เสน่หาทาสซาตาน
เขา... เกลียดผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกเพื่อหวังรวยทางรัด!
เธอ... เกลียดผู้ชายหลงตัวเองที่ปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด!

ธีรพัฒน์ รัตนศิลานนท์ เจ้านายหนุ่มที่หล่อขั้นเทพ ปากจัด จิตใจโหดร้าย (เฉพาะกับบางคน) เอาแต่ใจเป็นที่สุด ตามประสาของลูกชายคนเดียว อยากได้อะไรแล้วต้องได้ และสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ ผู้หญิงที่คิดจะจับเขาเพื่อหวังรวยทางลัด

แพรวา ปรียากรโสภณ เลขาสาวที่เธอทั้งสวยหวาน และน่ารักแสนดี เพียบพร้อมไปด้วยกุลสตรีทุกประการ และสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือ ผู้ชายหลงตัวเองที่ดูถูกและปรักปรำว่าเธอจ้องจะจับเขา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิด

Tags: เสน่หาทาสซาตาน, เสน่หา, ทาสซาตาน, นิยายรัก, โรแมนติค, อิโรติก, 18+, NC

ตอน: ตอนที่ 3 วันแรกของการเผชิญหน้า

3
วันแรกของการเผชิญหน้า

เช้ารุ่งขึ้นกับวันทำงานที่วุ่นวายของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ซึ่งแพรวาก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากเธอลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการสลึมสลือ ร่างเล็กพลิกตัวหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งบ่งบอกเวลา 7.30 น. ทำให้ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความเร่งรีบเข้ามาแทน

หญิงสาวรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่คิดว่าจะทำได้ภายในเวลาแค่สิบนาที แล้ววิ่งกระหืดกระหอบออกจากห้อง ‘ตายแน่ๆ ยัยแพร วันนี้ท่านประธานจะเข้ามาพร้อมกับคุณธีร์พัฒน์เจ้านายคนใหม่ของเธอด้วย’ แพรวาต่อว่าตัวเองในใจ ขณะที่ขาเล็กๆ ก็รีบก้าวเหมือนกับวิ่งเพื่อไปถึงบริษัทให้เร็วที่สุด

ธีรพัฒน์แต่งตัวดูภูมิฐาน สง่างามสมกับตำแหน่งที่เขาจะได้รับ แม้วันนี้จะเป็นการมาที่ไม่เป็นทางการนักก็ตาม
ชายหนุ่มเดินทางมาพร้อมกับมารดาและเพื่อนสนิทของเขา เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องทำงานซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหารระดับสูงทั้งชั้น สายตาคมเข้มกำลังกวาดมองหาร่างเล็กของหญิงสาวที่จะมาเป็นเลขาของเขาอย่างนึกจับผิด

ตอนนี้โต๊ะของเธอยังคงว่างเปล่า นั่นแสดงว่าเธอยังไม่มา ความรู้สึกผิดหวังเริ่มปรากฏขึ้นในใจทันที เพราะดูเหมือนว่าหญิงสาวจะมาทำงานสายจนเป็นความเคยชินหรือเปล่า เขายกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกาขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะของเธอเข้ามาภายในห้อง ซึ่งนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแข็งแกร่งบ่งบอกว่าเลยเวลาเริ่มงานมาสิบนาทีแล้ว ‘เมื่อคืนคงหนักสิท่า ถึงได้ลุกมาทำงานไม่ไหว’ ธีรพัฒน์คิดในใจอย่างหัวเสีย เขาเกลียดคนที่ไม่ตรงต่อเวลา ไม่มีระเบียบวินัย และไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองเป็นที่สุด

“มีอะไรหรือเปล่าธีร์ แม่เห็นลูกมองนาฬิกาอยู่นานแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกชายมีท่าทางแปลกๆ

“ผมกำลังรอดูว่าเลขาคนดีของคุณแม่จะมาทำงานกี่โมง เพราะนี่ก็เลยเวลางานมาสิบนาทีแล้ว” เมื่อได้ฟังคำตอบจากลูกชาย คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็หันไปยิ้มให้กับทินกรที่ยืนอยู่ข้างหลัง เหมือนเป็นการถามว่าได้ติดต่อเลขาของนางบ้างหรือเปล่า

“เมื่อสักครู่ผมโทรไปเห็นว่าออกมาแล้วครับคุณป้า คงใกล้ถึงแล้ว” ทินกรตอบผู้ที่เป็นทั้งป้าแท้ๆ และเจ้านายที่เคารพ

“ดูเหมือนนายจะสนิทกับเธอจังนะ” ธีรพัฒน์เริ่มรู้สึกหงุดหงิด อดที่จะเหน็บแนมเพื่อนรักไม่ได้

“ก็คุณแพรเธอเป็นเลขาของแม่นายมาตั้งหลายปี เราทำงานร่วมกันมาตลอด ก็ต้องรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา” ทินกรย้อนกลับตรงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่นา ปกติเขาก็โทรหาแพรวาเป็นประจำอยู่แล้ว หากมาถึงที่ทำงานแล้วไม่เจอเธอ

“เอาเถอะ หนูแพรคงติดธุระส่วนตัวก็เลยมาสายนิดหน่อยน่ะ นี่ตากร ป้ารบกวนบอกให้ใครช่วยจัดโต๊ะทำงานมาไว้ในห้องนี้สักชุดนะ ป้าจะให้ตาธีร์นั่งทำงานในห้องนี้กับป้าไปก่อน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยตัดบทเพราะไม่อยากให้ลูกชายตัวเองจ้องจับผิดเลขาของนางกับหลานชายมากนัก

“ฮึ! ธุระส่วนตัวหรือว่ามั่วจนลุกไม่ขึ้นกันแน่” ธีรพัฒน์เปรยออกมาเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับเสมองไปทางหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่ มองเห็นวิวทิวทัศน์ทั่วกรุงเทพฯ ได้กว้างไกล

“ว่าไงนะธีร์ เมื่อกี้แม่ได้ยินไม่ถนัด” คนเป็นแม่หันมาถามบุตรชายที่บ่นอะไรงึมงำไม่ได้ยิน

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบคำถามของมารดา ประตูห้องทำงานที่ถูกเคาะเบาๆ เป็นมารยาทและถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่วิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแม่ของเขาเสียก่อน

“สวัสดีค่ะท่านประธาน ขอโทษด้วยนะคะที่แพรมาสาย พอดีเกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยน่ะค่ะ”

แพรวารีบขอโทษผู้เป็นเจ้านาย เธอเห็นท่านส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มให้อย่างเอ็นดู เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่านประธานของเธอนี่สิ มีสีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เห็นเธอเข้ามาแล้ว

“ผมคิดว่าเลขาที่ดีควรจะมาก่อนเจ้านายนะ” น้ำเสียงเข้มบอกออกไปหวังจะตำหนิให้คนมาสายได้สำนึกผิด แต่เปล่าเลยนอกจากเธอจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยังทำหน้าสดใสเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดอีกด้วยแถมยังกล้าเถียงเขาต่อหน้ามารดาอีกว่า

“ก็ดิฉันแจ้งให้ทราบแล้วยังไงคะ ว่าไม่ได้ตั้งใจมันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วที่ผ่านมาดิฉันก็มาทำงานก่อนเจ้านายเสมอ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองถามท่านประธานดูสิคะ” แพรวาท้าทายเจ้านายคนใหม่ด้วยความมั่นใจ เพราะที่ผ่านมาเธอก็ปฏิบัติตัวอยู่ในกฎระเบียบมาตลอดอยู่แล้ว

“เอาน่าธีร์ ไหนๆ หนูแพรก็มาแล้ว อย่าอะไรนักเลย อีกอย่างตั้งแต่หนูแพรทำงานกับแม่มา ก็เพิ่งสายวันนี้เป็นวันแรกด้วยซ้ำ ไม่เห็นต้องตำหนิติเตือนขนาดนั้นเลย” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ห้ามทัพไว้ได้ทัน ก่อนที่ลูกชายปากจัดจะออกฤทธิ์มากไปกว่านี้

“ก็เพราะคุณแม่ให้ท้ายซะแบบนี้ ต่อไปผมจะปกครองยังไง” ธีรพัฒน์ยังคงฮึดฮัดไม่เลิก เดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งที่โซฟารับแขกภายในห้องเพื่อรอโต๊ะทำงานชุดใหม่ที่สั่งให้จัดขึ้นมา

“หนูแพร เตรียมเอกสารสำคัญเกี่ยวกับบริษัทเอามาให้ฉันทีนะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ไม่สนใจท่าทางของลูกชาย

“ค่ะ” แพรวารับคำแล้วออกไปเตรียมเอกสารตามที่เจ้านายสั่งทันที ไม่วายจะหันไปส่งค้อนวงใหญ่ให้เจ้านายคนใหม่ที่จ้องหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ทำอย่างกับเธอทำอะไรผิดนักหนา

หลังจากเลขาคนสวยออกไปเตรียมเอกสารตามคำสั่งอยู่นั้น โต๊ะทำงานและเก้าอี้ชุดใหม่ก็ถูกลำเลียงจัดเข้ามาไว้ในห้องใหญ่อย่างเป็นระเบียบ แพรวาหายไปเพียงไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับเอกสารที่ต้องการ

“เอาวางไว้ที่โต๊ะทำงานชุดใหม่นั่นแหละจ้ะหนูแพร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวที่นำเอกสารตามต้องการเข้ามาให้ ก่อนจะหันไปบอกคนที่ยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โซฟา

“นี่คือเอกสารสำคัญของบริษัทที่ลูกต้องเรียนรู้ มันเป็นส่วนหนึ่งที่ลูกต้องทำความเข้าใจเพื่อการทำงานที่ราบรื่น ถ้าอ่านแล้วมีข้อสงสัยอะไรก็ถามตากรได้ เขาเป็นผู้จัดการที่ทำงานต่อจากแม่ กรจะบอกลูกทุกเรื่องที่ลูกอยากรู้” ประมุขใหญ่บอกลูกชายเสียงนุ่ม

ธีรพัฒน์ลุกขึ้นจากโซฟาเดินมายังโต๊ะทำงานตัวใหม่ หยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดดูคร่าวๆ แล้วก็วางกลับไปตามเดิม

“ผมรอให้เลขาของผมมาอ่านและอธิบายให้ฟังดีกว่าครับ” เขาหันมาบอกมารดา และมองเลยไปยังเลขาที่เขาพูดถึงด้วยแววตาท้าทาย

“เลขาของธีร์ ?” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ทวนคำบุตรชายอย่างนึกสงสัย

“ก็หนูแพรคนเก่งของคุณแม่ไงครับ”
ธีรพัฒน์หันไปมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน ก่อนจะออกปากขอมารดาในสิ่งที่เขาต้องการ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณแม่ต้องส่งมอบเลขาของคุณแม่ให้มาเป็นเลขาของผมอย่างเต็มตัวได้แล้วนะครับ”

น้ำเสียงนั้นหนักแน่นชัดเจน บ่งบอกว่าเขาต้องการอย่างนั้นจริงๆ คนเป็นแม่แม้จะหนักใจกับความใจร้อนของบุตรชายแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะยังไงนางก็ต้องมอบหมายทุกอย่างให้ลูกชายอยู่ดี จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็เหมือนกัน คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปบอกเลขาสาว

“งั้น หนูแพร ตั้งแต่วันนี้ไป หนูดูแลลูกชายของฉันให้เหมือนกับที่ดูแลฉันไปเลยก็แล้วกัน เพราะสัปดาห์หน้าหลังจากผ่านการประชุมแต่งตั้งแล้ว หน้าที่ประธานบริษัทจะเป็นของลูกชายฉันอย่างเต็มตัว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์อธิบายให้เลขาคนสวยของนางได้ฟัง พร้อมกับส่งมอบหน้าที่ให้กับลูกชายไปเลย

“ค่ะ ท่านประธาน” หญิงสาวรับคำ แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินออกไปจากห้อง ก็เจอเสียงของใครบางคนขัดไว้ซะก่อน

“เดี๋ยว! เอากาแฟมาให้ฉันด้วย กาแฟดำเท่านั้นนะ” เขาบอกขณะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารที่คิดว่าน่าสนใจขึ้นมาดู

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะบอกให้แม่บ้านนำกาแฟเข้ามาให้นะคะ” แพรวาตอบ แล้วกำลังจะหันหลังเดินออกไป

“เธอเป็นเลขาของฉันไม่ใช่เหรอ หรือว่าชงกาแฟแค่นี้ทำไม่ได้” ธีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวอย่างยียวน ‘ฉันจะใช้งานเธอทุกอย่างจนเธอไม่มีเวลาว่างไปอ่อยเพื่อนฉันหรือผู้ชายคนไหนได้หรอก ฉันจะฉีกหน้ากากผู้หญิงแสนดีใสซื่อของเธอออกมาเอง’ คนขี้หงุดหงิดคิดในใจอย่างหมายมั่น

“งั้น ดิฉันจะเป็นคนชงกาแฟเข้ามาให้เองค่ะ” เลขาคนสวยรับคำออกไป เพื่อตัดปัญหาคนเอาแต่ใจ

“ดี ต่อไปนี้หน้าที่ชงกาแฟมาให้ฉัน ถือเป็นหน้าที่ของเธอไปเลยก็แล้วกัน” เจ้านายคนใหม่ออกคำสั่งกับเลขาเสร็จก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองต่อไป

“ที่นี่มีแม่บ้านประจำคอยดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว ทำไมธีร์ต้องไปใช้หนูแพรเธอด้วย หนูแพรมีหน้าที่ดูแลเอกสารงานของแม่ที่ได้รับมอบหมายก็เยอะพออยู่แล้ว” คนเป็นแม่สงสัยจึงเอ่ยถาม เพราะดูเหมือนลูกชายจะใช้งานเลขาเกินหน้าที่

“เธอเป็นเลขาผม ผมจะใช้ให้เธอทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือครับ แค่เพิ่มหน้าที่ชงกาแฟ ดูแลผมนิดๆ หน่อยๆ คงไม่ถึงกับเสียงานหรอกมั้งครับคุณแม่” คนเอาแต่ใจตอบมารดากลับไปเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ดูยียวนกวนประสาทยิ่งนัก
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ส่ายหน้าอย่างระอาในตัวบุตรชาย ที่ไม่รู้จะอะไรกับเลขานักหนา แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป ก็ในเมื่อนางมอบหมายหน้าที่ไปหมดแล้วนี่ จะทำอะไรได้

ไม่นานหญิงสาวก็กลับเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟหอมกรุ่น และแม่บ้านประจำชั้นผู้บริหารก็ตามเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำชาสำหรับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว เมื่อเวลาท่านประธานมา แม่บ้านประจำจะต้องนำน้ำชาและน้ำดื่มเข้ามาเสิร์ฟ แต่ตอนนี้ท่านประธานคนใหม่กลับมอบหมายหน้าที่นี้ให้เธอไปเสียแล้ว


หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ทินกรเข้ามาชวนท่านประธานทั้งสองออกไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่ก็ไม่ลืมแวะทักทายเลขาหน้าหวาน ที่เขาแสนคิดถึงและห่วงหาอยู่ตลอดเวลาด้วย

“คุณแพร พักเที่ยงแล้ว เราไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ ผมกำลังจะมาชวนคุณป้ากับนายธีร์พอดี” หากทินกรมีเวลาเขาจะแวะมาชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันเสมอๆ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอยู่เป็นประจำ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ขอบคุณค่ะคุณกร แต่แพรทานที่โรงอาหารของบริษัทดีกว่า จะได้รีบกลับขึ้นมาทำงานด้วย” หญิงสาวขอบคุณในความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้เสมอ ต่างจากคนในห้อง ที่วันๆ เอาแต่ทำหน้ายักษ์ใส่เธอ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็พูดจาอย่างกับคนเกลียดกันมาทั้งชาติ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ

ขณะที่ทินกรกำลังพูดคุยกับหญิงสาวอยู่นั้น เป็นเวลาเดียวกันที่ธีรพัฒน์พร้อมด้วยคุณหญิงเพ็ญพักตร์ออกมาจากห้องเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ธีรพัฒน์จึงได้ยินคำเชิญชวนนั่นพอดี ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ‘ห่างกันสักวันจะตายเลยหรือไงนะ’ คนเป็นเจ้านายคิดอย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปสั่งงานเลขาสาว

“ไม่ไปก็ดีแล้ว ฉันเตรียมงานไว้ให้เธอทำอยู่บนโต๊ะในห้อง ทานข้าวเสร็จแล้วก็รีบเอาไปจัดการให้ด้วยล่ะ ช่วงบ่ายค่อยเอาเข้ามาให้ฉันตรวจดูอีกที” ธีรพัฒน์บอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“โห อะไรจะด่วนปานนั้นครับไอ้ท่านประธาน จะไม่ให้พักผ่อนกันบ้างหรือไง” ทินกรที่ยืนฟังอยู่ เอ่ยประชดประชันด้วยความหมั่นไส้

“ฉันจะสั่งงานเลขาของฉัน แล้วแกมาเกี่ยวอะไรด้วยวะไอ้กร” ธีรพัฒน์ย้อนกลับไปอย่างยียวน แล้วหันไปมองหน้าหญิงสาวด้วยสายตาจับจ้องอย่างคนรู้ทันและจับผิด

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบขึ้นมาจัดการให้ค่ะ” แพรวารับคำแล้วเลี่ยงออกไปเพื่อจัดการธุระของตัวเอง


ณ โรงอาหารของตึก T-Group พนักงานหลายร้อยคนกำลังทยอยกันลงมาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน รวมถึงแพรวาด้วย
เธอก็เป็นพนักงานคนหนึ่งที่มาฝากท้องกับที่นี่เกือบทุกวัน แม้จะไม่ค่อยมีใครอยากนั่งร่วมโต๊ะกับเธอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะถือว่า ต่างคนก็ต่างความคิดต่างจิตต่างใจกันไป ใครจะคิดยังไงเธอก็ไม่อาจห้ามได้ ขอเพียงมีงานทำ มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอนก็พอใจแล้ว

การทำงานในตำแหน่งเลขาท่านประธานของที่นี่ทำให้เธอมีเพื่อนน้อยลง เธอจะรู้จักและพูดคุยกับพนักงานแค่บางคนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเธอหยิ่ง แต่เพราะทุกคนล้วนมองว่าเธอเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยการใช้เส้นสายของแม่เพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับท่านประธาน และหลายคนก็มองว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าที่คอยจับแต่ผู้ชายรวยๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นข่าวกับเธอครึกโครมอยู่ตอนนี้ก็คือทินกร ทนายความหน้าหยก ขวัญใจสาวๆ ทั่วทั้งบริษัท และยังเป็นหลานของท่านประธานอีกด้วย จะมีก็แต่ ริสา เพื่อนร่วมงานของเธอที่ทำอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มักจะแวะเวียนมานั่งทานข้าว พูดคุยกับเธออยู่เป็นประจำ รวมถึง นิรุต เพื่อนสาวประเภทสองที่ตามริสามาด้วยอีกคน

“นี่ ยัยแพร ได้ข่าวว่าวันนี้ท่านประธานพาลูกชายสุดเลิฟสุดหล่อมาด้วยใช่ป่ะ” นิรุต หรือ นัตตี้ สาวประเภทสอง จีบปากจีบคอถามเพื่อนซี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ย่ะ! เมื่อเช้าฉันยังเห็นเขาเดินเข้าประตูมากับท่านประธานเลยนะ” เพื่อนสาวอีกคนรีบตอบหันไปพยักพเยิดให้กับคนถูกถาม แพรวาจึงพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวเป็นเชิงตอบว่าเขามาจริงๆ

“ว๊าย! ตายแล้ว นี่ฉันมัวไปอยู่ไหนเนี่ย ถึงไม่เห็น ก็นั่งอยู่หน้าประตูด้วยกันแท้ๆ ฮึ ยัยริสา ฉันพลาดตอนไหนยะ” สาวเทียมหันมากระฟัดกระเฟียดใส่คนที่นั่งร่วมโต๊ะประชาสัมพันธ์ด้วยกันอย่างนึกเสียดาย

“อ้าว ก็หล่อนมัวไปแต่งสวยอยู่ในห้องน้ำโน่นงะ จะไปทันเห็นไหมล่ะ” ริสาตอบประชดประชันด้วยความหมั่นไส้

“ว๊า! เสียดายจัง ว่าแต่... หล่อป่ะแก” นัตตี้หันมาถามต่ออีก

“หล่อมาก... สูง ขาว สมาร์ทแมน แอนด์แฮนซัม อย่างกับเทพบุตรหลุดออกมาจากในนิยายยังไงยังงั้นเลยล่ะแก” คนบรรยายทำท่าเคลิ้มฝัน จนอีกฝ่ายแทบคลั่งที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง

“นี่ จริงเหรอยัยแพร” สาวเทียมหันมาขอความเห็นจากคนใกล้ชิด

“ก็... คงงั้นมั้ง” แพรวาหันมายิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ความหล่อปานเทพบุตรนั้น เขาร้ายกาจขนาดไหน ซึ่งเธอเองก็ได้แต่หนักใจ ว่าจะทำงานกับเขารอดหรือเปล่า เฮ้อ...

“อ้าว เป็นไรยัยแพร ทำไมถอนหายใจแบบนั้นล่ะ” เพื่อนสาวแท้เอ่ยถาม เมื่อเห็นคนตรงหน้ามีท่าทางแปลกๆ

“นั่นสิ เจ้านายคนใหม่ ทั้งหล่อ แมน แฮนซัม ขนาดนี้ เธอน่าจะมีความสุขนะ” นัตตี้อดที่จะอิจฉาเพื่อนสาวไม่ได้

“หน้าตาดี แพรไม่เถียงหรอก แต่นิสัยนี่สิ... ทั้งใจร้อน ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจหน้าดูเลยหละ ตั้งแต่เช้าก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ พอเห็นหน้าแพร ก็จ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ ไม่รู้แพรไปทำอะไรให้เขาโกรธตั้งแต่เมื่อไร” แพรวาระบายความอัดอั้นในใจให้เพื่อนฟัง

“เพราะหล่อนสวยบาดใจเขาหรือเปล่า... เขาถึงอยากจะกินน่ะ” นัตตี้แซวยิ้มๆ เห็นเพื่อนสาวทำหน้าอย่างกับกินยาขมแบบนั้น ก็อดจะหยอกล้อเพื่อนสาวไม่ได้

“ก็อย่างนี้แหละน่า... พวกคุณหนูไฮโซ แถมยังเป็นลูกคนเดียวอีก คงถูกตามใจเอาอกเอาใจจนเคยชินละมั้ง” สาวแท้อีกคนออกความเห็น

“แพรรู้สึกว่าเขามีอคติอะไรบางอย่างกับแพรก็ไม่รู้สิ” แพรวาถอนหายใจบางๆ กับสิ่งที่ไม่เข้าใจ

“สรุป คือ เขาไม่ชอบหน้าแกว่างั้นเถอะ” สาวเทียมสรุปเหมารวม ส่งผลให้คนนั่งหน้าแห้ง พยักหน้าเจือนๆ ยอมรับชะตากรรม

“ไม่หรอกมั้ง วันนี้เขาอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ได้ พอเห็นหน้าแพรก็เลยขอระบายหน่อย” ริสาปลอบใจเพื่อน คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คนเพิ่งมาทำงานร่วมกันวันแรกก็อาจจะมีอะไรไม่เข้าใจกันบ้างเป็นธรรมดา

“งั้นแพรขอตัวไปทำงานก่อนนะ เขาสั่งงานทิ้งไว้ให้ บอกว่าบ่ายนี้จะเข้ามาตรวจด้วย แพรกลัวทำงานให้เขาไม่ทัน เดี๋ยวจะโดนวีนใส่อีก” แพรวาตัดบท ร่ำลาเพื่อนแล้วรีบกลับไปทำงานของตัวเองตามที่คนเอาแต่ใจสั่งไว้


หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ แพรวาก็กลับขึ้นมาทำงานที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านายคนใหม่จนเรียบร้อย แล้วนำกลับไปวางไว้ที่โต๊ะของคนสั่งตามเดิม จากนั้นก็มานั่งทำงานของตัวเองต่อไป

ไม่นานธีรพัฒน์และทินกรก็กลับเข้ามา โดยคุณหญิงเพ็ญพักตร์ไม่ได้กลับมาด้วย เนื่องจากนางมีนัดกับเพื่อนต่อ จึงให้ธีรพัฒน์กลับมากับทินกร

“นี่ครับคุณแพร ผมซื้อขนมเค้กมาฝาก” ทินกรส่งถุงขนมเค้กส้มยี่ห้อดังแสนอร่อยให้กับหญิงสาวเขารู้ว่าแพรวาชอบกินเค้กส้มร้านนี้มากก็เลยซื้อมาฝาก

“ขอบคุณค่ะ” แพรวาลุกขึ้นรับถุงขนมแล้วกล่าวขอบคุณจากใจ

“แกจะหิ้วมาทำไมให้เมื่อยวะไอ้กร เขาอยากกินเขาก็ไปซื้อเองแหละ” คนขี้หงุดหงิดส่งเสียงกระแทกกระทั้น แล้วเดินเข้าห้องทำงานไปหน้าตาเฉย

“นายธีร์คงพูดเล่นน่ะครับ คุณแพรไม่ต้องคิดมาก ผมตั้งใจซื้อมาฝากจริงๆ” ทินกรปลอบหญิงสาวที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นี่! ไอ้กร แกไม่มีงานทำหรือไง ถึงได้มายืนหน้าหม้ออยู่ตรงนี้น่ะ” คนในห้องเปิดประตูออกมาต่อว่าเพื่อนอย่างไม่พอใจ อดที่จะเหลือบมองหญิงสาวตัวต้นเหตุไม่ได้ ‘นี่ก็ยืนยิ้มให้เขาเชยชมอยู่ได้ คิดจะอู้งานล่ะสิ’

“แกจะอะไรนักหนาวะธีร์ คนเขามีมนุษย์สัมพันธ์จะยืนคุยกันบ้างไม่ได้หรือไง แกนี่วัยทองเปล่าวะ นิดๆ หน่อยๆ ก็หงุดหงิดอารมณ์เสีย” ทินกรย้อนเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำให้หญิงสาวคนเดียวตรงนี้อมยิ้มกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง ที่ทินกรต่อว่าคนขี้วีนว่าวัยทอง เธอคิดว่าอาการของเขาก็เหมือนกับคนวัยทองจริงๆ นั่นแหละ

“ยิ้มอะไรแม่คุณ งานที่สั่งน่ะเสร็จหรือยัง” คนถูกหาว่าวัยทองหันไปพาลใส่คนตัวเล็กที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ตรงหน้าอย่างนึกโมโห

“เสร็จแล้วค่ะ แพร เอ้ย ดิฉันนำไปวางไว้ที่โต๊ะให้แล้วค่ะ” แพรวาตอบตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ชินกับคำเรียกขานสรรพนามของตัวเอง

“อือ... ดี เดี๋ยวเอากาแฟเข้ามาให้ฉันด้วย และฉันมีงานให้เธอทำอีก ส่วนแก... ไอ้กร กลับไปทำงานของแกได้แล้วไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก” คนเอาแต่ใจพูดเสร็จก็หันหลังกลับเข้าห้องไปหน้าตาเฉย

“อ้าว ไอ้นี่ เดี๋ยวตอนเย็นก็ปล่อยให้เดินกลับบ้านซะหรอก” ทินกรส่งค้อนให้เพื่อนวัยทองด้วยความไม่พอใจ ปากจัดเป็นผู้หญิงไปได้ ไม่รู้จะไล่อะไรนักหนา เมื่อก่อนเขาจะมายืนคุยกับแพรวาวันละกี่รอบก็ได้ ไม่เห็นคุณป้าจะว่าอะไร นี่แค่ซื้อขนมมาให้นิดๆ หน่อยๆ ไอ้ท่านประธานคนใหม่บ้าอำนาจก็บ่นก็ไล่ ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา

“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับคุณแพร” คนถูกไล่กล่าวลาหญิงสาว แล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นสุข


ก๊อก ก๊อก ก๊อก คนหน้าห้องเคาะประตูเพื่อเป็นการขออนุญาต เมื่อได้ยินคำตอบรับจากคนข้างใน หญิงสาวจึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟ และไม่ลืมที่จะหยิบสมุดจดงานเล่มเล็กของเธอเข้ามาด้วย

แพรวานำกาแฟเข้าไปวางตรงหน้าชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้เขาได้มานั่งทำงานที่โต๊ะประจำตำแหน่งอย่างแท้จริงเรียบร้อยแล้ว เมื่อวางแก้วกาแฟเสร็จเธอจึงออกมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในมุมเยื้องๆ เพื่อรอรับคำสั่ง

“ทำไมไม่นั่ง ฉันไม่ชอบให้ใครมายืนค้ำหัว” เสียงเข้มดุดังขึ้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“ไม่มีมารยาท” เขาเปรยออกมาเบาๆ แต่ก็ตั้งใจให้หญิงสาวได้ยิน
“ขอโทษค่ะ”

แพรวาพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงในระยะที่ห่างพอสมควรตามมารยาทเพื่อรอรับคำสั่งเงียบๆ แต่ก็นึกโกรธเคืองชายหนุ่มอยู่ในใจ ไม่เคยมีใครมาว่าเธอแบบนี้สักครั้ง ตั้งแต่เธอโตมาจนป่านนี้ แม้เธอจะเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนก็ตาม แต่เธอก็ยังมีครูบาอาจารย์ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคอยอบรมสั่งสอนมารยาทให้ และเธอก็จดจำได้ดีตลอดมา แต่มาวันนี้ผู้ชายตรงหน้ากลับหาว่าเธอไม่มีมารยาท ‘ชิ! ดีแต่ว่าคนอื่น ทีตัวเองล่ะ ทั้งงี่เง่าเอาแต่ใจ บ้าอำนาจ ปากจัด ขี้โมโห’

“กำลังด่าฉันในใจอยู่หรือเปล่า... แพรวา” ธีรพัฒน์พูดอย่างรู้ทัน แต่ก็ยังก้มหน้าอ่านเอกสารในมือนิ่ง แพรวาสะดุ้งเล็กน้อย รีบยกมือขึ้นปิดปากเหมือนกับว่าตัวเองได้พูดต่อว่าเขาออกไปจริงๆ

“ฉันอยากได้รายชื่อกรุ๊ปทัวร์ที่เป็นลูกค้าประจำของโรงแรมเราทุกสาขาที่นี่ ด่วน! และเอกสารผลประกอบการโดยรวมของโรงแรมทุกสาขาย้อนหลัง 5 ปี เอามาให้ด้วย” คนเป็นเจ้านายบอกเสียงเข้มจ้องมองหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดคำสั่งของเขาลงสมุดในมือ

ใบหน้านวลของเธอหวานล้ำ ผิวขาวเนียนใส พวงแก้มอมชมพูระเรื่อน่าสัมผัส เรียวปากจิ้มลิ้มอวบอิ่มนั้นกำลังเม้มเข้าหากันอย่างน่ารัก เธอทำให้เขาเคลิบเคลิ้มจนอยากสัมผัสขนาดนี้เชียวหรือแพรวา ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ เห็นผู้หญิงสวยมาก็มาก แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

“ค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ” แพรวาเงยหน้าขึ้นถามหลังจากเห็นเขาจ้องหน้าเธอ แล้วเงียบไป

“เอ่อ อะ เอาแค่นี้ก่อนละกัน” คนเคลิบเคลิ้มตื่นจากภวังค์ และคิดว่าตัวเองไปหลงมองผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง เธอไม่มีอะไรคู่ควรให้เขาต้องมองเลยสักนิด

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านายคนใหม่

“อ่อ บ่ายนี้ฉันอยากกินเค้กส้ม เธอจะหาให้ฉันกินได้ไหม” คนสั่งมีน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“อะ อะไรนะคะ” เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าเจ้านายหน้ายักษ์ของเธออยากจะกินเค้กส้มขึ้นมาเสียดื้อๆ

“หูหนวกหรือไง ฉันบอกว่าอยากกินเค้ก และต้องเป็นเค้กส้มด้วย” ธีรพัฒน์กลั้นยิ้มจนปวดกรามกับอาการตกใจของหญิงสาวตรงหน้า

“เอ่อ... ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

แพรวาคิดถึงเค้กที่ทินกรซื้อมาฝาก สงสัยคงต้องเอามาให้เจ้านายเอาแต่ใจของเธอกินแทนซะแล้ว ‘ขอโทษนะคะคุณกร’ เธอกล่าวขอโทษคนซื้อมาฝากในใจ แล้วเดินออกไปจัดการตามที่เขาสั่งทันที

หญิงสาวจัดแจงหยิบขนมเค้กวางใส่จานอย่างสวยงาม แล้วนำเข้าไปให้เจ้านายจอมเอาแต่ใจของเธอ ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือผู้ชายในรูปที่เธอหลงใหลได้ปลื้มเขามานาน ‘เฮ้อ... คนเราดูแค่หน้าตาคงไม่ได้จริงๆ สินะ’ แพรวาคิดอยากปลงๆ จากนั้นก็กลับออกมาทำงานตามที่เขาสั่งต่อไป


ผ่านไปไม่นานร่างเล็กของเลขาสาวก็ก้าวเข้ามาในห้องใหญ่อีกครั้ง พร้อมกับแฟ้มงานที่เขาสั่ง แม้อากาศภายในห้องจะเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศ ที่ดูเหมือนจะเย็นมากกว่าแต่ก่อน เพราะเจ้านายคนใหม่เคยชินกับอากาศในต่างประเทศที่เขาอยู่มานาน ดังนั้นเขาจึงปรับอุณหภูมิให้ลดลงไปกว่าปกติมาก

แต่แพรวากลับรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย เมื่อมองดูคนที่กำลังก้มอ่านเอกสารที่ถืออยู่ในมืออย่างตั้งใจ ใบหน้าคมสันรับกับคิ้วหนาคมเข้มเป็นระเบียบ ไรหนวดเขียวๆ จางๆ คงเพิ่งโกนเมื่อเช้า เขาคงเป็นผู้ชายที่เจ้าสำอางไม่น้อยทีเดียว ‘เวลาทำงานเขาก็ดูจริงจังมาก แต่ทำไมเขาถึงชอบกวนประสาทเธอนักก็ไม่รู้’ หญิงสาวแอบถอนหายใจบางๆ

“แฟ้มรายชื่อกรุ๊ปทัวร์ได้แล้วค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงเบา พลางวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะเจ้านายอย่างเบามือ เจ้าของโต๊ะตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมองสบตาเธอ ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นฉายแววอ่อนโยน แค่เพียงแวบเดียวก็กลับเป็นเฉยชา

“แล้วงานอีกชิ้นที่ฉันสั่งเมื่อไรได้” น้ำเสียงเข้มของเขา แลดูหมางเมินจนเธอใจเสีย

“แพร เอ้ย ดิฉันกำลังเตรียมอยู่ค่ะ ย้อนหลังหลายปีดิฉันต้องเข้าไปค้นเพิ่มที่ห้องเก็บเอกสารค่ะ” พูดจบก็อยากตีตัวเองนัก ทำไมไม่ชินสรรพนามของตัวเองเสียทีนะ

“แทนตัวเองอย่างที่เคยชินเถอะ ได้ยินแล้วมันน่ารำคาญ” เขาตวัดเสียงขุ่นเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์ถูกขัดใจ จริงๆ เขาอยากให้เธอแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนที่เธอเคยชินนั่นแหละ ฟังแล้วมันรื่นหูอย่างไรบอกไม่ถูก

“ค่ะ งั้นแพรขอตัวไปทำงานต่อนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัวเบาๆ ดูเหมือนเธอจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขาไปซะหมด

“เชิญ” เขาพูดออกมาลอยๆ อย่างไม่ใส่ใจ สายตาคมจับจ้องอยู่ที่เอกสารในมือนิ่งเหมือนกำลังอ่านอย่างตั้งใจ

หลังจากหญิงสาวออกไปจากห้องแล้ว ธีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แล้วหมุนเก้าอี้ออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกกระจกบานใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ปล่อยหัวใจและความคิดให้ล่องลอยไปตามที่ต้องการ จู่ๆ ใบหน้าสวยหวานล้ำของผู้หญิงที่เขาเกลียดชังก็ผุดขึ้นมา เธอทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่ฉันหรือไงนะแพรวา ทำไมใบหน้าของเธอถึงโผล่เข้ามาในความคิดของเขาได้นะ ธีรพัฒน์สะบัดศีรษะเหมือนเป็นการขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป แล้วหันกลับมาสนใจกับงานของตัวเองต่อ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^

สนใจสั่งซื้อนิยายเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ติดต่อผู้แต่งโดยตรงได้ที่
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566

หรือสนใจในรูปแบบ E-Book สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่
www.chalawanhunsa.com หรือ
www.nongoil.com



สุภาวดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2557, 23:17:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2557, 19:51:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 976





<< ตอนที่ 2 เข้าใจผิด ยิ่งชิงชัง   ตอนที่ 4 กลั่นแกล้ง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account