ตั้งแต่วันที่ฉันตามหาเธอ
หญิงสาวจากเมืองกรุง ย้ายมาจังหวัดเชียงรายเพื่อทำงานที่เธอชอบ แม้ชีวิตเธอจะน่าเบื่อในบางช่วง แต่เธอยังมีร้านหนังสือของลุงรัญที่คอยทำให้เธอหายเหงา หนังสือหลายเล่มมีเรื่องราวความเป็นมา ชีวิตของเธอเดินทางตามตัวหนังสือจนเธอได้อ่านหนังสือของ ริชาร์ด บาค เรื่อง
"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล" หนังสือเล่มเล็กๆทำให้เธอได้พบกับบทกวีที่เขียนในเศษกระดาษ สอดไว้อย่างเรียบร้อย และบทกวีบทนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป
Tags: ตามหาความรัก บทกวี

ตอน: ๕

ร้านเช่าหนังสือของลุงรัญยังเงียบเหมือนเคย บางครั้งบรรยากาศมันเลยชวนให้คิดว่าลุงรัญรักษากิจการนี้ไว้ได้อย่างไร ในเมื่อร้านมีคนเช่าน้อยมากถ้าเทียบกับร้านอื่น แล้วไหนจะค่ากินอยู่ ค่าหยูกยายามไม่สบายอีก นั่นทำให้เจนฤทัยยิ่งห่วงแกเข้าไปอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากคุยเรื่องนี้กับลุงรัญสักที
“หนูเจน อ่านจบแล้วรึ หนังสือที่ยืมไปน่ะ”
เจนฤทัยส่ายหน้า เธอยิ้มเพื่อปกปิดความกังวลในใจเธอ คนถูกแอบห่วงยังยิ้มหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกอะไร มือไม้ที่จับหนังสือตลอดทั้งวันยังว่องไว เจนฤทัยไม่สามารถจินตนาการได้ว่าตอนแกหนุ่มๆ ลุงรัญแกทำงานพวกนี้ได้รวดเร็วแค่ไหน เพราะทุกครั้งที่แกหยิบจับหนังสือ มันมีทั้งทะนุถนอมและว่องไวคล่องแคล่วในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกสำหรับเธอ
“พ่อสันก็พึ่งออกไปได้สักพักนี่เอง”
“อ่อ ค่ะ”
“เป็นไงบ้างล่ะ ที่เอาไปอ่านน่ะ”
“ดีเลยล่ะค่ะ”เจนยิ้มให้ สายตามองไปยังชั้นที่มีหนังสือกวีและนิยายเชิงปรัชญาหลายเล่มวางเรียงอยู่
“หนังสือหรือในกระดาษล่ะ ที่ว่าดีน่ะ”
เจนหันกลับมายิ้มอีกรอบ วางกระเป๋าสะพายไว้บนม้านั่งหน้าเคาน์เตอร์ เธอค้นกระเป๋าอยู่ครู่ก่อนจะหยิบหนังสือของซะการีย์ยา อมตยาออกมาวางไว้ “เล่มนี้ดีมากค่ะ จะถามอยู่พอดีเลยว่ามีแบบแปลภาษาอังกฤษไหมคะลุงรัญ พอดีจะยืมไปให้ไทล่าอ่าน”
“มีซิ ตามมาเลย”
ลุงรัญตอบแล้วเดินนำจากเคาน์เตอร์หน้าไปยังชั้นที่เจนฤทัยมองอยู่เมื่อครู่ ท่ามกลางหนังสือนับร้อย ๆ เล่ม ลุงรัญหยิบมันออกมาโดยไม่ต้องมองหาเลยไม่แต่น้อย นั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจนแปลกใจบ่อยครั้ง
ลุงรัญสามารถหาหนังสือทุกเล่มในร้านได้ภายนาทีเดียว
“ลุงรัญอยู่ไหมครับ?”
“อยู่!!!”
ลุงรัญยื่นหนังสือให้เจน แล้วเดินออกไปหน้าร้าน ที่มีเสียงคนฮัมเพลงมาจากแถวเคาน์เตอร์ เจนจำเสียงคนมาใหม่ได้ดี เธอพึ่งเจอเขาเมื่อคืนนี้เอง และเธอไม่ค่อยอยากจะเจอเขามากนัก เธอตัดสินใจหาหนังสือบนชั้นต่อ ในขณะที่หูของเธอฟังเสียงนิ้วเคาะเคาน์เตอร์เป็นจังหวะประหลาด

“เล่มนี้สนุกไหม”
“ดีเลยครับลุง เป็นรวมเรื่องสั้นที่เข้าท่าเลย แปลก็เยี่ยม”
“แดนอรัญ แสงทองแปลนี่นะ แล้วมาร์เกซน่ะฝีมือธรรมดาที่ไหน”
“การเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือปีศาจ ลุงรัญครับ ถ้าลุงไม่แนะนำผม ผมอาจจะพลาดหนังสือดีอีกเล่มไปเลยก็ได้”
เจ้าของร้านใจดีหัวเราะ “เอางานชิ้นเอกของมาร์เกซไปอ่านซิ”
“หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวน่ะหรือครับ?”
“ใช่แล้ว”
“มันเล่มใหญ่อยู่นา ช่วงนี้ยิ่งขี้เกียจอ่านอะไรหนาๆ”
ลุงรัญหัวเราะ “งั้นเอาของกามูส์ไปอ่าน คนนอก โออ่านหรือยังล่ะ”
“ยังเลยครับ แต่ผมอ่านกาฬวิบัติแล้ว”
“งั้นต้องอ่านเล่มนี้ เดี๋ยวลุงไปหยิบให้”

เจนฤทัยได้ยินเสียงฝีเท้าของลุงรัญอ้อมชั้นหนังสือมา ก็หยิบหนังสือของกามูส์ที่วางติดกันสองสามเล่มตรงหน้าตัวเองมาเล่มหนึ่งแล้วย่อลงหาหนังสือตรงชั้นล่างสุด แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าลุงรัญเดินมา
“เอ้า ได้หนังสืออีกแล้วเหรอหนูเจน?”
เจนเงยหน้าขึ้นมองลุงรัญ เธอรู้ชะตากรรมของตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแล้ว เมื่อวานเธอพยายามเลี่ยงไม่คุยกับเขา ไม่แม้แต่จะอยู่ใกล้ แต่วันนี้เธอคงเลี่ยงไม่ได้
“คุณเจนอยู่ที่นี่เหรอ แหม สองคนนี้รู้จักกันก็ไม่บอกผม”เสียงคนรออยู่แถวเคาน์เตอร์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอที่อ้อมชั้นหนังสือตามหลังลุงรัญมา
เจนฤทัยรีบยื่นหนังสือให้ลุงรัญ “หาเล่มนี้อยู่ใช่ไหมคะ?”
“ขอบใจจ๊ะหนูเจน แต่กาฬวิบัติน่ะ เจ้าโอมันอ่านแล้ว คนนอกมันเล่มนี้ต่างหาก”
คนทำดีหวังชิ่งหนีเห็นคุณลุงหยิบหนังสืออีกเล่มบนชั้นมา ก็รู้สึกหน้าชาอยากแทรกพื้นกระเบื้องไปเสียให้พ้นๆ แต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะโอมาหยุดข้างลุงรัญพอดี
“สวัสดีครับ เมื่อคืนคุณเจนกลับเร็วไปหน่อยนะ”
“ค่ะ พอดีไทล่าเมาแล้ว”
“เล่มที่คุณเจนถือนั่นใช้ได้เลยนะครับ ผมชอบ”
“งั้นก็เอาไปอ่านอีกค่ะ พอดีฉันไม่ได้อยากอ่านเล่มนี้”
ลุงรัญหัวเราะชอบใจ หยิบหนังสือที่เจนส่งให้ไปวางบนชั้นอย่างที่มันเคยอยู่ เสร็จก็หันไปทางชายหนุ่มนักเขียนที่ยืนรออยู่ ชายหนุ่มขอบคุณอย่างสุภาพก่อนจะชะเง้อมองหญิงสาวที่หนังค้นหนังสือง่วนอยู่
“ช่วงนี้หนูเจนเค้าสนใจงานพวกบทกวีกับนิยายเชิงปรัชญาน่ะ”
“หรือครับ ว้าว คุณเจนนี่เยี่ยมไปเลย”คนมาทีหลังทำตาโต
เจนแสร้งยิ้มแล้วค้นต่อ
“หนูหาเล่มที่มีกระดาษสอดน่ะค่ะลุงรัญ”
“เอ้า แล้วก็ไม่บอก ลุงเก็บไว้ให้แล้ว มาเอาซิ มันอยู่ที่เคาน์เตอร์ทำงานของลุง”
พูดจบ ลุงรัญก็นำไปที่เคาน์เตอร์โดยมีหนุ่มสาวทั้งคู่เดินตามไปห่างๆ พอโค้งผ่านชั้นหนังสือที่ง่วนกับการค้นกวีอยู่เมื่อครู่ เจนเร่งฝีเท้าหนีคนเดินประกบไปจนทันลุงรัญที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่โอมองตามด้วยแววตาสงสัยแต่ไม่กล้าถามอะไร
ลุงรัญวางหนังสือที่โอต้องการไว้บนเคาน์เตอร์แล้วก้มลงค้นในลิ้นชักเก็บของก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาวางตรงหน้าเจน
“วัลเดน? หนังสือเกี่ยวกับอะไรคะลุงรัญ”
“เกี่ยวกับการใช้ชีวิตสมถะน่ะหนูเจน เหมาะกับลุงไหมล่ะ”
“ไม่รู้ซิคะ”
“ผมว่าเหมาะนะครับคุณเจน เพียงแต่ว่ามันคนละช่วงเวลาแค่นั้นเอง”
เจนหันไปมองคนตอบนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมามองปกหนังสือ “เฮนรี เดวิด ธอโร”เธออ่านชื่อคนเขียนก่อนเปิดไปอ่านข้างใน
“สิ่งที่หนูเจนหาอยู่ในหนังสือนั้น ตรงบทท้ายๆ”
เจนฤทัยรีบเปิดหนังสือไปตามที่เจ้าของหนังสือบอก ไม่นานก็เจอกระดาษที่เสียบไว้อย่างเรียบร้อยที่สุดตามที่ลุงรัญบอก เธอหยิบมันออกมาก่อนจะเลื่อนหนังสือคืนให้ลุงรัญ
“เจอในหนังสือเล่มนี้หรือคะ?”
“อ้อ เปล่า เจอในหนังสือของคาลิล ยิบรานที่วางต่อจากโจนาธาน ลิฟวิงสตันน่ะจ๊ะ”
เจนล้วงสมุดที่ลุงเจ้าของร้านหนังสือให้ยืมอ่านออกมาจากกระเป๋าถือ สอดกระดาษแผ่นนั้นลงในสมุด เธอเก็บมันอย่างเบามือที่สุดก่อนจะหย่อนสมุดเล่มนั้นลงในกระเป๋าตามเดิม
“ใครช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”คนมายืมหนังสือกามูส์มองหญิงสาวกับลุงเจ้าของร้านเช่าสลับกัน แต่ไม่มีใครตอบคำถามเขา
“เจนจะลอกบทนี้ใส่สมุดให้เองค่ะลุงรัญ”
“ยินดีจ๊ะหนูเจน”
หญิงสาวยิ้มแล้วผละจากเคาน์เตอร์กลับไปยังชั้นหนังสือที่เธอเจอโจนาธานครั้งแรก ที่ชั้นไม้ขัดเงาอย่างดีนั้น เธอทักทายโจนาธานที่หันสันปกออกมาให้เธอเห็นด้วยสายตาก่อนจะหยิบหนังสือเล่มถัดไปมาจากชั้น
“ปีกหัก”
“เรื่องนั้นดีนะ”
เจนหันไปมองคนพูดที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่แถวนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงสาวนิ่วหน้า หันกลับไปที่ชั้นหนังสือแล้วหยิบหนังสือของคาลิล ยิบราน อีกเล่มมาเปิดดูหมายเลขกำกับที่ลุงรัญทำไว้
“เขายืมไปเล่มนึง”
“ใครเหรอ?”
“ฉันไม่ได้พูดกับนาย”
โอสะอึก เจนวางหนังสือไว้บนชั้นแล้วเดินผ่านชายหนุ่มกลับไปที่เคาน์เตอร์ จ่ายเงินค่ายืมหนังสือของซะการีย์ยาและคุยกับลุงรัญครู่หนึ่งก่อนจะออกจากร้าน
“เค้าเป็นอะไรของเค้า?”โอเดินออกมาถามลุงรัญ ยืนพิงตรงเคาน์เตอร์มองคนเข้าใจยากที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่นอกร้าน
“ลุงไม่รู้ โอไปทำอะไรหนูเจนเขาล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าแต่ที่เธอหาคืออะไรหรือครับลุงรัญ”
“บทกวีน่ะ”
“บทกวี?”
“ใช่แล้ว ไม่รู้ใครแต่งใส่ไว้ในหนังสือ แล้วหนูเจนเกิดไปเจอเขา ก็เลยไล่ตามหา”
“บทกวี”โอหัวเราะในคอเบาๆ สายตายังมองอยู่ที่หลังของคนที่พวกเขาพูดถึง


เจนวางกระเป๋าบนโต๊ะในครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นที่มีเพียงครึ่งขวดมาดื่ม เธอยืนพิงตู้เย็นพร้อมกับถอนใจอยู่เช่นนั้นนานพักหนึ่ง ในหัวคิดเรื่องบทกวีมากมายหลายบทที่เธออ่านกับเรื่องตาคนที่เธอพึ่งเจอในร้านหนังสือของลุงรัญ
ร้านลุงรัญมีคนเช่าไม่มาก แล้วโอก็ป้วนเปี้ยนยืมหนังสือแถวชั้นนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นโอก็ได้ที่เป็นคนเขียนกวีที่เธออ่าน
“ต้องไม่ใช่หมอนั่น”เจนฤทัยโพล่งออกมา แต่แล้วก็หยุดกึกเมื่อมีเสียงร้องเหมียวแถวปลายเท้า ตรงนั้น เจ้าฟูกำลังพันแข้งพันขาอ้อนขอกินข้าว เจนยืนมองมันอย่างนั้นอยู่อึดใจก่อนจะอุ้มมันขึ้น เจ้าแมวอ้วนตัวหนักใช่ย่อย ผิดกับตอนที่มันถูกพามาดูแลในโรงเลี้ยงดูของมูลนิธิในช่วงแรกๆ
“ฉันรู้แล้ว”เธอบอกเจ้าแมวอ้วนขณะเก็บขวดน้ำ มันร้องดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนเร่ง พอเธอหยิบถุงอาหารเม็ด มันก็รีบโดดลงพื้นแล้ววิ่งไปรอที่จานข้าว แม้ตัวมันจะอ้วน แต่มันยังว่องไวเสมอในยามที่เธอเดินไปเทอาหารให้
“เจ้าแมวอ้วนเอ๊ย”เจนฤทัยลูบหลังแมวอ้วนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร พอมองดูเจ้าฟูแล้ว ความคิดอึงอลในหัวก็เริ่มคลายความหนาแน่นหนักหน่วงลงบ้าง เธอเดินไปที่ลำโพงเล็กในครัวที่เธอใช้เปิดฟังเพลงจากแฟลตไดรฟ์ พอกดเปิด เพลงที่เล่นก็เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรกสมองของเธอออกไป เธอเดินฮัมเพลงไปที่อ่างล้างจาน หยิบถ้วยใบหนึ่งกับตะเกียบบนชั้นใกล้ๆนั้นก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ แกะบะหมี่ที่แวะซื้อจากตลาดเทใส่ถ้วย แค่บะหมี่ถุงเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับมื้อเย็นของเธอ
เพลงอินดี้ฝรั่งที่เธอมักจะฟังยังคงดังวนไปวนมา เสียงดนตรีไม่หวือหวากับทำนองเร็วบ้างช้าบ้างทำให้เธอนั่งฟังได้นาน เจนฤทัยนั่งกินบะหมี่ไปพลาง กดโทรศัพท์มือถือเช็คข่าวสารในเฟซบุ๊กไปพลางจนบะหมี่หมดชามแล้ว เธอยังนั่งกดโทรศัพท์คุยกับเพื่อนอีกพักใหญ่ พอเพลงจังหวะเร็วขึ้นบ้างเธอถึงลุกเอาจานไปล้าง
ด้วยจานจำนวนไม่มาก เจนจัดการล้างมันอย่างรวดเร็ว พอเรียงจานเสร็จ เธอหยิบไม้กวาดมาจากประตูหลังแล้วเริ่มกวาดบ้านที่ไม่ได้กวาดมาสามสี่วันแล้ว พอกวาดฝุ่นได้กองหนึ่งเจ้าฟูก็มาช่วยงานอย่างรู้หน้าที่ เจ้าแมวอ้วนนั่งมองไม้กวาดในมือเธอที่ลากไปมา หลายครั้งเธอจงใจกวาดผ่านหน้ามัน พอหลายครั้งเข้ามันก็ไล่ตะครุบไม้กวาด เธอชอบเล่นกับเจ้าฟูแบบนี้ประจำเวลาทำความสะอาดบ้าน
ครืด ๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอที่วางบนโต๊ะกินข้าวสั่นทำให้งานบ้านทุกอย่างหยุดลง เจนเดินมาหยิบโทรศัพท์โดยไม่ลืมอุ้มเจ้าแมวอ้วนมาด้วย
“สวัสดีค่ะ”
“ไง เจน”เสียงปลายสายทุ้มลึก
“ค่ะพ่อ พ่อเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีลูก แต่ช่วงนี้มีปิดถนนกัน เลยไปไหนไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ไม่มาปิดถนนแถวบ้านเราน่ะนะ”
“ย้ายมาอยู่กับเจนซิคะ พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องพวกนี้อีก”
เธอได้ยินเสียงพ่อหัวเราะก่อนจะตะโกนถามแม่เกี่ยวกับคำชวนของเธอ เธอได้ยินเสียงแม่แว่วมาแต่ไม่ชัดนัก แต่เสียงหัวเราะของพ่อที่ทำให้เธอสบายใจนั้นได้ยินชัดแจ๋วดี
“แม่เค้าบอกว่ารอเกษียณแล้ว คงไม่แน่”
“ค่ะ พ่อกับแม่จะหลงรักที่นี่ หนูเชื่ออย่างนั้น”
“ขนาดนั้นเชียว?”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้ ที่พ่อโทรมานี่ ก็เพราะจะบอกลูกเรื่องที่พ่อกับแม่จะไปหาลูกที่เชียงรายนั่นแหละ”
“จริงเหรอคะ แล้วจะมาเมื่อไหร่กัน”
พ่อเว้นระยะไปครู่หนึ่ง “คงอีกสัก 2 อาทิตย์ พ่อกับแม่ถึงจะลาพักได้ กะว่าจะลาไปอยู่นู่นให้ได้สัก 3 วัน ปล่อยให้ลูกตัวเองเป็นฝ่ายมาหาตั้ง 2 ปีแล้ว ไม่เคยไปหาลูกเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่เจนบอกก่อนเลยนะ บ้านเช่าเจนไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ห้ามมาบ่นทีหลังล่ะ”
พ่อหัวเราะอีก “ก็ยังดีกว่าตึกแถวที่กรุงเทพแหละน่า เห็นมีสวนหย่อมหน้าบ้านด้วยนี่”
“มันคงไม่ใหญ่พอจะเรียกสวนหย่อมได้มั้งคะพ่อ”
พ่อหัวเราะอีก ครั้งนี้ได้ยินเสียงแม่ถามเข้ามาว่าวันนี้เธอไม่ไปสอนพิเศษหรือ
“วันนี้นักเรียนลาค่ะ เห็นว่าจะติวหนังสือวิชาอื่นกัน ช่วงนี้ใกล้สอบเข้ามหาลัยกันแล้ว”
“เรียนกันหัวยุ่งพอดี เด็กสมัยนี้”พ่อไม่วายบ่น
“ค่ะ เรียนกันหนักมาก”
“ลูกเองก็อย่าทำงานหนักล่ะ”
“ค่ะ”
“แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“กวาดบ้านกับเจ้าฟูอยู่ค่ะพ่อ”
“เจ้าแมวอ้วนนั่นน่ะเรอะ”
“ค่ะ”
“เอาเถอะ ไปจัดการบ้านตัวเองซะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่”
“ค่ะ พ่อกับแม่รักษาสุขภาพด้วยนะ”
พอตอบ อืม ในคอก่อนจะวางสายไป เจนวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะอย่างเดิมก่อนจะไปกลับไปกวาดบ้านต่อ กวาดบ้านถูบ้านเสร็จแล้ว เธอคงได้อาบน้ำแล้วนอนพักอ่านหนังสือสักที

กว่าจะกวาดบ้านถูบ้านเสร็จ เข็มนาฬิกาก็ย้ายไปเกือบจะถึงเลข 7 พร้อมกับฟ้าที่เริ่มมืดสลัวแล้ว ด้วยความเพลียหลังจากภารกิจมากมายในวันนี้ บวกกับการนอนดึกของเมื่อคืน เจนรีบอาบน้ำแล้วกลับมาเก็บกวาดห้องนอนแสนยุ่งเหยิงที่เกิดจากความวุ่นวายของเมื่อคืนและตอนเช้าวันนี้
“อยากเข้ามาเหรอแมวอ้วน?”เธอถามเจ้าฟูที่นั่งขวางประตูตอนที่เธอเอาเสื้อผ้าใส่แล้วไปไว้นอกห้องเพื่อเตรียมเอาไปซักที่ตู้หยอดเหรียญในวันพรุ่งนี้ เจ้าแมวอ้วนเหมือนจะรู้คำ มันเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในห้องแล้วโดดขึ้นไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียง เจนปิดประตูห้องแล้วเดินไปแง้มประตูห้องน้ำไว้ให้เจ้าแมวแสนรู้ที่เธอฝึกให้มันถ่ายตรงท่อระบายน้ำตรงพื้นใต้ฝักบัวซึ่งเปิดฝาท่อไว้ให้ นอกจากนั้น เธอจะเปิดหน้าต่างกว้างเพื่อไล่ความอับและกลิ่นอาวุธชีวภาพของเจ้าแมวอ้วนทุกครั้งที่มันนอนในห้อง
เจ้าแมวเลิกกลิ้งบนที่นอนแล้ว มันนอนเลียขนอยู่ตรงปลายเตียงตอนที่เธอทิ้งตัวลงข้างๆมัน เจ้าแมวอ้วนไม่วายชายตามองเธอ
เจ้ามนุษย์เล่นอะไรของมันนะ เจ้าฟูคงคิดในใจ
เจนฤทัยลูบขนสีเทาตรงหัวของมัน มันเอาเท้าหน้าตะปบหยอกมือเธอ
“อ่านหนังสือกันไหมฟู เดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง”
เจ้าแมวไม่ตอบ มันขยิบตาเพียงเล็กน้อย เจนฤทัยลูบเจ้าแมวอีกรอบก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสะพายบนโต๊ะวางโคมไฟมาค้นเอาสมุดรวมบทกวีของชายนิรนามกับหนังสือของซะการีย์ยาออกมา
“มานี่มา”เจนเปิดผ้าห่มให้เจ้าฟู แต่เจ้าแมวอ้วนขนสีเทาไม่มุดเข้าไป มันทิ้งตัวอ้วนตุ้บของมันแถวๆข้างสะโพกของเธอที่ผ้าห่มคลุมอยู่
“ฉันจะอ่านของซะการีย์ยาให้ฟังก่อนบทนึงละกัน ช่วยกันคิดตามนะ”

“การเดินทางของกวีบทหนึ่ง

บทกวีเดินทางของมันเอง
ผมเคยพูดเช่นนั้นกับตัวเอง
การรอนแรมของความคิด
การเดินทางของบทกวี

จากรอยหยักในหัว
ไหลเลื่อนมาทางแขน
ดุจปีศาจซึ่งปรารถนา
หลุดจากกรงที่คุมขัง
สั่นไหวปากกาในมือ
บนเศษกระดาษ
บนแป้นพิมพ์
บนจอมอนิเตอร์
ผ่านสายเคเบิล
บนหน้าหนังสือพิมพ์
นิตยสารและวารสาร

บทกวีเดินทางของมันเอง
สู่ดวงตา ริมฝีปาก ดวงใจ
และเส้นหยักในสมอง

บทกวีเดินทางของมันเอง
และมันเรียกร้องให้ผมออกไปหาผู้คน
บนท้องถนนของชีวิต
ยังต้องการความหวัง
แม้บทกวีของผมจะเศร้า และไม่น่ารื่นรมย์นัก”

เจนฤทัยปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทั่วห้อง ครอบคลุมหน้ากระดาษ พัดลม ผ้าม่าน ครอบคลุมแม้แต่เจ้าฟูและตัวเธอเอง บทกวีจบลงหนึ่งบทด้วยการอ่านออกเสียงเบาๆของเธอ แต่ในความคิดเธอ มันยังคงอ่านซ้ำในรูปแบบที่มีแต่เธอเท่านั้นที่อ่านได้ บทกวีกำลังอ่านเธอและตกผลึกในความคิดและความเงียบงัน
“ไงล่ะ”เธอถามเจ้าฟูที่นอนนิ่งที่เดิมหลังจากปล่อยให้ตัวเองนิ่งเงียบในความคิดอยู่นาน เจ้าฟูไม่ตอบ แต่มันหลับไปแล้ว ในห้องเหลือแต่เธอเท่านั้นที่ยังตื่นอยู่ เธอกวาดสายตาไปรอบๆ มองไปยังสิ่งของทีละอย่างด้วยการมองที่ต่างออกไป
เธอกำลังมองทุกอย่างเป็นบทกวี ทั้งพัดลม ทั้งราวแขวนเสื้อและผ้าม่านตรงหน้าต่าง
เธอมองมันราวกับจะแต่งกวีเกี่ยวกับพวกมันเสียเดี๋ยวนั้น หนังสือในมือถูกวางไว้ตรงโต๊ะวางโคมไฟ พอดึงมือกลับมา นิ้วมือเธอบังเอิญไปสัมผัสกับสมุดของกวีนิรนามที่เธอหลงลืมมันไปชั่วครู่ตอนที่อ่านกวีซีไรต์เล่มนั้น
แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีกวีบทล่าสุดที่เธอพึ่งได้มา

เจนฤทัยนิ่งมองสมุดเล่มนั้นอยู่นานด้วยความคิดสับสน
“เธอจะอ่านต่อจากบทเมื่อบ่ายหรือข้ามไปอ่านบทล่าสุดดีล่ะ?”คำถามนี้ดังในหัวเธอในขณะที่เปิดสมุดไปหน้าแรก
“ถ้าเราอ่านข้าม เค้าคงไม่รู้หรอกมั้ง”
พอคิดได้อย่างนั้นแล้วเธอเลยเปิดไปหน้าที่เธอเหน็บกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ บทกวีจากหนังสือปีกหักเงียบสงบอยู่ในที่ที่เธอสอดเสียบไว้เมื่อตอนเย็น เธอหยิบมันออกมาแล้วเริ่มแกะตัวหนังสือค่อนข้างขยุกขยิกของเขา

ฉันให้ความรักติดปีก
เส้นขนแต่ละเส้นบรรจุถ้อยคำ
ที่จำกัดความความรู้สึกร้อยพัน
อันไม่อาจเรียบเรียงไว้บอกกล่าว

ส่งความรักโบยบินไปในอากาศ
ถลาเล่นกลางนภากาล
เผชิญชะตากรรมที่ไม่สามารถทำนาย
ความรักออกผจญภัยแล้ว

ปีกความรักของฉันที่โบยบิน
จะบาดเจ็บอย่างท่านไหม
มันจะหักเช่นเดียวกับท่านหรือเปล่า
ฉันอับจนหนทางจะคาดเดา

โอ้ ท่าน...ความรักย่อมต้องต่อสู้กับมวลพายุความรู้สึก
บาดเจ็บ หลั่งน้ำตาและหกล้ม
แม้จะล่วงรู้ถึงการมาของมวลพายุร้าย
แต่เรายังปล่อยให้ความรัก
ติดปีกบินออกไปโดยเสรี


ขอบคุณที่ให้ฉันได้อ่านอีกหนึ่งเรื่องการโบยบินของความรัก
...ปีกหัก คาลิล ยิบราน



สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2557, 17:03:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ธ.ค. 2557, 22:01:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 792





<< บทกวีคั่น ๕   บทกวีคั่น ๖ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account