บ้านใกล้ใจเคียง
เพราะหัวใจใกล้กัน...เพียงรั้วกั้น

อยู่ ๆ ในอกมันก็เต้นเร่าด้วยความยินดี แต่...ยังหรอก ชยพัทธ์ไม่มีทางผลุนผลันออกไปทักโดยที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแน่ ยิ่งวิสัยทัศน์พร่าเลือนไม่เอื้อให้เห็นอะไรมากไปกว่าท่าทางร้อนรนของ ‘เธอ’ ขณะชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านร้างซึ่งมันก็ไม่น่าจะแปลได้หลายทางนัก เขากำลังสงสัยและคิดว่าเจ้าหล่อนอาจเป็นญาติฝ่ายบิดาที่มาต้อนรับเขากลับบ้านหรือเปล่า

...ถ้าตลอดสิบสามปีนั่นได้กลับมาสักครั้งก็คงรู้หรอก...

“พี่พัด ! นั่นพี่พัดใช่ไหมคะ”

ต่างจากเสียงถอนหายใจเรื่อยเปื่อยของเขา หญิงสาวปริศนาคนนั้นร้องตะโกนแข่งเสียงฝน กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามฝั่งมาหยุดยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าเขาซึ่งกำลังงงงัน สมองประมวลความจำโดยอัตโนมัติว่าเคยเห็นเธอมาก่อนหรือไม่
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: ๑/?

บ้านใกล้ใจเคียง ๑/?

“อา...มาผิดฤดูจริงๆ ด้วยสินะ แย่ชะมัด...”

ชายหนุ่มบ่นครวญเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างไม่จริงจังนักขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดดำยามดึกสงัดซึ่งกำลังกลั่นตัวทิ้งหยาดน้ำเย็นฉ่ำและดูท่าตกหนักขึ้นทุกที ก่อนจะตัดใจเก็บโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานต่างไฟฉาย ละมือจากประตูรั้วไม้เก่าครึที่ถูกคล้องโซ่ล็อกไว้แน่นหนา คว้ากระเป๋าเดินทางใบย่อมวิ่งข้ามถนนไปหลบอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะคับแคบที่ช่วยอะไรแทบไม่ได้ ทำให้ชยพัทธ์รู้สึกสมเพชตัวเองอย่างอดไม่อยู่ เขาแกว่งลูกกุญแจพวงใหญ่ไปมาจนเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งพลางพ่นลมหายใจยาวพรืดด้วยความเหนื่อยระอา หลังเสียเวลาร่วมชั่วโมงเพื่อจะพบว่าพวกมัน...ไร้ประโยชน์

ก็จะไม่ให้รู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขารึก็อุตส่าห์ลากสังขารอันปลกเปลี้ยจากการย่นตารางงานสองอาทิตย์ให้เหลือเพียงแปดวันอย่างบ้าบิ่น เพื่อจะกลับมาให้ทันงานมงคลสมรสของลูกพี่ลูกน้องคนสนิทหรือว่าที่เจ้าบ่าวที่ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเล ซ้ำยังข้ามโรคเมาเครื่องบินไปแจกการ์ดเชิญสีหวานด้วยตัวเองถึงอเมริกาซึ่งชยพัทธ์กับบิดาย้ายตามมารดาชาวต่างชาติไปปักหลักถาวรตั้งแต่สิบสามปีที่แล้ว โดยทิ้งบ้านหลังเดิมหลังนี้ไว้ไม่เคยกลับมาดูดำดูดีตลอดระยะเวลานั้น

...รู้ไหมว่าเหนื่อยจนจะล้มทั้งยืนอยู่แล้วนะ!...

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ชยพัทธ์ก็ไม่อยากหา ‘ทางเข้า’ ด้วยวิธีรุนแรง เพราะแม้ว่าบ้านเรือนละแวกนี้จะพากันปิดบ้านนอนหลับพักผ่อนไปเกือบหมดแล้ว อีกทั้งฟ้าฝนก็ไม่ยักเป็นใจให้ออกมาใส่ใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่ และยิ่งแล้วใหญ่กับบ้านซึ่งถูกทิ้งร้างจนสภาพอาจดูแทบไม่ได้ ไร้เหตุจูงใจให้บุกรุกอย่างบ้านหลังนี้ที่หากเขาต้องการจัดการมันด้วยวิธีที่ตัวเองต่อต้านจริงๆ แล้วก็คงหามีใครล่วงรู้จนกว่าจะถึงรุ่งเช้า ซึ่งตอนนั้นเขาก็น่าจะมีแรงบอกเล่าว่าตนเป็น ‘อดีตเพื่อนบ้าน’ ของเหล่าลุงๆ ป้าๆ ซอยเดียวกัน...ถ้าพวกเขามีแก่ใจสนบ้างน่ะนะ

ทว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น มันอาจฟังดูงี่เง่าถ้าเขาจะบอกว่าสิ่งที่เขาห่วงยิ่งกว่าสวัสดิภาพของตัวเองก็คือบ้านหลังน้อยซึ่งร่องรอยความทรงจำมากมายคล้ายยังอบอวลอยู่ในนั้นไม่ทันจาง

...ถึงจะจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ก็เถอะ...

...แต่หากจะให้มัวรำพึงรำลึกความหลังครั้งวันวานเป็นพระเอกเพลงโศกอยู่แบบนี้ เห็นทีจบงานนี้คงไม่พ้นถูกหวัดรับประทานแน่นอน...ไปหาโรงแรมแถวนี้กันหนาวตายก่อนแล้วกัน...

จังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเท้าออกจากตู้โทรศัพท์ แสงไฟสว่างจ้าจากหน้ารถยนต์คันหนึ่งก็ตัดผ่านสายฝนสาดตรงเข้าตาจนแสบพร่า และชยพัทธ์คงไม่ถือสาอะไรถ้าพาหนะสาธารณชนสีเขียวเหลืองคันนั้นจะวิ่งผ่านเลยไป ไม่ใช่เทียบจอดอย่างนิ่มนวลตรงที่เขาเพิ่งสาละวนอยู่ก่อนฝนลงเม็ด แล้วค่อยเคลื่อนจากไปโดยทิ้งความหวังเล็กๆ เป็นผู้โดยสารรูปร่างแบบบางใต้ร่มทรงค้างคาวไว้แทน

อยู่ๆ ในอกมันก็เต้นเร่าด้วยความยินดี แต่...ยังหรอก ชยพัทธ์ไม่มีทางผลุนผลันออกไปทักโดยที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแน่ ยิ่งวิสัยทัศน์พร่าเลือนไม่เอื้อให้เห็นอะไรมากไปกว่าท่าทางร้อนรนของ ‘เธอ’ ขณะชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในบ้านร้างซึ่งมันก็ไม่น่าจะแปลได้หลายทางนัก เขากำลังสงสัยและคิดว่าเจ้าหล่อนอาจเป็นญาติฝ่ายบิดาที่มาต้อนรับเขากลับบ้านหรือเปล่า

...ถ้าตลอดสิบสามปีนั่นได้หวนกลับมาที่นี่สักครั้งก็คงรู้หรอก...

“พี่พัด! นั่นพี่พัดใช่ไหมคะ”

ต่างจากเสียงถอนหายใจเรื่อยเปื่อยของเขา หญิงสาวปริศนาคนนั้นร้องตะโกนแข่งเสียงฝน กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามฝั่งมาหยุดยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าเขาซึ่งกำลังงงงัน สมองประมวลความจำโดยอัตโนมัติว่าเคยเห็นเธอมาก่อนหรือไม่

ดวงตาคมกริบลอบพินิจหญิงสาวแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว ผมหยักศกยาวเพียงบ่าที่เปียกชุ่มเล็กน้อย ล้อมกรอบดวงหน้าสวยหวานด้วยดวงตากลมโตพราวระยับแม้อยู่ใต้แสงไฟถนนสลัวมัวหม่น จมูกโด่งรั้นน่าบีบเล่นเบาๆ ริมปากอิ่มสีซีดที่สั่นระริกเพราะละอองไอฝนหรือไม่ก็สุดรู้ แต่ที่เขารู้คือรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก โดยเฉพาะรอยยิ้มเปิดเผยไร้พิษภัยนั่น

“หรือจะฟังไทยไม่รู้เรื่องแล้วหว่า” เธอบ่นงึมงำเมื่อเห็นเขาเงียบไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจือกังวลเล็กน้อย “พี่พัด...จำพราวไม่ได้เหรอคะ”

คิ้วหนาย่นเข้าจนเกือบชิดกันขณะระดมความคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบา

พราว พราวพิศ...หนูพราว!

แม้หน้าตาอาจจะไม่คุ้นเพราะถูกระยะเวลากว่าสิบสามปีบิดเบือนไป แต่ถ้าเป็นชื่อนี้ละก็...

ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย ภาพเด็กผู้หญิงผมเปียข้างบ้านที่ชอบปีนข้ามกำแพงมาขอกินขนมอบฝีมือมารดาเขาเป็นประจำผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเวลาหมุนย้อนกลับ เขากลับไปเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งอายุสิบเจ็ดอีกครั้ง รอยยิ้มจุดขึ้นที่ริมฝีปากได้รูป พลอยให้เธอคลี่ยิ้มกว้างไปด้วย

“มิน่า...”

ชยพัทธ์มองสาวน้อยใต้ร่มคันโตที่กำลังยิ้มรอคอยคำตอบสลับกับเงาทึบทะมึนของบ้านสองหลังที่มีรั้วรอบขอบชิดกันด้วย
ความประหลาดใจ อย่างแรก...พราวพิศจำเขาได้ทั้งที่ครั้งสุดท้ายที่พบกันคือตอนเธออายุแค่สิบสอง และอย่างสอง...เธอว่าเพียงเท่านั้นก็ผละวิ่งเข้าบ้านของตัวเอง และชั่วอึดใจดวงไฟในบ้านหลังนั้นก็สว่างโร่ หญิงสาววิ่งออกมาอีกครั้งพร้อมร่มแบบเดียวกันหนึ่งคัน กับสิ่งของบางอย่างที่พอเห็นใกล้ๆ จึงรู้ว่ามันคือพวงกุญแจ

“นึกออกแล้วใช่ไหมคะ”

สาวบ้านข้างฉีกยิ้มกว้างราวกับการที่เขาจำเธอได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ และก็น่าแปลกที่รอยยิ้มทั้งทางปากและทางตาของเธอทำให้อากาศหนาวยะเยือกกลายเป็นเย็นชื่นฉ่ำในหัวใจอย่างประหลาด

“งั้นก็รีบเข้าบ้านกันเถอะค่ะ เปียกเยอะแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงหวานเอ่ยต่อ

ชายหนุ่มรับร่มมากางอย่างว่าง่าย ปล่อยให้หญิงสาวจับจูงไปยังประตูรั้วเจ้ากรรมที่เขาไม่สามารถผ่านไปได้ เพราะกุญแจของจริงนั้นอยู่ที่เธอ ชยพัทธ์เห็นว่ามันเหมือนกับที่เขามีเปี๊ยบ คะเนว่าบิดามารดาคงปั๊มให้คนบ้านนี้เก็บไว้อีกชุด แต่ทำไม...

“กุญแจหน้าบ้านมันเก่าน่ะค่ะ พ่อพราวเลยเปลี่ยนให้ใหม่ ส่วนนอกนั้นยังใช้ได้...”

ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ แต่พราวพิศก็แทรกเข้ามาได้ถูกจังหวะราวกับมานั่งอยู่ในใจ ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ได้กลายเป็นมัคคุเทศก์จำเป็นของเขาไปแล้วอย่างเอ็นดู เธอดูจะคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ยิ่งกว่าเจ้าของตัวจริงอย่างเขาเสียอีก หญิงสาวเลือกหาลูกกุญแจที่เข้ากันได้โดยไม่มีอาการติดขัด เปิดและปิดประตูด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ นั่นทำให้เขาเข้าใจว่าที่นี่ยังคงมีคนคอยเอาใจใส่ดูแล มิได้รกร้างเป็นบ้านผีสิงอย่างที่คิดมาตลอด ซึ่งคนที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่สาวข้างบ้านคนนี้

ชยพัทธ์นึกขอบคุณเธอจากใจจริง เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเพื่อนบ้านแสนดีอย่างพราวพิศ

หลอดไฟสว่างขึ้นทีละดวงเมื่อก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มแทบอดใจไม่อยู่ที่จะล้มตัวลงซุกโซฟาหนานุ่มในห้องรับแขกที่เขารู้ดีว่ามันนุ่มสบายขนาดไหนด้วยความคิดถึงเกินอธิบาย ทว่าก็เปลี่ยนใจลากเก้าอี้ไม้มานั่งแทนเพราะสภาพอย่างพิตบูลล์ตกน้ำตอนนี้คงทำให้ผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดที่บุไว้เปียกเปื้อนสกปรก แม้เธอจะบอกแล้วว่าให้ทำตัวตามสบายได้ก็ตาม

ทีแรกชยพัทธ์คิดจะหลับพักสายตาสักงีบค่าที่โหมงานหนักมาทั้งอาทิตย์ แต่พอเอาเข้าจริง เขาก็กลับเพลิดเพลินกับการมองดูหญิงสาววุ่นวายเดินเข้าเดินออกห้องนั้นห้องนี้...เพื่อเขา

ไม่ใช่ชยพัทธ์จะคิดเข้าข้างตัวเองแต่อย่างใด เพราะหลังจากไฟชั้นล่างสว่างครบทุกดวงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแผงยาลดไข้ ขวดน้ำแร่ น้ำผลไม้กล่อง กระทั่งเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่รู้ว่าเธอไปสรรหามาจากไหนก็วางพร้อมอยู่บนโต๊ะเล็กตรงหน้า ให้ความรู้สึกดีที่ยังไม่รู้จะนิยามว่าอะไรซึมซ่านเข้ามาในหัวใจอย่างช้าๆ

“พูดไทยก็ได้นะหนูพราว พี่ยังฟังรู้เรื่อง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างขันๆ หลังจากรับผ้าขนหนูสีขาวจากเธอมาเช็ดผมเช็ดตัวที่เปียกม่อลอกม่อแลก หญิงสาวชะงักเท้ากึก ก่อนจะหันมาแหวใส่เขา ใบหน้าหวานงอง้ำ ขึ้นสีระเรื่อด้วยความอับอาย

“อ้าว! แล้วทำไมไม่รีบบอกละคะ ปล่อยพราวขายหน้าอยู่ตั้งนาน”

ชยพัทธ์อดนึกขำไม่ได้เพราะภาษาที่สองของเธอไม่แข็งแรงเลยจากที่ได้ฟังเพียงแค่สองสามประโยค ทั้งที่สมัยเด็กเขาก็ใช้ภาษาอังกฤษกับเธอออกจะบ่อย หมายความว่าความหวังดีของเขาไม่ได้ถูกซึมซับเอาไว้เลยหรือนี่ ชายหนุ่มแอบผิดหวังนิดๆ

พราวพิศนั้นอ่อนกว่าเขาหลายปี แต่ด้วยความที่บ้านติดกัน แถมในซอยเล็กๆ นี้ก็มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือเธออยู่ไม่กี่คน วันหนึ่งๆ หากไม่ได้ออกไปไหน เธอกับน้องชายก็มักจะมาขลุกเล่นเกม กินขนมที่บ้านของเขาเป็นประจำจนเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นน้องๆ เขาอยู่บ่อยครั้ง

“พี่ไม่ทันสังเกต...” ชยพัทธ์สารภาพอย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่ล้อเลียน เพียงอยากเห็นเธอยิ้ม “ก็มัวแต่ดีใจที่หนูพราวจำพี่ได้ พี่กะจะลองเข้ามาดูในบ้านว่าถ้าปัดกวาดสักหน่อยจะพอนอนได้หรือเปล่า แต่พระพิรุณก็ดันพิโรธ กุญแจที่เอามาด้วยก็ใช้ไม่ได้อีก คิดว่าคืนนี้จะต้องนอนโรงแรมแล้วเชียว เกือบคลาดกันแล้วนะรู้ไหม...” ชายหนุ่มเว้นช่วงเพื่อสังเกตท่าที และเพื่อจะพบว่าสาวเจ้าย้ายตัวมานั่งอยู่ข้างๆ คิ้วเรียวยังคงขมวดน้อยๆ “พ่อกับแม่ไม่เห็นบอกพี่เลยว่าหนูพราวดูบ้านไว้ให้ ดูสิ สะอาดเชียว ฝุ่นไม่มีจับสักกะเม็ด”

“นั่งโซฟาจะสบายกว่านะคะ พราวส่งร้านซัก ไม่ได้ซักเองหรอก” พราวพิศว่าเสียงเบา ดวงตากลมใสมองตามนิ้วของเขาซึ่งกำลังวาดเส้นโค้งบนโต๊ะไม้เคลือบแซล็คมันปลาบอย่างไม้รู้จะเอาสายตาไปไว้ที่ไหนดี หญิงสาวจึงไม่ได้เห็นประกายอ่อนโยนระคนเอ็นดูที่ฉาบทออยู่ในคริสตัลคู่สวยของคนตัวโต



ชลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2558, 10:52:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2560, 23:20:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1160





   ๒/? (ลบ) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account