ประทีปรักแห่งใจ (ชุดแม่ของแผ่นดิน) สำนักพิมพ์มายดรีม
ความฝันและความหมายแห่งชีวิต...อันมีแสงสว่างแห่งรักนำทาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1 สวยรวยกลวง

หลังจากเรื่องคู่จิ้นสุดที่รักจบลงแล้ว แตมก็จะรีไรท์แก้ไขข้อผิดพลาดและปรับแก้บางฉากให้อ่านแล้วรื่นขึ้นตามคำแนะนำของท่านผู้อ่านนะคะ รับรองว่าพอเป็นรูปเล่มแล้วจะต้องสมบูรณ์ขึ้นกว่าที่ลงในเวบแน่นอนค่ะ และหากนิยายเรื่องนี้ออกแล้ว จะมาแจ้งและชวนให้เล่นเกมชิงหนังสือกันนะคะ

วันนี้แตมลงเรื่องประทีปรักแห่งใจ (ชุดแม่ของแผ่นดิน) ให้ทุกท่านลองอ่านกันค่ะ จะลงสลับกับเรื่อง ทัณฑ์จันทรา (พิมพ์คำสำนักพิมพ์) เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านหงุดหงิด 55 เลยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าค่ะว่าเรื่องนี้จะลงเพียง 70% เท่านั้นเพราะใกล้พิมพ์ออกจำหน่ายแล้วค่ะ
ปล. แอบมากระซิบบอกว่าตอนสุดท้ายของเรื่องคู่จิ้นสุดที่รัก แตมแก้ชื่อเรื่อง รักด่วนเดลิเวอร์รี เป็น สาวใช้เดลิเวอร์รี เนื่องจากกำลังจะเขียนเรื่องนี้ค่ะ แก้ในต้นฉบับแล้ว แต่ลืมมาแก้ตอนที่ลงในเวบ เรื่องนี้จะลงให้จนจบตามเดิมนะคะ แต่กว่าจะได้เริ่มเขียนคงประมาณเดือนสิงหาคมค่ะ เพราะติดงานเรื่องประทีปรักแห่งใจอยู่ ^__^

แตมขอฝากนิยายเรื่องประทีปรักแห่งใจ และ ทัณฑ์จันทรากับชาวเวบเลิฟด้วยนะคะ ตอนนี้เหนื่อยมาก เพราะทำงานหนักมากจริงๆค่ะ แต่สู้ๆเพื่อผู้อ่านทุกท่าน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ภาคการศึกษาปีสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาต่างเตรียมตัวเพื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงานหรือไม่ก็วางแผนศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยหลายจึงแห่งจัดแนะแนวการศึกษาศึกษาและจัดกิจกรรมเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆได้สัมภาษณ์บัณฑิตไฟแรงที่มีแววดีให้มาร่วมงาน

ทว่ามีเพียงนักศึกษาไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่อนาทรร้อนใจกับการขวนขวายหางานทำหรือศึกษาต่อ เพราะเป้าหมายชีวิตของพวกเธอแตกต่างจากบัณฑิตอีกหลายแสนคน แกงค์สวยรวยกลวงก็จัดอยู่ในกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ สมาชิกในกลุ่มนี้ประกอบด้วยเมลดา ศรานุสรณ์ หรือ มินนี่ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนโรงงานผลิตเครื่องหนังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภัทรียา ลูกสาวคนสุดท้องของโรงงานผลิตน้ำตาลเจ้ายักษ์ของไทย และ นิศามน ลูกสาวคนกลางของธุรกิจสายการบินไทยฟลาย

‘สวยรวยกลวง’ ไม่ได้เป็นชื่อแกงค์ที่สามสาวไฮโซตั้งขึ้น แต่เป็นชื่อที่เพื่อนร่วมรุ่นในคณะนิเทศศาสตร์ตั้งให้ด้วยความหมั่นไส้ หากสามสาวก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะชื่อแกงค์ที่ตั้งไว้คือ ‘สวยรวยเริด’ ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของพวกเธอทั้งสามคนที่สุด

เมลดาและเพื่อนร่วมแกงค์สวยรวยเริดต่างถูกปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เด็กว่า ผู้หญิงที่มีชีวิตพร้อมพรั่งอย่างพวกเธอ ไม่มีความจำเป็นต้องขวนขวายดิ้นรนทำงานให้ลำบาก สู้รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อแต่งงานกับผู้ชายสักคนที่ดีพร้อมดีกว่า ดังนั้นหากมีใครถามเมลดาว่าฝันอยากทำงานอะไร หล่อนจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะไม่เคยมีความฝัน ไม่เคยนึกสนใจด้วยซ้ำว่าจะต้องเหนื่อยดิ้นรนเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง

แม้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะมองว่าการงอมืองอเท้าไม่คิดอะไรและอยู่โดยปราศจากความฝันคือชีวิตที่ไร้ค่า แต่เมลดาก็ไม่สนใจความคิดของใคร เพราะอย่างน้อยหล่อนได้เห็นชีวิตของมารดาเป็นตัวอย่างแล้วว่าการได้แต่งงานกับประยุทธ บิดาของหล่อนซึ่งเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปทุกด้านเป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุด คงไม่ผิดที่หล่อนอยากชีวิตที่มีความสุขสบายเช่นเดียวกับมารดา แม้แต่ภัทรียาและนิศามนเองก็ถูกปลูกฝังเลี้ยงดูมาด้วยความคิดแบบเดียวกัน

แน่นอนว่าความฝันของแกงค์สวยรวยเริดจะสมหวังก็ต่อเมื่อได้พบกับชายหนุ่มผู้แสนสมบูรณ์คนนั้น และช่างโชคดีที่สามสาวก็พบหนุ่มในฝันกันแล้ว คนรักของเมลดาเป็นหนุ่มสังคมเนื้อหอมที่สุดในแวดวงสังคมขณะนี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อทุกคนก็ต้องร้องอ้อทันที เพราะชายหนุ่มคนนั้นคือ เป็นหนึ่ง เอกนุกูลกิจ ลูกชายเจ้าของธุรกิจเครื่องหนังเจ้าใหญ่แบรนด์ พรีเมียมเลธเธอ (premium leather) ซึ่งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่พอๆกับธุรกิจเครื่องหนังแบรนด์ พีแอนด์เอ็ม (P&M)ของครอบครัวเมลดา การดองกันของสองตระกูลธุรกิจเครื่องหนังไม่เพียงแต่เป็นการลดคู่แข่ง แต่ยังส่งเสริมให้สองตระกูลผนึกกำลังและผูกขาดธุรกิจเครื่องหนังที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย

ภัทรียาและนิศามนเองก็มีคนรักเป็นชายหนุ่มในแวดวงสังคมเช่นเดียวกัน กำหนดการลั่นระฆังวิวาห์ของทั้งสามสาวจะถูกจัดขึ้นหลังจากสำเร็จการศึกษา ดังนั้นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าสามสาวเวลานี้คือกองนิตยสารแฟชั่นชุดแต่งงาน และหน้าจอไอแพดที่มีรูปภาพธีมงานแต่งงานสวยหรู

“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าฉันจะไปลองชุดแต่งงานของวีร่า แวง (Vera Wang) ที่ฮ่องกง ส่วนรองเท้าจิมมี ชู (Jimmy Choo) ซื้อมาจากสิงค์โปร์ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว และพวกเธอล่ะ ได้ชุดแต่งงานกันหรือยัง” ภัทรียาถามเมลดาและนิศามนที่พลิกดูหน้านิตยสารแต่งงานของต่างประเทศ

“ฉันไม่เอาชุดของวีร่า แวงหรอก เดี๋ยวซ้ำกับเธอ ของฉันต้องเอลี ซาบ (Elie Saab) เท่านั้นจะได้ดูเก๋ๆ เหมือนดาราฮอลลิวูด เรื่องรองเท้าก็เหมือนกัน ฉันไม่สวมจิมมี ชูอย่างแน่นอน ตอนนี้ฉันฝากคนซื้อรองเท้าของคริสเตียน ลูบูแตง (Christain Louboutin) รุ่นลิมิเต็ดเอ็ดดิชันมาให้แล้ว” นิศามนข่มอยู่ในที มีเพียงแต่เมลดาที่ยังนั่งนิ่งไม่เอ่ยอะไร นอกจากพลิกดูนิตยสารไปเรื่อยๆ ทำให้ภัทรียาต้องถามซ้ำ

“แล้วมินนี่ล่ะ ตกลงตัดชุดที่ไหน ว่าที่เจ้าบ่าวก็ฮอตซะขนาดนี้ จะปล่อยให้เจ้าบ่าวแย่งซีนไม่ได้รู้ไหม และอีกอย่างยายแพรวก็คงจะคอยจับตาดูอยู่ว่างานของเธอจะเลิศหรูอลังการขนาดไหน ดีไม่ดีคงแอบซุ่มตัดชุดราตรีหรูๆไว้เตรียมหักหน้าเธอแล้วล่ะ เพราะจนป่านนี้ก็ยังแค้นไม่หายที่พี่หนึ่งขอเลิกมาคบกับเธอแทน”

เมลดาถอนใจเมื่อเพื่อนสาวเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะหล่อนไม่เคยคิดแย่งคนรักของใคร โดยเฉพาะแพรวดาวที่เป็นเพื่อนร่วมคณะ จริงอยู่ว่าเมลดารู้ว่าแพรวดาวเคยคบหาดูใจกับเป็นหนึ่ง แต่ตอนที่เป็นหนึ่งมาขอคบกับหล่อน แพรวดาวกับเป็นหนึ่งก็เลิกรากันได้พักหนึ่งแล้ว เมลดาไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งเลิกกับแพรวดาวเพราะเหตุผลใด แต่ที่แน่ๆดูเหมือนแพรวดาวจะยังรักเป็นหนึ่งอยู่ มิฉะนั้นคงไม่ตามหึงหวงและแค้นเคืองหล่อนจนทุกวันนี้

“ช่างเขาเถอะ แพรวจะคิดยังไงก็ช่าง หรือจะแต่งตัวข่มเราก็ตามใจ ถ้าเขาคิดจะหักหน้าเราจริง คนอื่นก็ต้องดูออกว่าแพรวดาวจงใจทำแบบนั้น ส่วนเรื่องชุดแต่งงานเราให้ดีไซน์เนอร์ไทยตัดชุดให้ ถ้าสั่งตัดที่ต่างประเทศคงจะไม่ทันแล้ว เพราะงานแต่งเลื่อนเป็นเดือนหน้า รองเท้าก็มีอยู่หลายคู่ไม่ต้องซื้อใหม่ พอใส่ชุดแต่งงานคลุมก็มองไม่เห็นรองเท้าหรอก”

เมลดาตอบน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ใช่หล่อนไม่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นเดือนหน้า หล่อนเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่นึกฝันถึงงานแต่งงานสวยหรูเหมือนตอนจบของเทพนิยาย มีเค้กแต่งงานก้อนโตตั้งอยู่ บริเวณงานประดับประดาด้วยดอกไม้อย่างโก้หรูประหนึ่งจำลองสวนดอกไม้ขนาดย่อมไว้ในงาน

เพียงแต่ในความยินดีนั้นก็มีความรู้สึกสับสนไม่แน่ใจระคนอยู่ด้วย เพราะเมลดาไม่มั่นว่าจริงๆแล้วหล่อนอยากแต่งงานกับเป็นหนึ่งจริงๆหรือเปล่า หรือว่าจำเป็นต้องแต่งเพราะมันเป็นขั้นตอนหนึ่งของชีวิต จะว่าไปแล้ว หล่อนกับเป็นหนึ่งเองก็ไม่สนิทสนมหรือรู้จักกันดีพอขนาดจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ เมื่อปรึกษาเรื่องนี้กับมัลลิกา มารดาก็บอกหล่อนว่าเวลาในการเรียนรู้ดูใจไม่ใช่เรื่องสำคัญ พอแต่งงานกันก็จะได้เรียนรู้กันไปเอง เมลดาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

ในขณะที่แกงค์เจ้าหญิงกำลังคุยโวโอ้อวดเรื่องงานแต่งงาน นักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินผ่าน และเปรยคำเย้ยหยันมากับสายลม

“เรียนยังไม่จบก็คิดเรื่องแต่งงานกันซะแล้ว เป็นคนรวยนี่โชคดีนะ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายเลี้ยงดูตัวเอง”

“ไม่จริงหรอกเธอ มีแต่พวกสมองกลวงเท่านั้นแหละที่คิดงอมืองอเท้า เราจะหวังให้คนอื่นเลี้ยงดูได้ยังไงกัน สมัยนี้ผู้ชายผู้หญิงทัดเทียมกันแล้ว เกิดถูกทิ้งก็อดตายกันพอดี ชีวิตคนเราไม่แน่นอนหรอกนะ วันนี้อาจรวยล้นฟ้า แต่วันถัดมาอาจกลายเป็นยาจกก็ได้ การที่เราคิดหางานทำหลังเรียนจบแบบนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”

แม้ผู้พูดจะไม่ได้เจาะจงว่าเอ่ยถึงใคร แต่ก็รู้ว่าจงใจกระทบกระเทียบกลุ่มเจ้าหญิง ทำให้เมลดาอดรนทนไม่ได้ ถึงกับลุกขึ้นมาเอาเรื่องกับนักศึกษากลุ่มนี้

“พูดแบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า พวกฉันเกิดมารวยและไม่คิดหางานทำผิดตรงไหน พวกเธออยากทำงานก็ทำไปสิ อย่ามาพูดจาดูถูกคนอื่น การแต่งงานดูแลครอบครัวก็ถือว่าเป็นงานสำคัญ ไม่เคยได้ยินหรือไงความสำเร็จของสามีมักมีภรรยาคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง พวกเธอคงอิจฉาพวกฉันสินะที่ทั้งรวย สวย และกำลังจะได้แต่งงาน”

คำพูดตอบโต้ของเมลดาทำให้อีกฝ่ายอ้าปากค้าง เพราะร้อยวันพันปี เมลดาไม่เคยลุกขึ้นมาตอบโต้ใคร ต่อให้เพื่อนคนไหนว่าหล่อนสมองกลวงก็นิ่งเฉยเสมอ เนื่องจากถือคติว่าไม่ควรร้ายตอบกับคนที่คิดไม่ดี แต่ไหนๆก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว วันนี้ก็ขอลองบู๊ดูสักตั้ง โดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่อต้องใจคนนี้ที่แสดงท่าราวกับชังน้ำหน้าหล่อนมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งที่หล่อนไม่เคยมีเรื่องมีราวให้ผิดใจด้วยเลยสักครั้ง

“นี่เธอคงจะร้อนตัวสินะ ถึงได้ลุกขึ้นมาพูดจาฉอดๆใส่พวกฉันแบบนี้ ถ้าเธอมั่นใจว่าชีวิตของเธอน่าอิจฉาแล้ว พวกฉันก็ดีใจด้วยและขอให้มีความสุขกับชีวิตแต่งงานมีคนคอยเลี้ยงดูให้กินอยู่สุขสบายแบบนี้ต่อไปนะ แต่ยังไงหลังแต่งงานก็ฝึกใช้สมองบ้างก็ดีนะ สมองจะได้ไม่เสื่อมก่อนวัยอันควร”

พูดจบต้องใจก็ลอยหน้า เดินจากไปพร้อมกลุ่มเพื่อน ทำให้เมลดาโมโหที่ถูกด่าทิ้งท้าย จะให้เดินตามไปเถียงต่อก็คงเป็นเรื่องราวใหญ่โต
“มินนี่ เธอจะไปเถียงกับพวกบ้านนอกนี้ทำไม ต้องใจคงอิจฉาพวกเราที่มีสุขสบายกว่า ที่สำคัญตัวก็ยังดำเป็นเหนียง เชยแบบนี้คงหาแฟนลำบาก อย่าใส่ใจเป็นอารมณ์เลย ตอนนี้สนใจเรื่องงานแต่งงานของพวกเรากันเถอะว่าทำยังไงถึงจะเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ อย่าลืมนะว่างานนี้นิตยสารหลายเล่มจะต้องลงเรื่องงานแต่งงานของเรา” ภัทรียาปลอบไม่ให้เมลดาใส่ใจกับคำพูด

ก็คงจริงที่ต้องใจและเพื่อนในกลุ่มอิจฉาชีวิตที่สะดวกสบายของหล่อน ทำให้เมลดาไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก มัลลิกาเตือนหล่อนเสมอว่าไม่ให้คิดมาก เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แก่เร็ว ดังนั้นเมลดาจึงกลับมาสนใจกับเรื่องงานแต่งงานอลังการร้อยแปดกับเพื่อนสาวดังเดิม

เมื่อนั่งคุยกันได้พักหนึ่ง ภัทรียาและนิศามนก็ขอตัวกลับเพราะมีนัดไปทำสปาขัดผิว ส่วนเมลดามีนัดกับเป็นหนึ่งเพื่อไปลองแหวนหมั้นด้วยกัน จึงนั่งรอคนรักอยู่ที่โต๊ะม้าหินหน้าคณะฯ

ทว่าในขณะที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารแต่งงานอยู่เพลินๆ ก็มีแขกที่ไม่รับเชิญอย่างแพรวดาวมานั่งร่วมโต๊ะ

“เป็นไงบ้างล่ะ มินนี่ งานแต่งเรียบร้อยแล้วหรือยัง ได้ข่าวว่าเลื่อนงานแต่งเป็นเดือนหน้า กลัวจะไม่ได้แต่งหรือว่าเกิดท้องขึ้นมา” ทันทีที่พบหน้าแพรวดาวก็เป็นฝ่ายจู่โจมหล่อนทันที ทำให้เมลดาต้องอดทนอดกลั้นอย่างมาก ก่อนจะตอบ

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เธอยังตัดใจจากพี่หนึ่งไม่ได้อีกเหรอ แล้วฉันก็ขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันไม่ได้แย่งพี่หนึ่งจากเธอ”

“หน้าด้าน กล้าพูดได้ยังไงว่าไม่ได้แย่ง ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวของเธอทำธุรกิจโรงงานหนังและเป็นคู่แข่งกับครอบครัวของพี่หนึ่ง เขาก็คงไม่เลิกกับฉันมาคบกับเธอหรอก ยายโง่ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าเขาไม่ได้รักเธอเลยสักนิด ที่เขามาคบกับเธอ ก็เพราะเรื่องธุรกิจล้วนๆ ลองคิดดูสิว่าถ้าเขาแต่งงานกับเธอ ครอบครัวของเขาจะได้ประโยชน์จากการแต่งงานครั้งนี้มากขนาดไหน”

คำพูดของแพรวดาวบาดใจเมลดา ถึงหล่อนจะเคยนึกถึงข้อนี้ แต่ก็เชื่อว่าตัวหล่อนไม่ได้ไร้เสน่ห์ถึงขนาดเป็นหนึ่งจะไม่รักหล่อน เพราะครอบครัวของแพรวดาวเองก็จัดว่าร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมเหมือนกัน เพราะทำผลไม้กระป๋องส่งออกนอก การที่เป็นหนึ่งแต่งงานกับแพรวดาวก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจได้เช่นกัน

“อย่ามาพูดให้ฉันกับพี่หนึ่งต้องผิดใจกันเลย ฉันมั่นใจว่ายังไงพี่หนึ่งก็รักฉัน ต่อให้ครอบครัวของฉันไม่ได้ทำธุรกิจโรงงานผลิตเครื่องหนังก็ตาม...เธออยากได้ยินกับหูตัวเองไหมล่ะว่าพี่หนึ่งรักฉันจริงไหมล่ะ เพราะเขากำลังเดินมาแล้ว” เมลดาเอ่ยพลางมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ตาคม จมูกโด่ง ผิวขาวละเอียดชนิดที่ผู้หญิงยังอิจฉา แต่งกายเนี๊ยบกริบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าที่ก้าวลงมาจากรถสปอร์ตหรูที่มีเพียงไม่กี่คันในประเทศ

“ไม่จำเป็น เพราะถึงพี่หนึ่งจะพูดว่ารักเธอต่อหน้าฉัน ยังไงก็เป็นการเสแสร้งเล่นละครอยู่ดี จำเอาไว้ก็แล้วกันว่าคนที่พี่หนึ่งรักคือฉันเท่านั้น อีกไม่นานเธอจะได้รู้ซึ้งแก่ใจเอง”

แพรวดาวเอ่ยทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป ปล่อยให้เมลดานิ่งอึ้งและสับสนกับคำพูดของหญิงสาว ดังนั้นเมื่อเป็นหนึ่งเดินมาและเห็นสีหน้าไม่สบายของเมลดา จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“มินนี่ไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดจัง ไปลองแหวนไหวหรือเปล่า ให้พี่พาไปหาหมอก่อนไหม” น้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงของเป็นหนึ่งที่มีต่อเมลดา ทำให้รู้สึกว่าความสบสันไม่แน่ใจเมื่อครู่มลายสิ้น ถ้าเขาไม่รักหล่อนก็คงไม่ไต่ถามด้วยความเป็นห่วงขนาดนี้ คำพูดของแพรวดาวไม่ใช่ความจริง

“เปล่าค่ะ มินนี่แค่รู้สึกเพลียเพราะอากาศตรงนี้มันร้อน เดี๋ยวพอเข้าไปนั่งในรถ ได้แอร์เย็นๆ ก็คงรู้สึกดีขึ้น” เมลดายิ้มให้คนรักเพื่อให้คลายกังวล

“เมื่อกี้นี้เหมือนพี่เห็นแพรวคุยกับมินนี่ แพรวพูดอะไรให้มินนี่ไม่สบายหรือเปล่า” จู่ๆเป็นหนึ่งก็เอ่ยถึงแพรวดาวขึ้นมา แสดงว่าเขาคงจะสังเกตเห็นแพรวดาวจากระยะไกล ทำให้เมลดารู้สึกระแวงขึ้นมา

“ทำไมแพรวจะต้องพูดอะไรให้มินนี่ไม่สบายใจด้วยคะ หรือว่าพี่หนึ่งยังรักแพรวอยู่และยังตัดกันไม่ขาด” คำถามของเมลดาทำให้เป็นหนึ่งตกใจ รีบแก้ตัวเสียงแข็ง

“พี่กับแพรวเลิกกันนานแล้ว และพี่ก็คบกับมินนี่เพียงคนเดียว ที่สำคัญเรากำลังจะแต่งงานนะครับ มินนี่ไม่ควรหึงหรือเข้าใจพี่ผิดๆแบบนี้” คำตำหนิของคนรักทำให้เมลดานึกเสียใจที่เอ่ยคำพูดเมื่อครู่ออกไป

“มินนี่ขอโทษพี่หนึ่งนะคะ ต่อไปจะไม่ระแวงพี่หนึ่งอีกแล้ว คงเป็นเพราะใกล้แต่งงานก็เลยเครียด”

“อย่าเครียดเลยครับ งานแต่งงานของเราจะต้องผ่านไปด้วยดี มินนี่ทำใจให้แจ่มใสดีกว่า เดี๋ยวไปลองแหวนหมั้นสวยๆก็คงอารมณ์ดีขึ้นเอง พี่สั่งให้ร้านเพชรคัดเพชรห้ากระรัตน้ำระดับเกรดดี ให้เลยนะครับ” พอได้ยินคำว่าเพชรห้ากระรัตเกรดดีเท่านั้น อารมณ์ของเมลดาก็แจ่มใสขึ้นทันตา เครื่องประดับและของหรูหราทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีได้เสมอ

“งั้นหลังจากลองแหวนแต่งงานแล้ว เราไปหาอะไรอร่อยๆกันไหมคะ ไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าโปรดของพี่หนึ่งก็ได้ เดี๋ยวมินนี่เลี้ยงเอง”

ในเมื่อคนรักเอาอกเอาใจหล่อน เมลดาก็อยากทำตัวน่ารักกับเขาบ้าง เพราะหลังจากแต่งงานอนาคตของหล่อนก็ต้องฝากไว้กับผู้ชายคนนี้ และจะไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงหน้าไหนรวมทั้งแพรวดาวมาเป็นมือที่สามทำลายชีวิตสมรสของหล่อน

“มินนี่นี่น่ารักที่สุดเลย แต่ไม่ต้องเลี้ยงพี่หรอกครับ เพราะไม่ว่าวันนี้หรือว่าในอนาคต พี่จะเป็นคนดูแลมินนี่ให้มีความสุขตลอดไป” เมลดายิ้มกว้างให้คนรักด้วยใจที่เป็นสุขยิ่งนัก และถือว่านี่คือคำสัญญาของเขาที่มีต่อหล่อน ดังนั้นต่อให้มีกี่ร้อยแพรวดาวมาพูดตะโกนใส่หูว่าเป็นหนึ่งไม่ได้รักหล่อนและแต่งงานด้วยผลประโยชน์ หล่อนก็จะไม่มีวันเชื่อและหวั่นไหวเพราะคำพูดเหล่านี้อีกเลย

++++++++++++++++++++++++++++++++

ร้านเพชร ซีเครทไดมอนต์ (Secret Diamond) ที่เป็นหนึ่งพาเมลดาไปลองแหวนหมั้นตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางกรุงเทพฯ เจ้าของร้านคือ เพชรประดับ สาวสังคมคนหนึ่งที่มักเป็นข่าวคอลัมน์ซุบซิบในนิตยสารและหน้าหนังสือพิมพ์เสมอ เพราะเพชรประดับมักจะปรากฏกายด้วยเครื่องประดับพราวทั้งตัวประหนึ่งตู้เพชรเคลื่อนที่สมชื่อ

ครั้นเพชรประดับเห็นเป็นหนึ่งกับเมลดาเดินเข้ามา ก็รีบเดินมาทักทาย เครื่องเพชรวูบวาบที่ประดับตามตัวของเจ้าของร้านทำให้เมลดารู้สึกตาลายแต่ก็ไม่เท่ากับน้ำหอมที่ฟุ้งออกมาทำให้เวียนศีรษะ

“เชิญค่ะ อยากดื่มชาหรือกาแฟดีค่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เด็กที่ร้านจัดให้”

“งั้นขอเป็นชาสองที่แล้วกันนะครับ” เป็นหนึ่งตอบแทนหล่อน เพราะทราบดีว่าหล่อนไม่ชอบดื่มกาแฟ

เมื่อจิบเครื่องดื่มและพูดจาทักทายกันครู่หนึ่งพอเป็นมารยาท เพชรประดับก็หยิบกล่องแหวนเพชรมาเปิดให้เมลดาดู ประกายของเพชรเจิดจ้าและขนาดของมันก็ทำให้เมลดามองตาค้าง ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เคยเห็นเพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นเพชรเม็ดไหนจะงามเท่ากับเพชรเม็ดนี้ที่ประดับบนตัวเรือนทองคำขาวเลยต่างหาก

ยิ่งเมลดาได้รู้ว่ากำลังจะเป็นเจ้าของเพชรเม็ดนี้ก็ทำให้ใจพองฟูด้วยความยินดีอย่างเหลือล้น นี่เพียงแค่แหวนเพชรที่เป็นเครื่องหมายแทนใจ ยังรู้สึกว่าชีวิตสว่างไสวเปล่งประกายขนาดนี้ ไม่ต้องนับถึงข้าวของ บ้าน รถยนต์คันใหม่และเงินสดอีกหลายล้านบาทที่จะได้เป็นของขวัญวันแต่งงาน ทำให้เมลดารู้สึกเป็นสุขเกินกว่าจะบรรยาย

“น่าอิจฉาคุณมินนี่จังเลยนะคะที่ได้เป็นเจ้าของแหวนหมั้นวงนี้ พี่คัดพิเศษมาเป็นอย่างดี เฉพาะตัวเพชรก็ราคาล้านห้าแล้ว ลองสวมดูสิคะ พอใส่แล้ว มือจะขาวผ่องขึ้นมาทันที” เพชรประดับคะยั้นคะยอให้เมลดาลอง

“พี่สวมแหวนให้มินนี่นะ” เป็นหนึ่งเอ่ยพลางหยิบแหวนเพชรวงงามมาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเมลดา สายตาของเป็นหนึ่งที่ทอดมองหล่อนขณะสวมแหวนให้หล่อนหวานซึ้งจนเมลดารู้สึกเคลิบเคลิ้มและเป็นสุข ทว่าเมื่อสวมแหวนเข้าไปจนสุดปลายนิ้ว ตัวเรือนกลับหลวมจนหัวแหวนหมุนมาด้านข้าง

“ขนาดแหวนนี่มันไม่ใช่ของมินนี่นี่ค่ะ คุณเพชรสั่งทำขนาดผิดหรือเปล่า” เมลดาถามเจ้าของร้านด้วยความรู้สึกขัดเคือง เพราะเรื่องแบบนี้ไม่น่าผิดพลาดได้เลย เพชรประดับทำหน้าอึกอัก ก่อนจะแก้ตัว

“คือพี่ก็สั่งทำแหวนหมั้นตามขนาดที่คุณหนึ่งบอกมานะคะ เดี๋ยวพี่ขอหยิบใบออเดอร์มาดูก่อน นี่ไงคะ ไซส์นิ้วของน้องมินนี่ เบอร์ 52 อุ้ย เดี๋ยวก่อนนะคะ นี่มันไม่ใช่ไซส์นิ้วของน้องมินนี่นี่นา แต่มันเป็นของน้องแพรว” เพชรประดับหยุดพูดทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอหลุดปากสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมา ทำให้ทั้งเป็นหนึ่งและเมลดาหน้าเสีย โดยเฉพาะเมลดาที่โกรธจนพูดไม่ออก

แสดงว่าจริงๆแล้วเป็นหนึ่งตั้งใจจะทำแหวนหมั้นวงนี้ให้แพรวดาว แต่พอเลิกรากัน แหวนวงนี้จึงตกเป็นของหล่อนแทน ถึงแม้เป็นหนึ่งจะเลิกรากับแพรวดาวแล้วก็เถอะ แต่เอมิกาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าหล่อนได้แหวนแทนใจที่เป็นของมือสองต่อจากแพรวดาว ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้ของตกทอดจากผู้หญิงในอดีตของคนรักโดยเฉพาะแหวนหมั้น

เมลดาเสียใจและอับอายจนทนสู้หน้าเพชรประดับไม่ได้จึงเอ่ยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่เป็นหนึ่งก็เดินตามมาเพื่อง้องอน

“ฟังพี่หน่อยนะ มินนี่ คือว่าแหวนวงนี้พี่ตั้งใจทำให้มินนี่จริงๆ แต่ว่าที่พี่เพชรคงจำสับสน เพราะก่อนที่พี่จะเลิกกับแพรว พี่เคยพาแพรวมาทำแหวนที่นี่ พี่สาบานได้ว่าพี่ไม่ได้บอกไซส์แหวนกับพี่เพชรผิด”

เป็นหนึ่งแก้ตัวด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก แต่สีหน้าฟ้องว่ากำลังโกหกหล่อนอยู่

“ร้านเพชรระดับนี้คงไม่ทำไซส์แหวนผิดง่ายๆหรอกค่ะ ยิ่งเป็นแหวนหมั้นด้วยแล้ว พี่หนึ่งอย่าโกหกหรือโยนความผิดให้พี่เพชรเลยค่ะ ยอมรับมาตรงๆเลยดีกว่าว่าพี่หนึ่งให้เบอร์แหวนของแพรวกับพี่ฟ้าไปจริงๆ สรุปแล้วแหวนวงนี้ไม่ใช่แหวนของมินนี่แต่ต้นสินะคะ”
“คือว่าพี่แค่จำผิดเท่านั้น มินนี่อย่าถือเป็นอารมณ์เลยนะ แค่แก้ขนาดตัวเรือนให้เล็กลงก็ใส่ได้แล้ว แหวนหมั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญเท่าความรู้สึกที่พี่มีต่อมินนี่หรอก”

คำพูดของเป็นหนึ่งทำให้เมลดารู้สึกแปลบในอก เขาพูดได้อย่างไรว่าแหวนหมั้นเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ เพราะสำหรับหล่อนมันมีค่ามากกว่านั้น หล่อนจะเอาแหวนที่เป็นเครื่องหมายแทนใจของเขาที่มีต่อแพรวดาวมาประดับบนนิ้วของหล่อนได้อย่างไร ต่อให้แหวนวงนี้เป็นเพชรเม็ดใหญ่น้ำงามที่สุดเท่าที่หล่อนเคยเห็นและอยากได้มากก็ตามที

“แต่มินนี่คิดว่ามันสำคัญค่ะ ต่อให้แหวนหมั้นของมินนี่จะมีกระรัตต่ำกว่านี้ หรือเกรดเพชรไม่สูงถึงระดับดี แต่ถ้าเป็นแหวนที่พี่หนึ่งตั้งใจทำเพื่อมินนี่เพียงคนเดียว มินนี่ถึงจะยอมรับแหวนหมั้นวงนี้ไว้ และถ้าพี่หนึ่งไม่ซื้อเพชรเม็ดใหม่และทำตัวเรือนใหม่ให้มินนี่ เราก็อย่าแต่งงานกันเลยค่ะ เพราะมินนี่ไม่อยากได้ของแทนใจต่อจากใคร อย่าคิดว่าโกหกมินนี่ได้เพราะสีหน้าของพี่หนึ่งเวลามีพิรุธสังเกตเห็นได้ง่ายมาก ตอนนี้มินนี่อยากอยู่คนเดียว ไม่มีอารมณ์จะไปกินอาหารที่ไหนต่อ พี่หนึ่งไปเคลียร์เรื่องแหวนกับพี่เพชรแล้วกันนะคะ แล้วเดี๋ยวมินนี่จะให้คนขับรถมารับที่นี่เอง”

พูดจบเมลดาก็เดินลิ่วโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของเป็นหนึ่ง และเมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง ก็หันมามองว่าคนรักจะตามมาง้องอนหล่อนหรือไม่ แต่ก็เปล่า เมื่อหยิบดูมือถือก็ไม่เห็นว่าเป็นหนึ่งโทร.มาง้อ ทำให้เมลดาเริ่มจะรู้สึกแล้วว่าบางทีเป็นหนึ่งอาจไม่ได้รักหล่อนจริงอย่างที่แพรวดาวพูด น่าแปลกที่หล่อนไม่ยักเจ็บปวดและเสียใจเท่าที่คิดหรือปล่อยโฮออกมา ทำให้เกิดความสงสัยในใจว่าบางทีหล่อนอาจไม่ได้รักเป็นหนึ่งอย่างที่ตัวเองคิด



นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2557, 09:53:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2557, 16:03:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1380





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account