กลรัตติกาล
เรื่องต่อ ซ่อนใจไว้ใต้ดาว ชุดเสน่หาฆาตกรรม
หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
หลงกลิ่นจันทน์ , ซ่อนใจไว้ใต้ดาว , กลรัตติกาล
Tags: กลรัตติกาล คีตา ณิชนิตา
ตอน: บทที่ ๖.๑ จดหมาย
บทที่ ๖.๑
จดหมาย
ชายไทนั่งมองหญิงสาวที่มาหาเขาถึงงานศพของยายด้วยสายตาประหลาดใจ เธอยิ้มจืดๆส่งให้ ระหว่างที่เขานั่งลงข้างๆบนม้าหินอ่อน ห่างจากศาลางานศพเพียงเล็กน้อยนั้นสีหน้าของชายไทยังคงซีด ดวงตาอิดโรยอาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการจัดงาน รัตติกาลมองท่าทีเหล่านั้นอย่างเห็นใจ หญิงสาวก้าวเข้ามานั่งม้านั่งข้างเขานั่นเอง
“เสียใจด้วยนะคะ”เธอเอ่ยทั้งมองเขาด้วยสายอ่อนโยน ชายไทยยิ้มจืดพร้อมทั้งเหยียดขายาวๆนั้นออกไปเพียงเล็กน้อย
“เราทำใจเตรียมรับเรื่องนี้กันมานานแล้วละครับ ยายบอกอยู่เสมอว่าจะต้องมีวันนี้”ชายไทอธิบายน้ำเสียงแหบแห้ง
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบรับเพียงแค่นั้นเพราะคิดคำพูดไม่ออก เธอไม่คุ้นเคยกับการปลอบใจใคร ไม่เคยทำมาก่อน ในงานศพของเพื่อนรักเธอก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ จ้องมองผู้คนที่เข้ามาในงานอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้กระทั่งผู้เป็นยายของธัญญา ทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุไม่มีตัวตนใดๆ นั่นคือ สิ่งที่เธอเจ็บปวดที่สุด
“คุณมาหาผม มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า”ชายไทเป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มเงียบไป รัตติกาลเหลือบมองใบหน้าคมจากด้านข้างอย่างประเมินในใจ
“คือ...ฉันว่ามันคงสายไปแล้วละ เพราะวันนั้นคุณมาขอร้องให้ฉันช่วยคุณ ช่วยยายของคุณ...แต่...”
“คุณมีวิธีช่วยผมแล้วอย่างนั้นเหรอครับ”ชายไทแทรกขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว รัตติกาลพยักหน้ารับ
“คุณถามหาสร้อยพระจันทร์ใช่ไหม” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อดึงสร้อยเงินที่มีจี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั้นออกมาให้ชายหนุ่มดู
“คุณเป็นเจ้าของมัน มิน่าเล่ายายถึงได้ให้ผมตามหาคุณ แต่ผมไม่รู้ว่าให้ตามหาทำไม ท่านเสียไปก่อนที่จะคุยกันรู้เรื่อง”ชายหนุ่มอธิบายทว่าปลายประโยคนั้นดวงตาคมทอประกายเศร้าๆออกมา
“แล้วมันสำคัญยังไงเหรอคะ”
“ผมไม่รู้...ผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมเก่งกว่านี้ ทำให้ยายภูมิใจได้ก็คงดี” เขาตอบอย่างนั้นด้วยความอับจนปัญญาที่จะหาความหมายของมัน ดวงตาคมนั้นเศร้าสลดลงทีนทีเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของผู้เป็นยายซึ่งพยายามที่จะพูดบางอย่างกับเขา
รัตติกาลรู้สึกเย็นยะเยือกก่อนที่เห็นร่างโปร่งใสของผู้ที่เป็นยายปรากฏอยู่ข้างกายของชายไท หญิงสาวมองสีหน้าเศร้าๆของวิญญาณนั้นด้วยความสงสาร
ยายชมนาดเอื้อมมือมากุมบ่าหลานชายไว้เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้สึกเท่านั้นเอง รัตติกาลมองภาพนั้นด้วยความเศร้าก่อนจะเอื้อมมือออกไปทำตามที่ยายชมนาดทำ เธอแตะบ่าเขาเบาๆ ก่อนจะกุมมันไว้แล้วบีบแน่นเป็นการให้กำลังใจ
ชายไทหันมามองหญิงสาวด้วยแววประหลาดใจ ครอบครัวของเขามักให้กำลังใจกันแบบนี้เสมอ เหมือนเธอรับรู้ว่าการกระทำแบบนี้คือ ความหมายอย่างไร รัตติกาลยิ้มบาง
“คุณยายคุณ ท่านทำแบบนี้ ในตอนนี้...”หญิงสาวอธิบาย ชายไทสงบนิ่งขึ้น ดวงตามีความหวังผสมกับความเศร้าใจ
“บอกท่านได้ไหม ว่าผมขอโทษ”
“คุณบอกเองเลยค่ะ ท่านอยู่ตรงนี้และได้ยินคุณเพียงแต่สื่อสารไม่ได้”หญิงสาวอธิบาย ชายไทกวาดสายตามองรอบๆ ท่ามกลางความมืด
“ผมขอโทษครับยาย ขอโทษที่ทำให้ยายได้แค่นี้ ผมควรเก่งกว่านี้”ชายไทรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ร่างโปร่งแสงนั้นสะท้อนความเสียใจก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วแตะมือลงบนมือของรัตติกาล แล้วหันมายิ้มบางๆให้ก่อนจะจางหายไป ภาพนั้นทำให้รัตติกาลถอนหายใจเบาๆ พลางเหลือบมองใบหน้าเศร้าๆ ของชายหนุ่ม
“คุณยายคุณบอกว่า มันไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกนี้ คุณยายคุณหมดทุกข์แล้ว คิดเสียว่าท่านไปสู่ภพภูมิใหม่ที่ดีกว่านี้นะคะ” รัตติกาลปลอบใจ ยายชมนาดไม่ได้พูดอะไรแต่เธอแค่อยากช่วยให้ชายไทรู้สึกดีขึ้นเท่านั้นเอง
ชายไทยิ้มบาง...ยกมืออีกข้างขึ้นมาแตะมือที่อยู่บนบ่าตัวเองเบาๆ “ขอบคุณนะครับ ที่อย่างน้อยคุณก็เปลี่ยนใจมาช่วยผม มันอาจจะสายไปแล้ว แต่ผมก็ขอบคุณ”ชายหนุ่มเน้นคำว่าขอบคุณอย่างชัดเจน รัตติกาลยิ้มจืดๆให้
“ไม่เป็นไรค่ะ จริงๆ เรื่องคุณยังไม่จบไม่ใช่เหรอคะ เด็กที่ทำร้ายคุณยังไม่ถูกจับเลย”
ชายไทพยักหน้าเข้าใจ เป็นจริงตามที่หญิงสาวพูด เรื่องคดีของเขายังไม่จบเลย
“พี่ชะ...ชาย” เสียงพธูทิพย์ขาดห้วงทันทีที่เห็นมือของพี่ชายประกบอยู่กับมือของรัตติกาล ใบหน้าน้องสาวแดงซ่านอย่างเขินอายแทนคนทั้งคู่ ชายไทกระแอมเบาๆระหว่างที่ปล่อยมือออกพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“มีอะไรหรือเปล่าพู่” เขาหันมาถามน้องสาวกลบเกลื่อนอาการแปลกๆซึ่งกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
“คุณแม่ให้มาเรียกพี่ไปหาอะค่ะพอดีเพื่อนพี่ชายมา แล้วก็เชิญแขกเข้าไปในงานด้วย”พธูทิพย์อธิบาย
“อ้อ งั้นเชิญคุณเข้าไปข้างในดีกว่าครับ” เขาหันมาเชื้อเชิญหญิงสาวเข้าไปข้างใน
รัตติกาลยิ้มบางแล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าชายไทและน้องสาวออกไปที่ศาลาจัดงานศพ พธูทิพย์เหลือบมองใบหน้าของพี่ชายจากด้านข้าง
“ห้ามคิดเลยนะพู่”
“พี่ชายรู้เหรอว่าพู่คิดอะไรอยู่”
“รู้สิ เรากำลังคิดอกุศลระหว่างพี่กับคุณรัตติกาล มันไม่ได้มีอะไรเลย ไม่มีอะไรจริงๆนะ”ชายหนุ่มยืนยันในน้ำเสียงที่ได้ยินกันสองคนพี่น้อง
พธูทิพย์หัวเราะหึขึ้นมาครั้งเดียวเปรียบเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ชายพูดเลยแม้แต่น้อย ชายไทพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ รู้ดีว่าห้ามความคิดของน้องสาวไม่ได้เป็นแน่
เพื่อนที่พธูทิพย์บอกก็คือ อชิตะนั่นเอง นายแบบหนุ่มมานั่งรอที่เก้าอี้แถวที่สอง เมื่อเห็นรัตติกาลเขาก็ทำหน้าประหลาดใจทันที หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งข้างๆกัน พร้อมกับอธิบายง่ายๆว่าเผอิญรู้จักกับยายของชายไทเลยเข้ามาร่วมเคารพศพเท่านั้นเอง
ภายในงานช่วงแขกเหรื่อซึ่งเข้ามาร่วมฟังสวดอภิธรรมชายไทและอิงอรยืนต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้า ส่วนพธูทิพย์เป็นคนดูแลแขกด้านในศาลา รัตติกาลซึ่งเห็นน้องสาวของชายไทวิ่งวุ่นอยู่คนเดียวจึงเข้าไปช่วย พธูทิพย์กล่าวขอบคุณพร้อมทั้งยิ้มให้หญิงสาวระหว่างที่เดินออกมาหยิบของในรถด้วยกัน
“ขอบคุณพี่มากนะคะ ช่วงนี้บ้านเราก็วุ่นๆกัน คุณพ่อก็ต้องรับแขกส่วนของคุณพ่อ ยังดีแฟนของพู่เองก็เข้ามาช่วยเป็นธุระหลายอย่างเหมือนกัน คืนก่อนๆก็ได้เด็กๆที่ร้านมาช่วยงาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีช่วยนะคะ พี่เคยชินกับงานศพแล้วละ” รัตติกาลกล่าวคำที่ทำให้พธูทิพย์ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย ทว่าระหว่างกำลังคิดอยู่นั้นเสียงพูดคุยของหญิงสองคนซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาทำให้พธูทิพย์ไม่ทันได้เอ่ยปากถามต่อ
“นี่ได้ยินว่าอาจารย์ชานนท์มีลูกชายเป็นด็อกเตอร์ด้วยใช่ไหม”
“ใช่คนนั้นไหม”
“น่าจะใช่นะ ลูกชายคนเดียวเสียด้วย รูปหล่อ มีการศึกษาดีนี่น่าอิจฉานะ ข้างๆนั่นภรรยาอาจารย์ชานนท์ใช่ไหม เป็นอาจารย์ด้วยกันหรือเปล่า”
“ได้ยินว่าเป็นแม่ค้านะ เจ้าของร้านอาหารไทย”
“จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อนะ ดูสิ ท่าทางแม่ค้าจริงๆนั่นแหละ แปลกจริงๆ อาจารย์ชานนท์ดูผู้ดีจะตายไปทำไมถึงแต่งกับแม่ค้าได้”
“ฉันได้ยินมาว่าแม่ยายอาจารย์ชานนท์เป็นหมอไสยฯ หรือว่าจะทำของใส่ลูกเขย วุ้ย พูดละขนลุก เรื่องแบบนี้ไม่แน่ไม่นอนนะคะ คนอนาคตไกลอย่างอาจารย์ชานนท์ถึงกับเลือกแม่ค้าบ้านนอกนะคะ มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ”
พธูทิพย์ซึ่งได้ยินเต็มสองหูถึงกับเดือดดาล มือกำถาดแสตนเลสแน่น ดวงตากลมโตนั้นวาวโรจน์ด้วยโทสะ รัตติกาลเอื้อมมือมากุมมือพธูทิพย์ไว้เหมือนกับจะให้กำลังใจแต่ผิดถนัด
“อย่าไปโกรธเลย เดี๋ยวคุณยายจะไม่สบายใจ เดี๋ยวพี่จัดการให้” รัตติกาลปล่อยมือออกแล้วก้าวขายาวๆของตัวเองเข้าไปอยู่ตรงหน้าหญิงทั้งสองคน เธอกอดอกหลวมๆ ดวงตาเรียวกวาดมองทั้งคู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเหยียดยิ้มมุมปาก
“ผู้ดีที่ไหนเขานินทาเจ้าของงานกันบ้าง แม่ค้ายังไม่เคยนินทาลูกค้าต่อหน้าเหมือนอย่างพวกคุณเลย มารยาทมันคงบรรจุอยู่ในแค่ตำราไว้อ่านท่องจำไม่ได้ซึมซาบเข้าสมองสินะ แก่กะโหลกกะลาจริงๆ”
“นี่หล่อนเป็นใคร!”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิคะ นี่งานศพนะคะคุณป้าฉันจะเป็นใครก็ช่างเถอะค่ะ รู้ไว้แค่ว่าฉันได้ยินพวกคุณนินทาเจ้าของงานเขาเต็มสองหูละกันค่ะ”
“ไปเถอะค่ะ อย่าไปสนใจเลย ทนๆเอาหน่อย อยู่ในงานพวกแม่ค้าก็อย่างนี้แหละค่ะ”
“อุ้ยตาย...อย่าเหวี่ยงแรงนะคะ ต่างหูคุณป้ามันจะหลุด ต้องเข้าใจมาตรฐานประตูน้ำเชียว” รัตติกาลแสร้งว่า เธอไม่เข้าใจพวกนี้จริงๆ ถ้าจะมางานแล้วทำไมต้องนินทา ไม่ว่าจะคนตายหรือคนอยู่...มันสมควรแล้วหรือ หากไม่รู้ความจริงกล้าพูดได้อย่างไร
“พี่เจ๋งมากเลยค่ะ” พธูทิพย์เอ่ยชมสีหน้าขบขัน
“ไม่เจ๋งอะไรเลย คนพวกนี้บางทีก็สมควรโดนเสียบ้าง”รัตติกาล
“แต่ก็จริงอย่างเขาว่านั่นแหละค่ะ ครอบครัวเราแปลก ความจริงแม่เคยเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนประถมในต่างจังหวัดนะคะแต่ลาออกมาเปิดร้านอาหาร พู่เองแหละค่ะที่ชักชวนให้แม่เปิดร้าน แม่เป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวจนน่าหงุดหงิด นี่แค่พวกที่ทำงานของพ่อนะคะ ยังมีญาติฝั่งพ่ออีก ฝ่ายนั้นดูถูกแม่มาก หาว่ามาเกาะพ่อ ทั้งๆที่ความจริงค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดแม่ต่างหากที่เป็นคนจ่าย เงินเดือนคุณพ่อไม่ได้เยอะแยะอะไร ที่ดินก็เก็บไว้ไม่เคยได้ขายยังจะมากล่าวหากันอีก พู่เกือบทนไม่ไหวหลายครั้งแล้วแต่คุณแม่ก็ยังบอกให้สงบปากสงบคำ”
“นี่แหละคน อย่าไปคิดมากเลย พอนานไปก็เลิกพูดเองนั่นแหละ”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะ พี่จิกตาได้เลิศมากค่ะ” พธูทิพย์ยกยอในสิ่งที่รัตติกาลทำจนเธอหลุดหัวเราะออกมา
มันน่าดีใจไหมละ จิกตาด่าคน ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่เป็นความสะใจเสียมากกว่า ทำได้ประเดี๋ยวก็หายไปอยู่ดี รัตติกาลยิ้มพร้อมกับยื่นมือมารับถาดเพื่อช่วยถือ พธูทิพย์ยื่นให้ก่อนจะหันไปขนข้าวของอีกส่วนออกมาถือไว้แล้วปิดท้ายรถลง
จดหมาย
ชายไทนั่งมองหญิงสาวที่มาหาเขาถึงงานศพของยายด้วยสายตาประหลาดใจ เธอยิ้มจืดๆส่งให้ ระหว่างที่เขานั่งลงข้างๆบนม้าหินอ่อน ห่างจากศาลางานศพเพียงเล็กน้อยนั้นสีหน้าของชายไทยังคงซีด ดวงตาอิดโรยอาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการจัดงาน รัตติกาลมองท่าทีเหล่านั้นอย่างเห็นใจ หญิงสาวก้าวเข้ามานั่งม้านั่งข้างเขานั่นเอง
“เสียใจด้วยนะคะ”เธอเอ่ยทั้งมองเขาด้วยสายอ่อนโยน ชายไทยยิ้มจืดพร้อมทั้งเหยียดขายาวๆนั้นออกไปเพียงเล็กน้อย
“เราทำใจเตรียมรับเรื่องนี้กันมานานแล้วละครับ ยายบอกอยู่เสมอว่าจะต้องมีวันนี้”ชายไทอธิบายน้ำเสียงแหบแห้ง
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบรับเพียงแค่นั้นเพราะคิดคำพูดไม่ออก เธอไม่คุ้นเคยกับการปลอบใจใคร ไม่เคยทำมาก่อน ในงานศพของเพื่อนรักเธอก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ จ้องมองผู้คนที่เข้ามาในงานอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้กระทั่งผู้เป็นยายของธัญญา ทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุไม่มีตัวตนใดๆ นั่นคือ สิ่งที่เธอเจ็บปวดที่สุด
“คุณมาหาผม มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า”ชายไทเป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มเงียบไป รัตติกาลเหลือบมองใบหน้าคมจากด้านข้างอย่างประเมินในใจ
“คือ...ฉันว่ามันคงสายไปแล้วละ เพราะวันนั้นคุณมาขอร้องให้ฉันช่วยคุณ ช่วยยายของคุณ...แต่...”
“คุณมีวิธีช่วยผมแล้วอย่างนั้นเหรอครับ”ชายไทแทรกขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว รัตติกาลพยักหน้ารับ
“คุณถามหาสร้อยพระจันทร์ใช่ไหม” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อดึงสร้อยเงินที่มีจี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวนั้นออกมาให้ชายหนุ่มดู
“คุณเป็นเจ้าของมัน มิน่าเล่ายายถึงได้ให้ผมตามหาคุณ แต่ผมไม่รู้ว่าให้ตามหาทำไม ท่านเสียไปก่อนที่จะคุยกันรู้เรื่อง”ชายหนุ่มอธิบายทว่าปลายประโยคนั้นดวงตาคมทอประกายเศร้าๆออกมา
“แล้วมันสำคัญยังไงเหรอคะ”
“ผมไม่รู้...ผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมเก่งกว่านี้ ทำให้ยายภูมิใจได้ก็คงดี” เขาตอบอย่างนั้นด้วยความอับจนปัญญาที่จะหาความหมายของมัน ดวงตาคมนั้นเศร้าสลดลงทีนทีเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของผู้เป็นยายซึ่งพยายามที่จะพูดบางอย่างกับเขา
รัตติกาลรู้สึกเย็นยะเยือกก่อนที่เห็นร่างโปร่งใสของผู้ที่เป็นยายปรากฏอยู่ข้างกายของชายไท หญิงสาวมองสีหน้าเศร้าๆของวิญญาณนั้นด้วยความสงสาร
ยายชมนาดเอื้อมมือมากุมบ่าหลานชายไว้เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้สึกเท่านั้นเอง รัตติกาลมองภาพนั้นด้วยความเศร้าก่อนจะเอื้อมมือออกไปทำตามที่ยายชมนาดทำ เธอแตะบ่าเขาเบาๆ ก่อนจะกุมมันไว้แล้วบีบแน่นเป็นการให้กำลังใจ
ชายไทหันมามองหญิงสาวด้วยแววประหลาดใจ ครอบครัวของเขามักให้กำลังใจกันแบบนี้เสมอ เหมือนเธอรับรู้ว่าการกระทำแบบนี้คือ ความหมายอย่างไร รัตติกาลยิ้มบาง
“คุณยายคุณ ท่านทำแบบนี้ ในตอนนี้...”หญิงสาวอธิบาย ชายไทสงบนิ่งขึ้น ดวงตามีความหวังผสมกับความเศร้าใจ
“บอกท่านได้ไหม ว่าผมขอโทษ”
“คุณบอกเองเลยค่ะ ท่านอยู่ตรงนี้และได้ยินคุณเพียงแต่สื่อสารไม่ได้”หญิงสาวอธิบาย ชายไทกวาดสายตามองรอบๆ ท่ามกลางความมืด
“ผมขอโทษครับยาย ขอโทษที่ทำให้ยายได้แค่นี้ ผมควรเก่งกว่านี้”ชายไทรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ร่างโปร่งแสงนั้นสะท้อนความเสียใจก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วแตะมือลงบนมือของรัตติกาล แล้วหันมายิ้มบางๆให้ก่อนจะจางหายไป ภาพนั้นทำให้รัตติกาลถอนหายใจเบาๆ พลางเหลือบมองใบหน้าเศร้าๆ ของชายหนุ่ม
“คุณยายคุณบอกว่า มันไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกนี้ คุณยายคุณหมดทุกข์แล้ว คิดเสียว่าท่านไปสู่ภพภูมิใหม่ที่ดีกว่านี้นะคะ” รัตติกาลปลอบใจ ยายชมนาดไม่ได้พูดอะไรแต่เธอแค่อยากช่วยให้ชายไทรู้สึกดีขึ้นเท่านั้นเอง
ชายไทยิ้มบาง...ยกมืออีกข้างขึ้นมาแตะมือที่อยู่บนบ่าตัวเองเบาๆ “ขอบคุณนะครับ ที่อย่างน้อยคุณก็เปลี่ยนใจมาช่วยผม มันอาจจะสายไปแล้ว แต่ผมก็ขอบคุณ”ชายหนุ่มเน้นคำว่าขอบคุณอย่างชัดเจน รัตติกาลยิ้มจืดๆให้
“ไม่เป็นไรค่ะ จริงๆ เรื่องคุณยังไม่จบไม่ใช่เหรอคะ เด็กที่ทำร้ายคุณยังไม่ถูกจับเลย”
ชายไทพยักหน้าเข้าใจ เป็นจริงตามที่หญิงสาวพูด เรื่องคดีของเขายังไม่จบเลย
“พี่ชะ...ชาย” เสียงพธูทิพย์ขาดห้วงทันทีที่เห็นมือของพี่ชายประกบอยู่กับมือของรัตติกาล ใบหน้าน้องสาวแดงซ่านอย่างเขินอายแทนคนทั้งคู่ ชายไทกระแอมเบาๆระหว่างที่ปล่อยมือออกพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“มีอะไรหรือเปล่าพู่” เขาหันมาถามน้องสาวกลบเกลื่อนอาการแปลกๆซึ่งกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
“คุณแม่ให้มาเรียกพี่ไปหาอะค่ะพอดีเพื่อนพี่ชายมา แล้วก็เชิญแขกเข้าไปในงานด้วย”พธูทิพย์อธิบาย
“อ้อ งั้นเชิญคุณเข้าไปข้างในดีกว่าครับ” เขาหันมาเชื้อเชิญหญิงสาวเข้าไปข้างใน
รัตติกาลยิ้มบางแล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าชายไทและน้องสาวออกไปที่ศาลาจัดงานศพ พธูทิพย์เหลือบมองใบหน้าของพี่ชายจากด้านข้าง
“ห้ามคิดเลยนะพู่”
“พี่ชายรู้เหรอว่าพู่คิดอะไรอยู่”
“รู้สิ เรากำลังคิดอกุศลระหว่างพี่กับคุณรัตติกาล มันไม่ได้มีอะไรเลย ไม่มีอะไรจริงๆนะ”ชายหนุ่มยืนยันในน้ำเสียงที่ได้ยินกันสองคนพี่น้อง
พธูทิพย์หัวเราะหึขึ้นมาครั้งเดียวเปรียบเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ชายพูดเลยแม้แต่น้อย ชายไทพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ รู้ดีว่าห้ามความคิดของน้องสาวไม่ได้เป็นแน่
เพื่อนที่พธูทิพย์บอกก็คือ อชิตะนั่นเอง นายแบบหนุ่มมานั่งรอที่เก้าอี้แถวที่สอง เมื่อเห็นรัตติกาลเขาก็ทำหน้าประหลาดใจทันที หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งข้างๆกัน พร้อมกับอธิบายง่ายๆว่าเผอิญรู้จักกับยายของชายไทเลยเข้ามาร่วมเคารพศพเท่านั้นเอง
ภายในงานช่วงแขกเหรื่อซึ่งเข้ามาร่วมฟังสวดอภิธรรมชายไทและอิงอรยืนต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้า ส่วนพธูทิพย์เป็นคนดูแลแขกด้านในศาลา รัตติกาลซึ่งเห็นน้องสาวของชายไทวิ่งวุ่นอยู่คนเดียวจึงเข้าไปช่วย พธูทิพย์กล่าวขอบคุณพร้อมทั้งยิ้มให้หญิงสาวระหว่างที่เดินออกมาหยิบของในรถด้วยกัน
“ขอบคุณพี่มากนะคะ ช่วงนี้บ้านเราก็วุ่นๆกัน คุณพ่อก็ต้องรับแขกส่วนของคุณพ่อ ยังดีแฟนของพู่เองก็เข้ามาช่วยเป็นธุระหลายอย่างเหมือนกัน คืนก่อนๆก็ได้เด็กๆที่ร้านมาช่วยงาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีช่วยนะคะ พี่เคยชินกับงานศพแล้วละ” รัตติกาลกล่าวคำที่ทำให้พธูทิพย์ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย ทว่าระหว่างกำลังคิดอยู่นั้นเสียงพูดคุยของหญิงสองคนซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาทำให้พธูทิพย์ไม่ทันได้เอ่ยปากถามต่อ
“นี่ได้ยินว่าอาจารย์ชานนท์มีลูกชายเป็นด็อกเตอร์ด้วยใช่ไหม”
“ใช่คนนั้นไหม”
“น่าจะใช่นะ ลูกชายคนเดียวเสียด้วย รูปหล่อ มีการศึกษาดีนี่น่าอิจฉานะ ข้างๆนั่นภรรยาอาจารย์ชานนท์ใช่ไหม เป็นอาจารย์ด้วยกันหรือเปล่า”
“ได้ยินว่าเป็นแม่ค้านะ เจ้าของร้านอาหารไทย”
“จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อนะ ดูสิ ท่าทางแม่ค้าจริงๆนั่นแหละ แปลกจริงๆ อาจารย์ชานนท์ดูผู้ดีจะตายไปทำไมถึงแต่งกับแม่ค้าได้”
“ฉันได้ยินมาว่าแม่ยายอาจารย์ชานนท์เป็นหมอไสยฯ หรือว่าจะทำของใส่ลูกเขย วุ้ย พูดละขนลุก เรื่องแบบนี้ไม่แน่ไม่นอนนะคะ คนอนาคตไกลอย่างอาจารย์ชานนท์ถึงกับเลือกแม่ค้าบ้านนอกนะคะ มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ”
พธูทิพย์ซึ่งได้ยินเต็มสองหูถึงกับเดือดดาล มือกำถาดแสตนเลสแน่น ดวงตากลมโตนั้นวาวโรจน์ด้วยโทสะ รัตติกาลเอื้อมมือมากุมมือพธูทิพย์ไว้เหมือนกับจะให้กำลังใจแต่ผิดถนัด
“อย่าไปโกรธเลย เดี๋ยวคุณยายจะไม่สบายใจ เดี๋ยวพี่จัดการให้” รัตติกาลปล่อยมือออกแล้วก้าวขายาวๆของตัวเองเข้าไปอยู่ตรงหน้าหญิงทั้งสองคน เธอกอดอกหลวมๆ ดวงตาเรียวกวาดมองทั้งคู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเหยียดยิ้มมุมปาก
“ผู้ดีที่ไหนเขานินทาเจ้าของงานกันบ้าง แม่ค้ายังไม่เคยนินทาลูกค้าต่อหน้าเหมือนอย่างพวกคุณเลย มารยาทมันคงบรรจุอยู่ในแค่ตำราไว้อ่านท่องจำไม่ได้ซึมซาบเข้าสมองสินะ แก่กะโหลกกะลาจริงๆ”
“นี่หล่อนเป็นใคร!”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิคะ นี่งานศพนะคะคุณป้าฉันจะเป็นใครก็ช่างเถอะค่ะ รู้ไว้แค่ว่าฉันได้ยินพวกคุณนินทาเจ้าของงานเขาเต็มสองหูละกันค่ะ”
“ไปเถอะค่ะ อย่าไปสนใจเลย ทนๆเอาหน่อย อยู่ในงานพวกแม่ค้าก็อย่างนี้แหละค่ะ”
“อุ้ยตาย...อย่าเหวี่ยงแรงนะคะ ต่างหูคุณป้ามันจะหลุด ต้องเข้าใจมาตรฐานประตูน้ำเชียว” รัตติกาลแสร้งว่า เธอไม่เข้าใจพวกนี้จริงๆ ถ้าจะมางานแล้วทำไมต้องนินทา ไม่ว่าจะคนตายหรือคนอยู่...มันสมควรแล้วหรือ หากไม่รู้ความจริงกล้าพูดได้อย่างไร
“พี่เจ๋งมากเลยค่ะ” พธูทิพย์เอ่ยชมสีหน้าขบขัน
“ไม่เจ๋งอะไรเลย คนพวกนี้บางทีก็สมควรโดนเสียบ้าง”รัตติกาล
“แต่ก็จริงอย่างเขาว่านั่นแหละค่ะ ครอบครัวเราแปลก ความจริงแม่เคยเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนประถมในต่างจังหวัดนะคะแต่ลาออกมาเปิดร้านอาหาร พู่เองแหละค่ะที่ชักชวนให้แม่เปิดร้าน แม่เป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวจนน่าหงุดหงิด นี่แค่พวกที่ทำงานของพ่อนะคะ ยังมีญาติฝั่งพ่ออีก ฝ่ายนั้นดูถูกแม่มาก หาว่ามาเกาะพ่อ ทั้งๆที่ความจริงค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดแม่ต่างหากที่เป็นคนจ่าย เงินเดือนคุณพ่อไม่ได้เยอะแยะอะไร ที่ดินก็เก็บไว้ไม่เคยได้ขายยังจะมากล่าวหากันอีก พู่เกือบทนไม่ไหวหลายครั้งแล้วแต่คุณแม่ก็ยังบอกให้สงบปากสงบคำ”
“นี่แหละคน อย่าไปคิดมากเลย พอนานไปก็เลิกพูดเองนั่นแหละ”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะ พี่จิกตาได้เลิศมากค่ะ” พธูทิพย์ยกยอในสิ่งที่รัตติกาลทำจนเธอหลุดหัวเราะออกมา
มันน่าดีใจไหมละ จิกตาด่าคน ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่เป็นความสะใจเสียมากกว่า ทำได้ประเดี๋ยวก็หายไปอยู่ดี รัตติกาลยิ้มพร้อมกับยื่นมือมารับถาดเพื่อช่วยถือ พธูทิพย์ยื่นให้ก่อนจะหันไปขนข้าวของอีกส่วนออกมาถือไว้แล้วปิดท้ายรถลง
ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2558, 07:10:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2558, 07:10:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1778
<< ---ลบ--- | ---ลบ--- >> |
ใบบัวน่ารัก 19 ม.ค. 2558, 07:19:59 น.
อะจ้า ยังไม่รู้เรื่องของยายเลย
อะจ้า ยังไม่รู้เรื่องของยายเลย
พันธุ์แตงกวา 19 ม.ค. 2558, 09:29:17 น.
โห เม้าท์มอยส์งานศพ มันน่าจริงๆ สมน้ำหน้าแล้ว
โห เม้าท์มอยส์งานศพ มันน่าจริงๆ สมน้ำหน้าแล้ว
ดังปัณณ์ 20 ม.ค. 2558, 15:33:45 น.
นั่นแหละพู่ ตามนั้นๆๆๆๆเลยไม่ต้องคิดมาก รัตตินั่นพี่สะใภ้ชัดๆๆๆ ว่าแต่แหม...ชายไทขา ระวังจะกลืนน้ำลายตัวเองนะตั๊ว >.<
นั่นแหละพู่ ตามนั้นๆๆๆๆเลยไม่ต้องคิดมาก รัตตินั่นพี่สะใภ้ชัดๆๆๆ ว่าแต่แหม...ชายไทขา ระวังจะกลืนน้ำลายตัวเองนะตั๊ว >.<
ณิชนิตา 21 ม.ค. 2558, 21:16:55 น.
5555555555555 ขอบคุณค่ะ
5555555555555 ขอบคุณค่ะ