เพียงหนึ่งดวงใจ
เมื่อหกปีก่อน หล่อนกับเขาพบกันโดยบังเอิญ
เด็กสาวชาวบ้านกับโจรป่าซอมซ่อ

'หน้าตาเจ้าก็ดีนะ ไม่น่าเป็นโจรเลย...' เด็กสาวทำคอย่น ถามกลับอย่างใคร่รู้มากกว่าหวาดกลัว
'เจ้าจะจับเรากินรึเปล่า'
ก็แถวนี้...มีข่าวแว่วๆว่ามีโจรป่ากินคนอยู่นี่นา
คนคนนี้...น่าจะใช่
'อย่ากินเราเลย เนื้อเราไม่อร่อยหรอก ถ้าเจ้าหิว...'
เจ้าตัวยื่นผลชมพู่ในมือให้
'กินนี่ดีกว่า หวานหอมอร่อยกว่าเราเยอะ!'


ราวกับพระพรหมลิขิต อีกหกปีถัดมา ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง
ในฐานะจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กับ ข้าบาทบริจาริกาผู้ปลอมตัวมาแทนพี่สาว


เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ใครคนนั้นจำพระองค์ไม่ได้ จึงไม่ได้รู้ว่าคนที่หล่อนเคยหยิบยื่นผลชมพู่ที่เหลือครึ่งลูกให้นั้นคือคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าหล่อน และกำลังลอบพิจารณาหล่อนด้วยความดีพระทัย
ป้ายเหล็กสลักคำว่า 'เสือดำ' ที่ใครคนหนึ่งเคยมอบให้ จวบจนบัดนี้ หกปีผันผ่าน เด็กคนนั้นก็ยังสวมใส่มันไว้ราวกับเป็นของล้ำค่า
เป็นครั้งแรกที่ทรงอุ่นวาบในอุระ...เพียงแค่ป้ายเหล็กที่ไหวเอนไปมาตรงเบื้องพระพักตร์...แค่นั้นหรือที่ทำให้ดวงหทัยของพระองค์เต้นผิดแผกไปจากเดิม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 03 : โจรบ้ากาม [รีไรต์]



‘กลุ่มคนจน’ ยังคงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างไม่สนใจผู้ใด จะมียกเว้นก็เพียงคนเดียว...ชายหนุ่มผู้มองตามเด็กสาวร่างเล็กไปจนลับตา

“คนนั้นใช่ไหม?”

เมื่อหันกลับมาจึงกระซิบถามโดยที่แทบไม่ขยับปาก

“ขอรับ” คนที่นั่งอยู่ทางด้านขวาเป็นฝ่ายตอบ ยังเสริมด้วยว่า “เจ้านางน้อยขอรับ”

“แน่ใจ? ไม่ใช่คนพี่แน่นะ?”

“แน่ใจขอรับ”

คนถามสูดลมหายใจลึกแล้วพยักหน้า

“นั่นสินะ เด็กแบบนั้นจะมณีมณฑ์ได้อย่างไรเล่า” พูดเจือเสียงหัวเราะแผ่วๆ “ที่ข้าได้ยินมา นางไม่ใช่แบบนี้แน่ ตัวก็เตี้ย ขาก็สั้น ทรวดทรงองค์เอวอะไรก็ไม่มี มันต่างจากคำว่างามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ลิบลับ”

เขายกมือลูบปลายคาง ไล้ไปตามแนบกรามที่มีไรหนวดจางสีเขียวลากยาวไปจนถึงจอนผมข้างหู

“เจ้าหลวงนพภูมิคงอยากลองดีกับข้ากระมัง” ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ แล้วหันไปมองประตูทางเข้า เหลือบขึ้นไปมองชั้นสอง หน้าต่างบานหนึ่งเปิดออก พร้อมกับใบหน้าของคนที่เขาอยากเห็นมาตลอดสองวันนี้

เด็กสาวตัวเล็กอายุไม่น่าจะถึงยี่สิบผู้นั้นยืนพิงขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปสุดขอบฟ้าไกล อึดใจใหญ่ๆทีเดียวกว่าเจ้าหล่อนจะยกมือขึ้นมาปลดผ้าคลุมผมและเปิดเผยใบหน้าของตน

จมูกเล็กเชิดรั้นนิดๆ ริมฝีปากเต็มอิ่มจิ้มลิ้ม และแก้มยุ้ยๆทั้งสองข้างชวนให้นึกถึงใครบางคน...คนที่พบกันในช่วงเวลาสั้นๆ อีกทั้งยังไม่ได้พบกันถึงหกปี

ทำไมถึงไพล่ไปคิดถึงเด็กคนนั้น เจ้าตัวก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน

...บ้าน่า!

สลัดศีรษะโดยแรง ละสายตาจากเด็กคนนั้นหันมาสนใจกับอาหารตรงหน้า หยิบขาไก่ย่างขึ้นมา กัดเนื้อนุ่มๆหอมๆคำโต แล้วเคี้ยวกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย

เขาทำราวกับสนใจอาหารการกินมากกว่าอื่นใด ทว่าดวงตาทั้งสองกลับกวาดมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง

“ข้าสังหรณ์ใจว่าคืนนี้จะเกิดเรื่อง” ว่าพลางพยักเพยิดไปยังคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงด้านข้างของร้านอาหารแห่งนี้

มองเผินๆ คนพวกนั้นดูเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ถ้าพิจารณาดีๆจะเห็นความหลุกหลิกและหวาดระแวงซุกซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเรียบเฉย

“ถ้าไม่ใช่พวกทำหนีอาญาแผ่นดินก็ต้องเป็นโจร”

พวกมันย่อมไม่ปรากฏตัวเฉยๆถ้าไม่มีเป้าหมาย ประจวบเหมาะเหลือเกินที่ข้าบาทบริจาริกาขององค์รุทรบดินทร์เดินผ่านมาทางนี้ในวันนี้ด้วย มันใช่เรื่องบังเอิญแน่หรือ?

มีใครสักคนส่งมันมา หรือพวกมันอยากจะท้าทายอำนาจขององค์รุทรบดินทร์กันแน่?!

ชายผู้นั้นคำรามต่ำ แค่นเสียงอย่างไม่พอใจดังแค่ในลำคอ วางอาหารในมือลง แล้วดื่มน้ำตามอึกใหญ่

ทันทีที่วางแก้วลงบนโต๊ะ เขาก็ออกคำสั่งเฉียบขาด

“จับตาดูพวกมันไว้!”



แม้มทนาลัยจะไม่มีข้าวของมีค่าติดตัวมากนัก หากสำหรับพวกโจรของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ของหล่อนก็นับว่ามีค่ามหาศาลสำหรับมัน หีบบรรจุเงินทองเพชรพลอยเครื่องประดับต่างๆจึงต้องอยู่ในความดูแลของสุริยาและทหารที่ติดตามมาอีกสองสามนาย พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้พักในเรือนแห่งนี้ ด้วยไม่อาจทำตัวเทียบเสมอผู้เป็นนายได้จึงจำต้องนอนในคอกม้า...แม้มทนาลัยจะบอกให้เปิดห้องอีกห้องหนึ่ง ก็ไม่มีใครกล้านอน

สำหรับข้าวของที่อยู่กับเจ้านางน้อยนั้นมีของมีค่าแค่ไม่กี่ชิ้น อันได้แก่สร้อยทองคำ จี้ทับทิม กำไลเงินและกำไลหยกอย่างละชิ้น ทั้งหมดนั้นถูกเก็บไว้ในกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มทนาลัยมักจะเก็บไว้ข้างตัวเสมอ

‘ของของแม่ มัททิ้งไว้ที่คุ้มไม่ได้หรอกค่ะ‘

ไม่ใช่แค่ทิ้ง แต่หล่อนจะนำมันติดตัวไปด้วยตลอดเวลาไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด เรื่องนี้แม่นมแสงคำก็รู้ นางจึงพยายามซุกซ่อนมันไม่ให้เป็นที่สะดุดตาด้วยการเก็บไว้ในกล่องไม้ ห่อด้วยผ้ากะดำกะด่างอีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของพวกโจร ทว่าโจรบางกลุ่มฉลาดพอ ไม่ว่าจะหุ้มด้วยผ้าผืนเก่าสกปรกเพียงใด หากมันต้องการมันก็หาทางเอาไปจนได้นั่นแหละ

กลางดึกคืนนั้น โจรที่แฝงตัวมากับพวกพ่อค้าแม่ค้าก็ลอบเข้ามาในห้องของมทนาลัย พวกมันไม่ได้สนใจหีบขนาดใหญ่ที่สุริยาเป็นคนดูแลด้วยคิดว่าหากจะจัดการใครสักคน เด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างมทนาลัยกับผู้ติดตามสูงวัยอย่างแม่นมแสงคำจัดการได้ง่ายกว่ามาก และที่สำคัญ...หากเด็กสาวอย่างหล่อนตกอยู่ในมือของพวกมันเงินคงจะไหลมาเทมาเป็นกอบเป็นกำ

ใช่แล้ว...พวกมันไม่ใช่แค่โจรลักของ แต่เป็นพวกค้าทาสด้วย!

ประตูห้องของมทนาลัยขัดดาลไว้แน่นหนาระดับหนึ่ง ถึงวกระนั้นพวกมันก็จัดการได้อย่างง่ายดาย จังหวะการก้าวย่างของพวกมันช่างแผ่วเบาอย่างน่าเหลือเชื่อ แม่นมแสงคำซึ่งนอนบนพื้นยังคงหลับอย่างสบาย ส่วนมทนาลัยนั้นเพียงแค่หลับตาเท่านั้น หล่อนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วเพราะความกังวลและหวาดหวั่น...ทั้งเรื่องที่ต้องปลอมเป็นพี่สาว ไหนจะเรื่องหลอกลวงผู้คนอีกละ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆและหล่อนเลือกได้ละก็ หล่อนจะไม่มีวันทำเช่นนี้เป็นอันขาด

ทว่า...หล่อนมีทางเลือกหรือ?

หรือถ้ามี...เจ้าน้าสร้อยสุดาย่อมบีบทางเลือกของหล่อนให้เหลือเพียงทางเดียว และทางนั้นก็คือการเป็นตัวตายตัวแทนของมณีมณฑ์นั่นเอง!

มทนาลัยดึงความคิดอันขมขื่นกลับคืน เมื่อได้ยินเสียงกุกๆกักๆ ตรงประตู

เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆเปิดทีละน้อย หญิงสาวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง แสงไฟจากตะเกียงวูบไหวไปมาตามแรงลมที่ลอดผ่านม่านผืนบางเข้ามาภายในก่อเกิดเป็นรูปเงาฉาบอยู่บนผนัง

รูปเงาตามปกติเป็นเช่นไร มทนาลัยย่อมรู้ ทว่าสิ่งที่หล่อนเห็นในตอนนี้มันต่างจากคำว่าปกติอยู่มากทีเดียว

มีคนลอบเข้ามา!

หัวใจหล่อนแทบหยุดเต้นด้วยความตื่นตระหนก กระนั้นหล่อนก็ยังมีสติพอที่จะบังคับตัวเองให้นอนนิ่งๆ

เฝ้ารอ...ให้มั่นใจว่าคนพวกนั้นไม่ใช่สุริยาหรือคนของเขา

และเฝ้าคอย...เพื่อคิดทางหนีทีไล่อย่างรอบคอบ

มทนาลัยค่อยๆ สอดมือซ้ายสอดเข้าไปใต้หมอน คืบคลานทีละนิดๆ อย่างช้าๆ จนสัมผัสถึงโลหะเงินอุ่นจัด หล่อนกำมันไว้พร้อมตอบโต้เต็มที่หากพวกมันคิดทำร้ายหล่อน

หีบเครื่องประดับวางอยู่ข้างหมอน ตรงหน้าหล่อนนี้เอง หล่อนมองของเหล่านั้นด้วยความเป็นห่วง...ของสำคัญของแม่ หล่อนจะให้ใครมาลักไปไม่ได้เป็นอันขาด!

รูปเงาบนผนังค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น พวกมันก้าวเข้ามาใกล้แล้ว คงตั้งใจจะมาค้นหาของมีค่าบนเตียงของหล่อน มทนาลัยกลั้นใจ รวบรวมสติและสมาธิของตนอย่างสุดความสามารถ

มันเข้ามาใกล้แล้ว หล่อนรีบหลับตาแสร้งทำเป็นหลับต่อไป เสียงลมหายใจของมันดึงอยู่เหนือศีรษะของหล่อน...ลมหายใจถี่กระชั้น เป็นเพราะความตื่นเต้น หรืออาจจะกลัว หรือไม่...

“นังคนนี้...ถ้าเอาไปขายคงได้ไม่น้อย”

...ก็อาจได้พบของถูกใจ!

มทนาลัยใจใจหายวาบ รู้ในตอนนั้นเองว่าพวกมันไม่ใช่แค่มาลักของ แต่คงจะลักตัวหล่อนด้วย!

มทนาลัยร้อนใจแต่ก็ยังรั้งรอเพราะรู้ว่าสู้พวกมันไปก็รังแต่จะเสียเปรียบ หล่อนนึกถึงอาวุธที่พกติดตัวมา

กริชหนึ่งเล่มในมือหล่อน

ธนูหนึ่งคันแขวนอยู่ตรงหน้าต่าง

ดาบหนึ่งเล่มวางอยู่บนโต๊ะ...ซึ่งอาจจะถูกพวกมันยึดไว้แล้ว

มีแค่นี้จะไปสู้พวกมันได้อย่างไร?!

หนึ่งในนั้นวางมือลงบนต้นแขนของหล่อน

มทนาลัยไม่อาจรอได้อีก หล่อนชักกริชออกมาตวัดใส่ลำคอของมันอย่างว่องไวและเฉียบ ชายผู้นั้นเบนตัวหลบแล้วยกมือปัดป้อง เลือดกระฉูดพุ่งออกจากฝ่ามือของมัน

จังหวะที่มันผงะมึนงง หล่อนก็คว้ากล่องไม้นั้นไว้แนบอก พร้อมกับยกเท้าถีบชายอีกคนที่กำลังจะกระโจนใส่เต็มแรง ครั้นก้าวลงจากเตียงก็ร้องขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วย!” หล่อนโผไปที่ประตู อีกก้าวเดียวจะถึง กลับถูกกระชากอย่างแรง มืออันหยาบกร้านของโจรหนึ่งในสองรัดเอวของหล่อนไว้ แน่นเสียจนหล่อนหายใจไม่ออก

“เงียบ!” มันข่มขู่ “ถ้าไม่อยากตายเร็วก็เงียบไว้!”

อีกคนก้าวมายืนตรงหน้าหล่อน ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้ามีแววกรุ้มกริ่มและกระหายในกามารมณ์อย่างชัดเจน

“เจ้าถูกใจข้าจริงๆ” เอ่ยพลางยื่นหน้าเข้ามากใกล้ กลิ่นน้ำเมาเหม็นเสียจนหล่อนต้องเบือนหน้าหนี “มาเป็นเมียพี่ดีไหมจ๊ะน้องสาว”

ทั้งหวาดกลัว ทั้งโมโห มทนาลัยพยายามดิ้นจนสุดแรง พยายามส่งเสียงแต่เพราะถูกปิดปากไว้ เสียงของหล่อนจึงดังอู้อี้แค่ในลำคอ

“ปล่อยนะ! ปล่อย!”

“กรี๊ดดด...” แม่นมแสงคำที่เพิ่งตื่น ผุดลุกขึ้นมาจ้องโจรสองคนด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้คิดทำอะไร โจรผู้หนึ่งก็สะบัดฝ่ามือเข้าใส่จนนางล้มฟุบลงกับพื้นสลบไสลไม่ได้สติไปในบัดดัล

“แม่นม! แม่นมขา!”

มทนาลัยอ้าปากงับมือของคนคนนั้นอย่างแรง มันพ่นเสียงร้องโอดโอยมาคำหนึ่งก่อนรีบตะครุบปากตนเองเพื่อไม่ให้ใครอื่นได้ยิน จากนั้นก็สะบัดฝ่ามือใส่หล่อน

เผียะ!

หล่อนล้มฟุบลงกับพื้น เจ็บร้าวไปทั้งใบหน้าจนพูดไม่ออก น้ำตาหล่อนเอ่อคลอแต่กลับไม่หยาดหยดแม้แต่เม็ดเดียว

“นังตัวดี! อย่างนี้มันต้องสั่งสอนซะให้เข็ด!”

สองคนนั้นโผเข้ามาหาหล่อน มทนาลัยกรีดยกมือปัดป้องแล้วกรีดร้องสุดเสียง แต่โพล่งออกมาเพียงคำเดียว เสียงก็แผ่วหายเพราะจุกในช่องท้องเมื่อโจรหนึ่งในสองซัดกำปั้นหนักๆใส่ท้องหล่อน

“ไปเร็ว!” พวกมันแย่งกล่องไม้นั้นไปแล้วแบกหล่อนออกจากห้อง พาลงบันได เดินผ่านความมืดยามราตรี มทนาลัยพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจเปล่งเสียงได้



ห้องพักชั้นสองอีกฟากหนึ่งของตึก ‘กลุ่มคนจน’ ที่บัดนี้เปลี่ยนชุดที่สวมเป็นชุดสีดำสนิททั้งตัว กำลังจับกลุ่มพูดคุยและปรึกษาหารือด้วยความเคร่งเครียด ชายผู้มีจมูกโด่งโดดเด่นกว่าผู้ใดเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำเข้าหากันจนสั่นระริก

กระทั่งชายที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังรายงานจบประโยค เขาจึงทุบโต๊ะอย่างแรงแล้วผุดลุก ชายฉกรรจ์ที่เหลือพากันลุกตาม

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไอ้พวกองครักษ์พวกนั้นมันไปตาย-่าที่ไหนกันหมด ห๊ะ?!”

“พวกมันต้อนเข้าไปในกลุ่มหมอก ก็เลย...”

“บัดซบ!” ชายผู้นั้นสบถคำอีกหลายคำ “ไอ้พวกไม่เอาไหน!”

เขาถอนใจหนักๆ แล้วเริ่มเดินวนรอบห้อง ดวงตาหลุบต่ำมองเพียงพื้อนเบื้องล่าง คนที่เหลือเอาแต่ยืนนิ่งแทบไม่ขยับตัว ไม่กล้าหายใจเสียด้วยซ้ำ

อึดใจใหญ่ๆทีเดียวกว่าผู้เป็นหัวหน้าจะกลับมานั่งที่เดิม

“เราต้องบุกเข้าไป”

“อันตรายเกินไปขอรับ” คนที่อยู่ใกล้ที่สุดทักท้วง “หลายปีแล้ว เราไม่เคยฝ่าหมอกนั่นได้เลย ถ้าเกิดบุกเข้าไปตอนนี้มีแต่จะเสียเปรียบ...”

“นึกว่าเราไม่รู้รึ?” เขาตวัดสายตามองอย่างตำหนิ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีทางไหนดีกว่านี้แล้ว เราเป็นห่วงนาง เราจะปล่อยให้นางถูกจับตัวไว้ที่นั่นไม่ได้ ถ้าพวกมันรู้ว่านางเป็นใคร นางไม่รอดแน่!”

เขาสูดลมหายใจลึก ยกมือนวดท้ายทอยอีกสองสามครั้งเพื่อรวบรวมสมาธิ

“ต้องมีคนพาเราเข้าไป”

“ใครหรือขอรับ?”

“นั่นสิ...ใคร?”

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ...เงียบเสียจนแว่วเสียงของใครคนหนึ่ง

เสียงนั้นเบามากจนแทบไม่ได้ยิน ชายผู้มีจมูกเด่นสะดุดตาขมวดคิ้ว ปิดเปลือกตาและเงี่ยหูฟังอีกครั้ง

“ปล่อยนะ!” เสียงนั้นชัดเจนขึ้น แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่เสียงคนร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่ กระทั่งประตูห้องเปิดผลัวะ พร้อมกับคำรายงานร้อนรนของชายผู้หนึ่ง

“เจ้านาง...เจ้านางน้อยถูกจับตัวไปแล้วขอรับ!”

เขาผุดลุก คว้าดาบประจำตัวแล้วผลุนผลันออกจากห้องไปในทันใด



นานเท่านานในความรู้สึกมทนาลัยกว่าพวกมันจะหยุดเดิน กลางป่าลึกที่แทบมองไม่เห็นทาง พวกมันจับหล่อนมารวมกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง จากที่มองคร่าวๆ หล่อนเห็นแต่เพียงผู้หญิง มีทั้งสาวน้อย สาวใหญ่และสาวสะพรั่งงดงามไปทั้งตัว

พวกมันเป็นใคร? จับหล่อนและคนพวกนี้มาทำไม?

หรือพวกมันจะเป็นโจรป่ากินคนที่หล่อนเคยพบเมื่อหกปีก่อน

ไม่น่า...โจรพวกนั้นถูกกวาดล้างจนหมดแล้วนี่นา

หรือพวกมันจะเป็นพวกค้าทาส? จะจับหล่อนไปขายงั้นหรือ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว มทนาลัยพยายามจะช่วยเหลือตัวเอง แต่เพราะยังจุกทำให้ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้มาก สุดท้ายก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าเหมือนเช่นคนอื่นๆ

“พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกันต่อ!”

คนที่มัดมือหล่อนบอก มือข้างหนึ่งถือกล่องไม่ของหล่อนไว้ มทนาลัยยื่นมือออกไปแล้วร้องขอ

“ขอ...ขอคืนเถอะ กล่องนั่นเป็นของสำคัญของข้า ขอคืนเถอะนะ”

“ข้าเปิดดูแล้ว มีแต่ของแพงๆทั้งนั้น...” ชายผู้นั้นถลึงตาใส่หล่อนแล้วตวาด “คืนให้โง่สิ!” จากนั้นก็หันไปบอกเพื่อน “เอาสิ จะทำอะไรกับนังนี่ก็ตามสบายแล้วกันเพื่อน ข้าจะไปงีบสักหน่อย”

หล่อนกระเถิบหนี เมื่อเห็นชายตรงหน้าย่างสามขุมเข้าหา

“มะ...ไม่ได้นะ เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้!”

“ไม่ต้องกลัวน่า ข้าบอกแล้วว่าข้าจะพาเจ้าไปขึ้นสวรรค์”

“จะ...เจ้าทำไม่ได้นะ!” มทนาลัยกลอกตาไปมา ครุ่นคิดหาทางออก ในเสี้ยววินาทีที่มือของชายผู้นั้นแตะต้องตัวหล่อน หล่อนก็กลั้นใจโพล่งออกไป “ข้าไม่ใช่ผู้หญิง ข้าเป็นผู้ชาย!”

บังเกิดความเงียบอยู่นาน...แม้แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญของพวกผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังเงียบหายไป

“เจ้าว่าอะไรนะ” โจรผู้นั้นถามเสียงแผ่วอยู่ในลำคอ “ผู้ชาย?” เขานั่งยองๆ แล้วจ้องหน้าหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย อึดใจถัดมานั่นแหละ เสียงหัวเราะอย่างขบขันจึงดังก้อง

“ฮ่าๆๆ ผู้ชาย?! เจ้าบอกว่าเป็นผู้ชายงั้นเรอะ?! คิดว่าข้าโง่รึไง?!”

ชายผู้นั้นกระชากหล่อนให้ลุกขึ้นยืนแล้วลากเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏ

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องพิสูจน์กันหน่อยละ!”

มทนาลัยใจหายวาบ ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจให้หนาวยะเยือกสะท้านไปทั้งกายา

“มะ...ไม่นะ! ออกไป! อย่ามายุ่งกับข้า!”

หล่อนถูกเหวี่ยงลงบนพื้น กลิ้งหลุนสามสี่ตลบบนหญ้าสากระคายและบาดเนื้อหล่อนจนแสบไปหมด

“เจ้าตะโกนโหวกเหวกโวยวายทำไมกัน ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้า แต่จะพาเจ้าขึ้นสวรรค์ต่างหาก!” จบคำนั้นมันก็ตะครุบหล่อนไว้ มทนาลัยพยายามหนีแล้ว แต่ในสภาพถูกมัดมือมัดเท้าเช่นนี้นับว่ายากยิ่ง น้ำตาหล่อนเอ่อคลอด้วยความหวาดกลัว

“ดะ...ได้โปรด” หล่อนอ้อนวอน ด้วยหวังว่าโจรผู้นั้นจะใจอ่อน “อย่าทำอะไรข้าเลย ได้โปรด...”

ราวกับคำพูดของหล่อนเป็นลม พัดผ่านมาแล้วผ่านไป มิหนำซ้ำยังก่อความรำคาญใจให้มันเสียอีก

“พร่ำอะไรนักหนาวะ หนวกหูโว้ย”

เผียะ!

หล่อนล้มฟุบลงกับพื้น ซีกหน้าข้างขวาที่ถูกตบซ้ำสองเจ็บร้าวไปทั้งซีก สมองมึนงงไปชั่วขณะจนต้องสลัดศีรษะเบาๆ ตาทั้งสองของหล่อนพร่ามัวกระนั้นก็ยังสังเกตเหตุบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบทว่ารวดเร็วเบื้องหน้า

คนหรือสัตว์?

หล่อนไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ รู้แค่ว่าถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ขนดำมะเมื่อม ถ้าเป็นคน...พวกเขาเหล่านั้นก็อำพรางตัวด้วยชุดสีดำทั้งตัว

ไม่อาจค้นหาคำตอบว่าสิ่งนั้นคืออะไรเพราะโจรใจทรามพยายามฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหล่อนด้วยความหื่นกระหาย หล่อนจำต้องปกป้องตัวเอง ดิ้นรนขัดขืนเต็มแรง ทำได้เพียงเท่านี้ จึงไม่อาจสู้พละกำลังของอีกฝ่ายได้

แคว่ก!

แขนเสื้อของหล่อนฉีกขาดเผยให้เห็นผิวเนื้อนวลผ่อง

“กรี๊ดดด...” มทนาลัยกรีดร้องอย่างตกใจและหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งใด “ไปนะ! ออกไป! ไปให้พ้น!”

หล่อนพลิกกายนอนคว่ำแล้วกระเถิบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แว่วเสียงบางอย่างแหวกผ่านอากาศ ก่อนพุ่งปักลงบนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ฉึก!

ไม่มีอีกแล้วเสียงแหบห้าวหื่นกระหาย ไม่มีเสียงลมหายใจถี่กระชั้นที่ทำให้หล่อนขยะแขยง ไม่มีมือหยาบกร้านที่พยายามจะฉีกทึ้งร่างของหล่อนเป็นชิ้นๆ มทนาลัยได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวกับเสียงหายใจหอบของตนเอง หล่อนค่อยๆ หันกลับไปอย่างช้าๆ จึงได้เห็นชายผู้นั้นเบิกตาโพลง ดวงตาของมันวาววามในความมืด มีทั้งความประหลาดใจ ไม่เข้าใจและอาฆาตแค้น

กระนั้นมันก็ไม่สามารถแก้แค้นให้ตัวเองได้ เพราะชั่วลทหายใจถัดมา ร่างของมันก็ล้มฟุบนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นดินเปียกแฉะ มีดปักกลางหลังของมัน ...ปักลึกจนมิดด้าม เลือกไหลทะลักเจิ่งนองเต็มพื้น เพียงไม่นานร่างของมันก็เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน มืดสลัวเพียงใดแต่หล่อนกลับเห็นรอยเลือดชัดเจน สีอันข้นคลั่กของมันทำให้หล่อนสะท้าน

ใคร? ใครขว้างมีดใส่มัน?

สติส่วนหนึ่งตั้งคำถาม และแม้ว่าหล่อนจะกลัว หล่อนก็จำต้องสู้ความจริง มทนาลัยค่อยๆ เลื่อนสายตาเลยไปยังปลายเท้าของโจรผู้นั้น พบขาอันแข็งแกร่งคู่หนึ่งปักหลักยืนอยู่อย่างมั่นคง ครั้นเลื่อนสายตาขึ้นไปอีกหล่อนจึงได้รู้ว่าคนที่ปลิดชีวิตโจรผู้นั้นคือชายร่างยักษ์ ตัวใหญ่บึกบึนยืนจังก้ากอดอกมองหล่อนแน่วนิ่ง

ดวงตาคู่นี้เข้มข้นดุดัน คมกริบและไม่เกรงกลัวใครราวกับดวงตาของพญาเสือ อีกทั้งยังเกรี้ยวกราดดั่งพายุอันบ้าคลั่งที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากองคราวเดียว

“จับมันไป! จัดการไอ้พวกที่เหลือด้วย!”

เขาสั่งลูกน้องของตนเองด้วยคำสั่งเฉียบขาด มันดังกังวานสะท้อนในหุบเขา

ใคร? ใครกัน?

มทนาลัยมองเขาราวกับถูกมนตร์สะกด ดวงตาคู่ที่หล่อนมองสบอยู่มีแรงดึงดูดมหาศาลทำให้หล่อนไม่อาจละสายตาจากไปได้

คุ้น...คุ้นเหลือเกิน

หล่อนเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหนหนอ?

ชายผู้นั้นคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าหล่อน เอื้อมมือออกมา...ความหวาดระแวงทำให้หล่อนกระเถิบหนี ไม่ถนัดนักเพราะยังถูกมัดมือมัดเท้าอยู่

“ไปนะ...ไปให้พ้น!”

หล่อนกลั้นใจตวาดใส่เขา เป็นวินาทีเดียวกับที่เขาแตะปลายนิ้วลงบนป้ายเหล็กที่ห้อยอยู่บนคอหล่อน

มทนาลัยก้มมอง เห็นมือใหญ่ลูบไล้ตัวอักษรบนนั้นไปมา

“สร้อยเส้นนี้...ของเจ้าหรือ?”

ครั้นหล่อนเงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้มาก...ใกล้จนหล่อนเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา เขาทาบมือลงบนพื้นโน้มตัวเข้ามาใกล้อีก

“ถะ...ถามทำไม?”

“ข้าจำเป็นต้องรู้ สร้อยเส้นนี้เจ้าได้จากไหน”

มีความคาดหวังอยู่ในดวงตาคู่นั้น หล่อนรับรู้ได้

ทว่า...เขาหวังในสิ่งใด เกี่ยวอะไรกับสร้อยเส้นนี้เล่า?

“มีคนให้ข้ามา”

“ใคร?”

“คนที่ช่วยชีวิตข้า”

แววตาคู่นั้นทอประกายวูบ...ทั้งประหลาดใจ คาดไม่ถึง และยินดี

เขากำลังบอกอะไรหล่อนหนอ? ประกายตาเช่นนี้มันหมายถึงอะไรกัน?

“เสือดำ”

เป็นคำถามหรือคำรำพึงรำพันหล่อนก็ไม่รู้แน่ แต่ที่รู้ตอนนีั้คือเขากำลังจู่โจมหล่อนด้วยมือของเขา

“เอ๊ะ!” หล่อนอุทานเมื่อเขาใช้มือบีบแก้มทั้งสองข้างของหล่อน

เปล่าหรอก...ไม่ได้บีบแรงจนเจ็บ แต่เป็นการบีบเบาๆ อย่างหยอกๆ เสมือนเพลิดเพลินกับการได้ ‘เล่น’ แก้มของหล่อนอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าทำอะไรน่ะ” หล่อนโพล่งถามออกไปด้วยเสียงอู้อี้ ขณะที่คนถูกถามเอียงซ้ายเอียงขวา พิจารณาหล่อนอย่างประเมินราวกับหล่อนเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งที่เขาตั้งใจจะเอาไปขาย

หรือ...เขาจะเป็นพวกค้าทาสเหมือนกัน?!

“ปล่อยนะ! อย่ามายุ่งกับข้า” แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของหล่อนหรอก แต่น่าแปลก โจรผู้นี้กลับลดมือลง แล้วทำสัญญาณมือให้หล่อนพูดต่อ

“เจ้ามันก็พวกโจรเหมือนกัน! ที่แท้เจ้าไม่ได้มาช่วยข้า แต่เจ้ามาแย่งข้าจากพวกมันต่างหาก!”

แววตาคู่นั้นเต้นระริก...ขบขันในคำพูดของหล่อนหรือไร?!

“ใช่ไหมล่ะ? ข้าพูดถูกใช่ไหม?! เจ้ามันเลว ชั่วช้าที่สุด ! คอยดูนะถ้าข้ารอดไปได้ ข้าจะให้...ให้คนมาล่าเจ้า ข้าต้องเอาเจ้าเข้าคุก ข้าจะ...”

มทนาลัยเพิ่งได้สติ งงตัวเองไม่น้อยที่กล้าต่อปากต่อคำกับโจรผู้นี้

“จะอะไร หืม? พูดให้จบสิ ข้ารอฟังอยู่”

หล่อนคิดว่าคงเป็นความโกรธและผิดหวังจึงทำให้กล้าต่อว่าเขาอย่างไม่เกรงกลัว แต่ตอนนี้ความกลัวแล่นจับหัวใจอีกครั้งแล้ว หล่อนจึงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เขายกมือขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ได้บีบ แต่กลับหยิกแก้มหล่อนเบาๆ

“ข้าไม่เหมือนพวกนั้นหรอกนะ ข้าไม่ใช่พวกค้าทาส...” แววตาที่แสนประหลาดของเขาทอประกายบางอย่างอีกแล้ว “ข้าเป็นแค่โจรธรรมดาๆ วันดีคืนดีนึกอยากปล้นก็ปล้น หรือวันไหนอยากจะช่วยคนข้าก็ช่วย...อย่างวันนี้ไง”

แล้วเขาก็แตะมือลงบนซีกหน้าที่ถูกตบ มือของเขาแตะต้องแผ่วเบาราวกับกริ่งเกรงว่ากายของหล่อนจะแตกสลาย สัมผัสนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นของชายร่างยักษ์ผู้นี้...ผู้มีดวงตาของจ้าวป่าพร้อมจะปลิดชีวิตใครคนหนึ่งได้อย่างไม่สะทกสะท้าน!

“เจ็บมากไหม” เสียงของเขาแหบห้าว ดังเพียงเสียงกระซิบ “ไปเถอะ ข้าจะทายาให้”

หากเขาพูดว่าข้าจะพาเจ้าขึ้นสวรรค์ หล่อนยังไม่ตกใจเท่านี้

“ห๊ะ? เจ้าว่าอะไรนะ?”

“ทายาไง ข้าจะทายาให้”

“หืม? ทะ...” พูดได้แต่นั้นก็ต้องอุทานเมื่อคนตัวโตอุ้มหล่อนแนบอก “เจ้าทำอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ!”

“จะโวยวายทำไม ข้าจะทายาให้เจ้า ไม่ได้จะทำร้ายเจ้าซะหน่อย”

“ข้าไม่...ไม่ไว้ใจเจ้า”

“เจ้าไว้ใจข้าได้”

คนแปลกหน้าอย่างเขาจะไว้ใจได้อย่างไร...แม้แต่หน้าตาหล่อนก็ยังไม่เห็นเลย

“เจ้า...เจ้าก็เป็นโจรเหมือนพวกมัน ข้าจะไว้ใจได้ยังไง!”

คนดีๆที่ไหนจะสวมชุดดำปกปิดหน้าตาของตัวเองเช่นนี้ ถึงจะบอกว่ามาช่วยคนก็คงไม่ได้เตรียมชุดนี้ล่วงหน้าหรอกกระมัง การสวมชุดนี้เดินเข้ามาในป่าลึกแสดงว่ามีจุดหมายบางอย่าง...ไม่ขโมยของ ก็ลักคน หรือไม่ก็...ฆ่าข่มขืน!

“ไม่มีใครที่ไหนสวมชุดแบบนี้เดินเทิ่งๆ ในยามวิกาลหรอก!”

คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรยกมือขึ้นลูบปลายคางของตน แววตาของเขาเต้นระริกวูบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไปในชั่วพริบตา

“ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร เจ้าก็ต้องไปกับข้า”

“ทำไมข้าต้องไปกับเจ้า?!”

“ก็ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็สมควรตอบแทนข้า...ไม่ใช่หรือ”

“ได้! ปล่อยข้าก่อนสิ” หล่อนยื่นมือของหล่อนให้เขา “แก้เชือกให้ข้าแล้วตามข้ากลับที่พัก ข้าจะให้ของรางวัลกับเจ้า”

“ข้าไม่อยากได้ของรางวัล”

“แล้วจะเอาอะไรล่ะ?”

ดวงตาที่ทอดตรงมา ไม่มีความเหี้ยมโหดเลยแม้แต่น้อยนิด หล่อนค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้เป็นพวกโจรใจร้ายอำมหิต...หวังว่าจะไม่ใช่

มทนาลัยปรับเสียงให้อ่อนลงเพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะหยิบยื่นความเมตตาให้กับหล่อนบ้าง

“ข้าไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ของมีค่าก็มีแค่หยิบมือเท่านั้น แต่...ข้าให้เจ้าหมดเลยก็ได้ แค่...ปล่อยข้าไป...นะ”

คำสุดท้ายหล่อนเคยใช้ได้ผลมาก่อน ทั้งแม่นม ทั้งสุริยา พอได้ยินหล่อนออดอ้อนเช่นนั้นก็มักจะตามใจหล่อนเสมอ ทว่าครั้งนี้...อาจจะไม่ได้ผลเสียแล้ว

มทนาลัยไม่อาจอ่านใจของเขาออก แต่หล่อนพอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเขา จากเกรี้ยวกราด ขบขัน แปรเปลี่ยนเป็นท้าทาย และ...สนุกราวกับได้พบของเล่นชิ้นใหม่

ตกลงแล้วชายลึกลับผู้นี้เป็นใคร และต้องการสิ่งใดกันแน่?

“ข้าไม่ต้องการของพวกนั้น”

คำตอบของเขาทำให้หล่อนงุนงง...ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“ข้าต้องการตัวเจ้า”

แขนที่กอดรัดเอวหล่อนรัดแน่นกว่าเดิม แล้วเขาก็โน้มตัวลงมาใกล้...ใกล้จนพลังจากดวงตาสีนิลกาฬของเขาโอบล้อมเรือนร่างของหล่อนจนมันร้อนวูบวาบไปหมด

“พวกมันเป็นโจรค้าทาส ส่วนข้า...อืม...ก็เป็นโจรเหมือนกัน แต่ขอเป็นโจรปล้นสวาทดีกว่า!”

ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบๆ ขณะริมฝีปากเผยออ้ากว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่

“เนื้อหอมๆ นิ่มๆ อย่างเจ้า ข้าชอบนักละ”

ไอ้โจรบ้ากาม! หล่อนด่าเขาในใจพร้อมกับรำพันอย่างสิ้นหวัง

...หนีเสือปะจระเข้เสียแล้วสิมทนาลัยเอ๋ย!

...ในอุ้งมือของโจรบ้ากามผู้นี้ หล่อนจะหนีรอดพ้นจากเงื้อมมือเขาได้อย่างไร?!




สั่งซื้อได้ที่ www.sasi-aksorn.com จัดส่งต้นเดือนพ.ค. (ประมาณวันที่ 10 พ.ค.ค่ะ)







ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2558, 14:34:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2558, 14:34:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 4203





<< บทที่ 02 : ของแทนใจ 2 (รีไรต์)   บทที่ 04 : กระต่ายน้อยของข้า 1 >>
แว่นใส 20 เม.ย. 2558, 17:56:12 น.
ไม่น่ารอด


เคสิยาห์ 20 เม.ย. 2558, 18:06:40 น.
รีไรต์ใหม่ ก็สนุกดีนะ ดูมีที่มาที่ไปหน่อย


Zephyr 23 เม.ย. 2558, 22:51:16 น.
เหม่ เสือดำนายแกล้งกระต่ายน้อยมากไปแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account