กลแสงดาว
เมื่อโชคชะตาเล่นตลก ลิขิตให้ความรักครั้งนี้ต้องมีผู้เสียสละ
อาจเป็นเธอที่เลือกหนทางสู่ปรภพ หรือเป็นเขาที่ยอมตกจากสวรรค์!!!
.................................................................................................
เสียงถอนหายใจจากนิโคลัสดังออกมาอย่างเบื่อหน่าย เป็นจังหวะนั้นเองที่น้องใหม่ไล่สายตาอ่านข้อความบนป้ายหน้าตึกซึ่งเป็นแบ่งหมวดหมู่เป็นแผนกต่างๆ มากมาย กระทั่งสะดุดตากับคำว่า “แผนกกุมารเวชกรรม…”
“ใช่! ยินดีด้วย ภารกิจแรกของเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว เทวทูตดอว์น!” นิโคลัสพยักหน้าน้อยๆ ให้ผู้ที่ถูกเรียกชื่อว่า ‘ดอว์น’ เทวทูตซึ่งเป็นน้องใหม่
หัวหน้าเขตวางสีหน้าขรึม ก่อนจะกล่าวทบทวนกฎต่างๆ กับอีกฝ่าย พระคัมภีร์เล่มหนาในมือถูกเปิดออก เสียงขึงขังดังชัดถ้อยชัดคำ ข้อความที่ทั้งคู่อ่านชวนให้พิศวงราวกับเวทมนตร์ ทั้งลึกลับเปี่ยมพลัง
คิ้วเข้มของดอว์นขมวดมุ่น การรับใช้ที่ได้รับมอบหมายกดลงบนหลังไหล่เขาจนหนักอึ้ง
โลกใบเดิมของผู้ชายที่ชื่อ ‘แสงอาทิตย์’ เปลี่ยนแปลงไปนับแต่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้น…
นับแต่นี้ สิ่งที่เขาต้องกระทำเมื่อหวนกลับคืนสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง คือการรับหน้าที่ ‘เทวทูต’
ภารกิจแห่งชีวิต ที่เขาจะต้องนำพาวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนสู่ดินแดนอันเป็นนิรันดร์!!
อาจเป็นเธอที่เลือกหนทางสู่ปรภพ หรือเป็นเขาที่ยอมตกจากสวรรค์!!!
.................................................................................................
เสียงถอนหายใจจากนิโคลัสดังออกมาอย่างเบื่อหน่าย เป็นจังหวะนั้นเองที่น้องใหม่ไล่สายตาอ่านข้อความบนป้ายหน้าตึกซึ่งเป็นแบ่งหมวดหมู่เป็นแผนกต่างๆ มากมาย กระทั่งสะดุดตากับคำว่า “แผนกกุมารเวชกรรม…”
“ใช่! ยินดีด้วย ภารกิจแรกของเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว เทวทูตดอว์น!” นิโคลัสพยักหน้าน้อยๆ ให้ผู้ที่ถูกเรียกชื่อว่า ‘ดอว์น’ เทวทูตซึ่งเป็นน้องใหม่
หัวหน้าเขตวางสีหน้าขรึม ก่อนจะกล่าวทบทวนกฎต่างๆ กับอีกฝ่าย พระคัมภีร์เล่มหนาในมือถูกเปิดออก เสียงขึงขังดังชัดถ้อยชัดคำ ข้อความที่ทั้งคู่อ่านชวนให้พิศวงราวกับเวทมนตร์ ทั้งลึกลับเปี่ยมพลัง
คิ้วเข้มของดอว์นขมวดมุ่น การรับใช้ที่ได้รับมอบหมายกดลงบนหลังไหล่เขาจนหนักอึ้ง
โลกใบเดิมของผู้ชายที่ชื่อ ‘แสงอาทิตย์’ เปลี่ยนแปลงไปนับแต่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้น…
นับแต่นี้ สิ่งที่เขาต้องกระทำเมื่อหวนกลับคืนสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง คือการรับหน้าที่ ‘เทวทูต’
ภารกิจแห่งชีวิต ที่เขาจะต้องนำพาวิญญาณบริสุทธิ์กลับคืนสู่ดินแดนอันเป็นนิรันดร์!!
Tags: เขมปัณณ์
ตอน: บทที่ ๑
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะครับ แนะนำติชมได้ครับ ผมยังมือใหม่อยู่มาก อยากได้คำชี้แนะครับ
บทที่๑
เช้าตรู่วันจันทร์หลังฝนตกหนักตลอดคืน ทำให้บรรยากาศของเมืองใหญ่และท้องถนนแปลกตาออกไป ความสดชื่นแต่งแต้มต้นไม้ รวมถึงบ้านเรือนสองข้างทาง ในอากาศยังคงมีความชื้นโรยตัวหนาหนัก
แสงอาทิตย์ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวผิวขาว ผู้มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนดวงหน้าเสมอ ผินหน้ามองร้อยดาวตุ๊กตาหน้ารถด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรักและห่วงใย ทั้งคู่รู้จักกันมาราวสิบปี เริ่มต้นจากเหตุการณ์ในยามสายวันหนึ่ง เมื่อลูกบาสเกตบอลซึ่งเขาเตรียมชู๊ตลงห่วง ลอยข้ามรั้วบ้านลงไปตกบนศีรษะร้อยดาวซึ่งนอนอ่านหนังสือใต้ต้นหูกวางพอดี
‘เฮ้ ทำอะไรของนาย ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่ตรงนี้!’ เสียงแว้ดแหวดังอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาโตวาววับของร้อยดาวที่อยู่ในวัยแปดย่างเก้าขวบจับจ้องร่างสูงเก้งเก้งซึ่งโผล่พ้นแนวรั้วไม้หลังบ้านเธออย่างเอาเรื่อง
และเป็นช่วงเวลานั้นเอง ที่ภาพเด็กหญิงผมยาวเส้นเล็กดำขลับ ผู้ดวงหน้าเรียวเล็ก ดวงตาหวานระยับ พร้อมคิ้วปากจมูกซึ่งรับกันอย่างลงตัว สะกดสายตาเด็กหนุ่มนามว่าแสงอาทิตย์ให้ตกอยู่ในภวังค์!
แสงอาทิตย์มองดวงหน้านั้นเนิ่นนานอย่างใช้ความคิด ละม้ายว่าเขาเคยพบพานจากที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นในฝัน หรือ…ดินแดนห่างไกล อีกโลกหนึ่งก็สุดที่เขาจะคาดเดาได้
‘จะยืนงงอีกนานไหม ขอโทษสักคำเป็นหรือเปล่า!’ ปรกติร้อยดาวไม่ใช่คนที่มีอารมณ์รุนแรงวี้ดว้ายใส่คนอื่นก่อน แต่ความตกใจ และอารามเจอคนแปลกหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สติเลยเตลิดไปไกล แถมคนแปลกหน้ายังเป็นเด็กหนุ่มเสียด้วย เธอจึงมีอาการเก้อเขิน กอปรกับหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นโครมครามปานจะทะลุออกมานอกอก เลยส่งผลให้เธอทั้งประหม่าและตื่นเต้น จนต้องแก้เก้อด้วยการโวยวายใส่เขา
ร้อยดาวยันตัวลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ก้าวไปเมียงมองรั้วหลังบ้าน ตั้งแต่เกิดและจำความได้ บ้านปูนโบราณหลังงาม ไม่เคยเห็นมีคนมาอาศัย คุณยายสมทรงเคยเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนั้นเป็นของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ต่อมามีชาวต่างชาติกับภรรยาซื้อเก็บเอาไว้ กระนั้นเธอก็ไม่เคยเห็นใครสักคน บางครั้งยังเคยคิดว่าเป็นบ้านผีสิงด้วยซ้ำ
แต่แล้ววันนี้กลับมีลูกบาสเกตบอลลอยข้ามฟากมา พร้อมการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มแปลกหน้า
‘โอ้! อามโซซอรี่จริงๆ ยูโอเค้ไหม’ เสียงห้าวถามเป็นภาษาอังกฤษปนไทยสำเนียงแปร่งๆ ก่อนที่ร่างสูงเก้งก้างจะเตรียมปีนข้ามรั้วมาเก็บลูกบาสเกตบอลเจ้าปัญหา
‘อ้าว ฝรั่งดองนี่นา ดีจะได้แอบแช่งเสียเลย อิๆ’ ร้อยดาวว่าพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ จากนั้นก็รีบฉวยเอาลูกบาสเกตบอลมากอดไว้ พอเห็นคนตัวโตปีนขึ้นมานั่งบนขอบรั้ว เธอออกวิ่งตัวปลิวนำหน้าเขา พลางร้องตะโกนโหวกเหวกลั่นบ้าน
‘คุณยายขา คุณแม่ขา ขโมยฝรั่งดอง ปีนเข้าบ้านแล้วค่า!’ เสียงร้องของเธอและการออกวิ่งอย่างเร็ว จนคนที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าในเรือนไม้สองชั้นตกอกตกใจกันใหญ่
‘เป็นอะไรหนูดาว ร้องทำไมลูก’ คุณยายสมทรงถามไถ่หลานสาว พร้อมกับยกมือกุมหน้าอกตนเองเอาไว้ ท่านเป็นโรคความดันสูง หากตกใจหรือเกิดความเครียดจะทรงผลให้อาการกำเริบ
‘ดูโน้นซีคะ คุณยาย ขโมยฝรั่งดองปีนรั้วเข้ามาในบ้านเรา ชิ้วๆ’ ร้อยดาวบอกคุณยาย พลางใช้มือข้างที่ว่างไล่เด็กหนุ่มซึ่งวิ่งไล่กวดตามมา
คุณยายมองปฏิกิริยาไม่น่ารักของหลานสาวแล้วได้แต่ถอนหายใจ ท่านรู้ว่าเหตุในครั้งนี้คงเป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะมีขโมยปีนรั้วเข้าบ้านจริงๆ เมื่อมองไปด้านหลัง คุณยายเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวตัวสูง เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นพอดีตัว ด้านล่างเป็นรองเท้าสำหรับเล่นบาสเกตบอลคู่ใหญ่ ผิวพรรณและการแต่งกาย ดูแล้วไม่มีวี่แววหัวขโมย ครั้นหันหน้ากลับมามองที่หน้าบ้าน เห็นหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นแขกมาเยือน คุณยายก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเป็นลูกเต้าเล่าใคร
‘มีอะไรกันหรืออาทิตย์ ถึงได้วิ่งตึงตังแบบนั้น’ หญิงวัยกลางคนผู้มีโครงหน้าสวยหวาน และเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นธรรมชาติ สีหน้าไม่สู้ดียามที่เอ่ยถามเด็กหนุ่ม
ดวงหน้ายาวขาวอมชมพู ขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากบางเม้มชิดไม่ยอมตอบคำถามนั้น สายตาคมจับจ้องร้อยดาว ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลงไปที่ลูกบาสเกตบอลซึ่งเธอกอดไว้ข้างตัว
คุณยายสมทรงเห็นว่าสถานการณ์นี้คงเป็นเรื่องเพียงการหยอกเย้าของเด็กๆ จึงชวนแขกคุยต่อ
‘ตาหนูนี่คือลูกชายคุณนาย ที่เราเพิ่งพูดถึงตะกี้ใช่ไหม ดูซีหน้าตาได้แม่มาเยอะเชียว ตัวก็สู้ง สูง’
‘ใช่ค่ะ คนนี่ละที่ฉันพูดถึง ชื่อเล่นอาทิตย์ … คล้องกับชื่อจริงว่าแสงอาทิตย์ค่ะ’ หญิงวัยกลางแนะนำลูกชายของเธอให้เจ้าของบ้านรู้จัก ก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มขยับเข้ามารวมกลุ่ม
‘อาทิตย์ มาตรงนี้ …สวัสดีคุณยายสมทรงกับคุณน้าสิลูก’
แสงอาทิตย์ทำตามที่มารดาบอกด้วยกิริยาน้อมน้อม ตามธรรมเนียมคนไทย
ร้อยดาวมองเขาตาโต ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของร่างสูงเก้งก้างนั้นจะมือไม้อ่อน แถมไหว้สวยกว่าเธอเสียด้วย เห็นแล้วอารมณ์หงุดหงิดพลันพลุ่งท่วมใจเธอ
‘แสงอาทิตย์หรือลูก ชื่อเพราะ รูปก็งาม ทานอะไรมาหรือยัง ยายมีบัวลอยไข่หวานร้อนๆ อยู่ในครัว กินสักถ้วยไหม’ คุณสมทรงชวนเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู แทนที่เขาจะปฏิเสธกลับตอบด้วยรับด้วยคำพูดสนิทชิดเชื้อ ราวกับรู้จักคุณยายของร้อยดาวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
‘ขอบคุณมากครับคุณยาย ผมกำลังหิวพอดีเลย’ น้ำเสียงห้าวเท่ ขัดกลับท่าทางเรียบร้อยของเขาเหลือหลาย และคุณสมทรงก็ชอบใจ ยิ้มแก้มปริ
‘คุณยายขา หนูดาวยังไม่อิ่มเลย’ ร้อยดาวร้องห้าม เธอแผลงฤทธิ์เหมือนเด็กหวงของกินจนผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่พากันส่งเสียงหัวเราะออกมา
‘โธ่ หนูดาว บัวลอยหม้อเบ้อเริ่มทานคนเดียวไม่หมดหรอก แบ่งพี่เขาทานสักถ้วยสองถ้วยจะเป็นไรไป’ แม่ของเธอเอ่ยเสียงแจ่มใส มากกว่าจะเป็นการปรามคนหวงของกินไม่เข้าท่า
‘ไม่ได้นะคะ หนูดาวไม่ยอม’ ร้อยดาวพูดพร้อมกับหันไปจ้องหน้าแสงอาทิตย์ และเหมือนว่าเธอต้องเขย่งปลายเท้าด้วยซ้ำ ถึงจะเห็นหน้าเขาชัดๆ คิดดูเถอะตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามาแย่งของกินในครัว รับรองได้ว่าเธอต้องอดรับประทานบัวลอยไข่หวานฝีมือคุณยายแน่นอน
‘หนูดาวจะกินคนเดียวหมดหม้อเลย ไม่แบ่งให้ใครกินหรอกค่ะ’ ร้อยดาวยืนยันด้วยกิริยาไม่น่ารัก เธอเบ้ปากใส่เด็กหนุ่ม ทำตาพองโตด้วยความขุ่นเคืองใจ
‘เอ ทำไมจู่ๆ ทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ละหนูดาว พี่เขามาเยี่ยมบ้านแท้ๆ เดี๋ยวต่อไปจะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ต้องรักกันมากๆ รู้ไหม’ มารดาสอนร้อยดาวแต่ตอนนี้เธอไม่อยากฟัง แถมต่อต้านด้วยการชี้หน้าแสงอาทิตย์ และเริ่มฟ้องมารดาถึงความผิดของเขา
‘นายคนนี้แกล้งโยนลูกบาสมาใส่หัวหนูดาว คุณแม่ดูซี หัวยังโนอยู่เลย เจ็บจนน้ำตาไหลด้วย!’ พอสบโอกาสเธอก็โยนลูกบาสเกตบอลที่เด็กหนุ่มจ้องตาเป็นมันเข้าในบ้าน ด้วยจงใจแกล้งเขา
‘ผะ ผมเปล่านะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจ สาบานได้!’ เด็กหนุ่มตอบภาษาไทยชัดแจ๋ว คำพูดเขายิ่งทำให้ร้อยดาวหมั่นเขี้ยว หน้าตาดูต่างชาติปานนั้น แต่พูดไทยเก่งเกินเหตุ! ได้ยินได้เห็นหน้าแล้ว รู้สึกขวางหู ขวางตาชะมัด
‘มันใจว่าอุบัติเหตุ แล้วทำไมลูกบาสถึงมาถูกหัวหนูดาวพอดีล่ะ!’ คนเจ้าคิดเจ้าแค้นถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
‘ผมไม่ทราบ’ ดวงหน้าแสงอาทิตย์ บอกให้รู้ว่าไม่ได้โกหก คุณยายกับมารดาเธอก็คล้อยตามคำพูดเขาโดยง่าย
‘พี่เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกหนูดาว ไปเร้ว พาพี่เขาไปในครัว ดีกว่า ทานบัวลอยอร่อยๆ แล้วค่อยคุยกัน’ มารดาเธอกล่าวจบก็ทั้งลากทั้งดึงให้ร่างเล็กเดินเข้าไปในครัว โดยมีร่างสูงเก้งก้างที่ดวงหน้าระบายรอยยิ้มก้าวตามหลัง
เหตุการณ์ครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้แสงอาทิตย์กับร้อยดาวได้รู้จักกัน ด้วยความที่คุณยายกับมารดาเธอรู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูแสงอาทิตย์เป็นพิเศษ จึงรับสองแม่ลูกเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวไปโดยปริยาย
.................
แสงอาทิตย์อมยิ้มน้อยๆ ยามที่แอบเหล่ร้อยดาวซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังวุ่นวายกับสารพัดสิ่งรอบตัว วันนี้ร้อยดาวมีการสอบประจำภาคเรียนฤดูร้อน เธอสอบเข้าได้ในปีที่ ๑ ของมหาวิทยาลัยปิด ในสาขาเทคโนโลยีการพิมพ์ ส่วนแสงอาทิตย์เรียนจบและได้งานเป็นผู้ช่วยภาควิชาวิศวกรรมโยธาส่วนห้องทดสอบ และเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการเรียนในระดับปริญญาโทด้วย
“พี่บอกแล้วไงคะ ว่าไม่ต้องรีบ วันนี้รับรองไปทันสอบแน่นอน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ตั้งแต่เขาขับรถไปรอรับที่หน้าบ้านร้อยดาวเขาเห็นเธอวิ่งผลุบเข้าผลุบออกเรือนไม้สองชั้นสองถึงสามรอบแล้ว
ดวงหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นจากข้าวของที่วางบนตักทั้งกระเป๋าถือใบเก่ง และตำราเรียน
“หนูดาวตื่นเต้นนี่คะ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย รู้อย่างนี้ไม่อ่านหนังสือก่อนนอนก็ดีหรอก” ร้อยดาวเอ่ยด้วยเสียงวิตกกังวล สีหน้าไม่ค่อยสดใส เธอเป็นคนมีนิสัยแปลกสักหน่อย เวลาตื่นเต้นจัด หรือยามที่มีสิ่งสำคัญเข้ามาในชีวิต เธอจะอยู่ไม่นิ่ง ชอบทำสิ่งเปิ่นๆ ให้คนรอบตัวได้อึ้งอยู่เสมอ บางทีก็จู้จี้ขี้บ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนที่ไม่รู้จักอาจจะไม่ชอบใจ แต่สำหรับคนคุ้นเคยอย่างแสงอาทิตย์ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เธอเป็น คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากจะหาใครเลียนแบบได้
“พี่เตือนแล้วไงคะ คืนก่อนสอบให้ทบทวนเฉยๆ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน เดี๋ยวไปหลับในห้องสอบจนได้ละ”
“นั่นสิคะ พอพี่อาทิตย์พูดปุ๊บ หนูดาวง่วงปั๊บเลย” หญิงสาวเออออตาม ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มแอบประชด
ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ กับคนที่ดูเหมือนจะซื่อจนเกินเหตุ
“ง่วงจริงๆ นะ หนูดาวไม่ขี้จุ๊สักนิด” เธอยืนยันพร้อมยกมือเล็กๆ ปิดปาก การกระทำแบบไม่ห่วงสวยของเธอเหมือนลูกแมวขี้เซา ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มชอบใจ เขาชอบมองเธอในทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะการแสดงออกที่ไร้จริตยิ่งทำให้เขาตกหลุมรัก หญิงสาวคนนี้จนยากที่จะถอนตัว
“มองอะไรคะ พี่อาทิตย์” เมื่อหญิงสาวรู้สึกถูกจับจ้องด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ อาการเก้อเขินก็ตามมา ร้อยดาวส่งเสียงใสๆ ต่อว่าเขา พร้อมกับค้อนด้วยสายตาหวานวับ
“มองเด็กไม่รู้จักโตนะซี” เขาว่าพร้อมกับทำมือล้อเลียน ขนาดรูปร่างเธอ
ร้อยดาวมีรูปร่างกะทัดรัด ความสูงเหมือนจะหยุดอยู่กับที่ตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้น ถึงรูปร่างจะเล็กแต่ก็สมส่วน ดูงดงามน่าทะนุถนอม
“แหม! ใครจะสูง เป็นเสาไฟฟ้าอย่างพี่อาทิตย์ละคะ นี่ถ้ายังไม่หยุดสูงอีก ต่อไปหนูดาวจะไม่คุยด้วยแล้วนะ” น้ำเสียงคนพูดกระเง้ากระงอด
แสงอาทิตย์เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทั้งรูปร่างและหน้าตา มะลิ มารดาเขาเป็นลูกครึ่งไทยกับสหรัฐอเมริกา ส่วนคุณพ่อเป็นชาวแคนนาดา เขาจึงได้ความสูง ความสง่าสมชายชาตรีจากพ่อ เค้าโครงหน้าถอดแบบมาจากฝ่ายแม่ ผิวพรรณขาวราวกับผิวไข่ขาวต้มสุก สีผม สีตาโดดเด่น เรียกได้ว่าความหล่อเหลาเข้าตาทุกคนที่พบเห็น
“อ้าว...พี่ผิดอะไรละเนี่ย พูดแปลกๆ นะเรา” ชายหนุ่มทำหน้าเหลอหลา เมื่อหญิงสาวโยนความผิดให้เขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“แหงละ พี่อาทิตย์ทำอะไรก็ผิดหมดนั่นแหละ โดยเฉพาะชอบแย่งขนมคุณยายไปกินตั้งแต่เด็กๆ จนหนูดาวตัวแค่นี้!” น้ำเสียงหญิงสาวไม่ได้จริงจัง เหมือนดวงตาซึ่งแสร้งหรี่เล็กลงมองเขาอย่างจับผิด
“พี่ชอบได้ยินหนูดาวบ่นว่ากลัวอ้วนนี่คะ พี่อาทิตย์เลยช่วยทานไง แล้วพอคุณยายบอกให้ช่วยทำขนมในครัว หนูดาวก็บ่นปวดหัว บ่นว่าร้อน เป็นแบบนี้ ใครกันน้า ที่ผิด!” แสงอาทิตย์ไขข้อข้องใจร้อยดาว ทุกวันหลังเลิกเรียนและตลอดช่วงวันหยุดเขาจะมาขลุกตัวอยู่ที่บ้านเธอ โดยมีหน้าที่รับใช้ทุกอย่าง ทั้งงานเล็กงานใหญ่ คอยดูแลสวน งานสารพัดช่าง และที่ทำให้คุณสมทรงชอบนักหนาคือคอยเป็นลูกมืออันดับหนึ่งในครัว
“ไม่รู้ละ พี่อาทิตย์ชอบมาแย่งความรักของคุณยายไปจากหนูดาว!” ร้อยดาวยกเหตุผลที่แสนประหลาดมาต่อว่าเขา
การที่ร้อยดาวทำหน้าแสนงอน มีคำพูดประหลาดๆ มาต่อว่าแสงอาทิตย์ เขารู้ว่าหญิงสาวพยายามหาเรื่องคุยแก้อาการเก้อเขิน ดวงหน้าเธอแดงระเรื่อ จมูกเล็กๆ ที่ปลายเชิดรั้นก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูจัด!
“โธ่ ถึงพี่ไม่แย่งของกินหนูดาว หรือไม่ไปช่วยงานในครัว คุณยายกับคุณน้า ก็ยกให้พี่เป็นคนโปรดของบ้านอยู่ดี หนูดาวคงลืมไปแล้วมั้ง ว่าตัวเองเป็นเด็กที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่กองขยะหลังบ้าน คุณยายท่านสงสารเลยเก็บเอามาเลี้ยง” คราวนี้คำพูดที่แหย่แรงๆ ของชายหนุ่มทำให้ดวงหน้าเรียวเล็กงอคว่ำ
“ว่าจะไม่โกรธหรอกนะ แต่ชอบยั่วโมโหอยู่เรื่อย!” ร้อยดาวกล่าวจบก็ยกนิ้วโป้งใส่หน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “โกรธกันร้อยปี อย่ามาดีกันร้อยชาติ!”
“แน่ใจนะว่า หนูดาวจะโกรธพี่จริงๆ” ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างจับผิดในสีหน้า
ร้อยดาวไม่ตอบหากเบ้ปากใส่เขา แถมส่งค้อนขวับให้อีกวงใหญ่
“โอเค! พี่ไม่ง้อ นะ” แสงอาทิตย์ว่าพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แต่อีกฝ่ายพยายามหลบหน้าหลบตาสุดฤทธิ์
“ไม่ต้องมายุ่ง รีบขับรถไปเลย เบื่อคนชอบขัดใจ!” ร้อยดาวกัดฟันเสียงดังกรอด รู้ว่าเขาชอบยั่วอารมณ์ให้โกรธ พอเธอมีอาการกระฟัดกระเฟียดใส่ เขาจะตามง้อ และดูเหมือนเขาชอบทำหน้าที่นี้เสียเหลือเกิน!
“แน่จริงห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะนะ พี่จะคอยดูว่า คนขี้เหร่จะทำหน้าหงิก หน้างอได้ซักกี่น้ำ” เขาว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงในรถยนต์ ตอนแรกเป็นเพลงในจังหวะสนุกสนาน และด้วยความที่เปิดเสียงดังจนเกินไป ทำให้คนข้างกายหันมาแยกเขี้ยวใส่ พร้อมตั้งท่าส่งกำปั้นน้อยๆ ไล่ทุบลงบนเนื้อตัวเขา
“กลัวแล้วจ้า อูยๆ ดูกำปั้นสิ ใหญ่กว่ามดแดงนิดนึงได้มั้ง” แสงอาทิตย์ยั่วโมโหเสร็จก็เปลี่ยนเพลงใหม่ คราวนี้เป็นเพลงในจังหวะฟังสบายๆ เข้ากับบรรยากาศหลังฝนตกหนักตลอดคืนได้อย่างดี
..............
เสียงเพลง Can't Help Falling in Love จากเครื่องเล่นในรถเก๋งสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ ขับกล่อมทั้งคนขับรถและตุ๊กตาหน้ารถให้อยู่ในอารมณ์หวานละมุมละไม
ร้อยดาวแอบเหล่คนขับเล็กน้อย แสงอาทิตย์ฮัมดนตรีอย่างอารมณ์ดี และมิวายทำหน้าล้อเลียนเธอไปด้วย แต่ความแง่งอนยังมีมากท่วมใจ เธอจึงเม้มริมฝีปากแน่น ขึงตาโตๆ จ้องเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้
รถเก๋งเคลื่อนตัวออกจากซอยเล็กๆ ในหมู่บ้านของทั้งคู่ได้พักใหญ่ แสงอาทิตย์ก็เอ่ยขึ้น
“สอบวันแรก หนูดาวต้องตั้งใจทำนะคะ ห้ามแอบงีบ ห้ามออกห้องสอบคนแรกเด็ดขาด”
ร้อยดาวรู้ว่าเขาพูดด้วยความหวังดี เธอจึงพยักหน้าน้อยๆ แทนการพูดคุยกับเขา เพราะยังเคืองอยู่
“แล้วที่จดโน้ตซ่อนไว้ในเข็มขัด หรือเขียนใส่มือไว้ ก็เอาไปทิ้ง ลบออกให้หมดซะ โตแล้วห้ามโกงข้อสอบรู้ไหม ทำแบบนี้ไม่ดี เสียชื่อเสียงหมด” เขาแกล้งพูดเพื่อให้หญิงสาวตอบโต้คืน แต่ร้อยดาวยังปิดปากเงียบ แถมแก้เผ็ดเขาด้วยการหยิกต้นขายาวๆ ของชายหนุ่มไปหนึ่งที
“โอ๊ย! ….ใจร้ายจริงๆ เลย นี่ถ้าพี่ขับรถไม่ได้ จะทำยังไง เดี๋ยวไปสอบกันไม่ทันพอดี” แสงอาทิตย์แกล้งโวยวาย ร้อยดาวรู้ทันคนเจ้าเล่ห์ เธอชูกำปั้นเล็กๆ เงื้อง่าตั้งท่าจะต่อยเขา
“เดี๋ยวเถอะ ชอบตบ ชอบตี ทำร้ายพี่ดีนัก ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่ด้วยแล้ว อยากรู้จริงๆ จะมีใครมาสนใจหนูดาวมั้ย!” แสงอาทิตย์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงพูดเช่นนั้นออกไป ซึ่งแม้แต่คนพูด ก็รู้สึกว่าหัวใจโหวงเหวงพิกล
ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูของร้อยดาวแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับปากเป็นคำพูดที่ไร้เสียงว่า
‘หนูดาวไม่แคร์!’
แสงอาทิตย์ทำเสียงฮึ! ในลำคอ ก่อนจะรีบสวนกลับ
“ไม่เชื่อหรอก ถ้าพี่ไม่อยู่จริงๆ คงนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่นอน แล้วดูเถอะ คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างหนูดาวนี่ รับรองเลยว่า ได้ขึ้นคานไปจนตาย!”
ร้อยดาวหน้าซีดเผือดลงไปถนัดตา จู่ๆ หัวใจเธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในถ้อยคำของเขา ประหนึ่งมีลางสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่กำลังจะเข้ามาสู่พวกเขาและเธอ!
หญิงสาวจึงยกมือเรียวเล็กโบกสื่อสาร ขอให้เขาหยุดคุยเรื่องที่ทำให้ใจคอไม่ดี
“โอ๋ๆ พี่ไม่พูดก็ได้ อย่าร้องไห้นะคนดีของพี่อาทิตย์” เขาทำเสียงจ๊ะจ๋า ราวกับปลอบโยนเด็กเล็ก ก่อนจะหยอดมุขตามประสาคนช่างพูดต่อ
“แล้วที่ตาแดงๆ เนี่ย กลัวขึ้นคานไปจนตาย หรือว่ากลัวพี่อาทิตย์จะไม่อยู่เป็นเบ้ รับใช้กันแน่ ฮ่าๆ”
ร้อยดาวได้ยินคำพูดชายหนุ่มแล้วก็พ่นลมหายใจแรงๆ ใส่หน้าเขาไปหนึ่งที ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นห่วง แต่กลับพูดเล่นโดยไม่คิดถึงจิตใจกันสักนิด
“โอเคนะ อย่าคิดมากสิ แล้วก็ทำหน้าให้สดชื่นด้วย ตอนนี้พี่ไม่มีเวลาคุยเล่น ต้องทำหน้าที่สารถีให้คุณหนูดาวไปนอนหลับในห้องสอบ... ครอกฟี้” เอ่ยไม่ทันจบประโยคดี กำปั้นน้อยๆ ของตุ๊กตาหน้ารถก็ซัดใส่ไหล่เขา
“โอ๊ย ไม่รักพี่อาทิตย์หรือไงคะ ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย!”
ร้อยดาวหงุดหงิดคนเหลี่ยมจัด ช่างพูดกวนโมโหเหลือกำลัง เธอจึงยกสองหมัดชูหรา คราวนี้ตั้งใจปล่อยใส่ที่ตัวเขาแบบไม่ยั้งมือ
“พอแล้วจ้า กลัวแล้ว พี่อาทิตย์กลัวแล้ว” เขาทำเป็นตัวสั่น น้ำเสียงเหมือนจะยอมศิโรราบต่อเธอจริงๆ
.................
รถขับออกมาได้ครึ่งทางแสงอาทิตย์ก็เอ่ยถามร้อยดาวถึงการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านเขา
“เออ เย็นนี้คุณแม่ ให้ชวนไปทานข้าวที่บ้าน ทานเสร็จแล้ว เราออกไปทานไอศกรีมกันนะคะ”
ทั้งที่ได้สิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย แต่ร้อยดาวยังเล่นบนนิ่ง ไม่ยอมคุยกับเขาเช่นเดิม
“พอเถอะหนูดาว เลิกนั่งอมขี้ฟันได้แล้ว พี่ยอมเป็นคนผิดเอง ผิดทุกอย่างทุกเรื่อง ทุกเวลา จบมั้ย!” ทั้งน้ำเสียงสีหน้าของเขาบอกให้รู้ว่าทรมานเหลือเกินยามที่เธอ วางมาดนิ่งไม่ยอมส่งเสียงใสๆ เจื้อยแจ้วกับเขา
ร้อยดาวชี้มือไปที่ชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเสียงสูงกว่าปกติกับเขา “รู้ว่าตัวเองผิดก็ดีแล้ว ต่อไปอย่าทำให้สุภาพสตรีเสียใจอีก เป็นลูกผู้ชายต้องอนทน โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนสวยแสนดีอย่างหนูดาว”
แสงอาทิตย์ทำตาโต อ้าปากหวอ แม้อยากจะขำเต็มแก่ ที่ร้อยดาวชมตัวเองหน้าตาย แต่เขาพยายามอดกลั้น กลัวเธอจะงอนตุ๊บป่องอีก
“ได้ๆ พี่ยอมคุณร้อยดาวเสมอ ยอมคนเดียว จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
“บ้าจริง วันนี้พี่อาทิตย์พูด แต่เรื่องไม่ดี หนูดาวใจเสียรู้ไหม ห้ามพูดแบบนี้อีก ไม่งั้นจะไม่คุยด้วยแล้ว” ร้อยดาวเสียงสั่น ความกลัวจากส่วนลึกผุดท่วมใจ ยิ่งยามที่มองหน้าเขาแล้วเหมือนจะเห็นบางสิ่งฉายชัดออกมา โดยเฉพาะดวงตาคมซึ่งคล้ายมีความเศร้าเจืออยู่
“โถ ทำไมต้องคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ด้วย ยังไม่แก่เสียหน่อยหนูดาว” แสงอาทิตย์ส่ายหน้า รู้ว่าร้อยดาวเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้
“แต่หนูดาวไม่ชอบ” ร้อยดาวยืนยันเสียงแข็ง
ทั้งคู่จมจ่อมอยู่กับความคิดตนเองนานหลายนาที กระทั่งหญิงสาวเป็นคนเอ่ยเสียงเรียบๆ ทำลายความเงียบ
“วันนี้วันเกิด ยายนกยูง หนูดาวคงไม่สะดวกไปงานสังสรรค์ครอบครัวที่บ้านพี่อาทิตย์หรอกค่ะ แล้วขากลับจากมหาวิทยาลัย ต้องแวะ ไปเอาเค้กวันเกิดยายนกยูงด้วย ” ร้อยดาวพูดถึงนกยูง หรือ รำแพนน้องสาวคนสวยของเธอ ผู้ที่เป็นศูนย์รวมคนทั้งบ้าน ด้วยความน่ารักสดใส และเก่งในทุกเรื่อง ผิดกับร้อยดาวลิบลับ เพราะสิ่งที่เธอถนัดสุดคือ การเป็นตัวโจ๊กประจำบ้าน
“อืมม์ วันเกิดนกยูงเหรอ พี่ลืมไปได้ไงเนี่ย ของขวัญก็ยังไม่ได้เตรียมด้วย” แสงอาทิตย์หัวเราะท้ายประโยค อันที่จริงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาแกล้งลืมวันเกิดรำแพนเสมอ แต่มิวายถูกรำแพนรบเร้าตามทวงของขวัญตลอด
แสงอาทิตย์ไม่ได้คิดหาของขวัญให้รำแพนสักเท่าไหร่ แต่ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นน้องสาวร้อยดาว คนที่เขารัก ดังนั้นจึงต้องแสดงความจริงใจต่อคนในครอบครัวเธอ สิ่งที่เขาคิดว่าจะมอบให้รำแพนหากไม่ใช่หนังสือสักเล่ม คงเป็นดีวีดีที่เพิ่งซื้อมาใหม่และยังไม่ได้เปิดดูนั่นเอง
“เอาอย่างนี้ดีไหม ขากลับแวะไปบ้านพี่แป๊บนึง ไปเตรียมของขวัญให้นกยูง และให้คุณแม่เห็นหน้าเราทั้งสองคนสักแวบก่อน แล้วค่อยแอบย่องออกมา” แสงอาทิตย์เสนอแผนของตนเอง วันนี้บ้านเขามีงานสังสรรค์ครอบครัว ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์แรกของเดือน
“ทำแบบนั้นจะดีหรือคะ” ร้อยดาวรู้สึกไม่สบายใจหากต้องเสียมารยาทกับผู้ใหญ่
“ดีสิ ดีที่สุดเลย เย็นนี้ที่บ้านพี่คนคงเยอะแยะไปหมด รับรองคุณแม่จำไม่ได้หรอกว่า พี่กับหนูดาวออกจากบ้านตอนไหน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ปกติมารดาเขาสนใจเรื่องรับแขกและเพื่อนๆ ที่มาเลี้ยงสังสรรค์ครอบครัวราวกับเป็นภาระอันสำคัญยิ่งของชีวิต ดังนั้นหากเขาจะหายตัวไปไหนในช่วงเวลานั้น มารดาคงไม่ทันสังเกต เขาตั้งใจใช้ประตูเหล็กบานเล็กซึ่งทำไว้เป็นพิเศษสำหรับพาร้อยดาวออกจากบ้านตน
“ถ้าอย่างนั้น ตามใจพี่อาทิตย์เถอะค่ะ ขอแค่คุณป้ามะลิ ไม่ดุหนูดาวก็พอ ” ร้อยดาวตอบแล้วก็เสออกไปมองนอกรถ เวลานั้นรถค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดนิ่ง เนื่องจากติดสัญญาณไฟแดงบริเวณสี่แยกรอบเมือง
ร้อยดาวมองผ่านไปยังริมฟุตบาธ สายตาเหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนที่ตั้งแต่ข้อมือด้านซ้ายลงมาขาดหาย สภาพเขาไม่น่ามองสักเท่าไหร่ เสื้อยืดตัวเก่าที่สวมแลดูมอมแมม กางเกงที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนมีคราบเกรอะกรัง จะมีแต่พวงมาลัยที่เขาถือด้วยมือข้างขวาเท่านั้นที่ทำให้ภาพเขาดูต่างจากขอทานข้างถนน
“ซื้อพวงมาลัยช่วยน้าเขาหน่อยนะคะ พี่อาทิตย์”
ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก เขาคนแพ้กลิ่นดอกไม้เกือบทุกชนิด เพียงแค่ได้กลิ่นจะรู้สึกคันจมูก บางครั้งถึงขั้นมีผืนแดงลามไปทั้งแขนและหน้า
“หนูดาวก็รู้ว่า พี่กับดอกไม้ไม่ถูกกันนี่คะ” เขาบอกเสียงอ่อย พลางทำคอย่น
“ตะ แต่ว่าหนูดาวสงสารคุณน้านี่คะ” เสียงเธอเศร้าสร้อย และส่งสายตาอ้อนวอนเขาสุดกำลัง
แสงอาทิตย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียมิได้
กระจกรถฝั่งร้อยดาวค่อยๆ เลื่อนลง เพียงครู่เดียว ร่างหนาของชายที่พิการตั้งแต่ข้อมือซ้ายลงก็มาก้าวมาถึงประตูรถด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พวงมาลัยพวงหนึ่งจ๊ะ”
“เอากุหลาบสักช่อด้วยไหมหนู น้าขายให้ถูกๆ” เขาบอกร้อยดาวพลางบุ้ยใบ้ให้เธอมองในถังพลาสติกสีดำ ซึ่งเขาสะพายไว้ที่ไหล่ ดอกกุหลาบสีแดงสดล้วนมีสภาพกลีบช้ำ บางดอกก้านหักงอ
ร้อยดาวหันไปมองหน้าแสงอาทิตย์ ดวงหน้าขาวจัดส่ายปฏิเสธ เพียงแค่พวงมาลัยพวงเดียว คนแพ้กลิ่นดอกไม้อย่างเขาก็พะอืดพะอมเต็มทีแล้ว
“ไม่รับดีกว่าค่ะคุณน้า” ร้อยดาวตอบอย่างสุภาพ
หลังจากรับพวงมาลัยมา แสงอาทิตย์ก็ยื่นเงินให้หญิงสาวคนจ่ายค่าพวงมาลัย ช่วงเวลานั้นมีสายลมปริศนาพัดผ่านมาวูบใหญ่
สายลมนั้นหอบทั้งฝุ่นดิน เศษขยะตามท้องถนนปลิวสู่ท้องฟ้า แต่ที่ทำให้ร้อยดาวต้องชะงักค้าง คืออากัปกิริยาแปลกประหลาดของคนขายพวงมาลัย!
จู่ๆ ร่างอวบหนาชักกระตุกอย่างบ้าคลั่ง เขาดูคล้ายคนเป็นลมบ้าหมู หรือที่ยิ่งร้ายกว่า เขาอาจถูกมนต์ดำเล่นงาน!
คนขายพวงมาลัยยืนโงนเงนไปมา ร่างกายเขาเสียการควบคุมตัวเอง เหมือนจะล้มฟุบลงบนพื้นถนน สิ่งซึ่งน่าสยองเกล้าที่สุด คือนัยน์ตาเขาเหลือกถลน แลเห็นเพียงลูกตาขาวปลิ้นออกมานอกเบ้า!
“คุณน้าเป็นอะไร คะ!” ร้อยดาวร้องถามด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นร่างนั้นสั่นจัดมากเท่าไหร่ ยิ่งประ
หวั่นใจ ห่วงว่าเขาอาจช็อกจนสิ้นสติ และดวงตาเธอต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากหนาสีคล้ำจัดขยับไหว ก่อนจะมีเสียงพูดออกมา
“ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!” เสียงคนขายพวงมาลัยแหบต่ำ และทรงพลังอย่างน่าพรั่นพรึง
“อะไรนะคะ!” ร้อยดาวถามด้วยความสงสัยในข้อความชวนพิศวง ประหนึ่งมีพลังเร้นลับซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเขาก็ตอบประโยคเดิมกลับมาให้ชวนขนลุกอีกครั้ง
“ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!” เอ่ยจบนิ้วชี้หงิกงอพลันชี้พรวดเข้ามาในห้องโดยสาร ตรงไปหาแสงอาทิตย์!
คนถูกชี้หน้าหัวเสียเป็นที่สุด เขาตวาดเสียงห้วนต่ำออกมา
“คนสมัยนี้พิลึกฉิบ ชอบหากิน บ้าๆ บอๆ ”
แสงอาทิตย์กดปุ่มกระจกเลื่อนปิด แต่เสียงใสของร้อยดาวร้องห้ามไว้
“อย่าพึ่งค่ะ พี่อาทิตย์ ท่าทางแกจะไม่สบายมาก เราลงไปช่วยก่อนดีไหมคะ”
“แหงละ ไม่สบายมาก ท่าทางจะเพี้ยนเชียวละ ดีไม่ดีเดี๋ยวขอเงินค่าทำขวัญด้วย เชื่อพี่มั้ย!” อันที่จริงเขาไม่ใช่คนใจร้ายอะไร แต่ไม่อยากมองโลกในแง่ดีนัก ภัยที่มองไม่เห็นอาจมาในทุกรูปแบบ และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาต้องรีบไปส่งร้อยดาวให้ทันเข้าห้องสอบ
จากนั้นสติชายวัยกลางคนค่อยๆ คืนเป็นปกติ สีหน้ากลับมาเป็นยิ้มแย้ม จะมีเพียงแต่คำพูดเท่านั้นที่ทำให้แสงอาทิตย์นึกฉุนขึ้นมาอีก
“จำไว้นะหนู เมื่อไหร่ที่เทวดากลับสวรรค์ หนูจะต้องระวังตัว...”
“ไปกันหมดแล้ว สมง สมอง” แสงอาทิตย์คำรามฮึ่ม หมดความอดทนตอนนั้นเอง เขากดปุ่มเลื่อนกระจกใส่หน้าคนขายพวงมาลัย ถึงร้อยดาวจะทำเสียงเขียวใส่ แต่เขาก็ไม่ฟัง
“ตุ๊กแกร้องทักยังต้องฟัง แล้วนี่คนเป็นๆ นะคะพี่อาทิตย์ ทำไมไม่ฟังเขาบ้าง”
“โอ๊ะ ...พี่อยากฟังอยู่หรอก แต่ท่าทางเพี้ยนขนาดนั้น หนูดาวจะให้พี่อาทิตย์ เชื่อเป็นตุเป็นตะเรื่องที่แกบอกอีกเหรอ พี่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหนูดาวตอนนี้ คือเปิดหนังสืออ่านทบทวนก่อนเข้าห้องสอบดีกว่าไหม ห่วงตัวเองก่อนเถอะหนูดาว แล้วค่อยไปสนใจคนอื่น!”
“พี่อาทิตย์กำลังว่าหนูดาวหรือคะ” ร้อยดาวหน้าแดงก่ำ น้อยใจเขาที่ใช้คำพูดรุนแรงเช่นนี้
“ใช่ คราวนี้คงต้องดุกันบ้าง ใกล้เวลาเข้าห้องสอบแล้ว อย่าวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง จบแค่นี้นะ!” แสงอาทิตย์ปั้นสีหน้าจริงจัง คนที่มีรอยยิ้มแต้มบนดวงหน้าเสมอกลายเป็นคนหน้าบึ้งตึง คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขาก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคำพูดจากชายพิการถึงทำให้เขาฉุนเฉียว และรู้สึกโกรธจนหัวเสียได้เพียงนี้
กระนั้นเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสี่แยกที่การจราจรหนาตา ในหัวแสงอาทิตย์ยังคงได้ยินเสียงชายขายพวงมาลัยดังก้องไปมา
‘ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!’
ยามนี้แสงอาทิตย์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ข้อความนี้มีปริศนาใดซ่อนอยู่!!
บทที่๑
เช้าตรู่วันจันทร์หลังฝนตกหนักตลอดคืน ทำให้บรรยากาศของเมืองใหญ่และท้องถนนแปลกตาออกไป ความสดชื่นแต่งแต้มต้นไม้ รวมถึงบ้านเรือนสองข้างทาง ในอากาศยังคงมีความชื้นโรยตัวหนาหนัก
แสงอาทิตย์ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวผิวขาว ผู้มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนดวงหน้าเสมอ ผินหน้ามองร้อยดาวตุ๊กตาหน้ารถด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรักและห่วงใย ทั้งคู่รู้จักกันมาราวสิบปี เริ่มต้นจากเหตุการณ์ในยามสายวันหนึ่ง เมื่อลูกบาสเกตบอลซึ่งเขาเตรียมชู๊ตลงห่วง ลอยข้ามรั้วบ้านลงไปตกบนศีรษะร้อยดาวซึ่งนอนอ่านหนังสือใต้ต้นหูกวางพอดี
‘เฮ้ ทำอะไรของนาย ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนอยู่ตรงนี้!’ เสียงแว้ดแหวดังอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาโตวาววับของร้อยดาวที่อยู่ในวัยแปดย่างเก้าขวบจับจ้องร่างสูงเก้งเก้งซึ่งโผล่พ้นแนวรั้วไม้หลังบ้านเธออย่างเอาเรื่อง
และเป็นช่วงเวลานั้นเอง ที่ภาพเด็กหญิงผมยาวเส้นเล็กดำขลับ ผู้ดวงหน้าเรียวเล็ก ดวงตาหวานระยับ พร้อมคิ้วปากจมูกซึ่งรับกันอย่างลงตัว สะกดสายตาเด็กหนุ่มนามว่าแสงอาทิตย์ให้ตกอยู่ในภวังค์!
แสงอาทิตย์มองดวงหน้านั้นเนิ่นนานอย่างใช้ความคิด ละม้ายว่าเขาเคยพบพานจากที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นในฝัน หรือ…ดินแดนห่างไกล อีกโลกหนึ่งก็สุดที่เขาจะคาดเดาได้
‘จะยืนงงอีกนานไหม ขอโทษสักคำเป็นหรือเปล่า!’ ปรกติร้อยดาวไม่ใช่คนที่มีอารมณ์รุนแรงวี้ดว้ายใส่คนอื่นก่อน แต่ความตกใจ และอารามเจอคนแปลกหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สติเลยเตลิดไปไกล แถมคนแปลกหน้ายังเป็นเด็กหนุ่มเสียด้วย เธอจึงมีอาการเก้อเขิน กอปรกับหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นโครมครามปานจะทะลุออกมานอกอก เลยส่งผลให้เธอทั้งประหม่าและตื่นเต้น จนต้องแก้เก้อด้วยการโวยวายใส่เขา
ร้อยดาวยันตัวลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ก้าวไปเมียงมองรั้วหลังบ้าน ตั้งแต่เกิดและจำความได้ บ้านปูนโบราณหลังงาม ไม่เคยเห็นมีคนมาอาศัย คุณยายสมทรงเคยเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนั้นเป็นของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ต่อมามีชาวต่างชาติกับภรรยาซื้อเก็บเอาไว้ กระนั้นเธอก็ไม่เคยเห็นใครสักคน บางครั้งยังเคยคิดว่าเป็นบ้านผีสิงด้วยซ้ำ
แต่แล้ววันนี้กลับมีลูกบาสเกตบอลลอยข้ามฟากมา พร้อมการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มแปลกหน้า
‘โอ้! อามโซซอรี่จริงๆ ยูโอเค้ไหม’ เสียงห้าวถามเป็นภาษาอังกฤษปนไทยสำเนียงแปร่งๆ ก่อนที่ร่างสูงเก้งก้างจะเตรียมปีนข้ามรั้วมาเก็บลูกบาสเกตบอลเจ้าปัญหา
‘อ้าว ฝรั่งดองนี่นา ดีจะได้แอบแช่งเสียเลย อิๆ’ ร้อยดาวว่าพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ จากนั้นก็รีบฉวยเอาลูกบาสเกตบอลมากอดไว้ พอเห็นคนตัวโตปีนขึ้นมานั่งบนขอบรั้ว เธอออกวิ่งตัวปลิวนำหน้าเขา พลางร้องตะโกนโหวกเหวกลั่นบ้าน
‘คุณยายขา คุณแม่ขา ขโมยฝรั่งดอง ปีนเข้าบ้านแล้วค่า!’ เสียงร้องของเธอและการออกวิ่งอย่างเร็ว จนคนที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าในเรือนไม้สองชั้นตกอกตกใจกันใหญ่
‘เป็นอะไรหนูดาว ร้องทำไมลูก’ คุณยายสมทรงถามไถ่หลานสาว พร้อมกับยกมือกุมหน้าอกตนเองเอาไว้ ท่านเป็นโรคความดันสูง หากตกใจหรือเกิดความเครียดจะทรงผลให้อาการกำเริบ
‘ดูโน้นซีคะ คุณยาย ขโมยฝรั่งดองปีนรั้วเข้ามาในบ้านเรา ชิ้วๆ’ ร้อยดาวบอกคุณยาย พลางใช้มือข้างที่ว่างไล่เด็กหนุ่มซึ่งวิ่งไล่กวดตามมา
คุณยายมองปฏิกิริยาไม่น่ารักของหลานสาวแล้วได้แต่ถอนหายใจ ท่านรู้ว่าเหตุในครั้งนี้คงเป็นเรื่องสนุกมากกว่าจะมีขโมยปีนรั้วเข้าบ้านจริงๆ เมื่อมองไปด้านหลัง คุณยายเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวตัวสูง เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นพอดีตัว ด้านล่างเป็นรองเท้าสำหรับเล่นบาสเกตบอลคู่ใหญ่ ผิวพรรณและการแต่งกาย ดูแล้วไม่มีวี่แววหัวขโมย ครั้นหันหน้ากลับมามองที่หน้าบ้าน เห็นหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นแขกมาเยือน คุณยายก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเป็นลูกเต้าเล่าใคร
‘มีอะไรกันหรืออาทิตย์ ถึงได้วิ่งตึงตังแบบนั้น’ หญิงวัยกลางคนผู้มีโครงหน้าสวยหวาน และเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นธรรมชาติ สีหน้าไม่สู้ดียามที่เอ่ยถามเด็กหนุ่ม
ดวงหน้ายาวขาวอมชมพู ขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากบางเม้มชิดไม่ยอมตอบคำถามนั้น สายตาคมจับจ้องร้อยดาว ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลงไปที่ลูกบาสเกตบอลซึ่งเธอกอดไว้ข้างตัว
คุณยายสมทรงเห็นว่าสถานการณ์นี้คงเป็นเรื่องเพียงการหยอกเย้าของเด็กๆ จึงชวนแขกคุยต่อ
‘ตาหนูนี่คือลูกชายคุณนาย ที่เราเพิ่งพูดถึงตะกี้ใช่ไหม ดูซีหน้าตาได้แม่มาเยอะเชียว ตัวก็สู้ง สูง’
‘ใช่ค่ะ คนนี่ละที่ฉันพูดถึง ชื่อเล่นอาทิตย์ … คล้องกับชื่อจริงว่าแสงอาทิตย์ค่ะ’ หญิงวัยกลางแนะนำลูกชายของเธอให้เจ้าของบ้านรู้จัก ก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มขยับเข้ามารวมกลุ่ม
‘อาทิตย์ มาตรงนี้ …สวัสดีคุณยายสมทรงกับคุณน้าสิลูก’
แสงอาทิตย์ทำตามที่มารดาบอกด้วยกิริยาน้อมน้อม ตามธรรมเนียมคนไทย
ร้อยดาวมองเขาตาโต ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของร่างสูงเก้งก้างนั้นจะมือไม้อ่อน แถมไหว้สวยกว่าเธอเสียด้วย เห็นแล้วอารมณ์หงุดหงิดพลันพลุ่งท่วมใจเธอ
‘แสงอาทิตย์หรือลูก ชื่อเพราะ รูปก็งาม ทานอะไรมาหรือยัง ยายมีบัวลอยไข่หวานร้อนๆ อยู่ในครัว กินสักถ้วยไหม’ คุณสมทรงชวนเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู แทนที่เขาจะปฏิเสธกลับตอบด้วยรับด้วยคำพูดสนิทชิดเชื้อ ราวกับรู้จักคุณยายของร้อยดาวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
‘ขอบคุณมากครับคุณยาย ผมกำลังหิวพอดีเลย’ น้ำเสียงห้าวเท่ ขัดกลับท่าทางเรียบร้อยของเขาเหลือหลาย และคุณสมทรงก็ชอบใจ ยิ้มแก้มปริ
‘คุณยายขา หนูดาวยังไม่อิ่มเลย’ ร้อยดาวร้องห้าม เธอแผลงฤทธิ์เหมือนเด็กหวงของกินจนผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่พากันส่งเสียงหัวเราะออกมา
‘โธ่ หนูดาว บัวลอยหม้อเบ้อเริ่มทานคนเดียวไม่หมดหรอก แบ่งพี่เขาทานสักถ้วยสองถ้วยจะเป็นไรไป’ แม่ของเธอเอ่ยเสียงแจ่มใส มากกว่าจะเป็นการปรามคนหวงของกินไม่เข้าท่า
‘ไม่ได้นะคะ หนูดาวไม่ยอม’ ร้อยดาวพูดพร้อมกับหันไปจ้องหน้าแสงอาทิตย์ และเหมือนว่าเธอต้องเขย่งปลายเท้าด้วยซ้ำ ถึงจะเห็นหน้าเขาชัดๆ คิดดูเถอะตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามาแย่งของกินในครัว รับรองได้ว่าเธอต้องอดรับประทานบัวลอยไข่หวานฝีมือคุณยายแน่นอน
‘หนูดาวจะกินคนเดียวหมดหม้อเลย ไม่แบ่งให้ใครกินหรอกค่ะ’ ร้อยดาวยืนยันด้วยกิริยาไม่น่ารัก เธอเบ้ปากใส่เด็กหนุ่ม ทำตาพองโตด้วยความขุ่นเคืองใจ
‘เอ ทำไมจู่ๆ ทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ละหนูดาว พี่เขามาเยี่ยมบ้านแท้ๆ เดี๋ยวต่อไปจะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ต้องรักกันมากๆ รู้ไหม’ มารดาสอนร้อยดาวแต่ตอนนี้เธอไม่อยากฟัง แถมต่อต้านด้วยการชี้หน้าแสงอาทิตย์ และเริ่มฟ้องมารดาถึงความผิดของเขา
‘นายคนนี้แกล้งโยนลูกบาสมาใส่หัวหนูดาว คุณแม่ดูซี หัวยังโนอยู่เลย เจ็บจนน้ำตาไหลด้วย!’ พอสบโอกาสเธอก็โยนลูกบาสเกตบอลที่เด็กหนุ่มจ้องตาเป็นมันเข้าในบ้าน ด้วยจงใจแกล้งเขา
‘ผะ ผมเปล่านะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจ สาบานได้!’ เด็กหนุ่มตอบภาษาไทยชัดแจ๋ว คำพูดเขายิ่งทำให้ร้อยดาวหมั่นเขี้ยว หน้าตาดูต่างชาติปานนั้น แต่พูดไทยเก่งเกินเหตุ! ได้ยินได้เห็นหน้าแล้ว รู้สึกขวางหู ขวางตาชะมัด
‘มันใจว่าอุบัติเหตุ แล้วทำไมลูกบาสถึงมาถูกหัวหนูดาวพอดีล่ะ!’ คนเจ้าคิดเจ้าแค้นถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
‘ผมไม่ทราบ’ ดวงหน้าแสงอาทิตย์ บอกให้รู้ว่าไม่ได้โกหก คุณยายกับมารดาเธอก็คล้อยตามคำพูดเขาโดยง่าย
‘พี่เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกหนูดาว ไปเร้ว พาพี่เขาไปในครัว ดีกว่า ทานบัวลอยอร่อยๆ แล้วค่อยคุยกัน’ มารดาเธอกล่าวจบก็ทั้งลากทั้งดึงให้ร่างเล็กเดินเข้าไปในครัว โดยมีร่างสูงเก้งก้างที่ดวงหน้าระบายรอยยิ้มก้าวตามหลัง
เหตุการณ์ครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้แสงอาทิตย์กับร้อยดาวได้รู้จักกัน ด้วยความที่คุณยายกับมารดาเธอรู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูแสงอาทิตย์เป็นพิเศษ จึงรับสองแม่ลูกเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวไปโดยปริยาย
.................
แสงอาทิตย์อมยิ้มน้อยๆ ยามที่แอบเหล่ร้อยดาวซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังวุ่นวายกับสารพัดสิ่งรอบตัว วันนี้ร้อยดาวมีการสอบประจำภาคเรียนฤดูร้อน เธอสอบเข้าได้ในปีที่ ๑ ของมหาวิทยาลัยปิด ในสาขาเทคโนโลยีการพิมพ์ ส่วนแสงอาทิตย์เรียนจบและได้งานเป็นผู้ช่วยภาควิชาวิศวกรรมโยธาส่วนห้องทดสอบ และเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการเรียนในระดับปริญญาโทด้วย
“พี่บอกแล้วไงคะ ว่าไม่ต้องรีบ วันนี้รับรองไปทันสอบแน่นอน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ตั้งแต่เขาขับรถไปรอรับที่หน้าบ้านร้อยดาวเขาเห็นเธอวิ่งผลุบเข้าผลุบออกเรือนไม้สองชั้นสองถึงสามรอบแล้ว
ดวงหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นจากข้าวของที่วางบนตักทั้งกระเป๋าถือใบเก่ง และตำราเรียน
“หนูดาวตื่นเต้นนี่คะ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย รู้อย่างนี้ไม่อ่านหนังสือก่อนนอนก็ดีหรอก” ร้อยดาวเอ่ยด้วยเสียงวิตกกังวล สีหน้าไม่ค่อยสดใส เธอเป็นคนมีนิสัยแปลกสักหน่อย เวลาตื่นเต้นจัด หรือยามที่มีสิ่งสำคัญเข้ามาในชีวิต เธอจะอยู่ไม่นิ่ง ชอบทำสิ่งเปิ่นๆ ให้คนรอบตัวได้อึ้งอยู่เสมอ บางทีก็จู้จี้ขี้บ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนที่ไม่รู้จักอาจจะไม่ชอบใจ แต่สำหรับคนคุ้นเคยอย่างแสงอาทิตย์ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เธอเป็น คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากจะหาใครเลียนแบบได้
“พี่เตือนแล้วไงคะ คืนก่อนสอบให้ทบทวนเฉยๆ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน เดี๋ยวไปหลับในห้องสอบจนได้ละ”
“นั่นสิคะ พอพี่อาทิตย์พูดปุ๊บ หนูดาวง่วงปั๊บเลย” หญิงสาวเออออตาม ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มแอบประชด
ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ กับคนที่ดูเหมือนจะซื่อจนเกินเหตุ
“ง่วงจริงๆ นะ หนูดาวไม่ขี้จุ๊สักนิด” เธอยืนยันพร้อมยกมือเล็กๆ ปิดปาก การกระทำแบบไม่ห่วงสวยของเธอเหมือนลูกแมวขี้เซา ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มชอบใจ เขาชอบมองเธอในทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะการแสดงออกที่ไร้จริตยิ่งทำให้เขาตกหลุมรัก หญิงสาวคนนี้จนยากที่จะถอนตัว
“มองอะไรคะ พี่อาทิตย์” เมื่อหญิงสาวรู้สึกถูกจับจ้องด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ อาการเก้อเขินก็ตามมา ร้อยดาวส่งเสียงใสๆ ต่อว่าเขา พร้อมกับค้อนด้วยสายตาหวานวับ
“มองเด็กไม่รู้จักโตนะซี” เขาว่าพร้อมกับทำมือล้อเลียน ขนาดรูปร่างเธอ
ร้อยดาวมีรูปร่างกะทัดรัด ความสูงเหมือนจะหยุดอยู่กับที่ตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้น ถึงรูปร่างจะเล็กแต่ก็สมส่วน ดูงดงามน่าทะนุถนอม
“แหม! ใครจะสูง เป็นเสาไฟฟ้าอย่างพี่อาทิตย์ละคะ นี่ถ้ายังไม่หยุดสูงอีก ต่อไปหนูดาวจะไม่คุยด้วยแล้วนะ” น้ำเสียงคนพูดกระเง้ากระงอด
แสงอาทิตย์เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทั้งรูปร่างและหน้าตา มะลิ มารดาเขาเป็นลูกครึ่งไทยกับสหรัฐอเมริกา ส่วนคุณพ่อเป็นชาวแคนนาดา เขาจึงได้ความสูง ความสง่าสมชายชาตรีจากพ่อ เค้าโครงหน้าถอดแบบมาจากฝ่ายแม่ ผิวพรรณขาวราวกับผิวไข่ขาวต้มสุก สีผม สีตาโดดเด่น เรียกได้ว่าความหล่อเหลาเข้าตาทุกคนที่พบเห็น
“อ้าว...พี่ผิดอะไรละเนี่ย พูดแปลกๆ นะเรา” ชายหนุ่มทำหน้าเหลอหลา เมื่อหญิงสาวโยนความผิดให้เขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“แหงละ พี่อาทิตย์ทำอะไรก็ผิดหมดนั่นแหละ โดยเฉพาะชอบแย่งขนมคุณยายไปกินตั้งแต่เด็กๆ จนหนูดาวตัวแค่นี้!” น้ำเสียงหญิงสาวไม่ได้จริงจัง เหมือนดวงตาซึ่งแสร้งหรี่เล็กลงมองเขาอย่างจับผิด
“พี่ชอบได้ยินหนูดาวบ่นว่ากลัวอ้วนนี่คะ พี่อาทิตย์เลยช่วยทานไง แล้วพอคุณยายบอกให้ช่วยทำขนมในครัว หนูดาวก็บ่นปวดหัว บ่นว่าร้อน เป็นแบบนี้ ใครกันน้า ที่ผิด!” แสงอาทิตย์ไขข้อข้องใจร้อยดาว ทุกวันหลังเลิกเรียนและตลอดช่วงวันหยุดเขาจะมาขลุกตัวอยู่ที่บ้านเธอ โดยมีหน้าที่รับใช้ทุกอย่าง ทั้งงานเล็กงานใหญ่ คอยดูแลสวน งานสารพัดช่าง และที่ทำให้คุณสมทรงชอบนักหนาคือคอยเป็นลูกมืออันดับหนึ่งในครัว
“ไม่รู้ละ พี่อาทิตย์ชอบมาแย่งความรักของคุณยายไปจากหนูดาว!” ร้อยดาวยกเหตุผลที่แสนประหลาดมาต่อว่าเขา
การที่ร้อยดาวทำหน้าแสนงอน มีคำพูดประหลาดๆ มาต่อว่าแสงอาทิตย์ เขารู้ว่าหญิงสาวพยายามหาเรื่องคุยแก้อาการเก้อเขิน ดวงหน้าเธอแดงระเรื่อ จมูกเล็กๆ ที่ปลายเชิดรั้นก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูจัด!
“โธ่ ถึงพี่ไม่แย่งของกินหนูดาว หรือไม่ไปช่วยงานในครัว คุณยายกับคุณน้า ก็ยกให้พี่เป็นคนโปรดของบ้านอยู่ดี หนูดาวคงลืมไปแล้วมั้ง ว่าตัวเองเป็นเด็กที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่กองขยะหลังบ้าน คุณยายท่านสงสารเลยเก็บเอามาเลี้ยง” คราวนี้คำพูดที่แหย่แรงๆ ของชายหนุ่มทำให้ดวงหน้าเรียวเล็กงอคว่ำ
“ว่าจะไม่โกรธหรอกนะ แต่ชอบยั่วโมโหอยู่เรื่อย!” ร้อยดาวกล่าวจบก็ยกนิ้วโป้งใส่หน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “โกรธกันร้อยปี อย่ามาดีกันร้อยชาติ!”
“แน่ใจนะว่า หนูดาวจะโกรธพี่จริงๆ” ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างจับผิดในสีหน้า
ร้อยดาวไม่ตอบหากเบ้ปากใส่เขา แถมส่งค้อนขวับให้อีกวงใหญ่
“โอเค! พี่ไม่ง้อ นะ” แสงอาทิตย์ว่าพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แต่อีกฝ่ายพยายามหลบหน้าหลบตาสุดฤทธิ์
“ไม่ต้องมายุ่ง รีบขับรถไปเลย เบื่อคนชอบขัดใจ!” ร้อยดาวกัดฟันเสียงดังกรอด รู้ว่าเขาชอบยั่วอารมณ์ให้โกรธ พอเธอมีอาการกระฟัดกระเฟียดใส่ เขาจะตามง้อ และดูเหมือนเขาชอบทำหน้าที่นี้เสียเหลือเกิน!
“แน่จริงห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะนะ พี่จะคอยดูว่า คนขี้เหร่จะทำหน้าหงิก หน้างอได้ซักกี่น้ำ” เขาว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงในรถยนต์ ตอนแรกเป็นเพลงในจังหวะสนุกสนาน และด้วยความที่เปิดเสียงดังจนเกินไป ทำให้คนข้างกายหันมาแยกเขี้ยวใส่ พร้อมตั้งท่าส่งกำปั้นน้อยๆ ไล่ทุบลงบนเนื้อตัวเขา
“กลัวแล้วจ้า อูยๆ ดูกำปั้นสิ ใหญ่กว่ามดแดงนิดนึงได้มั้ง” แสงอาทิตย์ยั่วโมโหเสร็จก็เปลี่ยนเพลงใหม่ คราวนี้เป็นเพลงในจังหวะฟังสบายๆ เข้ากับบรรยากาศหลังฝนตกหนักตลอดคืนได้อย่างดี
..............
เสียงเพลง Can't Help Falling in Love จากเครื่องเล่นในรถเก๋งสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ ขับกล่อมทั้งคนขับรถและตุ๊กตาหน้ารถให้อยู่ในอารมณ์หวานละมุมละไม
ร้อยดาวแอบเหล่คนขับเล็กน้อย แสงอาทิตย์ฮัมดนตรีอย่างอารมณ์ดี และมิวายทำหน้าล้อเลียนเธอไปด้วย แต่ความแง่งอนยังมีมากท่วมใจ เธอจึงเม้มริมฝีปากแน่น ขึงตาโตๆ จ้องเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้
รถเก๋งเคลื่อนตัวออกจากซอยเล็กๆ ในหมู่บ้านของทั้งคู่ได้พักใหญ่ แสงอาทิตย์ก็เอ่ยขึ้น
“สอบวันแรก หนูดาวต้องตั้งใจทำนะคะ ห้ามแอบงีบ ห้ามออกห้องสอบคนแรกเด็ดขาด”
ร้อยดาวรู้ว่าเขาพูดด้วยความหวังดี เธอจึงพยักหน้าน้อยๆ แทนการพูดคุยกับเขา เพราะยังเคืองอยู่
“แล้วที่จดโน้ตซ่อนไว้ในเข็มขัด หรือเขียนใส่มือไว้ ก็เอาไปทิ้ง ลบออกให้หมดซะ โตแล้วห้ามโกงข้อสอบรู้ไหม ทำแบบนี้ไม่ดี เสียชื่อเสียงหมด” เขาแกล้งพูดเพื่อให้หญิงสาวตอบโต้คืน แต่ร้อยดาวยังปิดปากเงียบ แถมแก้เผ็ดเขาด้วยการหยิกต้นขายาวๆ ของชายหนุ่มไปหนึ่งที
“โอ๊ย! ….ใจร้ายจริงๆ เลย นี่ถ้าพี่ขับรถไม่ได้ จะทำยังไง เดี๋ยวไปสอบกันไม่ทันพอดี” แสงอาทิตย์แกล้งโวยวาย ร้อยดาวรู้ทันคนเจ้าเล่ห์ เธอชูกำปั้นเล็กๆ เงื้อง่าตั้งท่าจะต่อยเขา
“เดี๋ยวเถอะ ชอบตบ ชอบตี ทำร้ายพี่ดีนัก ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่ด้วยแล้ว อยากรู้จริงๆ จะมีใครมาสนใจหนูดาวมั้ย!” แสงอาทิตย์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงพูดเช่นนั้นออกไป ซึ่งแม้แต่คนพูด ก็รู้สึกว่าหัวใจโหวงเหวงพิกล
ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูของร้อยดาวแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับปากเป็นคำพูดที่ไร้เสียงว่า
‘หนูดาวไม่แคร์!’
แสงอาทิตย์ทำเสียงฮึ! ในลำคอ ก่อนจะรีบสวนกลับ
“ไม่เชื่อหรอก ถ้าพี่ไม่อยู่จริงๆ คงนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่นอน แล้วดูเถอะ คนป้ำๆ เป๋อๆ อย่างหนูดาวนี่ รับรองเลยว่า ได้ขึ้นคานไปจนตาย!”
ร้อยดาวหน้าซีดเผือดลงไปถนัดตา จู่ๆ หัวใจเธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในถ้อยคำของเขา ประหนึ่งมีลางสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่กำลังจะเข้ามาสู่พวกเขาและเธอ!
หญิงสาวจึงยกมือเรียวเล็กโบกสื่อสาร ขอให้เขาหยุดคุยเรื่องที่ทำให้ใจคอไม่ดี
“โอ๋ๆ พี่ไม่พูดก็ได้ อย่าร้องไห้นะคนดีของพี่อาทิตย์” เขาทำเสียงจ๊ะจ๋า ราวกับปลอบโยนเด็กเล็ก ก่อนจะหยอดมุขตามประสาคนช่างพูดต่อ
“แล้วที่ตาแดงๆ เนี่ย กลัวขึ้นคานไปจนตาย หรือว่ากลัวพี่อาทิตย์จะไม่อยู่เป็นเบ้ รับใช้กันแน่ ฮ่าๆ”
ร้อยดาวได้ยินคำพูดชายหนุ่มแล้วก็พ่นลมหายใจแรงๆ ใส่หน้าเขาไปหนึ่งที ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นห่วง แต่กลับพูดเล่นโดยไม่คิดถึงจิตใจกันสักนิด
“โอเคนะ อย่าคิดมากสิ แล้วก็ทำหน้าให้สดชื่นด้วย ตอนนี้พี่ไม่มีเวลาคุยเล่น ต้องทำหน้าที่สารถีให้คุณหนูดาวไปนอนหลับในห้องสอบ... ครอกฟี้” เอ่ยไม่ทันจบประโยคดี กำปั้นน้อยๆ ของตุ๊กตาหน้ารถก็ซัดใส่ไหล่เขา
“โอ๊ย ไม่รักพี่อาทิตย์หรือไงคะ ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย!”
ร้อยดาวหงุดหงิดคนเหลี่ยมจัด ช่างพูดกวนโมโหเหลือกำลัง เธอจึงยกสองหมัดชูหรา คราวนี้ตั้งใจปล่อยใส่ที่ตัวเขาแบบไม่ยั้งมือ
“พอแล้วจ้า กลัวแล้ว พี่อาทิตย์กลัวแล้ว” เขาทำเป็นตัวสั่น น้ำเสียงเหมือนจะยอมศิโรราบต่อเธอจริงๆ
.................
รถขับออกมาได้ครึ่งทางแสงอาทิตย์ก็เอ่ยถามร้อยดาวถึงการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านเขา
“เออ เย็นนี้คุณแม่ ให้ชวนไปทานข้าวที่บ้าน ทานเสร็จแล้ว เราออกไปทานไอศกรีมกันนะคะ”
ทั้งที่ได้สิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย แต่ร้อยดาวยังเล่นบนนิ่ง ไม่ยอมคุยกับเขาเช่นเดิม
“พอเถอะหนูดาว เลิกนั่งอมขี้ฟันได้แล้ว พี่ยอมเป็นคนผิดเอง ผิดทุกอย่างทุกเรื่อง ทุกเวลา จบมั้ย!” ทั้งน้ำเสียงสีหน้าของเขาบอกให้รู้ว่าทรมานเหลือเกินยามที่เธอ วางมาดนิ่งไม่ยอมส่งเสียงใสๆ เจื้อยแจ้วกับเขา
ร้อยดาวชี้มือไปที่ชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเสียงสูงกว่าปกติกับเขา “รู้ว่าตัวเองผิดก็ดีแล้ว ต่อไปอย่าทำให้สุภาพสตรีเสียใจอีก เป็นลูกผู้ชายต้องอนทน โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนสวยแสนดีอย่างหนูดาว”
แสงอาทิตย์ทำตาโต อ้าปากหวอ แม้อยากจะขำเต็มแก่ ที่ร้อยดาวชมตัวเองหน้าตาย แต่เขาพยายามอดกลั้น กลัวเธอจะงอนตุ๊บป่องอีก
“ได้ๆ พี่ยอมคุณร้อยดาวเสมอ ยอมคนเดียว จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
“บ้าจริง วันนี้พี่อาทิตย์พูด แต่เรื่องไม่ดี หนูดาวใจเสียรู้ไหม ห้ามพูดแบบนี้อีก ไม่งั้นจะไม่คุยด้วยแล้ว” ร้อยดาวเสียงสั่น ความกลัวจากส่วนลึกผุดท่วมใจ ยิ่งยามที่มองหน้าเขาแล้วเหมือนจะเห็นบางสิ่งฉายชัดออกมา โดยเฉพาะดวงตาคมซึ่งคล้ายมีความเศร้าเจืออยู่
“โถ ทำไมต้องคิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ด้วย ยังไม่แก่เสียหน่อยหนูดาว” แสงอาทิตย์ส่ายหน้า รู้ว่าร้อยดาวเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้
“แต่หนูดาวไม่ชอบ” ร้อยดาวยืนยันเสียงแข็ง
ทั้งคู่จมจ่อมอยู่กับความคิดตนเองนานหลายนาที กระทั่งหญิงสาวเป็นคนเอ่ยเสียงเรียบๆ ทำลายความเงียบ
“วันนี้วันเกิด ยายนกยูง หนูดาวคงไม่สะดวกไปงานสังสรรค์ครอบครัวที่บ้านพี่อาทิตย์หรอกค่ะ แล้วขากลับจากมหาวิทยาลัย ต้องแวะ ไปเอาเค้กวันเกิดยายนกยูงด้วย ” ร้อยดาวพูดถึงนกยูง หรือ รำแพนน้องสาวคนสวยของเธอ ผู้ที่เป็นศูนย์รวมคนทั้งบ้าน ด้วยความน่ารักสดใส และเก่งในทุกเรื่อง ผิดกับร้อยดาวลิบลับ เพราะสิ่งที่เธอถนัดสุดคือ การเป็นตัวโจ๊กประจำบ้าน
“อืมม์ วันเกิดนกยูงเหรอ พี่ลืมไปได้ไงเนี่ย ของขวัญก็ยังไม่ได้เตรียมด้วย” แสงอาทิตย์หัวเราะท้ายประโยค อันที่จริงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาแกล้งลืมวันเกิดรำแพนเสมอ แต่มิวายถูกรำแพนรบเร้าตามทวงของขวัญตลอด
แสงอาทิตย์ไม่ได้คิดหาของขวัญให้รำแพนสักเท่าไหร่ แต่ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นน้องสาวร้อยดาว คนที่เขารัก ดังนั้นจึงต้องแสดงความจริงใจต่อคนในครอบครัวเธอ สิ่งที่เขาคิดว่าจะมอบให้รำแพนหากไม่ใช่หนังสือสักเล่ม คงเป็นดีวีดีที่เพิ่งซื้อมาใหม่และยังไม่ได้เปิดดูนั่นเอง
“เอาอย่างนี้ดีไหม ขากลับแวะไปบ้านพี่แป๊บนึง ไปเตรียมของขวัญให้นกยูง และให้คุณแม่เห็นหน้าเราทั้งสองคนสักแวบก่อน แล้วค่อยแอบย่องออกมา” แสงอาทิตย์เสนอแผนของตนเอง วันนี้บ้านเขามีงานสังสรรค์ครอบครัว ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกวันจันทร์แรกของเดือน
“ทำแบบนั้นจะดีหรือคะ” ร้อยดาวรู้สึกไม่สบายใจหากต้องเสียมารยาทกับผู้ใหญ่
“ดีสิ ดีที่สุดเลย เย็นนี้ที่บ้านพี่คนคงเยอะแยะไปหมด รับรองคุณแม่จำไม่ได้หรอกว่า พี่กับหนูดาวออกจากบ้านตอนไหน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ปกติมารดาเขาสนใจเรื่องรับแขกและเพื่อนๆ ที่มาเลี้ยงสังสรรค์ครอบครัวราวกับเป็นภาระอันสำคัญยิ่งของชีวิต ดังนั้นหากเขาจะหายตัวไปไหนในช่วงเวลานั้น มารดาคงไม่ทันสังเกต เขาตั้งใจใช้ประตูเหล็กบานเล็กซึ่งทำไว้เป็นพิเศษสำหรับพาร้อยดาวออกจากบ้านตน
“ถ้าอย่างนั้น ตามใจพี่อาทิตย์เถอะค่ะ ขอแค่คุณป้ามะลิ ไม่ดุหนูดาวก็พอ ” ร้อยดาวตอบแล้วก็เสออกไปมองนอกรถ เวลานั้นรถค่อยๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดนิ่ง เนื่องจากติดสัญญาณไฟแดงบริเวณสี่แยกรอบเมือง
ร้อยดาวมองผ่านไปยังริมฟุตบาธ สายตาเหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนที่ตั้งแต่ข้อมือด้านซ้ายลงมาขาดหาย สภาพเขาไม่น่ามองสักเท่าไหร่ เสื้อยืดตัวเก่าที่สวมแลดูมอมแมม กางเกงที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนมีคราบเกรอะกรัง จะมีแต่พวงมาลัยที่เขาถือด้วยมือข้างขวาเท่านั้นที่ทำให้ภาพเขาดูต่างจากขอทานข้างถนน
“ซื้อพวงมาลัยช่วยน้าเขาหน่อยนะคะ พี่อาทิตย์”
ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก เขาคนแพ้กลิ่นดอกไม้เกือบทุกชนิด เพียงแค่ได้กลิ่นจะรู้สึกคันจมูก บางครั้งถึงขั้นมีผืนแดงลามไปทั้งแขนและหน้า
“หนูดาวก็รู้ว่า พี่กับดอกไม้ไม่ถูกกันนี่คะ” เขาบอกเสียงอ่อย พลางทำคอย่น
“ตะ แต่ว่าหนูดาวสงสารคุณน้านี่คะ” เสียงเธอเศร้าสร้อย และส่งสายตาอ้อนวอนเขาสุดกำลัง
แสงอาทิตย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตอย่างเสียมิได้
กระจกรถฝั่งร้อยดาวค่อยๆ เลื่อนลง เพียงครู่เดียว ร่างหนาของชายที่พิการตั้งแต่ข้อมือซ้ายลงก็มาก้าวมาถึงประตูรถด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พวงมาลัยพวงหนึ่งจ๊ะ”
“เอากุหลาบสักช่อด้วยไหมหนู น้าขายให้ถูกๆ” เขาบอกร้อยดาวพลางบุ้ยใบ้ให้เธอมองในถังพลาสติกสีดำ ซึ่งเขาสะพายไว้ที่ไหล่ ดอกกุหลาบสีแดงสดล้วนมีสภาพกลีบช้ำ บางดอกก้านหักงอ
ร้อยดาวหันไปมองหน้าแสงอาทิตย์ ดวงหน้าขาวจัดส่ายปฏิเสธ เพียงแค่พวงมาลัยพวงเดียว คนแพ้กลิ่นดอกไม้อย่างเขาก็พะอืดพะอมเต็มทีแล้ว
“ไม่รับดีกว่าค่ะคุณน้า” ร้อยดาวตอบอย่างสุภาพ
หลังจากรับพวงมาลัยมา แสงอาทิตย์ก็ยื่นเงินให้หญิงสาวคนจ่ายค่าพวงมาลัย ช่วงเวลานั้นมีสายลมปริศนาพัดผ่านมาวูบใหญ่
สายลมนั้นหอบทั้งฝุ่นดิน เศษขยะตามท้องถนนปลิวสู่ท้องฟ้า แต่ที่ทำให้ร้อยดาวต้องชะงักค้าง คืออากัปกิริยาแปลกประหลาดของคนขายพวงมาลัย!
จู่ๆ ร่างอวบหนาชักกระตุกอย่างบ้าคลั่ง เขาดูคล้ายคนเป็นลมบ้าหมู หรือที่ยิ่งร้ายกว่า เขาอาจถูกมนต์ดำเล่นงาน!
คนขายพวงมาลัยยืนโงนเงนไปมา ร่างกายเขาเสียการควบคุมตัวเอง เหมือนจะล้มฟุบลงบนพื้นถนน สิ่งซึ่งน่าสยองเกล้าที่สุด คือนัยน์ตาเขาเหลือกถลน แลเห็นเพียงลูกตาขาวปลิ้นออกมานอกเบ้า!
“คุณน้าเป็นอะไร คะ!” ร้อยดาวร้องถามด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นร่างนั้นสั่นจัดมากเท่าไหร่ ยิ่งประ
หวั่นใจ ห่วงว่าเขาอาจช็อกจนสิ้นสติ และดวงตาเธอต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อริมฝีปากหนาสีคล้ำจัดขยับไหว ก่อนจะมีเสียงพูดออกมา
“ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!” เสียงคนขายพวงมาลัยแหบต่ำ และทรงพลังอย่างน่าพรั่นพรึง
“อะไรนะคะ!” ร้อยดาวถามด้วยความสงสัยในข้อความชวนพิศวง ประหนึ่งมีพลังเร้นลับซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเขาก็ตอบประโยคเดิมกลับมาให้ชวนขนลุกอีกครั้ง
“ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!” เอ่ยจบนิ้วชี้หงิกงอพลันชี้พรวดเข้ามาในห้องโดยสาร ตรงไปหาแสงอาทิตย์!
คนถูกชี้หน้าหัวเสียเป็นที่สุด เขาตวาดเสียงห้วนต่ำออกมา
“คนสมัยนี้พิลึกฉิบ ชอบหากิน บ้าๆ บอๆ ”
แสงอาทิตย์กดปุ่มกระจกเลื่อนปิด แต่เสียงใสของร้อยดาวร้องห้ามไว้
“อย่าพึ่งค่ะ พี่อาทิตย์ ท่าทางแกจะไม่สบายมาก เราลงไปช่วยก่อนดีไหมคะ”
“แหงละ ไม่สบายมาก ท่าทางจะเพี้ยนเชียวละ ดีไม่ดีเดี๋ยวขอเงินค่าทำขวัญด้วย เชื่อพี่มั้ย!” อันที่จริงเขาไม่ใช่คนใจร้ายอะไร แต่ไม่อยากมองโลกในแง่ดีนัก ภัยที่มองไม่เห็นอาจมาในทุกรูปแบบ และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาต้องรีบไปส่งร้อยดาวให้ทันเข้าห้องสอบ
จากนั้นสติชายวัยกลางคนค่อยๆ คืนเป็นปกติ สีหน้ากลับมาเป็นยิ้มแย้ม จะมีเพียงแต่คำพูดเท่านั้นที่ทำให้แสงอาทิตย์นึกฉุนขึ้นมาอีก
“จำไว้นะหนู เมื่อไหร่ที่เทวดากลับสวรรค์ หนูจะต้องระวังตัว...”
“ไปกันหมดแล้ว สมง สมอง” แสงอาทิตย์คำรามฮึ่ม หมดความอดทนตอนนั้นเอง เขากดปุ่มเลื่อนกระจกใส่หน้าคนขายพวงมาลัย ถึงร้อยดาวจะทำเสียงเขียวใส่ แต่เขาก็ไม่ฟัง
“ตุ๊กแกร้องทักยังต้องฟัง แล้วนี่คนเป็นๆ นะคะพี่อาทิตย์ ทำไมไม่ฟังเขาบ้าง”
“โอ๊ะ ...พี่อยากฟังอยู่หรอก แต่ท่าทางเพี้ยนขนาดนั้น หนูดาวจะให้พี่อาทิตย์ เชื่อเป็นตุเป็นตะเรื่องที่แกบอกอีกเหรอ พี่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหนูดาวตอนนี้ คือเปิดหนังสืออ่านทบทวนก่อนเข้าห้องสอบดีกว่าไหม ห่วงตัวเองก่อนเถอะหนูดาว แล้วค่อยไปสนใจคนอื่น!”
“พี่อาทิตย์กำลังว่าหนูดาวหรือคะ” ร้อยดาวหน้าแดงก่ำ น้อยใจเขาที่ใช้คำพูดรุนแรงเช่นนี้
“ใช่ คราวนี้คงต้องดุกันบ้าง ใกล้เวลาเข้าห้องสอบแล้ว อย่าวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง จบแค่นี้นะ!” แสงอาทิตย์ปั้นสีหน้าจริงจัง คนที่มีรอยยิ้มแต้มบนดวงหน้าเสมอกลายเป็นคนหน้าบึ้งตึง คิ้วเข้มขมวดมุ่น เขาก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคำพูดจากชายพิการถึงทำให้เขาฉุนเฉียว และรู้สึกโกรธจนหัวเสียได้เพียงนี้
กระนั้นเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสี่แยกที่การจราจรหนาตา ในหัวแสงอาทิตย์ยังคงได้ยินเสียงชายขายพวงมาลัยดังก้องไปมา
‘ฝนตก แดดออก เทวดากลับสวรรค์!’
ยามนี้แสงอาทิตย์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ข้อความนี้มีปริศนาใดซ่อนอยู่!!
เขมปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ย. 2557, 13:25:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2557, 16:52:27 น.