธ่...แก ก็ผู้ชายคนนี้เขาเป็นผู้ชายในฝันของฉันเลยนะ เขาทำให้หัวใจฉันเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แค่เห็นครั้งแรกก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นเนื้อคู่ของฉันแน่ๆ”
“ท่าทางแกจะเป็นเอามากนะเนี่ยวสา”
“นี่ฉันพูดจริงนะและก็จริงจังมากด้วย ฉันจะทำยังไงดีล่ะยัยเพลิน เขาต้องจำฉันได้แน่ๆ เลย ก็เพราะไอ้กางเกงในบ้านั่นทีเดียว โธ่เอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตายเสียจริงๆ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉันด้วยนะ” วสาบ่นอุบ ทำท่าจะเป่าปี่อีกรอบจนเพลินพิศต้องปลอบ
“ฉันว่าแกอย่าเพิ่งวิตกจริตไปนักเลย บางทีหมอนั่นอาจจะไม่ใส่ใจเลยก็ได้”
“ทำไมถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ”
“อ้าว...ก็แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าตอนที่เดินตามหาหมอนั่น เห็นเขายืนจูจุ๊บอยู่กับแหม่มผมทอง แม่นั่นก็อาจจะเป็นแฟนหรือไม่ก็เมียเขาก็ได้”
“เมีย!”
“ก็ใช่น่ะสิยะ สมัยนี้ผู้ชายโสดๆ หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก แม้แต่เด็กปอสามปอสี่ก็ยังบอกว่ามีแฟนแล้วเลย แล้วอย่างหมอนั่น...จะไปเหลือเหรอ”
“นี่ฉันต้องกินแห้วอีกแล้วเหรอเนี่ย คราวนี้ว่าดูดีแล้วนะก็ดันมีเจ้าของเสียอีก สงสัยดวงฉันคงต้องขึ้นคานแหงๆ เลย” วสาโอดครวญ นึกน้อยใจในวาสนาตัวเอง จะว่าหล่อนไม่สวยหรือก็ไม่ใช่ แต่ทำไมถึงได้หาคู่ยากเย็นเสียเหลือเกิน
“พอๆ เลิกคร่ำครวญแล้วก็ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว รู้ตัวไหมว่าตอนนี้แกไม่เหลือคราบนางฟ้าเลยสักนิด แต่ชักจะเหมือนหมีแพนด้าเข้าไปทุกทีแล้ว” เพลินพิศส่ายหน้าอย่างนึกระอา พลางดันหลังไหล่เพื่อนสาวที่เวลานี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนมาสคาร่าจนดูไม่ได้...


*************************************
หาซื้อ ภรรยากำมะลอ(ที่รัก) by กันต์ระพี ได้ที่ซีเอ็ดทุกสาขาหรือร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

สั่งซื้อภรรยากำมะลอ(ที่รัก)ได้แล้วที่...
http://welovenovel.com/PD887387-สินค้า-%e0%b8%a0%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81_%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b3.html

อ่านภรรยากำมะลอ(ที่รัก)
ในรูปแบบ e-book ได้ที่...
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTczMTQ2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMTE4MzMiO30




กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2557, 10:38:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2557, 14:30:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1713





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account